ห้องสามเดอะซีรี่ย์

9.0

เขียนโดย มุมฉาก

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.

  26 ตอน
  0 วิจารณ์
  21.34K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) I have a dream

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     I have a dream

     รถพยาบาลฉุกเฉินของเทศบาลแห่งหนึ่ง วิ่งผ่านโค้งหักศอกตัวเอสเข้าสู่ถนนเส้นตรง ยางเรเดียลขนาด 205/70 ร้องโหยหวนฟังแล้วใจหาย มวลสารหนักสองตันท้ายปัดก่อนทรงตัวสำเร็จ พลขับอายุยี่สิบห้ากระทืบคันเร่งแทบพังคาเท้า เพื่อทำความเร็วมากที่สุดเท่าที่รถจะวิ่งได้ เขาเพิ่งเข้าทำงานที่นี่ได้เพียงสองอาทิตย์ โดยหวังว่าจะได้รับผู้ป่วยฉุกเฉินหรือเป็นลมบ้าหมูบ้าง แต่สิ่งที่ต้องเผชิญใหญ่โตกว่าหลายเท่าตัว และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ…ไม่รู้ว่าตนจะทำพังหรือไม่

     “ใจเย็นนะคะน้อง อีกนิดเดียวถึงแล้วค่ะ”

     เสียงเตือนสติดังมาจากเตียงฉุกเฉินประจำรถ เป็นของคุณหมอตัวเล็กผิวขาวสวมแว่นตาทรงเชย เธอกำลังช่วยเหลือผู้ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง อาการคนเจ็บเข้าขั้นตรีทูตอย่างเป็นทางการ หล่อนสื่อสารได้แค่เพียงกลอกตาไปมา หมอผู้ร่ำรวยน้ำใจมีใบหน้าเคร่งเครียด ความเป็นความตายของผู้ป่วยนับเป็นวินาที และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ…

     “หิวน้ำ”

     เสียงที่ค่อนข้างแผ่วเบาส่งมาจากฝั่งซ้ายตัวรถ ตรงนั้นเองเป็นเก้าอี้ยาวอเนกประสงค์แบบพับได้ มีผู้ป่วยอีกคนนอนซมอยู่บนเก้าอี้ คนบนรถรับรู้ได้ทันทีถึงความผิดปรกติ สาวน้อยคนนี้กำลังเกิดอาการช๊อค

     ภาวะช๊อคเกิดจากร่างกายขาดอ๊อกซิเจน คือสาเหตุสำคัญทำให้ผู้ป่วยหนักเสียชีวิต ระหว่างที่เปิดเส้นเลือดให้น้ำเกลืออยู่นั้น หมออาสาได้ปรายตามองเพื่อนร่วมทีม พนักงานอีเอ็มเอส (Emergency Medical Service) ร่างเล็กหน้าซีดปากสั่นมีอาการผะอืดผะอม พนักงานตัวเท่าหมีควายถือสายน้ำเกลือแบบไร้สติ ใบหน้าเขาผู้นี้ใกล้เคียงกับคำว่าร้องให้

     เธอไม่นึกโกรธพวกเขาเลย…ไม่ซักนิดเดียว

     แพทย์หญิงใช้เท้าขวายันขอบเก้าอี้ตัวนั้น ป้องกันผู้ป่วยพลัดหล่นเมื่อรถมีความสะเทือน สองมือวุ่นวายอยู่กับผู้ป่วยที่อยู่บนเตียง ซึ่งมีอาการหายใจติดขัดก่อนสลบแน่นิ่งไป ผู้ช่วยเหลือหันไปมองด้านหน้ารถ ใต้กระจกบานเลื่อนติดตั้งตู้เก็บอุปกรณ์การแพทย์ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อให้อ๊อกซิเจนทันที แต่ถ้าช่วยผู้ป่วยคนนี้แล้วผู้ป่วยคนโน้นล่ะ

     ความหวังที่พอมีรีบหรี่เต็มทน ระยะทางสั้นลงแต่เวลาก็สั้นตาม บางทีเธออาจต้องเลือก…เลือกว่าจะช่วยผู้ป่วยคนไหน และเธอจะต้องตัดสินใจในวินาทีนี้ ว่าจะยอมเสียหนึ่งเพื่อแลกหนึ่ง หรือเสียสองคนไปพร้อมกัน

                           ---------------------------------------------

     เช้าวันอังคารช่วงปลายปีอากาศสดชื่น แสงแดดอ่อน ๆส่องทะลุก้อนเมฆรูปเอลวิส  จักรยานสีฟ้าสดอายุประมาณหนึ่งขวบปี นอนหงายเก๋งอ้าซ่าบนลานปูนของบ้านไม้สองชั้น ระบบขับเคลื่อนกองระเกะระกะอยู่ไม่ห่าง ประกอบไปด้วยชุดโซ่ ตีนผี สับจาน จานหน้า เฟืองหลัง รวมทั้งบันไดถีบทั้งของเก่าและของใหม่ ช่างซ่อมเบอร์หนึ่งกำลังแก้ไขอย่างขมักขเม้น เธอรวบผมดำยาวตรงไว้ด้วยหนังสะติ๊กเส้นเล็ก ใช้เครื่องมือช่างประกอบชิ้นส่วนด้วยความตั้งใจ

     “รถใครเนี่ยพังตั้งแต่เช้า ผมทำให้เองดีกว่าอี๊”

     เด็กนักเรียนสวมชุดพละเดินมาเห็นพอดี จึงอยากช่วยประกอบชิ้นส่วนที่เหลือให้ เขาโดนดุเสียงแข็งจากผู้เป็นน้าสาว

     “ไม่ต้อง ! เดี๋ยวชุดเลอะหมด รถจะมารับแล้วไม่ใช่เหรอ”

     “ไม่เลอะหรอกน่า…ผมมันพวกบ้าพลังน่ะอี๊ แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”

     โดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรมอะไรอีก ช่างซ่อมเบอร์สองแย่งบันไดถีบใหม่เอี่ยมมาครอบครอง อี๊บ๊วยผู้โดนแย่งหน้าที่จึงต้องถอยฉาก เธอหยิบถุงใบเล็กที่เตรียมไว้ตั้งแต่เช้า พร้อมอธิบายความเป็นมาของอาการเสีย

     “รถบ้านเฮียโง้วซื้อไปปีที่แล้ว โซ่หลุดบ่อยอี๊เพิ่งซ่อมให้อาทิตย์ก่อน ใส่แค่กระโหลกกับบันไดถีบพอนะ แล้วนี่…” เจ้าตัวชูของในมือ “อี๊เตรียมของว่างไว้ให้ แบ่งเพื่อน ๆ ด้วยล่ะ”

     “ผมไปกับอำนาจสองคนเอง จะกินยังไงหมด” คนพูดท้อแท้เมื่อเห็นปริมาณอาหาร

     “กิน ๆ ไปเถอะน่า ตอนอี๊อายุเท่าเรากินเยอะกว่านี้อีก”

     น้าสาวใจดีช่วยประกอบชิ้นส่วนต่อ รถบ้านเฮียโง้วจึงกลับมาหล่อได้อีกครั้ง ผมโดนอี๊บ้วยไล่ไปล้างมือทำความสะอาด จึงเดินเข้าหลังร้านสวนทางอาม่าพอดี สตรีสุงวัยผมสีดอกเลาจิกตามองทันควัน แล้วส่งเสียงล้งเล้งตามหลังหลานชาย

     “8 โมงเช้าแล้วนะอาตี๋ ลื้อยังเตรียมตัวไม่เสร็จอีกเหรอ”

     “เสร็จแล้วค่ะซิ่ม บ๊วยแค่ไล่ให้ไปล้างมือ” น้าสาวช่วยแก้ต่าง

     “พิรี้พิไรอะไรนักหนา ลื้อดูสิ…รถมารอหน้าบ้านแล้ว !”

     อาม่าชี้มือไปยังถนนใหญ่หน้าร้าน ปรากฎรถกระบะสีแดงหลังคาผ้าใบสุง ภายในหลังคามีนักเรียนชายหญิงเต็มคันรถ ผมรีบวิ่งกลับมาด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อทะลุทะลวงคำบ่นอาม่าภายใน 2 วินาที ก่อนวิ่งย้อนกลับเพื่อหยิบถุงอาหารที่ลืมไว้ จึงโดนเจ้าบ้านดุคำรบเท่าไหร่จำไม่ได้แฮะ ครั้นรถกระบะเคลื่อนตัวจึงได้ถอนใจ

     “มัวทำอะไรอยู่เนี่ย เพื่อนรอกันทั้งโรงเรียนแล้ว ช้าเพราะนายคนเดียวเลย”

     เสียงดุคราวนี้ออกโทนหวาน ๆ ใส ๆ บ้าง จากสาวน้อยดวงตากลมโตไว้ผมม้า ผมปรายตามองเจ้าตัวขณะตอบกลับ

     “จริงเหรอ พอดีอับดุลกระซิบบอกเราว่า รถจอดรอนกตั้ง 10 นาทีนี่นา”

     “อุ่ย… รู้ได้ไงเนี่ย ว้าแย่จัง” ชิดชนกทำท่าสะดุ้งแล้วแลบลิ้นให้

     “จะไม่รู้ได้ไงล่ะยายนก เรานี่แหละไลน์มาบอก นั่งรอจนนมหมดขวด แม่คุณก็ยังแต่งตัวไม่เสร็จเสียที”

     ทรงเดชนั่นเองเป็นผู้เฉลยปริศนา เขานั่งถัดจากผมไปอีกหนึ่งคน พร้อมข้าวของเต็มสองมือที่โดนแม่ยัดเยียด

     "ก็คนมันน่ารักนี่นา ต้องเสียเวลาโน่นนั่นนี่นานนิดนึง พวกนายไม่เข้าใจหรอก”

     คนมาสายแก้ตัวน้ำขุ่นยิ่งกว่าก๋วยเตี๋ยวเรือ พร้อมใช้มือขวาป้องผมม้าเมื่อยามต้องลม รถกระบะคันนี้ถูกจ้างวานเป็นพิเศษ เพื่อรับนักเรียนในเมืองไปส่งยังสถานที่นัดหมาย ชิดชนกนั่งฝั่งขวาติดนักเรียนหญิงทั้งหมด ฝั่งซ้ายเป็นสมาชิกแก๊งค์สามหื่นและนักเรียนชายที่เหลือ ผมชำเลืองมองเพื่อนบ้านด้วยความประหลาดใจ

      “ไม่ไปพร้อมน้าสาเลยล่ะ” คำถามข้อนี้เรียกความสนใจจากทุกคน

      “ออกจากบ้านหกโมงเนี่ยนะ เอาปืนมายิงกันเลยดีกว่า” อำนาจส่ายหัวพร้อมหาวฟอด ๆ

      “จะขี้เกียจอะไรปานนั้น” ทรงเดชแขวะเข้าให้ เขาเป็นคนตื่นเช้าเพราะต้องออกกำลังกาย

      “ก็มันน่าเบื่อนี่นา” คนขี้เกียจกล่าวเนือย ๆ “วันนี้คนทั่วโลกกำลังมีความสุข หยุดงาน จัดปาร์ตี้ ให้ของขวัญ กินช๊อกโกแลต แล้วนี่พวกเรากำลังทำอะไร ทำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร ไร้สาระ เสียเวลาโดยใช่เหตุ เซ็งห่าน…”

      อำนาจเริ่มต้นการเทศนาธรรมชนิดยาวเหยียด เพื่อนห้องอื่นพากันแปลกใจจนคิ้วขมวด เพื่อนร่วมห้องรีบขอโทษขอโพยแทนเจ้าตัว ด้วยว่าชาชินกับนิสัยปากเสียของหมอนี่ ห้านาทีหลังจากนั้น…คนปากเสียหมดพลังงานจึงนั่งหลับนก

      ทำไมเพื่อนผมจึงพร่ำบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ทั้งที่วันนี้ได้หยุดเรียนทั้งวันนี่นา สาเหตุเพราะแบบนี้ครับ วันอังคารที่ 25 ธันวาคม ตรงกับเทศกาลคริสมาสต์พอดิบพอดี นักเรียนมัธยม 4 ทุกคนจะต้องไปทำงานจิตอาสา เพื่อได้รับประสบการณ์ตรงจากการทำงานของจริง เป็นแนวคิดจากผอ.ยอดรักผู้มีเคราแพะ ซึ่งได้ช่วยประสานงานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้

      มองภาพรวมดูเข้าทีและมีประโยชน์ ผมเคยบอกแล้วว่าผอ.มีหัวทันสมัยไม่ยึดติด แล้วทำไมต้องเป็นนักเรียนมัธยม 4 ด้วย เจ้าของความคิดให้เหตุผลประกอบว่า เพราะเป็นระดับชั้นที่ต้องเติบโตขึ้นทุกวัน เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อไม่รู้จะไปซ้ายดีหรือขวาดี พวกเรายังต้องเรียนหนังสืออีก 2 ปีเต็ม จึงมีเวลาอบรมสั่งสอนได้อย่างเต็มที่ ถ้าเป็นระดับชั้นสุงกว่าจะมีเวลาแนะนำน้อยกว่า ถ้าเป็นระดับชั้นต่ำกว่าก็ยังเด็กเกินไป คำแนะนำคงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาแน่ สาเหตุนี้เองเด็กมัธยม 4 จึงได้หยุดเรียน

      รถกระบะสีแดงแล่นผ่านอำเภอบ้านนาพอดี พวกเราจ้องมองตึกน้อยตึกใหญ่เป็นการฆ่าเวลา ร้านกุยช่ายจำนวนมากตั้งติดกันเป็นแพ แรกสุดเลยมีแค่เพียงร้านเจ๊หงอร้านเดียว ต่อมาจึงเริ่มมีร้านเจ๊หมวย เจ๊ตา เจ๊คิ้ม เจ๊แตน เจ๊อึ้งย้ง เจ๊ล้งเล้ง เจ๊จีจ้า เจ๊ซาร่า เจ๊มาลาตี รวมทั้งเจ๊เค็มกับเจ๊เก่งหนักนม แล้วความคิดพิเรนก็ดันแล่นเข้ามาในหัว จึงอดไม่ได้ที่จะแยกเขี้ยวโชว์ฟันขาว

      “มองหน้าเราแล้วหัวเราะ…หมายความว่ายังไง” ชิดชนกน้ำเสียงเขียวปั๊ด

      “เปล่า ไม่มีอะไร” ผมรีบโบกไม้โบกมือ “เรากำลังคิดอยู่ว่า ถ้านกเปิดร้านกุ่ยช่าย จะตั้งชื่อร้านว่าเจ๊อะไรดีนะ”

      “ทำไม ! ถ้าชื่อเจ๊นกจะไม่ซื้อว่างั้น” คนพูดจ้องหน้าเหมือนอยากมีเรื่อง

      “แหม่…ถ้านกเป็นคนทำนะ หมอนี่กินหมดทุกอย่างแหละ จริงไหมพรรคพวก เจี๊ยกกก…!!”

     ทรงเดชดันปากเสียพูดสอดไม่ดูกาลเทศะ ทำเอาผมถึงกับหน้าชาทำตัวไม่ถูก จึงแก้ไขด้วยหมัดฮุคขวาเข้าที่ต่อมหมวกไต เพื่อนรักนักบาสสะดุ้งโหยงแหกปากลั่น ก่อนล้มใส่อำนาจผู้กำลังฝันหวานถึงดรัมเมเยอร์สาว

     อำนาจตกใจสะดุ้งตื่นพร้อมขยับตัว เขาลื่นล้มหัวทิ่มหัวตำบนพื้นรถเป็นคนแรก ทรงเดชเสียหลักล้มตามเพื่อนรักไปทันควัน หมอยังได้ดึงคนอื่นล้มตามราวกับทฤษฎีโดมิโน ภายในรถเกิดความชุลมุนวุ่นวายขายปลาช่อน กว่าจะฉุดดึงทุกคนขึ้นมานั่งที่เดิมได้ รถก็วิ่งอยู่บนถนนเส้นรองขนาด 2 เลนแล้ว จุดหมายปลายทางห่างแค่เพียงเอื้อมมือ

     เมื่อทุกอย่างกลับสู่ปรกติอย่างที่ควร จึงแอบชำเลืองมองสาวน้อยนั่งฝั่งตรงข้าม ได้สบตากันชิดชนกค้อนขวับเข้าให้ โดนยายคนนี้งอนใส่ผมสบายใจได้เสียที อำนาจเริ่มชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้บ้าง โดยมีคู่หูทรงเดชรับส่งเข้าอย่างจังหวะ

     “เฮ้ย…ถามหน่อย ทำรายงานเสร็จหรือยัง เอามาให้ลอกได้ป่ะ”

     ทรงเดชได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอีกครั้ง มาเป็นเรื่องใกล้ตัวทำทุกคนสะดุ้งเฮือก รายงานที่พวกเรานั่งทำหัวฟูร่วม 2 เดือน แต่โดนอาจารย์สมพิศตีกลับให้แก้ไขทุกครั้ง คราวนี้เองที่อำนาจได้เชิดหน้าชูคอ

     “เสร็จแล้ว ส่งแล้ว ผ่านแล้ว” นายสี่ตาขยับแว่นพลางยิ้มมุมปาก

     “โกหก ! อาจารย์สมพิศยังไม่หายอีสุกอีใสเลย” ชิดชนกสวนควับเข้าให้

     “เราเอาไปส่งที่บ้านเฟ้ย เมื่อวานนี้เอง” อำนาจเหลือกตามองโจทย์เก่า

     นักเรียนห้องสามจิกกัดกันเองด้วยความเมามัน นักเรียนห้องอื่นวงแตกพากันเงียบฉี่ นี่หรือคือนักเรียนดีเด่นจากห้องคิง ติงต๊อง ไร้สาระ ปัญญาอ่อน ไม่มีความน่าเชื่อ โวยวายเสียงดังไม่มีเกรงใจ หาเรื่องวุ่นวายตลอดเวลา ทั้งยังสามัคคีกลมเกลียวเป็นที่สุด (ฟัดกันเองเนี่ยนะ) “ยามศึกเรารบ ยามสงบเราตีกันเอง” คือคำนิยามที่เหมาะสมกับห้องนี้ที่สุดแล้ว

     ตัวผมซึ่งเป็นผู้นำจากการแต่งตั้งนั้น ควรขยับตัวบ้างเพื่อรักษาภาพลักษณ์ไว้ แต่นายหัวหน้าห้องคนนี้ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะกำลังจิตตกเมื่อคิดถึงงานที่ค้างคาอยู่ เพื่อน ๆ น่าจะจำกันได้สินะ รายงานเรื่องอนาคตของตัวเอง ความยาว 4 หน้ากระดาษพร้อมเหตุผลประกอบที่ฟังขึ้น นี่คืองานสำคัญที่ถูกสั่งตั้งแต่ต้นเทอม ทุกคนจะต้องส่งรายงานก่อนสิ้นสุดปี

     การทำรายงานเป็นอะไรที่ไม่ง่ายและไม่ยาก ไม่ยากเพราะไม่มีสูตรหรือสมการวุ่นวายใจ แต่ที่ไม่ง่ายเพราะไม่รู้จะเขียนอะไรดี พวกเราเพิ่งเติบโตเป็นวัยรุ่นได้ไม่นาน ไม่มีใครวาดฝันถึงอนาคตข้างหน้าได้ แต่เพราะรายงานมีคะแนนถึง 20 คะแนน สามารถกำหนดเกรดเฉลี่ยในเทอมนี้ได้เลย รวมทั้งเชื่อมโยงกับโครงการวันคริสมาสต์ ที่ผอ.ยอดรักทำขึ้นมาเพื่อช่วยชี้นำพวกเรา น้ำพักน้ำแรงของผอ.จะไม่สูญเปล่า ผมจะเขียนรายงานชิ้นนี้ให้ดีที่สุด

     “เธอน่าจะเขียนรายงานไม่ยากนะ เป็นนักบาสอาชีพอยู่แล้วนี่”

     หลังสิ้นสุดการปะทะคารมกับอำนาจ ชิดชนกได้หันมาคุยกับทรงเดชบ้าง ความคิดของเธอตรงกับใจผมเลย

     “ไม่แน่เหมือนกัน” ทรงเดชออกอาการลังเล “ประเทศไทยมีคนเล่นบาสน้อย การแข่งขันระดับอาชีพได้รับความนิยมในวงแคบ แถมมีระยะเวลาเป็นนักกีฬาสั้นจุ๊ดจู๋ อายุ 25 ปีเขาเรียกปู่กันทั้งสนามแล้ว”

     “อ้าว…!! เราก็นึกว่าเธอชอบเล่นบาส” ชิดชนกแปลกใจตาโต

     “ก็ใช่…เราชอบเล่นบาส และตั้งเป้าหมายชนะเลิศระดับจังหวัด แต่เรามองทางเลือกอื่นเผื่อไว้ด้วย นกก็รู้ว่าเราเรียนหนังสือไม่เก่ง ทำมาหากินโดยใช้สมองไม่ได้หรอก แต่ถ้าเรื่องกีฬาเราไม่เคยแพ้ใคร”

     วิสัยทัศน์ของทรงเดชในวันนี้ ทำเอาผมกับอำนาจนั่งตะลึงอ้าปากค้าง หมอนี่พูดจาเป็นการเป็นงานราวกับผู้ใหญ่ รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง ทั้งยังวางแผนอนาคตไว้อย่างดี นี่มันทรงเดชตัวปลอมหรือเปล่านะ

     “แล้วเธอจะทำยังไงต่อ” คู่สนทนายิงคำถามด้วยแคลงใจ

     “บางที…เราอาจเล่นฟุตบอล” ทรงเดชเผยความในใจ “ถ้าเราได้ร่วมทีมในระดับไทยลีกนะนก เฉพาะเงินเดือนก็เจ็ดแปดหมื่นเข้าไปแล้ว ไหนจะเบี้ยเลี้ยง เงินอัดฉีด สปอนเซอร์ส่วนตัวอีก รวยเละสิครับงานนี้”

     ผมและอำนาจนั่งตะลึงอ้าปากค้างยิ่งกว่าเก่า ทรงเดชต้องโดนผีเข้าและเป็นผีกองกอยแน่ หมอนี่คิดได้ระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ลอกการบ้านคนอื่นมาหรือเปล่า สองหนุ่มสองมุมตกอยู่ในภวังค์แห่งความมืนตึ๊บ

     “ฟุตบอลเหรอ อืมมม…เธอต้องทำได้แน่” ชิดชนกยิ้มหวานให้กำลังใจ ก่อนมองด้วยหางตาไปยังอีกคน “ดีกว่าใครบางคนเยอะเลย ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต วางอำนาจบังคับขู่เข็ญ ไอ้โหด”

     “ว่าใครยายหูกาง ตัวเองทำรายงานเสร็จแล้วสินะ เป็นเด็กกระโปโลเหมือนกันแหละ”

     อำนาจร้อนตัวนึกว่าตนโดนแขวะ จึงว๊ากใส่คู่อริผู้จงใจประชดไปที่อีกคน นักเรียนห้องสามเริ่มตบตีกันเองคำรบสาม เพื่อนห้องอื่นน่าจะชาชินกันหมดแล้ว จึงทำตัวปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อันที่จริงมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแหละ

     พูดตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎ ทรงเดชจะเป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จได้ เขามีร่างกายแข็งแกร่งประหนึ่งทีมชาติแคเมอรูน สไตล์การเล่นเน้นใช้แต่กำลังคล้ายคลึงทีมชาติอังกฤษ หน้าตาดีผิวพรรณดีราวกับทีมชาติฝรั่งเศส และมีลูกตุกติกระดับโลกใกล้เคียงทีมชาติอิตาลี จึงนับได้ว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน แค่ตอนกระโดดแย่งบอลอย่ากางแขนมากเป็นพอ ไม่ได้เป็นห่วงเจ้าชายหมีน้อยเพื่อนผมหรอก กลัวแต่ว่าคู่แข่งจะหัวร้างข้างแตกจนแข่งไม่จบเสียก่อน

      รถกระบะเลี้ยวเข้าไปในสถานที่ราชการแห่งหนึ่ง แล้วดับเครื่องหน้าอาคารอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ มีผู้คนมากมายเดินไปเดินมาไม่รู้เพื่ออะไร ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนชั้นมัธยม 4 โรงเรียนไกลปืนเที่ยงแห่งหนึ่ง ผมเดินนำทุกคนไปยังจุดรวมพลห้องสาม นิตยาเมาท์มอยอย่างออกรสชาติอยู่กับเพียงตา มนต์ชัยบ่นพรึมพรำเป็นคนแก่แต่เพียงลำพัง หมอนี่คงไม่อยากมาเหมือนกับอำนาจนั่นเอง

     เพราะอาจารย์สมพิศยังไม่หายจากอีสุกอีใส หน้าที่ทั้งหลายทั้งปวงได้ตกเป็นของหัวหน้าห้อง หลังไล่เช็คชื่อเพื่อนทุกคนจนครบเสียที ผมเดินแยกตัวจากกลุ่มเพื่อนำเอกสารไปส่ง พลันมีมือทั้งใหญ่และหนาตรงเข้าสะกิดหัวไหล่ หันกลับไปจึงพบยอดชายทรงเดช กำลังยืนยิ้มแป้นตาหยีผิดแปลกไปจากทุกวัน เพื่อนผมกินใบกระท่อมมาหรือเปล่า ??

     “พรุ่งนี้เย็นเราว่าจะเริ่มซ้อมบอล ไปด้วยกันนะ” ทรงเดชยิงกระสุนนัดสำคัญทันที

     “แต่เราไม่ชอบเล่นบอล ต้องช่วยที่บ้านทำงานด้วย” ผมรีบบอกปัดเพราะรู้ว่าเพื่อนไม่โกรธ

     “เราก็รู้…ว่านายชอบวอลเลย์บอล แต่นายก็รู้…ว่ามันไม่มีอนาคต เหมือนบาสนั่นแหละ”

     เรื่องแปลกแต่จริงบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ทรงเดชมีคำพูดอันทรงพลังลึกซึ่งกินใจ จนทำให้ผมอึ้งกิมกี่ทำตัวไม่ถูก

     “ฟังเราพูดนะ” ผู้มาชวนจ้องหน้าผู้ถูกชวน “ธีระเสียว แตงกวา ศูนย์หน้าทีมกรุงทอง ยูในเต็ด ได้ค่าเหนื่อยเดือนละ 2 ล้านบาท ทีนี้นายลองเปรียบเทียบเอาเอง ว่าต้องขายจักรยานกี่คันถึงจะได้เงินเท่านี้”

     หลังพูดจบทรงเดชจึงเดินจากไป ทิ้งให้เพื่อนรักยืนหน้าเหวออยู่ที่เดิม ทรงเดชก็เหมือนผมนั่นแหละ สามารถพูดทุกอย่างได้โดยไม่กลัวเพื่อนโกรธ พวกเราสนิทกันมากไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม ผู้ชายมักเป็นแบบนี้…ผมคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ

                         ---------------------------------------------

     โครงการจิตอาสาเริ่มต้นในเวลา 9 โมงครึ่ง นักเรียนชั้นมัธยม 4 จำนวน 6 ห้อง ห้องละ 40 คน ได้ถูกแบ่งออกเป็น 20 กลุ่ม กลุ่มละ 12 คน (คัดจากจากนักเรียนห้องละ 2 คน) เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนจนถึงบ่าย 4 โมง ผมได้อยู่กลุ่ม 13 ร่วมกับอำนาจ นิตยาอยู่กลุ่ม 7 ร่วมกับทรงเดช ชิดชนกอยู่กลุ่ม 11 ร่วมกับวิทยา ส่วนมนต์ชัย เอ่อ…อยู่กลุ่มเดียวกับเพียงตาล่ะมั้ง ผมจำไม่ได้ว่าหมอนี่ไปกับใครและกลุ่มไหน แค่อยู่ให้ห่างชิดชนกก็พอใจแล้ว

     แต่ละกลุ่มจะมีหมอหรือพยาบาลจำนวน 1 คน นำทีมตรวจเยี่ยมประชาชนถึงหลังบ้านกันเลย การทำงานกับนักเรียนตัวแสบเป็นเรื่องน่าปวดหัว พวกเขาอาจเคยช่วยเหลือผู้คนมาแล้วมากมาย แต่พวกเขาหลายคนยังไม่มีลูก บางคนยังไม่มีแฟนเสียด้วยซ้ำ เพื่อให้โครงการลุล่วงไปได้ด้วยดี กลุ่มที่อาการน่าเป็นห่วงจะมีอาจารย์ตามไปคุม ทว่ากลุ่มผมไม่จำเป็นต้องมี เนื่องจากคุณหมออาสาร่วมกลุ่มพวกเรานั้น เป็นคนน่ารัก ใจดี มีเมตตา เธอคนนี้มีชื่อว่าหมอสา และเป็นแม่ของอำนาจเพื่อนรัก

     “ตั้งใจทำงานหน่อยนักเรียน ยังมีผู้ป่วยอีกหลายคนนะคะ”

     คุณหมอตัวเล็กผิวขาวทำเสียงดุแต่ยิ้มแป้น เธอตรวจคุณยายคนหนึ่งซึ่งมีอาการไอตลอดทั้งคืน นักเรียนผู้โดนดุทำหน้าปวดท้องหนัก ใบหน้ามีสิวประปรายแสดงอาการขัดใจเป็นที่สุด

     “โธ่แม่…! อาทิตย์ก่อนผมเพิ่งไปบ้านหมอกับแม่นะ” อำนาจแก้ตัวเสียงเนือย

     “ไม่ได้นะคะ นักเรียนอย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน ช่วยหยิบปรอทวัดไข้ให้ด้วยค่ะ”

     ครั้นเมื่อโดนคุณแม่เบรกหัวทิ่มหัวตำ คุณลูกทำหน้าเบื่อโลกแล้วฟึดฟัดไปตามท้องร่อง ก่อนเดินไปหยิบกระเป๋าพยาบาลจากเพื่อนอีกคน เพื่อนำมายื่นให้ผู้นำกลุ่มซึ่งเป็นแม่แท้ ๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักจากจิตอาสา รวมทั้งคุณยายผู้กำลังยิ้มหราโชว์ฟันหรอ นายสี่ตาเดินมานั่งข้างกันแล้วเริ่มพร่ำบ่น

     “โว้ย นี่เราโดนแกล้งหรือเปล่า ทำไมต้องอยู่กลุ่มเดียวกับแม่ด้วย ซวยชะมัดยาด”

     “เราว่าโชดดีมากกว่า” ผมไม่เห็นด้วย “กลุ่มเราได้นั่งทำงานในที่ร่ม อากาศเย็นสบายมีน้ำมีขนมให้กิน ถ้านายไปน้ำตกวังตระไคร้กับทรงเดชนะ ได้เดินตากแดดหลายกิโลกว่าจะหยุดพัก แล้วยังจะบ่นอะไรอีก”

     “กลุ่มทรงเดชไม่มีแม่ไปด้วยนี่ มันน่าเบื่อตรงนี้แหละ” เจ้าตัวยังคงโวยไม่เลิก

     “นักเรียนคนนั้น…หยิบกระเป๋าสะพายของหมอมาให้ด้วยค่ะ”

     ผู้โดนนินทาได้ออกคำสั่งเสียงเข้ม คนนินทาสะดุ้งเฮือกพร้อมหันขวับ อำนาจเดินงุด ๆ กลับไปยังรถกระบะสีแดง เป็นรถคันเดียวกับที่มารับพวกเราตอนเช้า เขาไม่มีอำนาจเหมือนชื่อตัวเองอีกต่อไป

      ผมยิ้มจนตาปิดด้วยว่าขบขันเป็นที่สุด ขณะหยิบครีมบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ยื่นให้คุณลุงหนวกหงอกย้อมผมดำปิ๊ดปี๋ นักเรียนห้องอื่นพยายามช่วยทำงานเช่นกัน ทว่าพวกเขาเหมือนนักเรียนต่างจังหวัดทั่วไป คือไม่ชอบทำอะไรที่ผิดไปจากชีวิตประจำวัน และมักหวาดกลัวเมื่อเผชิญคนแปลกหน้า เลยนั่งรวมกลุ่มจ้องมองตาแป๋วรอรับคำสั่ง ให้ทำอะไรซักอย่างก็ต้องถามแล้วถามอีก ผมกับอำนาจจึงถูกสถาปนาให้เป็นผู้ช่วย เพราะคล่องตัวที่สุดและสามารถโต้ตอบได้

     กลุ่มของพวกเราเดินทางมาเยี่ยมชาวบ้านหมู่ที่ 4 บ้านท่าด่าน ณ.บริเวณสันเขื่อนขุนด่านปราการชลที่มีชื่อเสียง วันหยุดเสาร์อาทิตย์มักมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ส่วนวันธรรมดามักเงียบเหงาเช่นนี้เสมอ ทางการได้ยึดพื้นที่ส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ อันเป็นแหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรมให้กับเยาวชน มาจัดทำสถานที่ตรวจรักษาชั่วคราว อาคารสองชั้นขนาดใหญ่ติดแอร์ทั้งหลัง ปกคลุมด้วยหลังคาหน้าจั่วทรงไทยสีส้มแดง ตัดกับสีขาวปลอดตัวอาคารได้อย่างลงตัว

     เวลาพักเที่ยงเดินทางมาถึงในที่สุด ผู้ใหญ่บ้านนำอาหารและน้ำดื่มมาบริการเพิ่มเติม หมอสานั่งรวมกลุ่มอยู่ที่โต๊ะวีไอพี จริงแท้แน่นอนว่าอำนาจจะต้องอยู่กับเธอ (แม้เจ้าตัวจะทำหน้าแม่ไม่เข้าใจตุ้มก็ตาม) เป็นช่วงเวลาที่ผมจะได้พักผ่อนตามลำพัง จึงหยิบอาหารส่วนของตนมาครอบครอง แล้วมองหาสถานที่เอนหลังซักงีบหนึ่ง

     สถานที่แห่งนี้เดิมมีชื่อว่าเขื่อนคลองท่าด่าน ก่อนหน้านั้นเคยเป็นฝายทดน้ำท่าด่านมาก่อน ผมจ้องมองเขื่อนคอนกรีตบดอัดยาวที่สุดในประเทศ ท้องฟ้าฤดูหนาวขมุกขมัวน่าสยดสยอง เห็นสันเขื่อนฝั่งตรงข้ามแค่เพียงรำไรเท่านั้น ปริมาณน้ำที่กักเก็บค่อนข้างมากพอสมควร เพราะปีนี้พายุฝนตกต้องตามฤดูกาล เพียงพอกับฤดูปลูกข้าวที่ใกล้จะมาถึง

     หัวโค้งซ้ายมือมีศาลาพักผ่อนขนาดใหญ่ ผมเดินออกจากอาคารเป้าหมายก็คือที่นี่ ฝั่งซ้ายของศาลาเป็นถนนยางมะตอยขนาดสองเลน ลัดเลาะไปตามริมเขื่อนมุ่งเข้าสู่ใจกลางขุนเขา กะเพราไก่ใข่ดาวหายวับในชั่วพริบตา ตามด้วยน้ำอัดลมหนึ่งแก้ว กระหรี่พัฟอีกสองชิ้น นาทีนี้รู้สึกอิ่มเอมจนอยากอ๊วกออก ก็เลยนั่งมองธงชาติพริ้วไหวไปตามลมหนาว อากาศบริเวณสันเขื่อนทั้งบริสุทธิ์และแสนสดชื่น นั่งปล่อยตัวปล่อยใจดื่มด่ำธรรมชาติแสนงดงาม กระทั่งโทรศัพท์มือถือสั่นเตือนดังครืด ๆ

     โปรแกรมไลน์ค่อนข้างนิยมในกลุ่มนักเรียน เพราะแชทสนุก ไม่ยุ่งยาก ลูกเล่นลูกชนเพียบ ใช้เน็ต 2G ก็ยังเปิดได้ ผมเข้าไลน์กลุ่มห้องสามเป็นอย่างแรกสุด เพื่อพบสงครามสติ๊กเกอร์ระหว่างนิตยากับเพียงตา (โดยมีทรงเดชและมนต์ชัยเป็นลูกคู่) ไม่กี่นาทีปาเข้าไป 300 กว่าข้อความ แล้วไล่เช็คไลน์ส่วนตัวจากเพื่อนคนอื่นแทน หนึ่งในนั้นก็คือชิดชนกแม่สาวผมม้า

     เธอคนนั้น : กลุ่มเรามาผากล้วยไม้ ผอ.ยอดรักก็มา ^^

     เธอคนนั้น : สนุกมากเลย พี่พยาบาลน่าร๊าก มีขนมดั้ว !!

     เธอคนนั้น : กินข้าวยาง คือร่ะ…

     ฉันคนนี้ : กินแล้ว กะเพราไก่ เผ็ดน้ำตาไหลเลย

     เธอคนนั้น : อ่อนว่ะ ! เรากินตำปูปลาร้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

     เธอคนนั้น : เริ่มแสบท้องและ ทำไงดี *_*

     ฉันคนนี้ : นมถั่วเหลืองมั้ย

     เธอคนนั้น : ไม่อาว เดี๋ยวอ๊วกพุ่ง น้ำแดงเหอะ

     บทสนทนาระหว่างผมและเธอช่างแสนยืดยาว ใช่ว่าชิดชนกจะพิศวาสอะไรผมหรอก เป็นเพราะวิทยาเพื่อนร่วมห้องมากกว่า หมอนี่ทั้งพูดช้าและพูดยานเป็นถุงกาแฟ ไม่ทันใจลูกสาวเฮียอ๋าผู้ว่องไวเท่าความเร็วแสง ส่วนเพื่อนห้องอื่นเธอก็ไม่สนิทด้วย นิตยากับเพียงตาติดอยู่ในสมรภูมิสติ๊กเกอร์ คุยกับนายหัวหน้าห้องเนี่ยแหละดีที่สุด

     เธอคนนั้น : ตกลงเขียนรายงานเรื่องอะไร ถามจริง ?

     ฉันคนนี้ : เอ่อออ……

     เธอคนนั้น : เรื่องอะไร อยากได้เป็นไอเดีย

     เธอคนนั้น : อ้าวเงียบ หนีเหรอ  เดี๋ยวโดน

     ฉันคนนี้ : เปล่า ตอบไม่ทัน เราว่าจะเขียนว่า….

     เธอคนนั้น : เขียนว่าอะไร ก็บอกมาสิวุ้ย พูดดดดดดดด…..!!!

     ฉันคนนี้ : เขียนว่า อนาคตจะเปิดร้านกุยช่ายชื่อร้านเจ๊เหม่ง นกร่วมหุ้นกันนะ  J

     เธอคนนั้น : นั่นไง ลามปาม ทะลึ่ง !!!

     เธอคนนั้น : ไอ้บ้า…!! ไม่คุยด้วยแล้ว แค่นี้นะ >___<

     คู่สนทนาส่งสติ๊กเกอร์ข่มขู่จำนวนมาก ผมยิ้มมุมปากจ้องมองภาพโปรไพล์คนน่ารัก อยากป่วนดีนักใช่ไหม โดนของแข็งเสียทีจะได้รู้ว่าไผเป็นไผ ว่าแต่ว่า…ถ้าเธอคนนั้นอยากร่วมหุ้นด้วยจริง ๆ แล้วฉันคนนี้จะทำอย่างไรดีนะ

                         ---------------------------------------------

     หลังทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญใจแล้ว กลุ่ม 13 จะต้องเคลื่อนพลเข้าตีที่หมายบ้าง เป้าหมายก็คือหมู่ที่ 4 บ้านท่าด่าน เจ้าเดิมนั่นแหละ ยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายรักษาตัวอยู่ในบ้าน พวกเขาเดินทางมาที่สันเขื่อนไม่สะดวก พวกเราจึงได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนเสียเอง ถือเป็นประสบการณ์ภาคสนามที่ดีเยี่ยม ถ้าไม่โดนสุนัขเจ้าถิ่นไล่งับน่องเสียก่อนนะ

     ก่อนเดินทางมีเรื่องน่าแปลกใจเกิดขึ้น รถกระบะตำรวจคันหนึ่งเปิดไฟสีแดงวิบวับ วิ่งด้วยความเร็วสุงมุ่งตรงไปยังหมู่บ้าน ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้นผู้ใหญ่บ้านโทรศัพท์ไปสอบถาม ซัมซูงโน๊ต 4 เจ้ากรรมก็ดันแบตหมดซะงั้น

     “คงไม่มีอะไรหรอกครับ ไม่อย่างนั้นพวกลูกบ้านวิ่งมาตามผมแล้ว”

     ผู้ใหญ่บ้านผิวคล้ำตอบคำถามพลางยิ้มแหย ๆ ความมั่นใจของเขาทำให้พวกเรามั่นใจตาม แต่ก่อนแต่ไรหมู่บ้านนี้ไม่เคยมีเหตุร้าย จำนวนประชากรประมาณ 80 หลังคาเรือน ทุกคนรู้จักรักใคร่กันเป็นอย่างดี ไม่ก็เป็นญาติกันทางใดทางหนึ่ง

     “เดินทางต่อเถอะค่ะ หมออยากให้เด็กออกภาคสนามเยอะ ๆ” หมอสาอธิบายความ

     “ดีครับคุณหมอ ตามผมมาเลย ข้ามเขาลูกนี้ไปก็ถึงหมู่บ้านแล้ว” ผู้ใหญ่บ้านชี้มือไปไกลลิบ

     “โห…แล้วจะถึงเมื่อไหร่ล่ะเนี่ย ผมเมื่อยขาแล้วนะ” อำนาจเปิดปากอีกครั้ง

     “ขี้บ่นจังนะเรา เพื่อนคนอื่นยังไม่ว่าอะไรเลย” หมอสาดุลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

     กองทัพน้อยที่ 13 เคลื่อนพลไปอย่างเชื่องช้า เนื่องจากเป็นทางลาดชันค่อนข้างสุงพอสมควร พวกเราใช้เวลาตะเกียกตะกายร่วม 20 นาที จึงได้รวมตัวบนเนินเขาลูกนั้นอีกครั้ง เพื่อพบกับถนนเส้นเล็ก ๆ มุ่งตรงไปสู่เป้าหมาย

     “ถนนเส้นนี้อ้อมสันเขื่อนไปทางโน้น” ผู้ใหญ่บ้านชี้มือไปไกลลิบ พวกเรามองตามขณะปาดเหงื่อที่ติ่งหู “ถ้าขับรถไปเองต้องมีอย่างน้อย 10 กิโลเมตร แต่เส้นทางที่เดินขึ้นมาแค่ 400 เมตรเอง”

     “อีกไกลไหมครับกว่าจะถึงหมู่บ้าน” ผมถามคำถามนี้ให้เอง

     “ประมาณ 2 กิโลเห็นจะได้ ผู้ใหญ่บ้านเดินทุกวันไม่รู้สึกเหนื่อยเลย”

     เสียงโห่ฮาดังตามมาในทันที ทั้งที่คนพูดเบ่งกล้ามโชว์หญิงแล้วนะนั่น ยังดีที่ขากลับไม่ต้องเดินลงเขา หมดสาให้รถกระบะสีแดงไปจอดรอในหมู่บ้าน แรกสุดผมก็ไม่คิดอะไรหรอก แต่ตอนนี้เริ่มคล้อยตามคำพูดนายอำนาจ ทำไมพวกเราไม่ขึ้นรถไปที่หมู่บ้านเลย ต้องมาปีนเขาจนหอบแฮก ๆ ไม่ใช่ลิงอุรังอุตังนะเฟ้ย

     ระหว่างเดินทางได้คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แรกสุดเลยคิดถึงวิทยาเพื่อนร่วมห้อง หมอนี่ชอบปีนเขาเป็นชีวิตจิตใจ สวนทางกับนิสัยยึดยาดหย่อนยานเป็นอย่างยิ่ง ต่อจากวิทยาผมคิดถึงสาวน้อยชิดชนก ป่านนี้คงงอนตาเขียวปากเบี้ยวแล้วกระมัง พรุ่งนี้ต้องเอาขนมไปเซ่นไหว้เสียหน่อย กูลิโกะป๊อกกี้ดี…หรือช๊อกโกแลตเอ็มแอนด์เอ็มดี

     ต่อจากชิดชนกผมคิดถึงอำนาจเนี่ยแหละ นายคนนี้ไม่พูดไม่จาเดินหน้ามุ่ยรั้งท้ายขบวน คิดว่าเขาคงงอนหมอสานั่นแหละ เลยพาลงอนเพื่อนคนอื่นรวมทั้งตัวผม ชิดชนกเป็นสาวขี้งอนนั้นพอเข้าใจ แต่พวกผู้ชายขี้งอนนี่มันยังไงกันหว่า ต่อจากอำนาจผมคิดถึงทรงเดชบ้าง วันนี้หมอนี่พูดจาแปลกหูเหลือเกิน ราวกับว่าตอนเช้ากินยาแล้วลืมเขย่าขวด

     “ต้องปะยางรถจักรยานจำนวนกี่คัน ถึงจะหาเงินได้จำนวน 2 ล้านบาท…??”

     นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นในหัวสมอง ก็เลยเดินเกาหัวจนผมร่วงตลอดเส้นทาง รายงานเรื่องอนาคตของตัวเองเป็นงานที่ยาก แต่สิ่งยากกว่านั้นก็คือ…การเลือกว่าจะเดินไปทางไหน อีก 2 ปีกว่า ๆ ผมก็จะจบมัธยมปลาย ถ้าไม่เรียนต่อแม่คงแพ่นหัวกบาลแตกแน่ ไม่ต้องถามถึงอาม่าและอี๊บ๊วยหรอก คงได้โดนกระโดดถีบสองขาติดฝาผนังกันพอดี

     ปัญหาก็คือ…ผมจะเรียนต่อที่ไหนดี ในเมื่อแต่ละที่อยู่ห่างจากบ้านเกินร้อยกิโลเมตร ถึงตอนนั้นอี๊บ๊วยอายุใกล้ 40 ปีแล้ว เธอจะทำงานหนักเพียงลำพังได้ที่ไหนกัน อาม่าก็ป่วยออด ๆ แอด ๆ เดินทางไปหาหมอช่างลำบากยากเย็น ผมไปเรียนต่อที่กรุงเทพไม่ได้แน่ ไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรทั้งสิ้น ถ้ารู้ว่าคนที่อยู่ข้างหลังต้องลำบากเพื่อเรา

     บางที…ผมอาจสมัครมหาวิทยาลัยรามคำแหง

     ที่นี่ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียน ไม่ต้องแต่งชุดนักศึกษา ค่าหน่วยกิตก็ถูกมาก อ่านหนังสืออยู่บ้านถึงเวลาค่อยไปสอบ นี่อาจเป็นหนทางที่ดีที่สุด จะได้มีคนช่วยอี๊บ๊วยทำงานและดูแลอาม่าในยามเจ็บไข้ ทว่าในใจยังมีคำถามข้อเดิม

     “ต้องปะยางรถจักรยานจำนวนกี่คัน ถึงจะหาเงินได้จำนวน 2 ล้านบาท…??”

     พวกเราเดินมาหยุดใต้ต้นก้ามปูอายุ 50 ปี เนื่องจากหลายคนเริ่มมีอาการหอบแดด ปลายทางอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก หมอสาให้พัก 15 นาทีแล้วค่อยเดินทางต่อ ขณะที่ผมรับกระเป๋าพยาบาลมาถือ พลันมีเสียงโวยวายดังมาจากถนนด้านหน้า จ้องมองไปพบผู้ชายขี่มอเตอร์ไซด์ตรงเข้ามา คนขับแตะเบรกเสียงดังเอี๊ยดดด…และหยุดได้ทันก่อนชนใครซักคน

     “แย่แล้วพ่อผู้ใหญ่…!! ไอ้ชิตเมาตัวประกันจับมูกเลียเป็นยาบ้า”

     คนขับตะโกนเสียงดังได้ยินไปถึงสันเขื่อน สีหน้าเขาแสดงอาการตื่นตระหนกตกอย่างถึงที่สุด พวกเราทุกคนพลอยตกใจตามเขาทันที อะไรคือมูกเลียเป็นยาบ้า ? แล้วไอ้ชิตเมาตัวประกันได้อย่างไร ?

     “ใจเย็นก่อนบักเคน หายใจเข้าลึก ๆ…นั่นแหละ” ผู้ใหญ่บ้านกำลังแก้ปัญหา เขารู้ดีว่าลูกบ้านคนนี้ขี้ตกใจ “ทีนี้เอ็งช่วยบอกข้าอีกที ว่าไอ้ชิตมันทำอะไรกันแน่ พวกนักเรียนตกใจหมดแล้ว”

     “โทษทีพ่อผู้ใหญ่” บักเคนสุดอากาศเฮือกโตติดต่อกัน กระทั่งคิดว่าพร้อมจึงพูดต่อ “ก็ไอ้ชิตลูกยายน้อยเนี่ยสิ มันจะรื้อรั้วบ้านเลยซัดยาบ้าตั้งหลายเม็ด พอยาออกฤทธิ์ก็เลยหลอน โวยวายเสียงดังอยู่กลางตลาด แล้วจับลูกเมียเป็นตัวประกันด้วย”

     “ไอ้ชิตอีกแล้วเหรอ” คนพูดสุดอากาศเฮือกโตบ้าง มูกเลียก็คือลูกเมียนี่เอง “ทำไมมันถึงไม่หลาบจำเสียที แล้วนี่ตำรวจจัดการได้หรือยัง แล้วเอ็งทำไมไม่รีบมาบอก สั่งแล้วนี่นาว่ามีอะไรให้รีบตามตัว”

     “อยากบอกพ่อผู้ใหญ่เหมือนกัน แต่ไอ้ชิตมันดันขวางถนนอยู่เนี่ยสิ” บักเคนลงมาจากมอเตอร์ไซค์สีเขียว เขาทำตาเหลือกขณะพูดต่อ “แม่มันเห็นเข้าเลยโทรไปแจ้งตำรวจ ใช้เวลาเจรจาตั้งครึ่งค่อนชั่วโมง ตอนนี้จับตัวได้แล้ว”

     “เออ…จับได้แล้วก็ดีไป ข้าจะได้พาคุณหมอไปเยี่ยมแม่มัน” ผู้ใหญ่บ้านเริ่มมีรอยยิ้ม

     “ไม่แค่นั้นสิพ่อผู้ใหญ่” คนพูดเสียงสั่นอีกครั้ง “ตอนที่ตำรวจวิ่งเข้าชาร์ทครั้งแรก ไอ้ชิตมันดันเห็นเข้าตำรวจก็เลยถอย แล้วมันก็เกิดสติแตกขึ้นมา ใช้มีดสปริงแทงใส่ตัวประกันตั้งหลายที ผมเลยรีบมาตามพ่อผู้ใหญ่เนี่ยแหละ”

     “อีสากับลูกโดนแทง…! @#$%^^&*()_+&^%$#!”

     ผู้นำชุมชนอุทานคำหยาบโดยไม่ตั้งใจ ใบหน้าขาวซีดเผือกของบักเคนเป็นคำยืนยัน เกิดเหตุร้ายในหมู่บ้านระหว่างที่เขาไม่อยู่ ผู้ใหญ่บ้านผิวคล้ำผลักลูกบ้านกระเด็นตกถนน แล้วขับมอเตอร์ไซค์สีเขียวตรงไปยังที่เกิดเหตุ

     รถกระบะสีแดงวิ่งสวนทางมอเตอร์ไซค์ออกมา ด้านท้ายกระบะมีผู้ชายนั่งอยู่หลายคน ใครบางคนตะโกนว่าคนเจ็บอยู่บนรถ หมอสาหันรีหันขวางต้องการกล่องพยาบาลสีดำ ผมรีบหยิบยื่นให้เธอทั้งที่ยืนขาสั่นพรั่บ ๆ เมื่อรถกระบะวิ่งมาจอดอยู่ตรงหน้า บรรดานักเรียนมัธยม 4 เริ่มมีอาการมือไม้อ่อน นักเรียนหญิงบางคนทรุดตัวลงนั่งใบหน้าซีดเซียว

     หมอสากระโดดขึ้นรถใบหน้ามุ่งมั่น ประหนึ่งสิงโตสาวไล่ตะปบม้าลายในทุ่งกว้าง กลิ่นคาวเลือดโชยออกมาปะทะทันควัน กลิ่นแรงมากจนหลายคนโก่งคอคายผัดกะเพรา ผมพยายามกลั้นใจชะโงกมองไปยังท้ายรถ ตำรวจนายหนึ่งร่างกายเลอะเลือดสีแดงสด คอยดูแลผู้บาดเจ็บที่นอนแน่นิ่งอยู่ด้านใน

     เธอคนนั้นมีเลือดไหลออกจากช่องท้อง และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ…มันยังไหลออกมาเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุด !!

                              ---------------------------------------------

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา