ห้องสามเดอะซีรี่ย์

9.0

เขียนโดย มุมฉาก

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.

  26 ตอน
  0 วิจารณ์
  21.34K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

17) I have a dream 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

I have a dream 2

          ทีมกู้ชีพฉุกเฉินออกเดินทางอย่างเร่งด่วน มีการตั้งเต็นท์ไว้หน้าอาคารอเนกประสงค์ ความช่วยเหลือจึงมาถึงภายใน 15 นาที สัญญาณไฟสีแดงส่องสว่างเห็นแต่ไก่โห่ เสียงกระหึ่มของไซเรนทำใจเต้นตูมตาม โตโยต้าคอมมิวเตอร์หลังคาสุงวิ่งเข้ามาจอด หลายคนถอนหายใจเสียงดัง หลายคนเริ่มขยับตัวเพื่อทำงาน และอีกหลายคนนั่งนิ่งเป็นหุ่นไล่กา

          รถตู้สีขาวเขียนคำว่า AMBULANCE กลับหลังบนฝากระโปรงหน้า ติดตั้งอุปกรณ์สำคัญทางการแพทย์จำนวนหนึ่ง สามารถดูแลและรักษาผู้ป่วยได้ในระดับ Basic Trauma Life Support รถยังได้นำพาความหวังและกำลังใจมาให้ แม้เป็นแค่เพียงช่วงเวลาประเดี๋ยวประด๋าว เมื่อผู้มาถึงใหม่ได้กล่าวคำพูดที่ยากที่สุด

          “มีแค่ผมคนเดียวนะครับ พอดี…มีคนเป็นลมบ้าหมูหน้าร้านกุยช่ายเจ๊ติ๊นา พี่น้อยกับพี่เหมียวเลยรีบไปดู บอกครู่เดียวก็กลับแล้ว ผม ผม…เอ่อ ผมไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”

          พนักงานขับรถปาดเหงื่อบนใบหน้า ก่อนหยิบยาดมตราโป๊ยเซียนออกมาสูด ตำรวจทุกนายจ้องมองโดยพร้อมเพรียง พวกเขาไม่คุ้นหน้าพนักงานใหม่รายนี้เลย หมอสาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบช่วยเหลือ

          “ไม่เป็นไรค่ะ ทางนั้นก็มีเคสไม่ใช่ความผิดใคร คุณตำรวจช่วยหมอยกผู้ป่วยด้วยค่ะ”

          “ผมเรียกรถมูลนิธิให้ดีกว่า แค่ 15 นาทีก็มาถึงแล้ว” ตำรวจคนที่เลอะเลือดเสนอตัว

          “รอไม่ได้ค่ะผู้กอง ผู้ป่วยเสียเลือดมากต้องรีบไปโรงพยาบาล” หมอสาส่ายหัวไม่ยินยอม

          “งั้นผมไปกับรถพยาบาลเอง จ่าดำจัดการธุระทางนี้ด้วย”

          นายตำรวจหนุ่มตัดสินใจทันควัน ขณะสั่งการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างแคล่วคล่อง เตียงฉุกเฉินแบบปรับนั่งได้ถูกเข็นขึ้นรถ ผู้ป่วยอีกรายนอนอยู่บนเปลสนามพับสองตอน ก่อนเคลื่อนย้ายไปยังเก้าอี้ยาวอเนกประสงค์ฝั่งซ้ายมือ

          “ผมเคยอบรมผู้ช่วยหมอมาก่อน ตอนเป็นตำรวจตระเวนชายแดนที่แม่สอด เคยทำคลอดเด็ก 3 รายแล้วนะครับ”

          ครั้นเห็นว่านักเรียนทุกคนรวมทั้งหมอ ต่างจ้องมองด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม นายตำรวจคนเก่งจึงรีบเฉลยคำตอบ เพราะไม่อยากให้คลางแคลงใจจนเสียเวลา เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาจึงกระโดดเข้ารถ

          “ผู้กองครับ จ่าแมววิทยุมาบอกว่า ไอ้ชิตมันหลบหนีไปได้ครับ” จ่าดำเดินหน้าขาวซีดเข้ามาบอก

          “เฮ้ย ! ซวยแล้วไหมจ่า ผู้ต้องหาหลุดได้ยังไง” อดีตตชด.แม่สอดหันควับ

          “จ่าแมวบอกว่า ไอ้ชิตมันขอเข้าห้องน้ำ แล้วปีนหน้าต่างออกไปครับ” คนพูดก้มหน้าหาเศษตังค์

          “พวกคุณเนี่ยนะ” ผู้กองหนุ่มรีบกระโดดออกมาจากรถ เขามีสีหน้าละล้าละลังสุดชีวิต

          “ไปดูที่หมู่บ้านเถอะค่ะ ทางนี้หมอจัดการเอง” แพทย์อาสาช่วยตัดสินใจให้

          “แต่คุณหมอไม่มีผู้ช่วยนี่ครับ” อีกฝ่ายยังคงกังวลใจ

          “มีสิคะ วันนี้หมอมีลูกชายกับเพื่อนมาด้วย ทั้งคู่เคยออกภาคสนามตั้งหลายครั้งนะคะ”

          คนพูดพยักหน้ามาที่ผมกับอำนาจ สายตาทุกคู่จึงได้จับจ้องมายังพวกเรา ประหนึ่งว่าโดนมนต์สะกดนะจังงังเข้าอย่างจัง เด็กหนุ่มสองคนต่างยืนนิ่งไม่กล้าสบตาใคร ทว่าพวกเขากำลังรอฟังคำตอบ…แม้จะเป็นคำตอบที่ไม่เป็นความจริงก็เถอะ

          “ใช่ครับ ผมกับเพื่อนเป็นผู้ช่วยแม่ที่คลีนิค ได้เงินวันละ 300 บาทแหนะ”

           คำตอบที่ทุกคนเฝ้ารอมาจากอำนาจ หมอคงเห็นว่าผมไม่กล้าพูดปดกระมังครับ ตำรวจผู้เลอะเลือดถอนหายใจโดยพลัน ก่อนสั่งการให้ลูกน้องทั้งหมดกลับจุดเกิดเหตุ รถกระบะสีแดงเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เป้าหมายก็คือบ้านท่าด่านหมู่ที่ 4 ตั้งอยู่บนยอดเขาห่างออกไปประมาณ  1 กิโลเมตร แล้วรถก็จากไปทิ้งไว้แค่เพียงควันดำเหม็น ๆ

          รถพยาบาลฉุกเฉินพร้อมออกเดินทางเช่นกัน พลขับหนุ่มเข้าประจำตำแหน่ง หมอสาดูแลผู้ป่วยอยู่ภายในรถ ผมยืนขาสั่นพรั่บ ๆ อยู่ด้านนอก กระทั่งได้ยินเสียงเรียกตัวเป็นครั้งที่สาม จึงตัดใจสินถีบเพื่อนเข้ารถไปก่อน แล้วกระโดดตามเป็นคนท้ายสุด ก่อนล้อรถหมุนมีเรื่องประหลาดใจเกิดขึ้น เมื่อผู้ใหญ่บ้านผิวคล้ำโผล่เข้ามานั่งข้างคนขับ

          “ในรถมีแต่เด็กนักเรียน ไอ้น้องคนขับก็ดูตื่น ๆ ผมไปด้วยดีกว่า” ผู้มาใหม่หันมาบอกกล่าว

          “แล้วทางนั้นล่ะคะผู้ใหญ่” หมอสาถามขึ้นด้วยความเกรงใจ

          “ไอ้ชิตมันหลบอยู่ในป่าท้ายหมู่บ้าน ไปไหนไม่พ้นยังไงก็โดนจับ” คนพูดเหลียวมองผู้บาดเจ็บ “ให้ผมไปด้วยเถอะครับ อีสากับลูกสาวอาการเป็นตายเท่ากัน ติดขัดยังไงจะได้ช่วยเหลือทัน”

          “ขอบคุณนะคะ ขอบคุณแทนพวกเขาด้วย”

          คุณหมอผิวขาวสวมแว่นตาทรงเชยกล่าวจากใจ ผู้ใหญ่บ้านโบกไม้โบกมือไม่ยอมรับคำ ตัวเขาเองต้องเป็นฝ่ายคุณมากกว่า ถ้าเธอกับพวกนักเรียนไม่ได้มาในวันนี้ ลูกบ้านเขาเห็นทีจะม้วยไปนานแล้ว กลิ่นคาวเลือดผสมกลิ่นไหม้เอียน ๆ ลอยปะทะจมูก ถึงเป็นผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานักต่อนัก ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเริ่มสะอิดสะเอียน

          พวกเราออกเดินทางหลังจากนั้นไม่นาน อาการผู้ป่วยทั้งสองดีขึ้นกว่าเดิม แต่อาการพลขับดูท่าจะหนักเอาการ รถวิ่งไปข้างหน้าความเร็วรถไม่คงที่ บางครั้งช้าไป บางครั้งเร็วไป บางครั้งก็โคลงเคลง โค้งแรกสุดทำเอาทุกคนนั่งกันไม่ติด คนขับเบรกช้าไปนิดและลงน้ำหนักมากไปหน่อย จึงมีอาการหลุดโค้งออกไปด้านนอกสุด ท้ายรถสะบัดออกคล้ายอยากวิ่งแซงหน้า เป็นอาการดื้อโค้งของระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ศัพท์เทคนิคใช้คำว่าโอเวอร์สเตียร์ แปลไทยได้ว่าเลี้ยวเยอะเกินไปนั่นเอง

          พลขับวัยยี่สิบห้ารีบแก้ไขความผิดพลาด ด้วยการหมุนพวงมาลัยไปยังทิศทางตรงกันข้าม คล้ายคลึงกับการดริฟท์ของนักแข่งอาชีพ คิดว่าเขามีความสามารถพอตัวเลย สามารถประคองรถออกจากโค้งได้อย่างปลอดภัย ทั้งที่ใบหน้าขาวซีดราวกับผีดูดเลือด ความมั่นใจที่เคยมีไม่เหลือติดตัวซักแอะ ผู้ใหญ่บ้านผิวคล้ำจึงรีบยื่นมือช่วยเหลือ

          ผู้มีอายุสุงกว่าย่อมมีประสบการณ์ชีวิตสุงกว่า ผู้ใหญ่บ้านไม่ได้ตำหนิหรือว่ากล่าวซักนิดเดียว เขาแค่ชวนคุยให้อีกฝ่ายคลายความกังวล เพราะรู้ดีว่าคนขับกำลังตื่นเต้น เขาเองก็เคยตื่นเต้นจนทำงานสำคัญพลาดมาแล้ว

          กระทั่งรถพยาบาลวิ่งมาถึงหัวโค้งที่ 3  เป็นโค้งหักศอก 90 องศาก่อนทางลงเชิงเขา เคยมีคนขับแหกโค้งเมื่อเดือนที่ผ่านมา สติปัญญาและความมั่นใจที่หายไป ได้กลับคืนสู่เจ้าตัวอย่างที่ควรเป็น เขาควบคุมความเร็วรถได้อย่างคงที่ แตะเบรกก่อนเข้าโค้งได้อย่างถูกต้อง และเหยียบคันเร่งทันทีเมื่อรถเข้าไลน์ จึงไม่มีอาการเลี้ยวเยอะเกินไปหรือน้อยเกินไป กองเชียร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ปัญหาภายนอกไม่มีอะไรให้ห่วง เหลือก็แต่ปัญหาภายในรถนี่แหละ

          “อำนาจ…ช่วยแม่ประคองสายน้ำเกลือด้วย”

          หมอสาสั่งการลูกชายโดยไม่หันมามอง เพราะวุ่นวายอยู่กับผู้ป่วยที่อยู่บนเตียง ทว่าฝ่ายลูกไม่มีสัญญานใด ๆ ตอบกลับ อำนาจนั่งแข็งเป็นหุ่นขี้ผึ้งติดเบาะคนขับ และห่อตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เพื่อนผมยังไม่พร้อมสำหรับงานนี้ หนักหนาเกินไปสำหรับเด็กอายุย่าง 16 ปี ตัวผมเองก็ยังไม่พร้อม แต่คนโดนแทงคงรอให้พร้อมไม่ไหว จึงตัดสินใจช่วยเหลือด้วยตัวเอง

          “ลูกชายน้าไม่ไหวเลย กลับบ้านต้องอบรมเสียหน่อยแล้ว”

          หมอสาบ่นอุบด้วยความละเหี่ยใจ แล้วหันไปมองอำนาจผู้ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น จากนั้นจึงมุ่งแต่สนใจผู้ป่วยตรงหน้า คนเป็นแม่อาการหนักกว่าอย่างเห็นได้ชัด เธอยังสาวและเด็กเกินกว่ามีลูกวัย 8 ขวบ นุ่งผ้าถุงสีน้ำตาลเข้มสวมเสื้อลายดอกพอดีตัว ซึ่งดูไม่ออกเลยว่าลายอะไรหรือสีอะไร ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยเลือด เลือด แล้วก็เลือด

          “อีสากับลูกเป็นอย่างไรบ้างครับหมอ” ผู้ใหญ่บ้านสอบถามด้วยเป็นห่วง

          “น้องถูกแทงที่ส่วนบนของกระเพาะอาหาร เป็นแผลกว้างและค่อนข้างลึก หมอห้ามเลือดแล้วกำลังจะให้น้ำเกลือ ส่วนเด็กถูกแทงที่หน้าท้องด้านซ้าย มีสองแผลก็จริงแต่แผลเล็กกว่ากัน”

          คนโดนถามอธิบายเพียงคร่าว ๆ เพราะต้องทำงานแข่งกับเวลาที่มีจำกัด เธอเปิดเส้นเลือดให้น้ำเกลืออย่างรวดเร็ว ก่อนแขวนบนเสาทำจากไฟเบอร์ติดหลังคา ผมมีหน้าที่ดูแลถุงน้ำเกลือตลอดเส้นทาง โดยหวังว่าถุงน้ำเกลือจะไม่หล่นลงมาแตก

          คุณหมอร่างเล็กใช้หลังมือปาดเหงื่อบนในหน้า ก่อนถอดแว่นตาทรงเชยออกมาทำความสะอาด เธอมีรูปร่างหน้าตาผิวกายเหมือนอำนาจเป๊ะ หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ…อำนาจเหมือนเธอเป๊ะต่างหาก สิ่งที่เพื่อนผมแตกต่างจากแม่มี 2 อย่าง เขามีสิวประปรายบนใบหน้าเหมือนพ่อ และมีระบบการประมวลผลต่างกันโดยสิ้นเชิง

          หมอสากระโดดเข้าใส่ปัญหาโดยไม่หวาดเกรง เธอสามารถครองสติปัญญาได้อย่างมั่นคง ไม่วอกแวกไปกับอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง ตรงข้ามกับลูกชายผู้มีนิสัยขี้ระแวง ทั้งยังหวาดกลัวกับสิ่งที่ต้องเผชิญ ไม่ใช่ว่าเขานิสัยแย่อะไรนักหรอก อำนาจแค่ยังเป็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยก็เท่านั้น อนาคตเขาจะเก่งเหมือนแม่แน่นอน ผมเอาหัวทรงเดชเป็นประกันได้เลย

          ส่วนตัวผมมีอาการหน้าซีดเหงื่อซึมตลอดเวลา ทั้งที่แอร์เย็นเจี๊ยบคงเพราะตื่นเต้นจัด หมอสาหันไปดูแลเด็กหญิงอายุ 8 ขวบ สาวน้อยนอนนิ่งไม่พูดไม่จาตลอดเส้นทาง เธอสวมชุดนอนสีฟ้าลายมิกกี้เมาส์ เปื้อนเลือดทั้งตัวเหมือนแม่ยังไงยังงั้น ช่วงที่สาระวนอยู่กับสอดรู้สอดเห็น ผู้ป่วยบนเตียงพยาบาลเริ่มทำท่าไม่ค่อยดี ใบหน้าหญิงสาวซีดเขียวมากกว่าเก่า เหงื่อออกมากขึ้น กระสับกระส่าย หายใจแล้วหอบ มีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด สายตาของเธอจ้องมองผมตลอดเวลา

          “รถวิ่งผ่านเขื่อนขุนด่านแล้วครับ อีกไม่นานก็ถึงโรงพยาบาล”

          ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร จึงตัดสินใจเปิดปากคุยด้วย แต่คนบนเตียงมีอาการหนักมาก ไม่สามารถตอบคำถามกลับคืนได้ ผมหันรีหันขวางไม่รู้จะทำอย่างไร แม่ของเพื่อนวุ่นวายอยู่กับสาวน้อย ส่วนเพื่อนก็ดันสติแตกนั่งเป็นใบ้

          “อีสาคงเป็นห่วงลูกมาก ตอนที่อีแก้วเกิดมันเพิ่งอายุเพียง 17 ปี ไอ้ชิตผัวมันทำงานอยู่ที่ปราจีน กว่าจะกลับบ้านก็เป็นเดือน ๆ โน่น มันเลยมีแค่ลูกสาวเป็นกำลังใจ ข้าล่ะสงสารมันจริง ๆ เลย ต้องนั่งขายข้าวแกงเช้าถึงเย็น กลางค่ำกลางคืนก็ต้องเตรียมของไว้ขายอีกวัน หนี้ที่ไอ้ชิตสร้างไว้ก็มาเก็บที่มัน อีสาเอ๊ย ! อดทนไว้ก่อนนะโว้ย”

          ผู้ใหญ่บ้านชะโงกหน้าพูดคุยด้วย เขายังช่วยกระตุ้นอำนาจให้ฮึดสู้ ทว่าเพื่อนผมไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ก้มหน้าก้มตาจ้องมองไอโฟนอย่างเดียว คนผิวคล้ำหันไปสนใจเส้นทางแทน แต่ไม่วายพร่ำบ่นเรื่องฤทธิ์เดชของยาบ้า มันได้เปลี่ยนชายหนุ่มผู้รักครอบครัวมากมาย ให้กลายมาเป็นผู้ทำร้ายลูกเมียหน้าตาเฉย นี่คือปัญหาร้ายแรงอันดับหนึ่งของชาติ

         “ชวนผู้ป่วยคุยไปเรื่อย ๆ อย่าให้เธอนอนหลับ ดูรอยจ้ำสีดำทั่วร่างกายด้วย”

          หมอสาหันมาสั่งการอย่างเป็นทางการ เธอห้ามเลือดเสร็จแล้วและกำลังตรวจม่านตา ผู้ป่วยบนเตียงไม่สามารถสื่อสารได้ ทั้งยังเป็นห่วงลูกสาวที่อยู่บนรถคันเดียวกัน ผมจำเป็นต้องหาวิธีสื่อสารแบบอื่นแทน

          “พี่สาครับ พี่ได้ยินผมใช่ไหม ถ้าพี่ได้ยินช่วยกระพริบตาด้วย”

          คุณแม่ยังสาวกระพริบตาทันควัน เป็นคำยืนยันว่าเธอสามารถสื่อสารได้ เลือดบางส่วนเปอะเปื้อนใบหน้าขาวนวล ผมใช้ผ้าเช็ดหน้าซับทำความสะอาดให้ แววตาผู้ป่วยแสดงความขอบคุณจากใจ ในแววตาไม่มีความหวาดกลัวหรือเจ็บปวดเลย

          “ลูกใช่ไหม” ผมกลั้นใจถามขณะเก็บผ้าเช็ดหน้า เธอกระพริบตาหลายครั้งเป็นคำตอบ

          “ลูกพี่ปลอดภัยนะ เราใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้ว”

          ความจริงแล้วผมอยากพูดให้ยาวกว่านี้ ถ้าไม่บังเอิญเกิดสะอึกกระทันหัน คำพูดที่สั้นและห้วนของผม กลับทำให้ผู้ป่วยมีรอยยิ้มปรากฎ เธอยิ้มออกมาได้อย่างไร…? คงเป็นเพราะคำว่าความเป็นแม่ แค่ได้รู้ว่าลูกปลอดภัยเท่านั้นก็พอ

          รถพยาบาลวิ่งผ่านเนินเขาเตี้ย ๆ ลูกหนึ่ง คนขับพยายามประคองรถจนสุดกำลัง แต่รถตู้ดัดแปลงก็ยังโคลงไปโคลงมาอยู่ดี เตียงพยาบาลสั่นไหวตามแรงเหวี่ยง ผู้ป่วยบนเตียงกลอกตามองแต่ฝั่งขวา (เธอคงมองหาลูกสาวด้วยความเป็นห่วง) กระทั่งสถานการณ์กลับคืนสู่ปรกติอีกครั้ง จึงเลิกกลอกตามองแต่ทำอย่างอื่นแทน

          แววตาผู้เป็นแม่แปรเปลี่ยนเป็นความกังวล เธอคงกังวลอนาคตของลูก ว่าจะหายดีเป็นปรกติเหมือนเดิมไหม กลับไปเรียนหนังสือได้อีกไหม อนาคตจะได้เรียนต่อถึงไหนกัน ในเมื่อเธอเองเจ็บหนักไม่เหมือนเก่า ส่วนคนเป็นพ่อติดคุกหัวโตแน่ อนาคตของลูกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความกังวลใจทั้งหมดผมรับรู้ผ่านแววตา

          “ตอนอายุ 4 ขวบ พ่อต้องจากไปด้วยอุบัติเหตุ แม่ก็เลยกระเตงผมไปที่ทำงานด้วย”

          คำพูดจากปากเด็กหนุ่มซึ่งไม่มีพ่อ ผุดออกมาระหว่างทุกคนกำลังนิ่งเงียบ ตัวผมจึงได้กลายเป็นจุดสนใจ จากทุกคนบนรถรวมทั้งคุณแม่ยังสาว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพูดถึงเรื่องนี้ รู้แต่ว่าจำเป็นต้องพูดก็เลยพูดเท่านั้นเอง

          “แม่เป็นเสมียนโรงงานเย็บผ้าแถวบางนา บางวันควบสองกะ บางวันกลับดึกมาก บางวันไม่กลับบ้าน ผมก็เลยโตขึ้นมาบนกองกระสอบ มีห้องนอนส่วนตัวเป็นโกดังเก็บของ รถสิบล้อหัวยาวเปรียบได้กับสนามเด็กเล่น ถ้าเรื่องเย็บปักถักร้อยผมไม่เป็นรองใครนะพี่สา รับรองสาว ๆ ต้องอายกันเลยทีเดียว”

         คนฟังยิ้มมุมปากให้กับคนพูด ทำให้ทุกคนอมยิ้มตามไปด้วย เป็นรอยยิ้มที่แห้งแล้งที่สุดในสามโลก

          “ลูกสาวพี่สาชื่อแก้วใช่ไหม” เห็นอีกฝ่ายกระพริบตาจึงพูดต่อ “น้องแก้วจะต้องปลอดภัยและหายเป็นปรกติ เรื่องอนาคตพี่ไม่ต้องห่วงหรอก น้าผู้ใหญ่คงไม่ปล่อยให้น้องลำบาก รวมทั้งส่วนราชการจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ”

          ผมสบตาชายผิวคล้ำผู้นั่งหน้ารถ เขารีบพยักหน้าให้กับลูกบ้าน เพื่อยืนยันคำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ หมอสาแทรกตัวเข้ามานั่งเคียงกัน เธอลูบหัวผมอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน ก่อนทำหน้าที่ตัวเองด้วยความเข้มแข็ง

          ภายในห้องพยาบาลค่อนข้างคับแคบ ก็เลยถอยออกมานั่งใกล้พ่อผู้ใหญ่ อำนาจซึ่งได้สิงสถิตอยู่ก่อนแล้ว กำลังจ้องมองมาสลับดูไอโฟนที่อยู่ในมือ ผมยิ้มจืด ๆ ให้แล้วหันหน้ากลับที่เก่า ทั้งที่ไม่มีพยาบาลคอยช่วยเหลือซักคน อีกทั้งอุปกรณ์ช่วยชิวิตก็มีจำกัดจำเขี่ย แต่น้าสาก็ยังควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมด เธอทำหน้าที่หมอได้ประเสริฐเหลือเกิน

          “เคสถูกแทง 2 คน บริเวณยอดอกและช่องท้อง เสียเลือดมาก ช๊อค ต้องการ OR (ห้องผ่าตัด) ด่วน”

          หมอตัวเล็กแจ้งวิทยุไปยังโรงพยาบาล เพื่อเตรียมความพร้อมการรักษาล่วงหน้าเอาไว้ รถวิ่งผ่านโค้งหักศอกแล้วเกิดท้ายปัด คนขับกำลังเครียดจัดเธอจึงได้เตือนสติ จากตรงนี้ไปเป็นถนนเส้นตรงจนถึงโรงพยาบาล ไม่มีอะไรให้น่าหวาดเสียวอีกแล้ว ผมรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก มือก็ล้วงโทรศัพท์ที่สั่นเตือนพรั่บ ๆ อยู่นานสองนาน

         “หิวน้ำ”

         เสียงที่ค่อนข้างแผ่วเบาส่งมาจากฝั่งซ้ายตัวรถ ตรงนั้นเองเป็นเก้าอี้ยาวอเนกประสงค์แบบพับได้ มีผู้ป่วยอีกคนนอนซมอยู่บนเก้าอี้ ผมเก็บโทรศัพท์แล้วขยับตัวเข้าใกล้ทันควัน พร้อมกันกับแพทย์หญิงผู้ทำงานมือเป็นระวิง สาวน้อยบนเก้าอี้มีอาการทรุดลง มือเท้าอ่อนแรง กล้ามเนื้อเริ่มเกร็ง มีเลือดออกบริเวณช่องท้องมากขึ้น

          “น้องกำลังช๊อค น้าต้องให้น้ำเกลือ แต่ตรงนี้ไม่มีที่แขวน”

           “ผมถือให้เอง รับรองไม่ทำตกเด็ดขาด”

           “ขอบใจนะ เราคงต้องรีบแล้ว”

           หมอสารีบให้น้ำเกลือด้วยความคล่องแคล่ว สาวน้อยผู้โชดร้ายมีสีหน้าอ่อนเพลีย เธอตัวเล็กนิดเดียวมีแผลฉกรรจ์ถึง 2 แห่ง ระหว่างเด็ก 4 ขวบที่สูญเสียพ่อตลอดกาล กับเด็ก 8 ขวบโดนพ่อติดยาทำร้าย เด็กคนไหนจะเจ็บปวดมากกว่ากัน ??

          ความคิดด้านมืดฉุดดึงผมไปไกลลิบลับ ขณะรับถุงน้ำเกลือมาถืออย่างเลื่อนลอย สายตาจ้องมองสาวน้อยตลอดเวลา พร้อมตั้งคำถามน้ำเน่าไร้สาระในใจ ระหว่างที่ผมกำลังช๊อคตามไปอีกคนนั้น หมอคนเก่งได้ขยับตัวไปยังเตียงฉุกเฉิน ผู้ป่วยบนเตียงมีอาการหายใจติดขัด จากนั้นไม่นานนักเธอก็สลบแน่นิ่งไป

          เกิดบ้าอะไรขึ้นอีก !! ก่อนหน้านี้เธอยังดีอยู่เลย ผมชวนคุยเธอก็รับฟังทุกคำ แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้ทรุดลง หรือว่าเธอ…เธอรับรู้ว่าลูกสาวอาการแย่ลง พลอยทำให้ตัวเองแย่ลงตามกัน

          สองมือของคุณหมอวุ่นวายอยู่กับฝ่ายแม่ โดยใช้เท้าขวายันขอบเก้าอี้กันฝ่ายลูกพลัดหล่น ผมคิดว่าน้าสาคงเหนื่อยมาก เนื่องจากหายใจเสียงดังมีเม็ดเหงื่อมากขึ้น ขณะผายปอดสายตาคุณหมอจ้องมองด้านหน้ารถ จากนั้นจึงหันมามองเด็กน้อยอีกครั้ง แววตาภายใต้กรอบแว่นทรงเชยแสดงความความลังเลใจ อาจเป็นได้ว่าเธอ…ต้องตัดสินใจเรื่องที่ยากเย็นที่สุด

          “น้าสาครับ ผมช่วยอะไรได้บ้าง บอกมาเถอะผมทำได้หมด”

           ผมชิงพูดตัดหน้าก่อนอีกฝ่ายจะตัดสินใจ ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าตนเองจะทำอะไรได้ รู้แต่ว่าน้องแก้วและพี่สาจะตายไม่ได้ โดยเฉพาะมาตายต่อหน้าต่อตากันแบบนี้ ผมจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เป็นไงเป็นกันสิ !!

           “แบบนี้นะ” แล้วคุณหมอก็ตัดสินใจ เธอมีอาการลังเลเพียงครู่เดียว “ตู้เก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์อยู่ใต้กระจกบานเลื่อน น้าต้องการแอมบูแบคเพื่อให้อ๊อกซิเจน ไปหยิบมาก่อนเดี๋ยวบอกวิธีใช้ให้”

          ผมกระโจนพรวดไปหน้ารถทันควัน แอมบูแบค…แอมบูแบค ว่าแต่มันคืออะไรล่ะเนี่ย

          “มันคือชุดช่วยหายใจแบบมือบีบ นายใส่เองไม่ได้หรอก เราดีกว่า”

          อำนาจนั่นเองที่ช่วยชี้ทางสว่าง เขาหยิบอุปกรณ์ออกจากกล่องด้วยความแคล่วคล่อง มันคือหน้ากากและลูกยางทรงรีทำจากซิลิโคนใส ลูกชายหมอประสาทสวมอุปกรณ์ให้กับผู้ป่วย โดยคำแนะนำจากแม่ซึ่งเปลี่ยนไปดูแลสาวน้อย

          แอมบูแบคมีประโยชน์มากในนาทีแรก ๆ ของการช่วยชีวิต แต่การช่วยชีวิตไม่ได้ใช้แค่แอมบูแบคอย่างเดียว หมอสาขยับตัวกลับมาอีกครั้ง เธอช่วยผายปอดโดยการกดหน้าอกเป็นจังหวะ กระทั่งผู้ป่วยหายใจได้เองจึงส่งหน้าที่ต่อ การบีบลมเข้าปอดควรทำ 8 ถึง 10 ครั้งต่อนาที ต้องมีปริมาณลมมากพอทำให้หน้าอกกระเพื่อมขึ้น อำนาจทำไม่ได้เพราะตัวเล็กมือเล็ก ต้องเป็นเด็กหนุ่มตัวเท่าหมีควายเท่านั้น เขายอมหลีกทางถือสายน้ำเกลือแทน

          ผมไม่เคยอยู่ใกล้ชิดความเป็นความตายขนาดนี้มาก่อน เป็นช่วงเวลาที่ทุกวินาทีมีค่ามหาศาล รถตู้ของเราแทบไม่ได้แตะเบรก ราวกับว่ามันโดนถอดออกตั้งแต่เมื่อวานนี้ คนขับกำลังทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง หวังร่นเวลาเดินทางให้น้อยลงแม้เสี้ยววินาที ช่วงเวลาต่อจากนั้นยาวนานเท่าไหร่ไม่ทราบ ผมไม่ได้สนใจอำนาจหรือสิ่งรอบตัวเลย จิตใจจดจ่ออยู่กับคำว่า 6 วินาทีต่อการบีบหนึ่งครั้ง ลมหายใจเข้าออกเป็นตัวกำหนดแรงบีบ สายตาเฝ้ามองคุณแม่ยังสาวเพื่อดูอาการ เธอยังคงมีสติและหายใจอยู่ ผมจึงมีกำลังใจในการทำงานชิ้นสำคัญ

           รู้ตัวอีกทีรถวิ่งมาจอดหน้าโรงพยาบาล พนักงานชายหญิงมะรุมมะตุ้มมากมายก่ายกอง คนเจ็บทั้งสองถูกเคลื่อนย้ายลงจากรถ แล้วส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินด้วยทีมงามมืออาชีพ หมอตัวเล็กวิ่งเข้าห้องนั้นเป็นคนท้ายสุด เสิ้อผ้าชุดเก่งเลอะรอยเลือดซักยังไงก็ไม่ออก นี่คืดจุดสิ้นสุดที่ผมมาส่งแม่ลูกคู่นั้น และนี่คือจุดสิ้นสุดการทำงานจิตอาสา

          จากนี้ไปทำได้แค่เพียงเฝ้ารอ ผมไม่เคยเห็นใครมีแผลใหญ่ขนาดนี้เลย ไม่เคยเห็นความรักความห่วงใยต่อหน้าต่อตา ไม่เคยเห็นความผูกพันธ์ที่สำผัสได้ด้วยมือ พี่สาคงจะรักลูกมาก เธอยอมตายแทนขอเพียงน้องแก้วปลอดภัย

          “โอ๊ย !!”

           ทันใดนั้นเองผมรู้สึกปวดแสบปวดร้อนทั่วหลัง ราวกับโดนใครซักคนฟาดใส่เข้าเต็มแรง จึงหันไปมองพร้อมลูบหลังไปพลาง พบนายอำนาจสะบัดมือไปมาสีหน้าเหยเก หมอนี่คงเป็นคนตบหลังแน่นอน ลืมไปสนิทเลยว่ามาด้วยกัน

          “ทักทายแรงจังนะ มีอะไรเหรอ” คนโดนตบตั้งคำถามคนตบ

          “ไม่มีอะไร…เห็นยืนเหม่อนึกว่าผีเข้า” อำนาจกวนโมโหซะงั้น พลางพยักหน้าไปทางห้องไอซียู “พวกเขาไม่เป็นอะไรหรอก หมอที่นี่ฝีมือผ่าตัดเก่งที่สุดแล้ว แม่เราก็อยู่ด้วยทั้งคน เลิกทำหน้าเครียดได้แล้วน่า”

          จิ้งจกร้องทักคุณยังหันไปมองใช่ไหม นี่เพื่อนสนิทออกปากเตือนด้วยตัวเอง แล้วคุณจะไม่ทำตามได้อย่างไร นาทีนี้เองผมจึงเริ่มเข้าใจ ว่าตนเครียดเกินไปใกล้เป็นบ้าก็ไม่ปาน จริงอย่างที่อำนาจบอก ผมไม่ควรกังวลใจเรื่องพวกนี้

          “เอ้านี่” อำนาจยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ “ไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อน เดี๋ยวเราหาน้ำมาให้ดื่ม”

          เจ้าของผ้าชี้ไม้ชี้มือบริเวณขอบตา ผมมองซ้ายมองขวาเห็นกระจกเงาพอดี ก็เลยเพ่งมองหน้าตนด้วยความแปลกใจ มีคราบน้ำตาไหลนองจากแก้มถึงต้นคอ ไม่จริง..!! นี่เราร้องให้เหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ???

          “ตั้งแต่นายถามแม่เราว่า ผมช่วยอะไรได้บ้างครับน้าสา”

          เป็นอีกครั้งที่อำนาจช่วยเฉลยคำตอบ ก่อนเดินจากเพื่อไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ปล่อยให้ชายเจ้าน้ำตาเฝ้าครุ่นคิดตามลำพัง อาจเป็นเพราะตอนนั้นกำลังเครียดจัด จึงมีหลายเรื่องที่หลงลืมสนิทใจ รวมทั้งเรื่อง…

          “เฮ้ย !” ผมสะกิดไหล่อำนาจ เจ้าตัวหันมาจึงพูดต่อ “เราเพิ่งนึกออก พี่สาชื่อเหมือนแม่นายเลย”

          “เออว่ะเหมือน เฮ่ย !!” นายสี่ตาสะดุ้งเฮือก เขาโดนล้อชื่อแม่หรือเปล่านะ “อะไรวะ เดินมาพูดแค่นี้เนี่ยนะ”

           ผมโบกมือลาเพื่อนรักก่อนเดินจากไป เป้าหมายก็คือห้องน้ำชายติดแอร์ชั้นล่าง ระหว่างล้างหน้าได้ครุ่นคิดเรื่องราวทั้งหมด รวมทั้งหยิบผ้าเช็ดหน้าตัวเองออกมาถือ เลือดสีแดงสดของพี่สาเริ่มแห้งกรัง ผมควรซักทำความสะอาดหรือเก็บไว้แบบนี้ ระหว่างที่กำลังเพ้อเจ้อคนเดียวนั้นเอง โทรศัพท์มือถือพลันส่งเสียงกระหึ่มห้องน้ำ สาวน้อยชิดชนกเป็นคนโทรมา

          “นกมีอะไรหรือเปล่า” ผมยิงคำถามทันที ปรกติแล้วเธอไม่เคยโทรหา

          “เปล่า แค่โทรมาถามว่าเป็นไงบ้าง” ปลายสายตอบกลับเสียงเบา

          “เราสบายดี อำนาจสบายดี คนอื่นก็สบายดี” ผมตอบกลับด้วยคำตอบสามัญประจำบ้าน

          “เออ..!! รู้ว่าสบายดี ไม่ใช่เรื่องนี้สิ” น้ำเสียงชิดชนกเริ่มเข้มขึ้น เธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนคุยต่อ “เราโทรไปบอกอี๊บ๊วยให้แล้ว อี๊บอกไม่ต้องห่วงเรื่องงานที่บ้าน หมอประสาทจะขับรถไปรับนายกับอำนาจเอง หาอะไรกินด้วยล่ะ อ้อ..อีกอย่าง หัดเข้าไลน์กลุ่มเสียบ้าง จะได้ไม่ตกข่าวเข้าใจไหม เป็นหัวหน้าห้องได้ไงเนี่ย แค่นี้นะ”

          ไม่ทันที่ทางนี้จะตอบกลับซักประโยค คนโทรหาวางสายด้วยความเร็วเท่าแสง ผมทบทวนคำพูดซึ่งรวดเร็วปานปืนกล จับใจความได้ว่าให้เข้าไลน์กลุ่มบ้าง จึงรีบทำตามคำสั่งด้วยความรวดเร็ว

          จำนวนข้อความที่ไม่ได้อ่านเท่ากับ 678 ข้อความ อำนาจนั่นเองเป็นคนแจ้งข่าวสำคัญ เขารายงานสดตั้งแต่ลงเขาจนถึงหน้าห้องไอซียู ว่าแล้วเชียว…ทำไมหมอนี่เอาแต่จ้องมองหน้าจอ ผมเองก็ลืมไปว่าอำนาจติดโลกโซเชี่ยล ไลน์งี้ เฟสบุคงี้ อินสตาร์แกรมงี้ ทวิตเตอร์งี้ หมอนี่นั่งดูได้ทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ยังถือว่าเขามีมารยาทพอสมควร ที่ไม่ลงรายละเอียดของผู้บาดเจ็บเลย รวมทั้งเรื่องที่ผมน้ำตาไหลพราก ไม่เช่นนั้นคงได้โดนล้อยันลูกบวชแน่

          ท้ายสุดผมไล่เช็ดไลน์ส่วนตัว ดูเหมือนทุกคนจะส่งเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง จึงเลือกที่จะเปิดแค่เพียงคนพิเศษ เริ่มต้นด้วยชิดชนกเป็นคนแรกสุด เธอส่งไลน์หาผมเพียง 2 ข้อความ ทั้งที่ตอนกลางวันคุยกันเกือบ 200 ข้อความ

          เธอคนนั้น : เช็ดน้ำตาอยู่ล่ะซี๊ คนขี้แงเอ๊ย…!!

          เธอคนนั้น : พรุ่งนี้จะทำบัวลอยไปฝาก กินให้หมดดั้ว ^^

          คนขี้แงส่งยิ้มหวานให้กับกระจกเงา เธอรู้ได้อย่างไรว่าผมร้องให้ และเธอรู้ได้อย่างไร…ว่าผมไม่ชอบกินบัวลอย

                        ---------------------------------------------

          บ่าย 4 โมงครึ่งวันพุธอากาศเย็นสบาย แม้มีแดดแรงทว่าลมหนาวช่วยคลายความร้อน มีคนเคยบอกว่า…แดดหน้าหนาวปวดร้าวกว่าหน้าไหน อุณหภูมิลดลง ความชื้นลดลง ผิวหนังแตกแห้ง รวมทั้งทำร้ายดวงตาถ้าไม่ดูแลป้องกัน แต่ถึงกระนั้นเราก็สมควรโดนแสงแดดอุ่น ๆ เพราะมีวิตามินดีตามธรรมชาติ ช่วยสร้างความแข็งแรงให้มวลกระดูก

          บริเวณด้านหน้าตลาดสดเริ่มคึกครื้น และจะกลับมาคึกคักหลังจากนี้ไม่นาน ร้านอาหารเจ้าประจำเข็นรถมายังจุดเดิม โดยหวังว่าจะไม่มีฝนหลงฤดูเช่นวันวาน หลายคนใกล้เริ่มทำงานรอบเย็นอีกครั้ง และอีกหลายคนใกล้เลิกทำงานวันนี้ รวมทั้งร้านขายจักรยานฝั่งตรงข้ามตลาดสด ซึ่งเปิดบริการให้กับลูกค้าตั้งแต่เช้าตรู่

          “แต่งตัวเสร็จหรือยัง เพื่อนมารอนานแล้วนะ”

          เสียงเรียกตัวดังแว่วมาแต่ไกล ผมตาลีตาเหลือกสวมร้องเท้าผ้าใบนันยางคู่เก่า แล้วเดินลิ่วออกมาพบเจ้าของเสียง อี๊บ๊วยรวบผมดำยาวตรงไว้ด้วยหนังสะติ๊ก นั่งอยู่บนลานปูนหน้าบ้านอันเป็นสถานที่ทำงาน เมื่อสบตากันจึงได้เริ่มแก้ตัว

          “เสร็จแล้วอี๊ แต่งตัวแป๊บเดียวเอง หมอนี่ต่างหากมาเร็ว” คนมาสายโยนขี้ให้เพื่อน

          “อ้าว…!! ไรแว้ กลายเป็นตรูผิดซะงั้น” ทรงเดชทำคอเอียงขณะซัดกล้วยบวชชีชิ้นสุดท้าย

          “โทษเพื่อนอีกนะเรา” น้าสาวส่ายหัวด้วยขบขัน “หน้าหนาวมืดเร็วมาก ไปกันได้แล้วพวกหนุ่ม ๆ”

          “ผมเก็บของให้ก่อนดีกว่า แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”

          โดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรมอะไรอีก ผู้เป็นหลานแย่งกล่องเครื่องมือมาครอบครอง แล้วรวบรวมอุปกรณ์บนพื้นอย่างรวดเร็ว ฝ่ายทรงเดชซึ่งกินกล้วยบวชชีหมดพอดี ได้ช่วยเข็นจักรยานซ่อมแล้วเข้าที่จอด แล้วลานปูนกว้างก็กลับขาวมาสะอาดดังเดิม อันที่จริงมันก็ยังไม่สะอาดเท่าไหร่ ไว้กลับมาก่อนแล้วจะล้างด้วยผงซักฟอก

          “ตั้งใจเล่น อย่าตุกติก ยิงประตูให้อั๊วด้วย” สตรีสุงวัยผมสีดอกเลากล่าวตามหลัง ทำเอาคนฟังถึงกับสะอึก

          “โธ่อาม่า ผมเล่นกองกลาง” หลานชายบ่นอุบพร้อมทำคิ้วขมวด

          “จะกองไหนก็ยิงประตูได้ อั๊วเคยดูทีมเป็ดแดงแข่งนะโว้ย ลื้ออย่ามั่วอาตี๋” อาม่าซัดด้วยหมัดฮุกขวา

          “ทีมเป็ดแดงเชียวเหรอ แบบนี้อาม่าก็…แฟนพี่เจิดสิเนี่ย ก๊ากกก !!”

          ทรงเดชหัวเราะขบขันเป็นที่สนุกสนาน เมื่อได้ฟังคารมและคมหอกจากเจ้าของร้านรุ่นเดอะ ผมทั้งแค้นทั้งงอนสองคนนี้เลยเกิน ที่ดันมาล้อทีมโปรดโดยไม่แคร์กองเชียร์รูปหล่อ ขนาดอี๊บ๊วยยังขำกับมุขนี้ของอาม่า

          ระหว่างที่เดินหน้ามุ่ยออกมาจากร้าน พร้อมเพื่อนสนิทผู้เป็นนักบาสโรงเรียนนั้น อำนาจสวมเสื้อทีมแมนยูอดิดาสของแท้ ได้เดินเข้ามาสมทบรวมกลุ่มพร้อมยิงฟันขาว เจ้าตัวถือลูกบอลอดิดาสใหม่เอี่ยมมาด้วย เป็นรางวัลที่ได้จากหมอประสาทเมื่อครู่นี้เอง เราสามคนมุ่งตรงไปยังวัดหมูแดง เป้าหมายก็คือสนามหญ้าหน้าศาลาการเปรียญ

          ที่เลือกเดินไปไม่ใช้จักรยานนั้นมีสาเหตุ ทั้งนี้ก็เพื่อโชว์หญิงในตลาด เอ๊ย..! เพื่อเป็นการอบอุ่นร่างกายในตัว เย็นนี้มีการซ้อมฟุตบอลเป็นครั้งแรก โดยการชักนำจากทรงเดชจำกันได้ไหมครับ ผมเหลียวมองคลีนิคหมอประสาทอีกครั้ง พบคุณหมอตัวเล็กผิวขาวสวมแว่นตาทรงเชย ยืนโบกไม้โบกมือพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ

          น้าสาคือหมอที่เก่งที่สุดในโลก เธอทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่อให้เกิดขึ้นได้ สองแม่ลูกจากเขื่อนขุนด่านพ้นขีดอันตรายแล้ว ยังอยู่ในห้องไอซียูแต่อาการดีขึ้นตามลำดับ การผ่าตัดเริ่มต้นเมื่อผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล กว่าจะสิ้นสุดลงปาเข้าไปเกือบ 2 ทุ่ม ผมกลับถึงบ้าน 4 ทุ่มพอดิบพอดี และหลับเป็นตายกระทั่งอี๊บ๊วยปลุกให้ไปเรียน

          “นายทำรายงานเสร็จหรือยัง เห็นนั่งปั่นอยู่ตอนพักเที่ยง”

          ทรงเดชได้ชวนคุยระหว่างเดินทาง วันนี้อาจารย์สมพิศกลับมาสอนหนังสือ หลังจากหายขาดจากโรคอีสุกอีใส

          “เสร็จแล้ว ส่งแล้ว ผ่านแล้ว” ผมตอบกลับพลางยักคิ้วข้างเดียวให้

          “เฮ้ย ! ทำไมเร็วจัง เขียนไปว่าไง” คนถามทำตาเหลือก

          “โกหกหรือเปล่า อาจารย์สมพิศเนี่ยะนะจะให้ผ่าน” อำนาจเหล่ตามองคล้ายไม่เชื่อ

          “ผ่านแล้วจริง ๆ เราเขียนไปว่า…” ผมหยุดชะงักเรียกความสนใจ “โตขึ้นจะเป็นนักวอลเลย์บอลอาชีพ”

          เพื่อนทั้งสองมองค้อนด้วยหมั่นใส้ อันที่จริงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรหรอก รายงานของผมยาวถึง 20 หน้ากระดาษ เต็มไปด้วยข้อมูลจากอากู๋บวกจิตนาการเข้าไปสิ เท่านี้เองอาจารย์สมพิศก็ให้ผ่านแล้ว วอลเลย์บอลคือกีฬาที่ผมรักมากที่สุด การเขียนถึงจึงง่ายดายยิ่งกว่าปะแป้ง สิ่งที่เรารักมักตรงข้ามความจริงเสมอ ทำให้ทุกคนต้องมาซ้อมฟุตบอลกันยิก ๆ ด้วยความหวังว่าอาจได้เป็น ธีระเสียว แตงกวา คนที่สอง

          แต่มันก็แค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ผมรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับรู้คำตอบที่ทรงเดชเคยถามวันก่อน จะต้องปะยางรถจักรยานซักกี่คันผมก็จะปะ จะหาเงินได้ถึง 2 ล้านบาทหรือไม่ก็ช่างเถอะ ทั้งหมดเป็นเรื่องอนาคตข้างหน้า ซึ่งไม่ควรแบกไว้ให้ปวดสมอง เราเป็นเด็กมัธยมปลายก็ต้องทำตัวเหมือนเด็กมัธยมปลาย คิดมากไปผมหงอกกันพอดี

          “แล้วไม่ต้องซ้อมบาสเหรอ ใกล้แข่งแล้วนี่นา” ผมตั้งคำถามกลับบ้าง

          “อาทิตย์หน้าเริ่มเก็บตัวแล้ว” ทรงเดชหันมามองแวบเดียว “ไม่มีปัญหาหรอกน่า เราซ้อมบาสจันทร์ถึงศุกร์ เสาร์อาทิตย์ก็ซ้อมบอลต่อได้ รับรองว่าปีหน้า…พวกเราจะดังกระหึ่มทั่วโรงเรียนแน่นอน”

          เจ้าตัวแสดงความมั่นใจด้วยการตบหน้าอก ก่อนร้องโอดโอยเพราะรู้สึกเจ็บหัวนม อำนาจเริ่มต้นพูดถึงโครงการใหม่เอี่ยมอ่อง ที่ตกลงกันได้หลังเลิกเรียนวันนี้เอง นั่นคือพาทีมฟุตบอลห้องสามคว้าแชมป์ระดับโรงเรียน

          สาเหตุนี้เองที่ทำให้แก๊งค์สามหื่น หน้าเดินด้วยการซ้อมฟุตบอลระดับเริ่มต้น จริงอยู่ว่าทรงเดชเคยเล่นทีมโรงเรียนมาแล้ว ทว่าเขาเป็นศูนย์หน้าที่ใช้แรงควายเข้าห้ำหั่น และอยู่ท่ามกลางรุ่นพี่ซึ่งเล่นเก่งทุกคน ตรงข้ามกับทีมห้องเราราวดอกฟ้ากับหมาวัด เนื่องจากเล่นฟุตบอลกันไม่เก่งจนถึงไม่เก่งมาก ทั้งยังไม่รู้ว่าจะหานักกีฬาได้ครบหรือไม่ พรุ่งนี้ผมจะทาบทามมนต์ชัยเข้าร่วมทีม แม้จะไม่ชอบขี้หน้าหมอนี่เท่าไหร่ แต่เรายังขาดปีกซ้ายจอมพริ้วไม่ใช่เหรอ

          “มากันได้เสียที ตีแบครอจนเมื่อยขาแล้ว”

           เสียงหวาน ๆ ใส ๆ ส่งมาทักทายสองรูหู ทันทีที่ถึงสนามหญ้าหน้าศาลาการเปรียญ ผมจ้องมองภาพความสวยงามที่ปรากฎ ชิดชนกกับนิตยายืนยิ้มหวานพร้อมหอบแฮก ๆ พวกเธอมาตีแบดคอยอยู่บนลานปูน โดยมีติ่งและปานเด็ดวัดตัวแสบเป็นกองเชียร์ ลูกสาวเฮียอ๋าจ้องหน้าเด็กหนุ่มสวมเสื้อยึดคูโบต้า แค่เพียงครู่เดียวก่อนโชว์สิ่งที่อยู่ในมือ

          “เรามีข่าวดีมาบอก” ชิดชนกฉีกยิ้มกว้าง “บัวลอยสุดอร่อยยังเหลืออีก 2 ถุง ไม่ต้องแย่งกันนะครับ”

          ผม อำนาจ และทรงเดช ต่างสะดุ้งเป็นตลกคาเฟ่ พลางปาดเม็ดเหงื่อที่ไหลย้อยออกจากโคนผม บัวลอยโค-ตะ-ระเค็มที่ได้กินตอนกลางวัน ทำให้ลิ้นชาสนิทไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยังตามมาหลอกหลอนได้ถึงวัดหมูแดง

        “เราต้องเก็บตัวแข่งบาส ขอผ่านนะ” ทรงเดชชิงบอกปัดแล้ววิ่งหนีไป

          “เราต้องทำรายงานเดี๋ยวนอนไม่หลับ ให้คนอื่นเหอะ” อำนาจตอบมั่วซั่วพลางถอยห่าง

          “เรา เรา เรา เอ่อออ…..” นายหัวหน้าห้องลังเลใจสุดชีวิต “เราจองถุงนึงแล้วกัน”

        ผมแอบถอนหายใจไม่ให้ใครเห็น พลางวิ่งจากไปพร้อมน้ำตาอาบแก้ม ตอนที่ชิดชนกบอกว่าจะทำบัวลอยให้กิน ผมนี้สุดดีใจทั้งที่ไม่ชอบเลย ปรากฎว่าเธอทำมาแจกเพื่อน ๆ ทุกคน ถึงกับใจแป้วเลยนะนั่น (เพราะดันคิดว่าเป็นคนสำคัญ) ครั้นได้รับรู้รสชาติบัวลอยคำแรก บังเกิดความรู้สึกยินดีเป็นที่สุด ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลคนเดียวแล้วเรา

        “แปลกจัง.?? ทำไมพวกผู้ชายถึงไม่กิน” คนทำบัวลอยตั้งคำถามในแววตา เธอหันรีหันขวางกระทั่งพบเป้าหมายใหม่ “นิดเอาไปกินมั้ย เราตื่นขึ้นมาทำตั้งแต่ตีห้าเชียวนะ”

          “โทษทีนะนก เรากำลังไดเอท” คนพูดหน้าตื่นมองหาตัวช่วย “ติ่งกับปานไปกินลูกชิ้นกัน พี่เลี้ยงเอง”

        แล้วนิตยาสาวน้อยดวงตาซุกซนก็เดินจากไป พร้อมเด็กวัดตัวแสบผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ทิ้งให้เพื่อนสาวคนสนิทยืนทำหน้าฉงน ขณะจ้องมองบัวลอยสุดอร่อยในมือขวา

        ชิดชนกไม่เข้าใจซักนิดเดียว ว่าทำไมคนไดเอทถึงกินลูกชิ้นปิ้งได้ ??

                   ---------------------------------------------

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา