ลมหวาน ป่าหนาว

9.2

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.46 น.

  42 ตอน
  8 วิจารณ์
  65.20K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 20.31 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

27) ความจริง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
  หลังจากที่ผมกลับมาจากทานข้าวเย็นที่บ้านป่าสักแล้วก็ตรงกลับหอทันทีจะบอกว่าไม่ชินกับบรรยากาศหรูๆแบบคุณหนูป่าสักก็คงจะใช่ ผมรู้ตัวเองดีว่าควรจะอยู่ตรงไหน ถึงพ่อแม่ของป่าสักจะต้อนรับเป็นอย่างดีแต่ก็นั้นละครับผมเกิดมาจากครอบครัวที่แตกแยกยากจนปากกัดตีนถีบหาเช้ากินค่ำอาศัยอยู่กับแม่เพียงสองคน ยิ่งผมไปเห็นครอบครัวของป่าสักที่สมบูรณ์แบบพ่อแม่ไม่ได้บังคับแต่อยู่บนพื้นฐานของประชาธิปไตยเลี้ยงแบบตะวันตกยิ่งทำให้ผมคิดถึงแม่ ผมไม่ควรจะทิ้งแม่ไว้แล้วมาสบายเพียงคนเดียวแบบนี้ อยู่ๆน้ำตาเจ้ากรรมมันก็ไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ
“ทุ่ง????เป็นไร  ทำไมร้องไห้”
“ปะ..เปล่า  ไม่ได้เป็นไร  นี้มึงอาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ”
“อืม....เสร็จแล้ว  สรุปแล้วมึงเป็นไร  บอกกูได้ไหม??ใครทำอะไรมึง”
“เปล่า..แค่คิดอะไรเล่นๆ พอดีบ่อน้ำตามันตื้น”
“ไม่ใช่ที่บ้านกูทำอะไรให้มึงไม่พอใจใช่ไหม?”
“เปล่า อย่าพูดแบบนั้นสิ ทุกคนที่บ้านมึงดีกับกูจะตาย”
“ถ้างั้นมึงเป็นอะไร  บอกกูได้ไหม?”
“คือกูแค่คิดถึงแม่  ไม่รู้วะอยู่ๆน้ำตามันก็ไหล”
ป่าสักเดินเข้ามาโอบกอดทุ่งธรพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ
“มึงอย่าคิดมาก  ตรงนี้มึงยังมีกูอยู่ทั้งคน”
“ไม่รู้วะ  กูอ่อนแอได้ไงก็ไม่รู้”
“ร้องออกมาเถอะทุ่ง  ถ้าร้องไห้แล้วมันทำให้มึงสบายใจขึ้น ไม่ต้องกลั้นไว้หรอกน้ำตา”
พอสิ้นเสียงพอของป่าสักเท่านั้นเสียงสะอื้นอันดังลั่นของทุ่งธรก็เปล่งออกมาอย่างสุดเสียง มือทั้งสองข้างของทุ่งธรกอดรัดลำตัวของป่าสักไว้อย่างแน่นเหมือนกลัวว่าเขาจะเดินจากไปแล้วไม่หวนกลับคืนมาอีก แรงสะอื้นไห้ของทุ่งธรทำให้ป่าสักนั้นต้องกอดลำตัวของอีกฝ่ายพร้อมกับใช้มืออีกข้างลูบผมของทุ่งธรเบาๆอย่างปลอบประโลมเพื่อให้กำลังใจอีกฝ่าย
“มึงไม่ต้องห่วงนะ  ไม่ว่าวันนี้หรือว่าวันไหนๆกูก็จะอยู่ข้างๆมึงเสมอ”
“ขอบใจมากนะป่าสัก  ที่ไม่เคยทิ้งกูไปไหนเลย”
“จะให้กูทิ้งมึงไปไหนละ  กูจะอยู่กับมึงแบบนี้ตลอดไป”
“ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างที่มึงทำเพื่อกูเสมอมา”
“อืม ไม่เป็นไร หยุดร้องไห้ได้แล้ว  มึงไปอาบน้ำเถอะจะได้รีบเข้านอน พรุ่งนี้เรากลับบ้านมึงไปหาแม่กัน”
“ไม่อาบตอนนี้ได้ไหม?”
ทุ่งธรพูดพร้อมกับซุกใบหน้าเรียวรูปไข่เข้ากับลำตัวของอีกฝ่ายอย่างกับลูกแมวตัวน้อยๆ
“????”
“ทำไม  ถึงยังไม่อาบตอนนี้?”
“เอ่อ ...คือ...ว่ากูอยากกอดมึงอยู่แบบนี้นานๆจะได้ไม๊”
“ได้สิ..จะกอดทั้งคืนก็ได้  ...แต่ตอนนี้กูเหม็นวะ”
“ไอ้ป่าสักบ้า   คนเค้ากำลังซึ้งนะเว้ยมึง”
“ฮ่าฮ่ากูล้อเล่น  มึงจะตัวเหม็นเหมือนซากศพกูก็ทนได้”
“อะไรน่ะ?? ซากศพนี้??กูเหม็นขนาดนั้นเหรอว่ะ?”
 “555555555”
“โอ้ยยยยไอ้บ้าไอ้ป่าสักปากปีจอมึงมันไว้ใจไม่เคยได้เลยยยยยย”
     ค่ำคืนนั้นกว่าที่ผมจะข่มตาให้หลับลงได้ก็เล่นเอาเกือบจะตีหนึ่งเห็นจะได้พอตื่นเช้ามาก็เกิดอาการไม่สดชื่นในระหว่างทางที่ป่าสักขับรถพาผมกลับมาบ้านนั้นผมได้แต่ขอตัวนอนเพราะว่าเมื่อคืนนี้นอนไม่หลับเลยจริงๆ
“ทุ่งๆ  ตื่นได้แล้วมึง  ถึงบ้านแล้ว”
“ฮือถึงบ้านแล้วเหรอ  นี้มึงขับรถหรือว่าบินวะทำไมเร็วจังเลย??”
“เร็วอะไรกันวะ  กูก็ขับธรรมดานี้แหละ มึงเองต่างหากละที่เอาแต่นอนตลอดทาง”
“เอ่อ กูขอโทษด้วย  ที่เอาแต่หลับ  คราวหลังจะไม่หลับอีกนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก  อย่าคิดมาก  กูก็แค่พูดไปเฉยๆแหล่ะ  ปะถึงบ้านมึงแล้วแม่รออยู่โน้น”
จากนั้นผมกับป่าสักก็จอดรถไว้ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้านแล้วก็รีบเดินไปหาแม่ที่นั่งรออยู่ใต้ถุนบ้านทันที
“แม่หวัดดีครับ  คิดถึงจังเลย”
“ไหว้พระเถอะจ๊ะ  แล้วนี้กินข้าวกินปลากันมาหรือยังละ”
“เรียบร้อยแล้วครับแม่”
“มาๆกินน้ำกินท่ากันก่อนเถอะป่าสัก ขับรถขับรามาเหนื่อยๆ”
“ขอบคุณมากครับแม่”
“แล้วนี้จะพากันมาอยู่สักกี่วันละป่าสัก”
“ก็แล้วแต่ทุ่งเขานะครับแม่  แต่ทางมหาลัยปิดให้แค่อาทิตย์เดียวครับ”
“อืม ก็ดีนะอย่างน้อยๆก็อยู่กับแม่สักสามสี่วันก็ยังดี”
“เอ่อแม่ แล้วนี้จันไดมันอยู่บ้านไม๊จ๊ะ??”
ทุ่งธรหันไปถามมารดาทันทีหลังจากที่เอาของไปเก็บไว้บนบ้านเรียบร้อยแล้ว
“แม่เห็นมันไปไร่มันกับลุงสิงห์แต่เช้าแล้วละทุ่ง  ว่าแต่ถามหานางจันมีอะไรเหรอ?”
“อ่อเปล่าหรอกแม่  พอดีทุ่งมีของฝากมาให้จันไดมันนิดหน่อยนะ”
“อืม  ก็รอเอาไว้ให้มันตอนเย็นๆก็แล้วกันนะ  เอ่อนี้ตอนเที่ยงแม่ว่าจะไปเชิงเขาแถวบ้านไปหาหน่อไม้มาไว้ทำกับข้าวตอนเย็นสักหน่อยทุ่งกับป่าสักจะไปกับแม่ไหม?”
“จริงเหรอแม่ พอดีเลยทุ่งอยากกินต้มหน่อไม้กับน้ำพริกกะปิอยู่พอดี”
“แล้วป่าสักละจ๊ะจะไปกับแม่ไหม?”
“ครับ  ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับแม่ ไปไหนไปกัน”
     ในระหว่างที่ทุกคนกำลังสนทนากันอย่างสนุกสนานอยู่นั้นจู่ๆก็มีรถยนต์คันใหญ่สีดำวิ่งเข้ามาจอดเทียบกับรถยนต์ของป่าสักทันที
“อ้าวนั้นรถใครละป่าสัก  ใช่เพื่อนๆเราไหม?”
แม่ของทุ่งธร หันไปถามป่าสักทันทีที่เห็นว่ารถยนต์คันใหญ่ที่มาใหม่วิ่งไปจอดข้างรถของป่าสักนั้นเอง
“เพื่อนผมไม่มีรถแบบนี้นะครับแม่  เอ่อหรือว่าจะเป็นรถที่บ้านของไอ้ตรี?”
“ไม่ใช่หรอกมั้งป่าสัก  อ้าวนั้นไงเขาลงรถมาแล้วใครอะ???”
พอสิ้นเสียงของทุ่งธรก็มีผู้ชายร่างสูงใหญ่สองคนลงมาจากรถยนต์คันหรูนั้นทันที
“ทุ่งกับป่าสักช่วยแม่ดูสิว่าใครกัน  แม่มองไม่ค่อยถนัดนัก”
“เอ้ยยยยย พี่หมอแสนชัย??????”
เสียงทุ่งธรและกังวานไพรอุทานออกมาพร้อมกันทันทีที่เห็นว่าผู้ที่ลงมาจากรถนั้นเป็นใคร
“ป่าสักมึง พี่หมอแสน  เขามาทำไมวะ  แล้วเขารู้จักบ้านกูได้ไง???”
“ไม่รู้เหมือนกันวะ??? แล้วพี่หมอแสนมากะใครวะทุ่ง”
“นั้นนะสิ มากะใครวะ  แล้วพี่หมอแสนเขาจะมาบ้านกูทำไม??”
ในระหว่างที่ทั้งสามคนกำลังงงและสับสนอยู่นั้นแสนชัยและชายวัยกลางคนก็เดินเข้ามายังใต้ถุนบ้านแล้ว
“คุณอุเทน???????”
เสียงของมารดาทุ่งธร  อุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“ภรทิพย์  เป็นทิพย์จริงๆด้วย”
เสียงชายวัยกลางคนอุทานออกมาด้วยความยินดีและตื่นเต้นที่ได้เจอกับภรทิพย์แม่ของทุ่งธร
“คุณอุเทน  คุณมาได้ยังไงค่ะ??”
“เอ่อ ทิพย์ก่อนที่ฉันจะตอบอะไรทิพย์  เดี๋ยวฉันขอพูดอะไรก่อนนะ เพราะดูท่าทางทุกคนจะยังงงๆกันอยู่”
“นั้นนะสิครับ นี้มันอะไรกันพี่หมอแสน  แล้วพี่หมอแสนมาบ้านทุ่งได้ยังไง?”
เสียงของทุ่งธรถามออกไปพร้อมกับมองหน้ามารดาและบุคคลที่มาใหม่สลับกันไปมา
“พอดีว่าพี่ช่วยขับรถมาให้คุณพ่อนะ  น้องทุ่งกับป่าสักก็กลับบ้านวันนี้เหรอ?”
“ครับ”
“เอาละทุกคนไหนๆก็อยู่กันพร้อมแล้วนะ  ฉันขอพูดอะไรหน่อยแล้วกัน”
เสียงของคุณอุเทนดังขึ้นมาหลังจากที่นั่งลงที่แคร่ใต้ถุนบ้านแล้ว
“คือที่ฉันมาวันนี้ก็มีธุระจะพูดคุยกับภรทิพย์สักหน่อย”
“คุณอุเทน...”
“ทิพย์  ฉันต้องขอโทษด้วยนะสำหรับเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา  พอดีว่าเจ้าแสนชัยเขาบอกว่าเจอคนที่มีแหวนประจำตระกูลของเรา ฉันเลยต้องมาหาทิพย์ถึงที่นี้”
“นี้คุณอุเทนรู้แล้วเหรอค่ะ??”
“ใช่ฉันรู้เรื่องแล้ว  เอาเป็นว่าฉันจะไม่พูดอะไรมากนะทิพย์”
จากนั้นคุณอุเทนก็หันหน้าไปมองทุ่งธรทันที และแสนชัยสลับกันไปมาอย่างช้าๆพร้อมทั้งล้วงเอาแหวนงาช้างหกเหลี่ยมที่เป็นแหวนประจำตระกูลพนมดงรักออกมายื่นให้ทุ่งธรดู
“ไอ้หนู  เองก็มีแหวนแบบนี้ใช่ไหม?”
ทุ่งธรมองแหวนในมือของคุณอุเทนทันที่ ก็ปรากฏว่าเป็นแหวนงาช้างหกเหลี่ยมเหมือนกับแหวนของตัวเองที่สวมไว้ที่คอติดตัวตลอดเวลา
“ครับ  ของผมก็มีแหวนแบบนี้อยู่หนึ่งวง”
“แล้วรู้ไหมว่าแหวนนี้คือแหวนประจำตระกูลของเรา”
“ผม   ไม่รู้ครับ”
พอได้ฟังคำตอบของทุ่งธรแล้วสีหน้าของคุณอุเทนก็ดูสลดลงทันทีพร้อมกับหน้าใบหน้าเศร้าๆหันไปทางภรทิพย์แม่ของทุ่งธร
“นี้ภรทิพย์  เธอไม่บอกอะไรลูกเลยเหรอถึงที่มาของแหวนวงนี้?”
“คือว่า  ทิพย์อยากจะให้ลูกเก็บไว้เป็นสิ่งมงคลกับตัวเท่านั้นค่ะคุณอุเทน”
“อืม แต่ก็เอาเถอะไหนๆฉันก็ไม่ได้เลี้ยงเขา  จะโทษเธอคนเดียวมันก็ไม่ใช่ เอาเป็นว่าฉันจะไม่อ้อมค้อมละนะ  คือที่มานี้ก็จะมาพูดกับเธออย่างเป็นจริงเป็นจัง”
“อะไรเหรอค่ะคุณอุเทน”
“ภรทิพย์ฉันรู้ว่าหลายสิบปีมานี้เธอลำบาก  เธอเป็นคนเก่งที่เลี้ยงลูกมา
กว่าจะโตได้ป่านนี้  ต่อจากนี้ไปฉันอยากจะขอแบ่งเบาภาระของเธอบ้าง”
“คุณอุเทน????ไม่นะค่ะ  เราสองคนแม่ลูกอยู่กันมาได้ดีและมีความสุข”
“ทิพย์  แต่ลูกของเราฉันจะรับผิดชอบเอง เขาจะต้องมีอนาคตที่ดี”
“แม่???นี้อะไรมันอะไรกัน  ทุ่งงงไปหมดแล้วนะ ลูกของเราหมายความว่าไง”
“ทุ่ง ฟังแม่ก่อนนะ แม่ขอโทษที่ไม่ได้บอกความจริงว่าพ่อของลูกเป็นใคร  คุณอุเทนคือ เออ  พ่อของลูกจ๊ะ”
“พ่อ?????”
พอได้ยินคำว่าพ่อออกจากปากแม่ ตัวผมชาไปทันทีผมเกิดมาก็ไม่เคยเจอหน้าพ่อสักครั้งแม้แต่ในสุจิบัตรแจ้งเกิดก็บอกว่าบิดาไม่ปรากฏนาม แต่แล้วจู่ๆมาก็มีพ่อมายืนอยู่ตรงหน้า นี้สวรรค์เล่นตลกอะไรกับผมกันแน่
“ทุ่งฟังแม่นะ  สาเหตุที่แม่ไม่บอกเรื่องพ่อกับลูกเพราะมันเป็นเรื่องที่แม่ไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ แม่ทำผิดต่อครอบครัวของพ่อ”
ภรทิพย์ค่อยๆลุกขึ้นไปกอดลูกชายไว้พร้อมกับน้ำตาที่มันล้นออกมาอย่างเสียใจ
“แม่  ขอโทษนะทุ่ง  แม่ผิดไปแล้วที่ไม่สามารถพูดเรื่องพ่อของลูกได้ มันเป็นความผิดพลาดของแม่เองที่ไปหลงรักคนมีครอบครัวแล้ว แต่ทุ่งก็เกิดมาจากความรักของแม่กับพ่อนะจ๊ะ”
“หมายความว่าไงแม่   นี้ทุ่งงงและสับสนไปหมดแล้ว”
“เอาละนะเดี๋ยวพ่อจะเล่าเอง  คือว่าตอนที่แม่ยังเป็นสาวอยู่นั้นพ่อเกิดหลงรักแม่ของทุ่งทั้งๆที่ตัวเองมีครอบครัวอยู่ก่อนแล้ว เลยโกหกไปว่าไม่มีครอบครัวเป็นโสด  กะว่าพอได้เสียกันแล้วถึงจะค่อยๆบอกแต่ความมาแตกเสียก่อนตอนแม่ของแสนชัยมาตามกลับบ้าน  ทิพย์เขาเลยยอมเลิกรากับพ่อ  ทุ่งลูกก็อย่าไปโทษแม่เขาเลยนะถ้าจะโทษก็ขอให้โทษพ่อคนเดียวเถอะ”
“แม่  ...  นี้มันเรื่องจริงเหรอ?”
ทุ่งธรร้องไห้พร้อมกับสวมกอดมารดาด้วยความสงสารที่รู้ความจริง
“จ๊ะทุ่ง  แม่ขอโทษนะที่แม่ไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่ลูกเข้าใจ”
ภรทิพย์ร่ำไห้ออกมาเพราะยากที่จะเก็บความรู้สึกเสียใจไว้ไม่ได้อีกต่อไป
“แม่  ไม่เป็นไรเลย  ทุ่งไม่เคยโกรธแม่เลย  ถึงเราจะไม่มีพ่อแต่เราก็อยู่กันมาได้  แม่เป็นคนดีสำหรับทุ่งเสมอครับ”
“ทุ่ง    แม่ขอโทษ”
สองแม่ลูกกอดกันอย่างเข้าใจทำให้คุณอุเทนผู้ซึ่งเป็นพ่อได้แต่นั่งน้ำตาซึมออกมา
“ภรทิพย์  ต่อจากนี้ไปให้ฉันช่วยเหลือเธอกับลูกเถอะนะ”
“คุณอุเทนขอบคุณนะค่ะ  แต่ให้เรื่องราวในอดีตมันผ่านไปเถอะค่ะเพื่อให้มันลบล้างความผิดของเราสองคน  ทิพย์กับลูกเราอยู่กันได้อย่าให้เราสองคนแม่ลูกต้องไปสร้างความเดือดร้อนกับคุณอีกเลย”
“ไม่นะทิพย์ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่ามีลูกอีกคน  เธออย่าใจร้ายกับฉันอีกเลยฉันยอมทำตามที่เธอขอมาตั้งนานแล้ว ต่อไปนี้ให้ฉันได้ทำหน้าที่พ่อของทุ่งกับเขาบ้างเถอะนะทิพย์”
“ไม่นะคะคุณอุเทน เราจะผิดคำพูดต่อคุณรสรินทร์ไม่ได้”
“เอ่อคุณน้าครับ  ผมขอพูดอะไรสักหน่อยนะครับ ไหนๆแล้วผมกับทุ่งก็เป็นพี่น้องกันต่อไปนี้ผมจะดูแลน้องเองนะครับ  ส่วนเรื่องของคุณแม่คุณน้าไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ  คุณแม่ท่านก็คงไม่ว่าอะไรแล้วเพราะเรื่องมันก็ผ่านมาเป็นสิบสิบปีแล้ว”
แสนชัยกล่าวออกมาหลังจากที่ดูท่าทางแล้วทุ่งธรกับแม่จะไม่ยอมรับการมาของพ่อตัวเองในครั้งนี้
“พี่หมอแสนครับ  ทุ่งว่า  ทุ่งกับแม่เราอยู่ได้  ทุ่งกับแม่เรารู้ว่าควรจะอยู่ตรงไหน  อย่าให้เราสองคนไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครเลยนะครับ”
“ทุ่ง พี่เขาเพิ่งเคยมาบ้านเรา ลูกกับป่าสักพาพี่เขาไปไหว้พระบนเขาสักหน่อยดีไหม  แม่ขอคุยกับพ่อก่อนนะ”
“ได้ครับแม่  งั้นเดี๋ยวทุ่งจะพาพี่หมอแสนไปไหว้พระแล้วกันนะครับ”
     หลังจากนั้นผม ป่าสัก และพี่หมอแสนก็มานั่งสงบจิตสงบใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเราที่วัดบนเขา อากาศเย็นๆบรรยากาศที่เงียบสงบช่วยให้ผมรู้สึกดีและตั้งสติได้ขึ้นมาบ้าง
“เอ่อ  พี่หมอแสนรู้เรื่องนี้นานแล้วเหรอครับ”
ผมตัดสินใจถามพี่หมอแสนออกไปหลังจากที่เราไหว้พระเสร็จแล้วมานั่งชมวิวที่จุดชมวิวของทางวัดป่าบนเขาสร้างไว้ให้กับญาติธรรมและประชาชนทั่วไปได้มานั่งชมวิวบนยอดเขา
“พี่เริ่มสงสัยตั้งแต่วันแรกที่พี่เห็นทุ่งแล้ว  พี่ยังแปลกใจอยู่เลยว่าทำไมเราหน้าตาถึงได้เหมือนกันจัง จนเมื่อพี่ถ่ายรูปแหวนของทุ่งไปให้พ่อดูถึงได้รู้ความจริงครับ”
“เอ่อนั้นสิเนาะ  จะว่าไปแล้วโลกมันก็กลมจริงๆเลย”
“มันกลมจนทำให้พี่กับทุ่งมาเจอกัน และเป็นพี่น้องกันอีกเสียด้วย”
“พี่หมอแสนรู้ว่าทุ่งเป็นน้องต่างแม่แบบนี้แล้ว  พี่หมอรู้สึกยังไงครับ”
“จะให้พี่รู้สึกยังไงละไอ้น้องรัก  พี่ก็ต้องดีใจเป็นธรรมดานะสิ มีน้องเพิ่มขึ้นอีกตั้งคน”
แสนชัยพูดเสร็จก็ยื่นมือมาลูบศีรษะทุ่งธรเบาๆด้วยความเอ็ดดูและรักใคร่
“เอ้ยป่าสัก ต่อไปนี้เราจะแกล้งน้องพี่ไม่ได้อีกแล้วนะ  แล้วอีกอย่างจะทำอะไรก็ต้องเกรงใจพี่ด้วยนะเว้ย”
“อ้าวพี่หมอแสนไงมาลงที่ผมละครับ”
“ฮ่าๆๆก็ไม่รู้ละ  น้องใคร  ใครก็รักใครก็ห่วงเป็นธรรมดานะเว้ย”
“เอ้ยยยผมยังไม่ได้ทำอะไรน้องพี่เลยนะครับ”
“หน่อยเราอย่าพูดเลย  แค่พี่มองตาก็รู้แล้วว่าเราสองคนนะคิดอะไรอยู่”
“โอ้ยยยพี่หมอแสนพูดไรอะ  นี้ในวัดในวานะพี่”
ทุ่งธรร้อนตัวรีบพูดแย้งขึ้นมาทันทีก่อนที่ทั้งสองหนุ่มจะพูดอะไรกันมากไปกว่านี้
“น้องทุ่ง  ไม่ว่าพ่อกับน้าทิพย์จะตกลงกันยังไง  พี่ก็ขอให้เราอย่าตัดความเป็นพี่น้องกันเลยนะ”
แสนชัยพูดออกมาเบาๆภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงบบนยอดเขาภายในวัด
“ได้สิครับพี่หมอแสน  เพราะยังไงเราก็รู้จักก่อนหน้าที่จะรู้ความจริงอยู่แล้ว ส่วนเรื่องพ่อกับแม่ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่แล้วกันพี่”
“สุดยอดมากน้องรัก เข้มแข็งสมแล้วที่มีเลือดของ พนมดงรัก”
จากนั้นทั้งสองก็โผล่เข้ากอดกันอย่างเข้าใจในความสัมพันธ์ของสายเลือด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา