กลลวงรักจอมบาป

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 21.33 น.

  7 ตอน
  1 วิจารณ์
  9,152 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) ตอนที่ 6 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ความจริงแล้วประตูดังกล่าวไม่ใช่ช่องทางลับแต่อย่างใด หากประโยชน์ใช้สอยของมันคือสร้างขึ้นเพื่อรองรับบางโชว์ที่นักแสดงต้องผลุบโผล่ออกมาจากข้างผนัง สร้างความตกใจให้กับผู้ชมเท่านั้น ตอนนี้ปภัชสาก็ได้เข้ามาอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยแสงสี จุดที่เธอยืนยังมืดมิด แต่ไฟที่สว่างวาบขึ้นเป็นครั้งคราวและกระจุกตัวอยู่ไม่ห่างจากหน้าเวทีนักก็ทำให้เธอได้เห็นร่างของประพจน์อีกครั้งหนึ่ง
“พ่อพจน์” ปภัชสาเรียกออกมาด้วยความดีใจเพราะเป็นจังหวะที่แสงไฟสีฟ้าส่องไปยังร่างของประพจน์ ทำให้เธอได้เห็นใบหน้าของชายที่ให้ความเคารพและรักเหมือนพ่อบังเกิดเกล้าอย่างชัดเจน
ที่นั่งซึ่งยกสเต็ปสูงขึ้นเรื่อยๆ ในลักษณะขั้นบันได ทำให้ปภัชสาเห็นประพจน์อยู่ตรงทางเดินล่างสุดซึ่งห่างจากเวทีไม่มากนัก ส่วนประพจน์ก็มองเห็นผู้ชายที่ตนดั้นด้นมาพบไกลถึงอีกซีกโลกหนึ่งนั่งอยู่ตรงกลาง
โชว์ที่ใช้สาวๆ มากขึ้นกว่าเดิมเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ชมทั้งแสงไฟยังวูบวาบ สว่างและดับวูบลงตามจังหวะของดนตรีจึงไม่มีใครได้สนใจร่างของประพจน์ที่เข้ามาอยู่ในห้อง
ประพจน์เดินจากหน้าเวทีฝั่งขวาไปยังตรงกลาง สายตาจดจ้องไปยังร่างของอคิลลีสที่นั่งอยู่ตรงหน้าแต่อยู่สูงจากจุดที่ตนยืนอยู่นี้ราวสิบขั้นบันได สาวๆ ยังทำการแสดงต่อไปเพราะเป็นโชว์พิเศษส่วนบุคคล ต่อให้มีคนเดินไปมาอยู่ในระหว่างที่โชว์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เสื้อคลุมสีเงินเพียงตัวเดียวที่อยู่บนเรือนร่างของนางโชว์สะท้อนกับแสงไฟจนเกิดเป็นประกายวับวิบหลอกตาคนมอง ปภัชสาไม่รู้หรอกว่าประพจน์นั้นเข้ามาในห้องนี้เพราะเหตุใด แต่เธอก็เร่งฝีเท้าจนได้มายืนอยู่หน้าเวที ใจชื้นขึ้นมาอีกระดับหนึ่งเพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นประพจน์ใกล้ที่สุดแม้จะเป็นเพียงด้านหลังก็ตาม
ปุ๊!... ปุ๊!... ปุ๊!...
จู่ๆ ร่างของประพจน์ก็ล้มลงในท่าคว่ำหน้ากระแทกกับพื้นอย่างแรง เสียงหวีดร้องของนางโชว์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ดังขึ้นพร้อมกับร่างของอคิลลีสที่ลุกขึ้นจากที่นั่งเพราะมือของคนที่ล้มลงกับพื้นนี้จับเข้าที่ข้อเท้าของเขา
แม้สาวๆ บางคนจะหยุดเต้นแล้วแต่เสียงเพลงยังดังกระหึ่ม ในขณะที่บอดี้การ์ดของวาลิคกรูเข้ามายืนห้อมล้อมเจ้านายอย่างระแวดระวังภัย
“ปิดเพลงๆ ได้ยินไหม... มีคนถูกยิง” เสียงของหนึ่งในบอดี้การ์ดของวาลิคนั้นดังขึ้น
ไม่นานนักเสียงเพลงก็เงียบลงพร้อมกับสาวๆ ที่ชะงักงันอยู่ในจุดต่างๆ ก็พากันกรูเข้ามามุงดูร่างของชายที่นอนคว่ำหน้า ไม่นานนักเลือดสีแดงฉานที่ไหลออกมาและเริ่มขยายวงกว้างขึ้นนั้นน่าตกใจยิ่งนัก
“พ่อพจน์!...” เสียงแหลมของปภัชสาดังขึ้นพร้อมกับแหวกผู้คนที่ยืนมุงเข้ามาทรุดนั่งอยู่ข้างร่างของประพจน์ที่แน่นิ่งอยู่เช่นเดิม “พ่อพจน์ อย่าเป็นอะไรนะ”
น้ำเสียงของปภัชสานั้นสั่นเครือ ยิ่งได้เห็นเลือดที่ไหลออกมาเปรอะเปื้อนพรมสีน้ำตาลเข้มสลับกับสีครีมยิ่งทำให้รู้สึกกลัว มือไม้สั่นเทารีบประคองร่างนั้นให้พลิกตัวหงายขึ้นอย่างทุลักทุเล
ใบหน้าของประพจน์นั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เขากลับฝืนยิ้มเมื่อได้เห็นลูกสาวอยู่ใกล้ๆ
“ปะ...ปิ่น”
“พ่อพจน์ ช่วยด้วย!... ใครก็ได้ช่วยเรียกรถพยาบาลที ช่วยด้วย!...” ตะโกนออกไปแล้วต้องรีบชักมือข้างหนึ่งซึ่งวางทาบอยู่กลางหน้าอกเพราะรู้สึกถึงความเหนียวข้นของเลือดที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย ปภัชสาอ้าปากค้างครางเรียกทั้งน้ำตา “พ่อพจน์ อย่าเป็นอะไรนะคะ ทำใจดีๆ ไว้ ช่วยด้วย... เรียกรถพยาบาลให้ฉันที”
หนึ่งในสาวๆ นั้นโทร. ไปเรียกรถพยาบาลตั้งแต่ได้ยินเธอขอความช่วยเหลือครั้งแรกแล้ว
ทว่าความผิดปกติบางอย่างที่อคิลลีสรับรู้ได้นั้นทำให้เขาต้องนิ่งงันมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ บางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ด้านหลังส้นเท้าทำให้เขาต้องขบคิดอย่างหนักและต้องทำเป็นนิ่งเฉยราวกับไม่มีสิ่งแปลกปลอมที่ชายชาวเอเชียสอดเข้ามาไว้ในรองเท้า!
สัญชาตญาณบางอย่างบอกให้อคิลลีสเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่เสียงร่ำไห้แทบจะขาดใจที่ดังไม่หยุดหย่อนนี้ก็ทำให้เขาต้องหลุบสายตาลงต่ำมองไปยังเจ้าของเสียง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปภัชสาแหงนหน้าขึ้นแล้วร้องขอความช่วยเหลือสลับกับเรียกคนในอ้อมแขนไม่หยุดปาก
ดวงตาคู่หวานซึ่งเอ่อคลอไปด้วยน้ำใสๆ ช่างบีบคั้นหัวใจคนมองนัก แววตาที่แสดงออกไม่ต่างจากเด็กหลงทางที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นที่สุด ทุกครั้งที่น้ำตากลิ้งตัวแล้วไหลอาบสองแก้มยังกระตุกหัวใจจอมบาปผู้ไม่เคยแยแสต่อความรู้สึกอันละเอียดอ่อนให้อึดอัดยิ่งนัก
“ปิ่น ลูก...” กระสุนถึงสามนัดที่ฝังอยู่บริเวณช่วงอกสร้างความเจ็บปวดจนสติแทบจะไม่หลงเหลือ แต่ประพจน์ก็ยังฝืนร่างกายเรียกลูกสาวให้หันมาสบสายตา
“ขะ...เขา ช่วยลูก...” ยิ่งประพจน์พยายามพูดมากเท่าไหร่ เลือดก็ยิ่งกระอักออกมามากเท่านั้น
“ฮือ... พ่อพจน์ อย่าเพิ่งพูดอะไรนะคะ ลืมตาขึ้นมามองปิ่นก่อน เดี๋ยวรถพยาบาลก็มาแล้ว” ปภัชสาบอกทั้งเลื่อนมือข้างหนึ่งที่เปื้อนไปด้วยเลือดขึ้นประคองข้างแก้มของผู้เปรียบเสมือนพ่อบังเกิดเกล้า
ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นมหาศาลยิ่งนัก ประพจน์รู้ดีว่านี่อาจจะเป็นลมหายใจสุดท้ายของชีวิต แต่สิ่งที่ปรารถนาเอาไว้นั้นยังไม่สัมฤทธิผลจึงรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดยกแขนข้างหนึ่งขึ้นไปจับปลายเท้าของผู้ชายที่ยืนอยู่ไม่ไกลนี้
“เขาช่วยเรา ให้... เขาช่วย...” จบน้ำเสียงแผ่วเบาจนฟังไม่ได้ศัพท์นั้นประพจน์ก็สิ้นลมหายใจไปทันที
ปภัชสาชะงักงันไปชั่วอึดใจจากนั้นก็รีบเขย่าร่างของประพจน์อีกครั้ง “พ่อพจน์ ไม่นะ ลืมตาขึ้นมามองปิ่นก่อน พูดกับปิ่นก่อน อย่าทิ้งปิ่นไปแบบนี้นะ พ่อพจน์...”
แน่นอนว่าไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่ปภัชสาและชายคนที่ถูกยิงสื่อสารกัน แต่น้ำเสียงและท่าทางที่เธอแสดงออกมานั้นก็ทำให้ทุกคนเข้าใจได้ไม่ยากนัก
“พ่อพจน์... ฮือ... ตื่นขึ้นมาสิคะ”
เสียงคร่ำครวญของเธอทำให้อคิลลีสก้มลงไปจับที่ต้นแขนบอบบางแล้วส่ายหน้าช้าๆ เป็นเชิงย้ำให้เธอได้รู้ว่าคนที่อยู่ในอ้อมแขนนั้นได้จากโลกนี้ไปแล้ว
“ไม่จริง พ่อพจน์ ลืมตาขึ้นมาก่อน จะตายไม่ได้นะคะ” ปภัชสาสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม คร่ำครวญในสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่ก็เป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่พยาบาลเดินทางมาถึงยังจุดเกิดเหตุ
ปภัชสาจึงถูกกันตัวให้ออกห่างจากผู้ตาย เนื้อตัวเธอเปรอะเปื้อนและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวยังช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ถึงแม้ว่าตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะกันคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกไปจากห้องนี้แล้ว แต่เธอก็ยังนั่งนิ่งไม่ไหวติงราวกับคนไร้ความรู้สึก มีเพียงสิ่งเดียวกระมังที่ยังบ่งบอกว่าผู้หญิงคนนี้ยังมีความรู้สึกอยู่บ้าง
น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย!
ถึงแม้เธอจะบอกกับตัวเองว่าผู้ชายที่รักและเคารพเหมือนพ่อบังเกิดเกล้านั้นได้จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับแล้ว เธอควรหยุดร้องไห้ฟูมฟายแล้วหันไปหาสาเหตุของการฆาตกรรมในครั้งนี้ แต่กลับสั่งให้น้ำตาหยุดไหลออกมาไม่ได้
อคิลลีส วาลิค ทีมบอดี้การ์ด และนางโชว์ที่อยู่ใกล้ร่างของผู้ตายในช่วงที่ถูกยิงต่างถูกเจ้าหน้าที่สอบปากคำเบื้องต้น แต่ที่น่าเหลือเชื่อและสร้างความประหลาดใจให้กับเมแกน เจ้าหน้าที่ลาสเวกัสพีดี นั้นคือไม่มีใครพบเห็นหรือพบเจอพิรุธบางอย่างของมือปืนเลย
“ฉันอยู่ใกล้เขาที่สุดก็จริง แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าฉันกำลังอยู่ในโชว์ เพลงก็เปิดเสียงดัง แล้วอีกอย่างผ้าก็สะบัด” หนึ่งในนางโชว์ชะงักคำพูดเมื่อเมแกนย้ำถาม
“ผ้าก็สะบัด?” เมแกนทวนคำถาม
“เอ่อ.. ฉันหมายถึงชุดนี้” นางโชว์บอกและหมุนตัวกลับ เริ่มสาธิตให้เห็นถึงการสะบัดชุดคลุมซึ่งตกแต่งด้วยแผ่นโลหะชิ้นเล็กบาง เมื่อมันสะท้อนกับแสงไฟจึงหลอกตาคนมองให้พร่าเลือน
เมแกนพยักหน้า “โอเค ฉันพอเข้าใจแล้ว”
“คือรู้ตัวเพราะเขาล้มลงตรงหน้าฉันอย่างแรง แล้วก็มีเสียงของใครคนหนึ่งตะโกนสั่งให้ปิดเพลง บอกว่ามีคนถูกยิง พวกเราก็กรูกันเข้ามามุงดู”
ปภัชสาซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งนั้นได้ยินคำพูดของนางโชว์อย่างชัดเจนเลื่อนมือทั้งสองข้างกระชับผ้าคลุมที่ไม่รู้ว่าใครเอามาคลุมให้แน่นขึ้น ความเหน็บหนาวที่เกาะกินหัวใจเธอนั้นเย็นยะเยือกเสียยิ่งกว่าอุณหภูมิภายในห้องนี้เสียอีก คำให้การของนางโชว์คนดังกล่าวไม่มีจุดใดเป็นเท็จ ขนาดเธอที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เห็นเพียงแค่ตอนที่ประพจน์ล้มลงกองอยู่กับพื้นเท่านั้น
“ดื่มอะไรสักหน่อยไหม หน้าตาคุณดูไม่ดีเลย”
เสียงห้าวดังกระหึ่มอยู่เหนือศีรษะพร้อมกับแก้วชาร้อนที่ถูกยื่นมาตรงหน้า ปภัชสารับแก้วใบนั้นเอาไว้แล้วแหงนหน้ามองผู้ชายที่ยิ้มให้อย่างเห็นอกเห็นใจ
“ดื่มสักหน่อยนะครับ อาจช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น” วาลิคย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าหญิงสาวประคองแก้วเอาไว้ในมือ แล้วยังมองเขาด้วยสายตาเศร้าสร้อย น่าสงสารยิ่งนัก
ดวงตาคู่หวานช่างติดตาตรึงใจซีอีโอหนุ่มนัก ในตอนที่เธอถอดเสื้อสูทซึ่งชุ่มไปด้วยเลือดออกตามคำบอกกล่าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ยังได้เห็นเอวคอดกิ่วรับกับสะโพกผายอย่างที่เห็นไม่บ่อยนักในเรือนร่างของสาวหน้าหวาน ผิวขาวละเอียด
“ขอบคุณค่ะ” ปภัชสาบอกไม่เต็มเสียงนักและไม่ได้มีกะจิตกะใจจะอ่านสายตาเจ้าชู้ของคู่สนทนา
แตกต่างกับอคิลลีสที่ยืนมองปฏิกิริยาของเธอมาพักใหญ่แล้ว มองปราดเดียวเขาก็รู้ถึงความคิดของวาลิคอย่างทะลุปรุโปร่ง แม้ยังไม่รู้ว่าแม่สาวก้นงอนที่เคยเจอเมื่อหลายวันก่อนจะเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร เกี่ยวพันกับคนที่ซ่อนบางอย่างไว้ในรองเท้าของเขาก่อนตายมากน้อยแค่ไหน
แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องชดใช้กับการทำร้ายร่างกายเขาในคืนนั้น! ความคิดงี่เง่าที่ไม่อาจเรียกว่าเหตุผลได้ด้วยซ้ำกำลังกวนอารมณ์ของอคิลลีสให้ขุ่นมัว หากมันเป็นความงี่เง่าที่มีอิทธิพลอย่างน่าตกใจและมากพอที่จะสั่งให้จอมบาปแห่งลาสเวกัสเดินเข้าไปปกป้องเธอจากเสือผู้หญิงที่กำลังจ้องจะเขมือบเธอทั้งตัว
ความคิดงี่เง่าไม่พอ แต่การกระทำยังดูโง่ๆ อีกด้วย เมื่อเขาก้าวไปยืนประจันหน้ากับคู่ค้าธุรกิจคนล่าสุดแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับเธอได้ซับน้ำตา
ท่าทางดังกล่าวนั้นก็ทำให้วาลิคอ่านใจเขาออกอย่างง่ายดาย ผู้ชายที่ร่ำรวย ทำงานหนักคงใช้ชีวิตวัยหนุ่มไม่ต่างกันนัก ถึงแม้ว่าเขาจะผ่านการหย่าร้างมาแล้วถึงสองครั้ง แต่ก็เชื่อว่าสิ่งที่ผ่อนคลายความตึงเครียดได้ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเซ็กซ์
แล้วยิ่งเป็นเซ็กซ์ที่เกิดกับผู้หญิงสวย หุ่นดี ก้นเด้งอย่างเธอแล้วล่ะก็...
คงต้องแย่งด้วยชั้นเชิงสักหน่อย แม้วาลิคจะคิดในใจ แต่สายตาและสีหน้าก็เปิดเผยอย่างชัดเจน แน่นอนว่าคนอย่างเขาสามารถแยกแยะเรื่องงานและเรื่องบนเตียงออกจากกันได้ ถึงแม้ว่าคืนนี้ใครจะได้หิ้วนังหนูก้นเด้งคนนี้ขึ้นเตียงมันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในเชิงธุรกิจโดยเด็ดขาด
ทว่าในช่วงที่ผู้ชายทั้งสองคนกำลังจ้องตากันไม่กะพริบ คนที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังจะตกเป็นเหยื่อให้จอมบาปและเสือผู้หญิงได้ห้ำหั่นกันอยู่นี้กลับจ้องหน้าผู้ชายที่เคยหมิ่นเกียรติตนมาแล้วครั้งหนึ่ง
“คะ...คุณ” ปภัชสาครางก่อนจะกะพริบตาถี่ๆ ทบทวนการพบหน้ากันในครั้งแรกกับคำพูดของประพจน์ที่ฟังไม่ได้ศัพท์นัก ทว่าก่อนที่ท่านจะจากไป กลับรวบรวมเรี่ยวแรงเอื้อมมือไปจับปลายเท้าเขาเอาไว้ “คุณเป็นคนฆ่าพ่อฉันใช่ไหม!?”
เดิมทีนั้นเมแกน บรู๊ค ตั้งใจจะเดินเข้ามาบอกนักธุรกิจทั้งสองว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด พวกเขาสามารถออกจากที่เกิดเหตุนี้ได้ในทันที การที่สาวเอเชียชี้หน้าพร้อมทั้งกล่าวหาออกมาชัดเจนเช่นนั้น อคิลลีลจึงต้องถูกเชิญตัวไปให้ปากคำอย่างละเอียดที่สถานีตำรวจ
“คุณพูดบ้าอะไรนะ” แม้คำกล่าวหานั้นจะตวัดเสียงสูงปรี๊ด แต่อคิลลีสก็ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่มีทั้งความเหลือเชื่อและดุกร้าวในคราวเดียวกัน
สองสามนาทีที่แล้วเขาเดินเข้ามาปกป้องเธอจากอันตราย แต่นาทีนี้เธอกลับกล่าวหาเขาอย่างร้ายแรงว่าเป็นฆาตกรทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่เคยรู้จักมักคุ้นหรือเคยเห็นหน้าค่าตาของผู้ตายเลยสักครั้ง ความตั้งใจดีที่เกิดขึ้นในจิตใจเป็นครั้งแรกนั้นถูกคำกล่าวหาของเธอลบเลือนไปจนสิ้น เหมือนถูกเธอเอาค้อนปอนด์หนักๆ ฟาดเข้าที่หัวอย่างแรง
สุดท้ายเขายังต้องเดินออกจากโรงแรมชื่อดังพร้อมมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสองนายเดินขนาบข้าง สายตาของผู้คนที่มองมาก็ไม่ต่างจากเขาเป็นฆาตกรผู้ชั่วร้าย ก่อนจะมุดตัวเข้าไปนั่งในรถตำรวจ อคิลลีสยังสาบานกับตัวเองว่า... เหตุการณ์ย่ำแย่ที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจผิดหรือเป็นเพราะเหตุผลจากนรกขุมไหน แม่สาวก้นงอนก็ต้องชดใช้ให้ตนอย่างสาสม
 
อาจเป็นเพราะคำพูดของปภัชสาไม่มีหลักฐานอื่นใดมารองรับ คำกล่าวหาอันร้ายแรงนั้นจึงไม่เป็นผล อคิลลีสยังได้รับสิทธิ์เฉกเช่นพลเมืองอเมริกัน  ทนายความมือดีที่คุ้มค่าจ้างจึงทำหน้าที่ตอบคำถามและโต้แย้งได้ทุกข้อสงสัย การสอบปากคำจึงจบลงภายในเวลาอันรวดเร็ว
“ถึงเขาจะไม่ได้เป็นคนลงมือแต่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน เพราะไม่งั้นพ่อฉันคง...”
“ระวังคำพูดของคุณหน่อยนะครับ” ทนายความมือดีที่เดินนำหน้าเจ้านายออกมาจากห้องสอบสวน ได้ยินคำกล่าวหานั้นพอดีก็ตอบโพล่งออกไปเสียก่อนที่หญิงสาวจะพูดในสิ่งที่ไม่น่าฟังมากกว่านี้
“เหลือเชื่อเลย ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกัน คุณยังกล่าวหาผมได้ร้ายแรงขนาดนี้” น้ำเสียงของอคิลลีสนั้นคาดโทษร้ายแรงไม่ต่างจากการกระทำของเธอเช่นกัน
แต่ก่อนที่ปภัชสาจะได้ตอบโต้กลับ เจ้าหน้าที่เมแกนก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“ต้องขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ ถ้าเราอยากได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมจะติดต่อไปนะคะ” เมแกนบอกพร้อมทั้งยื่นฝ่ามือออกไปสัมผัสกับทนายความและลูกความ
“ไม่รู้จะยินดีรึเปล่า กลัวว่าถ้าช่วยแล้วจะต้องเดินเข้าๆ ออกๆ ห้องสอบสวนบ่อยเกินความจำเป็นน่ะสิ”
ถึงจะเป็นการพูดโต้ตอบกับเมแกน แต่อคิลลีสก็สบสายตาแม่ก้นงอนตลอดเวลา จบคำพูดแล้วยังตีคิ้วใส่ดวงตาคู่หวานอย่างท้าทาย พูดแล้วยังเดินออกไปจากสถานีตำรวจหน้าตาเฉย ทิ้งให้ปภัชสายืนกำมือแน่นด้วยความรู้สึกย่ำแย่ แต่เธอก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดอีกเลย แม้กระทั่งคำพูดที่ประพจน์ตั้งใจพูดก่อนตายนั้นก็ยังไม่ชัดเจน
เมแกนรับรู้ถึงความสิ้นหวังนั้นได้เป็นอย่างดีจึงพูดปลอบใจในขณะที่เดินตามหญิงสาวออกมาด้านหน้าสถานีตำรวจ “ขอเวลาให้ฉันได้ทำงานสักระยะนะคะ แต่รับรองว่าจะจับคนร้ายมารับโทษให้ได้ พ่อคุณจะไม่ตายเปล่าแน่นอน”
แม้ว่าคำพูดอันหนักแน่นของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น แต่มันก็เล็กน้อยนักหากเทียบกับความสูญเสียอันใหญ่หลวง
“ก็หวังอย่างนั้นนะคะ” ปภัชสาตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้แล้วยิ้มแบบซังกะตายให้กับตำรวจสาว โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ตนเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครบางคน
แม้จะเดินออกมาจากสถานีตำรวจก่อน แต่อคิลลีสกลับสั่งให้ทนายความจอดรถอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับสถานีตำรวจ สารพัดสารพันสิ่งชั่วร้ายที่เธอหยิบยื่นให้และมันก็ไม่มีเหตุผลอีกเหมือนเดิมที่ต้องอยากรู้ว่าเธอจะไปไหนต่อจากนี้ แต่จนแล้วจนรอดอคิลลีสก็ยังไม่อาจละสายตาจากร่างน่าปรารถนาที่ยืนมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงบนม้านั่งซึ่งวางไว้บนฟุตปาธเป็นระยะๆ
“อ่อ... ท่านครับ เลขาฯ ผมโทรมาบอกว่าหนังสืออนุญาตให้คุณเมมฟีสกลับมาอยู่ในความดูแลของท่านเพิ่งส่งมาถึงออฟฟิศเมื่อตอนที่ผมเดินทางมาหาท่านที่สถานีตำรวจ ให้คุณเมมฟีสพักอยู่ที่นั่นอีกสักคืน พรุ่งนี้เช้าผมจะจัดการเรื่องนี้ในทันที”
ไม่ต้องเสียเวลามองดูนาฬิกาสักนิด น้ำเสียงเฉียบขาดก็ตอบกลับทันควัน
“วันนี้เมมฟีสต้องค้างที่คูแรนท์แมนชั่น” จบคำพูดก็ยกมือขึ้นแล้วสะบัดมือสั่งให้ออกรถ ถึงอย่างนั้นดวงตาคู่คมก็ยังจ้องมองคนที่นั่งอยู่ริมถนนจนลับสายตา
อันที่จริงแล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอถึงกล่าวหาเขาเป็นฆาตกร บางทีอาจเป็นเพราะคำพูดสองสามคำที่หลุดออกจากปากผู้ตายซึ่งเขาเองก็จนปัญญาที่จะเข้าใจในความหมาย ทว่าของบางอย่างที่ยังซุกซ่อนอยู่ในรองเท้าก็ยังเป็นปริศนาให้ต้องขบคิดว่าทุกเรื่องนั้นเกี่ยวโยงกันได้อย่างไร
 
อคิลลีสอาจจะได้นอนแช่อยู่ในอ่างจากุซซี่ขับไล่ความเมื่อยล้า ทั้งยังไม่ได้สนใจว่าคำสั่งที่ไม่มีทางผ่อนปรนนั้นทำให้คนอีกหลายคนต้องเดือดร้อน ยกเลิกในความตั้งใจหลายอย่างที่เกิดขึ้นหลังเวลาเลิกงาน
‘วันนี้เมมฟีสต้องค้างที่คูแรนท์แมนชั่น’
เป็นคำสั่งที่ทำให้ทนายความส่วนตัวของอคิลลีสต้องดำเนินการตามหนังสืออนุญาตฉบับนั้นทันที หัวหน้าศูนย์ฯ ลาสเวกัสเองก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อคำพูดที่ดูเหมือนเป็นคำสั่งกลายๆ ของผู้ว่าการรัฐซึ่งต่อสายตรงมาด้วยตัวเอง
เรื่องเล็กน้อยจึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่อาจละเลยได้!
ผู้ที่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้จบลงจึงเป็นเจ้าหน้าที่สองคนที่ทำงานร่วมกันเป็นวันแรก ในขณะที่ปภัชสาเดินออกมาหาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เพราะไม่อาจกลับโรงแรมที่พักด้วยสภาพจิตใจที่ย่ำแย่เช่นนี้ หวังว่าการเดินไปเรื่อยๆ ตามแสงสีอันศิวิไลซ์คงจะทำให้จิตใจดีขึ้นมาบ้าง
ทว่าเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นพร้อมๆ กับการสั่นสะเทือนตรงกระเป๋าหลังของกางเกงสกินนี่ตัวใหม่ก็ทำให้ปภัชสาดึงอุปกรณ์สื่อสารเครื่องบางนั้นออกมาแล้วเลื่อนหน้าจอเพื่อรับสาย
“ค่ะ” ทักทายง่ายๆ เพราะรู้แล้วว่าคู่หูชั่วคราวเป็นคนติดต่อเข้ามา
“โอ... ฉันรู้ว่ามันแย่มากที่โทร. หาคุณเรื่องงานในตอนนี้ แต่มันเป็นคำสั่งที่เราต้องทำให้เสร็จภายในวันนี้”
ปภัชสาขมวดคิ้วมุ่นเพราะไม่อาจเข้าใจได้อย่างแจ่มชัด “ค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ พูดมาเถอะ”
“คำสั่งของเมมฟีสเพิ่งมาถึง แล้วผู้ปกครองคนใหม่ก็มีคอนเนกชั่นที่น่าตกใจมาก มาก...พอที่จะสั่งให้เราพาหลานชายไปส่งในทันที” เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ลาสเวกัสบอกพลางยักคิ้วให้เจ้าหนูเมมฟีสที่ถูกจัดให้นั่งอยู่บนคาร์ซีต “เอาล่ะ ฉันจะไม่อธิบายอะไรไปมากกว่านี้ บอกมาว่าตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน เดี๋ยวจะขับรถไปรับ”
“เอ่อ ตรง... ไม่ห่างจากสถานีตำรวจมากนัก” ปภัชสาบอกแล้วเลื่อนโทรศัพท์ลงเมื่อปลายสายเงียบไป
เจ้าของดวงตาคู่หวานทว่าตอนนี้กลับมีเพียงความเศร้าสร้อยกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วเดินไปทรุดลงบนม้านั่งที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวพร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่มองของที่อยู่ในมือทั้งสองชิ้นอย่างหนักใจ เสื้อสูทที่ชุ่มไปด้วยเลือดของประพจน์ถูกใส่ไว้ในถุงพลาสติกมีซิปล็อกอย่างดี คราบเลือดที่ติดอยู่บนถุงบีบคั้นหัวใจของเธอยิ่งนัก ทั้งยังตอกย้ำให้รู้ว่าคนที่อยู่เป็นหลักยึดของจิตใจนั้นได้จากไปตลอดกาลแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้เธอจะแข็งใจส่งข่าวที่เกิดขึ้นให้แก้วงามและอีกหลายชีวิตในบ้านร่มเย็นรับรู้ได้อย่างไร!
 
ถึงแม้ว่าการตายของประพจน์จะสร้างความเศร้าโศกให้กับปภัชสามากแค่ไหน แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนคาร์ซีตก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
“ยิ้มแบบนี้คงดีใจที่ได้กลับบ้านใช่ไหม” ปภัชสานั่งอยู่หลังคนขับจึงมองเห็นหน้าของเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนคาร์ซีตแล้วหันหน้ามาหาเธอพอดี “ใช่ไหม จะได้ไปหาอีฟแล้ว”
“ปิ่นๆ จะหาปิ่น” ไม่พูดเปล่าแต่ยังเริ่มดิ้น เลื่อนมือขึ้นปัดสายรัดหัวไหล่ทั้งสองข้างออก
“นั่งนิ่งๆ ก่อนนะเมมฟีส” คู่หูชั่วคราวของปภัชสาซึ่งทำหน้าที่ขับรถไปด้วยห้ามปราม
ตอนนี้ยังรู้สึกผิดไม่น้อยเพราะทันทีที่ปภัชสาก้าวเข้ามานั่งในรถ เธอก็เริ่มบ่นยืดยาวเมื่อต้องทิ้งให้ลูกสาวเดินช็อปปิ้งกับสามี ทั้งที่ตกลงกันเอาไว้แล้วว่าหลังจากนี้จะไปกินมื้อเย็นนอกบ้าน ทว่าสีหน้าที่ดูเศร้าสร้อยอีกทั้งขอบตายังแดงก่ำเหมือนคนร้องไห้อย่างหนักก็ทำให้เริ่มซักถามปภัชสา เรื่องของเธอกลายเป็นเรื่องขี้ผงหากเทียบกับสิ่งที่สาวเอเชียเล่าว่าพ่อบุญธรรมเพิ่งเสียชีวิต หากตนรู้มาก่อนจะไม่ลากเธอเข้ามาทำงานด้วยเลย
“ความจริงแล้วฉันไปส่งเมมฟีสคนเดียวก็ได้ ฉันไม่รู้ว่าคุณเพิ่งเจอเรื่องเศร้ามา ขอโทษจริงๆ นะ”
“อย่าพูดอย่างนั้นเลย ความจริงแล้วได้ทำงานก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็คงพอจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นได้ชั่วครู่”
“ปิ่น นั่งด้วย” เจ้าหนูเมมฟีสยังไม่ละความพยายาม สุดท้ายคนที่อดทนต่อสายตาเว้าวอนนั้นไม่ไหวก็ต้องขยับตัว เอื้อมมือไปปลดเซฟตี้เบลท์แล้วอุ้มเมมฟีสมานั่งคร่อมอยู่บนหน้าตักของตน
ลูกคนรวยสินะ อยากได้อะไรก็ต้องได้ดั่งใจ เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ลาสเวกัสซึ่งรับหน้าที่ขับรถคิดในใจ ทั้งยังยอมศิโรราบให้กับความใจเย็นของหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะหลัง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยห้ามเพราะเห็นว่าอีกไม่ถึงไมล์ก็จะเข้าเขตของคูแรนท์แมนชั่นแล้ว
“ใกล้จะถึงแล้วนะ ตรงรั้วสูงๆ ข้างหน้านี่แหละ” บอกแล้วขับต่อไปอีกนิดก็ถึงอาณาเขตของสิ่งปลูกสร้างอันใหญ่โตซึ่งล้อมรอบไว้ด้วยกำแพงทึบสูงจนไม่อาจมองเห็นบรรยากาศภายใน
ปภัชสาเอียงศีรษะแล้วมองออกไปข้างหน้า กระทั่งรั้วยังดูยิ่งใหญ่อลังการ หวังว่าความอบอุ่นในครอบครัวคุณลุงของเมมฟีสจะทำให้เด็กน้อยเติบโตขึ้นอย่างดีงาม เปี่ยมไปด้วยความรัก หญิงสาวคิดในใจแล้วต้องก้มลงมองคนที่รัดร่างของตนเอาไว้อย่างแนบแน่น
เมื่อรถยนต์จอดสนิทตามการโบกมือของพนักงานรักษาความปลอดภัยร่างยักษ์สองคนที่เข้ามาสาดไฟฉายส่องเข้ามาด้านในและรอบๆ ตัวรถ เมื่อเรียบร้อยแล้วประตูรั้วบานใหญ่ก็เปิดออก
“แหม... ดีนะที่ไม่ต้องแลกไอดีการ์ด” คนรับหน้าที่ขับรถอดประชดประชันไม่ได้
ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้นเพราะคูแรนท์แมนชั่นไม่ใช่บ้านของนักธุรกิจทั่วไป แต่เป็นตระกูลของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในแถบเวสต์อเมริกาจึงไม่ใช่ที่ที่ใครจะเข้าออกได้ตามอำเภอใจ
หากรถยนต์ของศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กลาสเวกัสสามารถผ่านเข้าไปด้านในได้โดยที่ไม่ต้องมีการแลกบัตรนั้นเป็นเพราะเจ้าของแมนชั่นได้โทร. มาแจ้งยี่ห้อและหมายเลขทะเบียนรถยนต์เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อรถยนต์เคลื่อนตัวเข้ามาด้านในปภัชสาก็ประคองใบหน้าของเด็กน้อยเอาไว้ อาจเป็นเพราะเมื่อครู่เธอเพิ่งพบกับความสูญเสียอันใหญ่หลวง การจากลาเจ้าหนูเมมฟีสในครั้งนี้จึงส่งผลกระทบกระเทือนจิตใจหญิงสาวได้มากกว่าทุกครั้ง
“จะถึงบ้านแล้ว ฉันคงคิดถึงเธอนะเมมฟีส” บอกแล้วก้มลงจูบหน้าผากอย่างแผ่วเบา
เมมฟีสยิ้มกริ่มแล้วเลื่อนมือขึ้นลูบแก้มนุ่มของเธอเช่นกัน “รักปิ่น”
คำพูดนั้นทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนถึงกับอมยิ้ม ด้วยความรักและเอ็นดูเด็กเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต่อให้ผู้ปกครองของเด็กคนนี้เอาแต่ใจสักแค่ไหน ความไร้เดียงสาของเด็กก็ลดอารมณ์ขุ่นมัวลงได้มาก
“ถ้าสมมุติว่าเมมฟีสต้องอยู่ที่ศูนย์ฯ ต่ออีกสักพักแล้วคุณต้องกลับซานฟรานซิสโกนะ ศูนย์ฯ คงแตกเพราะเสียงร้องของเมมฟีสแน่ๆ” บอกพร้อมกับจอดรถหน้าสิ่งปลูกสร้างซึ่งผิดจากที่คาดคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
ที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่ความหรูหราสไตล์ยุโรปอย่างเช่นอัครสถานของมหาเศรษฐีหลายต่อหลายคนที่ชื่นชอบเช่นนั้น แต่กลับเป็นสิ่งปลูกสร้างในสไตล์บ้านพักตากอากาศริมชายหาด ซึ่งชายหาดที่ว่าก็คงหนีไม่พ้นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ จากที่ควรตั้งอยู่ริมทะเลก็กลายเป็นตั้งอยู่กลางทะเลทราย สีเขียวของต้นไม้ใหญ่และต้นปาล์มหลายชนิดปลูกเรียงรายกันเป็นแนวตัดกับสีขาวของตัวแมนชั่นสูงสี่ชั้นได้เป็นอย่างดี
“คราวหลังถ้ามาเยี่ยมเมมฟีสคงต้องเอาชุดว่ายน้ำมาด้วย ได้นอนอาบแดดริมสระว่ายน้ำ จิบน้ำสับปะรดปั่นสักแก้วคงมีความสุขอย่าบอกใคร แต่ก่อนอื่นคงต้องไปผูกมิตรกับเจ้าของบ้านให้ได้เสียก่อน”
คำพูดนั้นทำให้ปภัชสาหัวเราะร่วนแล้วเปิดประตูอุ้มเมมฟีสลงมาจากรถโดยไม่ลืมที่จะหยิบเอกสารการประเมินความพร้อมติดมือมาด้วย
“เอ่อ... คือคงไม่เหมาะถ้าคุณจะไปพบคุณลุงของเมมฟีสในชุดนี้”
“โอ๊ะ! จริงด้วย ฉันลืมสำรวจตัวเองเสียสนิทเลย” ปภัชสาบอกแล้วก้มลงมองเสื้อกล้ามผ้ายืดสีขาวราคาไม่กี่ดอลลาร์ที่หยิบออกมาสวมใส่ก่อนจะจ่ายเงินเสียด้วยซ้ำ
“ถ้าไม่รังเกียจ หลังรถมีเสื้อของลูกสาวฉันอยู่นะ แกตัวเล็กกว่าคุณหน่อย แต่คิดว่าน่าจะใส่ได้” พูดแล้วเดินอ้อมไปเปิดกระโปรงท้ายรถขึ้น ก้มๆ เงยๆ หาเสื้อให้หญิงสาวสวมใส่แก้ขัดไปเสียก่อน
ปภัชสาจึงวางร่างของเมมฟีสลงแล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ รับเสื้อสูทสีครีมมาก่อนจะกางมันออกวัดขนาดจากสายตา “ใส่ได้รึเปล่าก็ไม่รู้”
จบคำพูดก็วางแฟ้มลงบนหลังคารถแล้วลองสวมเสื้อสูทในทันที เสื้อสูทของสาววัยสิบสี่ปีเมื่ออยู่บนตัวของสาววัยยี่สิบสี่ปีจึงกลายเป็นแฟชั่นใหม่ที่ดูไม่ได้ลงตัวนัก
จากเสื้อแขนยาวกลายเป็นเลยข้อศอกลงไปครึ่งแขน ติดกระดุมเม็ดหน้าไม่ได้และชายเสื้ออยู่ตรงช่วงเอว
ปภัชสาจึงตัดสินใจสอดชายเสื้อยืดเข้าในกางเกง “เป็นไงคะ น่าเกลียดไหม”
“ก็โอเค ใส่บูตกับหมวกกันน็อคเข้าไปก็กลายเป็นจ๊อกกี้สาวแล้ว”คู่หูชั่วคราวตอบแล้วยื่นมือออกไปตั้งใจจะจูงมือของเมมฟีสให้เดินเข้าไปด้านในด้วยกัน “ไปกันเร็ว เมมฟีส”
“ไม่! รอปิ่น” เมมฟีสตอบแล้วดึงมือของปภัชสามากอดไว้ทันที
ดุอย่างเดียวไม่พอ ยังมองตาขวางอีกด้วย ท่าทางดังกล่าวทำให้คนที่ออกปากชวนต้องหน้าแตก ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากเบ้ปากแล้วเดินตามหลังทั้งสองเข้าไปในตัวแมนชั่น
ปภัชสาออกแรงกระตุกแขนเบาๆ เรียกความสนใจให้เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองตนในระหว่างที่ก้าวเข้าไปด้านใน “เมมฟีสจะเป็นเด็กน่ารักกว่านี้ ถ้าพูดเพราะๆ อย่าทำตัวหงุดหงิดใส่คนอื่นนะจ๊ะ”
ใช่จะไม่รู้ว่าเด็กอายุเพียงเท่านี้ไม่อาจเข้าใจในคำบอกกล่าวของเธอได้ ความจริงแล้วอยากมีเวลาอยู่กับเด็กน้อยให้มากกว่านี้ แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้แล้วเพราะตอนนี้เธอกำลังพาเจ้าตัวมาส่งให้กับผู้ปกครองคนใหม่
“เมมฟีส...”
เสียงเรียกอันคุ้นหูที่ดังขึ้นนั้นทำให้เด็กน้อยหันไปมองยังต้นตอของเสียงแล้วรีบวิ่งถลาเข้าสู่อ้อมกอดของอีฟในทันที “อีฟ... คิดถึงอีฟจัง”
“โอ... น่ารักที่สุด หิวไหมคะ กินอะไรมารึยัง” อีฟถามด้วยความเอื้ออาทร แต่ก็ต้องรีบคลายอ้อมกอดแล้วลุกขึ้นยืนเพราะรู้ดีว่าเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนยังคงต้องเข้าพบเจ้าของแมนชั่นซึ่งรออยู่ในห้องรับแขก “เชิญคุณทั้งสองด้านนี้เลยค่ะ ท่านรออยู่ในห้องรับแขกแล้ว”
ท่าทางที่เจ้าหนูเมมฟีสจับมือของปภัชสาและอีฟเอาไว้แล้วเดินเข้าไปในห้องรับแขกพร้อมๆ กันนั้นน่าเอ็นดูและทำให้อีฟต้องนึกขอบคุณหญิงสาวที่ใจเย็นและดูแลเมมฟีสเป็นอย่างดี
รอยยิ้มหวาน กิริยาท่าทางอันอ่อนโยนที่หญิงสาวกำลังทอดสายตามองหลานชายตัวน้อยนั้น ทำให้เจ้าของแมนชั่นซึ่งนั่งไขว่ห้างรออยู่กลางโซฟาตัวยาวนึกหงุดหงิดใจ เพราะทุกครั้งที่พบหน้ากัน ตนไม่เคยได้รับรอยยิ้มและสายตาเช่นนี้เลย
โลกมันกลมหรือเป็นเพราะเคราะห์หามยามซวยที่ปภัชสาต้องโคจรมาพบหน้าเขาอีกเป็นครั้งที่สองของวัน!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา