angelic ภาค หัวใจสีขี้เถ้า

9.3

เขียนโดย zusuran

วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 20.50 น.

  15 ตอน
  0 วิจารณ์
  13.14K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) ศัตรู….หัวใจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
หลังจากต่อสู้กับเหล่าปีศาจและพ่อมดที่ป่าสีน้ำเงิน ฟลอกซ์ก็หายกลับเข้าไปในร่างของโอซาริสตามเดิม ถึงภายนอกจะโอซาริสจะไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆแต่เธอก็รู้สึกได้ถึงวิญญาณอีกดวงที่อาศัยอยู่ด้วยกัน การเดินทางที่มีพ่อมดคอยไล่บี้ไม่มีการหยุดพักนานเกินหนึ่งวันจึงทำให้ร่างกายเริ่มจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดมากขึ้นทุกที
“ท่านโอซาริส ข้าเออร์แวนเจ้าค่ะ”
“เข้ามาสิ”
เอลฟ์สาวเดินเข้ามาในกระโจมพร้อมกับถาดผลไม้และน้ำดื่ม
“พักนี้ท่านทานอาหารได้น้อยมาก อาการบาดเจ็บยังไม่หายดีหรือเจ้าคะ”
“ข้าสบายดี”
“แล้วท่านฟลอกซ์ล่ะเจ้าคะ”
เออร์แวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล ชนเผ่าเอลฟ์ในป่าสีน้ำเงินต่างก็รู้ดีว่าเธอเป็นคนสนิทที่รับใช้และขึ้นตรงต่อฟลอกซ์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะถามไถ่ โอซาริสยิ้มเล็กน้อยแต่ก็ยังปกปิดสีหน้าเคร่งเครียดไม่ได้มากพอ
“ฟลอกซ์อยู่ในร่างของข้า ตราบใดที่นางไม่ฝืนใช้พลังออกมาต่อสู้ ร่างกายของข้าจะเยียวยานางให้หายเป็นปกติ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นได้ข้าก็เบาใจเจ้าค่ะ แต่นิสัยของท่านฟลอกซ์เป็นอย่างไรท่านเองก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือ”
“นั่นสินะ”
“ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
เออร์แวนออกไปจากกระโจมเพียงชั่วอึดใจโอซาริสก็หลับตาผ่อนลมหายใจและสนทนากับวิญญาณอีกดวงที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้น
“ได้ยินหรือเปล่าฟลอกซ์”
‘ยุ่งไม่เข้าเรื่อง’
“ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
‘นั่นไม่สำคัญเท่ากับคนบ้าที่สะกดรอยตามพวกเราหรอก’
“มังกรของไฮเพอริเนอร์น่ะรึ”
‘ไล่มันกลับไปซะ!’
“ฮึๆๆๆ...นอกจากเคโอเรสเตอร์แล้วดูท่าทางเจ้าจะไม่ชอบหน้าบุรุษเอาเสียเลยนะ”
‘เรื่องของข้า’
เสียงฮึดฮัดค่อยๆจางหายไป บรรยากาศรอบข้างก็กลับมาเหมือนเดิม โอซาริสถอนหายใจอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน เธอคงไม่สามารถไล่มังกรนักรบไปได้ เพราะนิสัยส่วนตัวก็ใช่ว่าจะชอบไล่คนอื่นตามอำเภอใจ
“ตอนนี้ข้าขอพักหน่อย ถ้าเจ้าอยากไล่เขาก็เชิญไปไล่คนเดียวเถอะ”
โอซาริสว่าพลางเอนกายพิงแท่นไม้และหลับตาลงอย่างอ่อนแรง เพียงไม่นานการเปลี่ยนแปลงก็ได้เกิดขึ้นกับร่างที่นอนนิ่ง เริ่มจากเส้นผมสีทองสยายได้กลับกลายเป็นสีดำหยักศกพร้อมกับสีผิวที่ขาวซีดยิ่งกว่าเดิมและเปลือกตาคู่บางที่เพิ่งปิดสนิทก็คลี่ออกช้าๆพร้อมกับเผยให้เห็นดวงตาสีใหม่ที่ทั้งเจิดจรัสและแข็งกร้าว พร้อมกันนั้นเสียงสบถกร่นด่าขู่คำรามในลำคอก็ลอดออกมาจากริมฝีปากสีแดงเอิบอิ่มอย่างแผ่วเบา
“ชิ…หน้าไหนๆก็น่ารำคาญไปหมด”
สองเท้าเปล่าเยื้องย่างลงจากที่นอนซึ่งเป็นเพียงแท่นไม้ที่ถูกปูทับด้วยผ้าผืนบาง ก่อนที่ร่างสะโอดสะองจะเดินตรงไปที่ทางออกของกระโจมอย่างแช่มช้า หากว่าเป็นเมื่อก่อนคงหายตัวไปไหนมาไหนได้ในพริบตา ทว่า ตอนนี้ร่างกายกลับไม่ฟังคำสั่งเพราะความบอบช้ำยังคงแผ่กระจายไปทั้งร่าง ทำให้ฟลอกซ์ต้องกัดฟันฝืนเดินไปทีละก้าวอย่างยากลำบาก
พระจันทร์เสี้ยวกำลังลาลับของฟ้ายามราตรี แสดงให้รู้ถึงยามวิกาลที่ดึกดื่น ทว่า นั่นไม่ใช่เวลาที่จะมานอนสบายใจเฉิบสำหรับมังกรอย่างเซดริก ถ้าเป็นเมื่อก่อนในยามค่ำคืนแบบนี้เขาคงอยู่ในร่างของมังกรและพาผู้เป็นนายเหนือหัวทะยานท่องไปในท้องนภาอันกว้างใหญ่ หรือไม่ก็กำลังต่อสู้อยู่ในสนามรบที่เต็มไปด้วยศาสตราวุธและกองเพลิงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาและไม่รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างเช่นในตอนนี้ที่ต้องอยู่ในร่างมนุษย์ ไร้ปีก และต้องปกปิดพลังเพื่อคอยติดตามเหล่าเอลฟ์ที่กำลังเดินทางอยู่ห่างๆ ถึงจะขัดใจแต่ก็ไม่ได้ขัดข้องเพราะว่านี่คือคำสั่งของนายเหนือหัวที่เขายอมได้เพียงหนึ่งเดียว
แซ่ก…แซ่ก!
เสียงใบไม้ถูกเหยียบย่ำดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆเรียกสติที่กำลังล่องลอยให้กลับมา สำหรับนักรบที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วนไม่ใช่เรื่องยากที่จะอำพลางกายให้กลมกลืนกับความมืดดำ ถึงนี่จะไม่ใช่การลอบสังหารศัตรูแต่การเตรียมอาวุธก็กลายเป็นนิสัยไปเสียแล้ว สำหรับเซดริกเวลาที่อยู่ในร่างมนุษย์ไม่ได้ต่างไปจากร่างที่แท้จริงอย่างร่างของมังกร ทั้งเวทมนตร์และพลังต่างๆของเขายังอยู่ครบถ้วน แม้กระทั่งไฟที่พ่นออกมาจากปาก แต่นานทีจะได้เปลี่ยนมาใช้ร่างมนุษย์จึงทำให้มังกรหนุ่มรู้สึกขัดเขินบ้าง และการจู่โจมที่ถนัดก็คือการจู่โจมตรงๆด้วยร่างกาย
กึก!
เสียงฝีเท้าหยุดลงพร้อมกับร่างสะโอดสะองในชุดลุ่มล่ามที่ยืนอยู่ตรงหน้า รูปร่างที่มองเห็นนั้นบ่งบอกว่าเป็นหญิง แต่หากใบหน้านั้นกลับถูกเส้นผมสีดำดุจรัตติกาลปกปิด แถมเธอผู้นั้นยังแผ่จิตสังหารออกมาอย่างรุนแรง ปลุกให้สัญชาตญาณของมังกรหนุ่มทำงานทันที
ฟึ่บ!
เพียะ!
ตุบ!
พลั่ก!!!
เกิดการฟาดฟันท่ามกลางความมืดจนเห็นคล้ายเส้นด้ายเรืองแสงหลายสิบเส้นฉวัดเฉวียนกันไปมา ก่อนที่แสงสุดท้ายของจันทร์เสี้ยวจะส่องสะท้อนให้เห็นร่างของคนสองคนล้มกลิ้งไปด้วยกันบนพื้นหญ้าแห้ง สุดท้ายผู้ที่มีกำลังเหนือกว่าย่อมมีชัย เชดริกนั่งคร่อมร่างบางที่นอนราบอย่างสิ้นท่า พร้อมกันนั้นนิ้วเรียวทั้งห้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเล็บมังกรคมกริบยังจี้คอระหงในระยะที่ขยับเพียงมิลเดียวก็ทะลุคอหอยอย่างง่ายดาย
“อึก!”
รู้สึกถึงแรงขยับอันน้อยนิดก่อนที่ดวงตาสีทองวาวโรจน์จะจ้องมาที่เขาอย่างขุ่นเคือง เซดริกเคยพบผู้หญิงคนนี้ ที่ป่าสีน้ำเงิน ถึงแม้จะเป็นการพบกันเพียงผ่านๆท่ามกลางความวุ่นวายอลหม่านแต่เขาก็ยังจำได้ดี ถึงหญิงแกร่งที่ปรากฏตัวออกมาสลับร่างกับเอลฟ์อีกนางหนึ่งและต่อสู้กับเหล่าปีศาจและพ่อมด เธอต่อสู้เพียงลำพังและได้รับชัยชนะน่าชื่นชม ทว่า หลังจากนั้นก็หายกลับเข้าไปในร่างของเอลฟ์ผู้นั้น ซึ่งแค่มองเห็นเพียงน้อยนิดก็รู้ว่าเธอบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถคงอยู่ได้นาน แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น….
“เจ้าออกมาทำไม”
“หึ…พูดได้ดี”
ปลายเล็บคมกริบยังคงจี้คอระหงไปได้ร่นระยะ แต่หากสาวเจ้ายังคงมีท่าทีเฉยชาและส่งสายตาแข็งกร้าวอย่างไม่กริ่งเกรงใดๆ เซดริกไม่เข้าใจในความโอนอ่อนเพราะในสนามรบไม่เคยเสี้ยมสอนนอกจากการฆ่าและถูกฆ่า กับสาวงามผู้นี้ก็เหมือนกัน
“ตอบคำถามข้า…เดี๋ยวนี้”
“ข้าไม่ใช่นักโทษที่จะตอบคำถามเจ้า!”
ฟลอกซ์ขู่คำรามและกระแทกเสียงออกมาพร้อมกับรวบรวมพละกำลังทั้งหมดยกหมัดลุ่นๆชกเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของเธอจะด้อยกว่าเขาหลายเท่าเพราะร่างกายที่เพิ่งจะฟื้นได้ไม่เต็มที่ หมัดลุ่นๆที่ไร้พลังเวทถูกรับไว้ด้วยฝ่ามือที่ยกขึ้นมารับอย่างส่งๆ
ปึ้ก!
“คิดจะใช้กำลังกับข้ารึ”
“หึ จะฆ่าข้ารึ”
“ข้าทำได้หากข้าต้องการ”
ฟลอกซ์พยายามดึงมือกลับ แต่ไม่ว่าจะดึงเท่าไหร่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลุดรอดจากอุ้งมือหนาๆนั้นได้เลย
“อย่าบังคับให้ข้าต้องทำร้ายเจ้าไปมากกว่านี้เลยดีกว่า”
เชดริกยังคงรักษามาดนิ่งเอาไว้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ขณะที่ยังบีบมือของอีกฝ่ายแน่นเข้าไปอีก สุดท้ายฟลอกซ์ก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่พลังที่เหนือกว่า แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเธอก็ยังไม่ยอมสิโรราบและยังยึดมั่นในจุดประสงค์ที่มา
“ไปซะ! รีบไปให้พ้นก่อนที่ข้าจะฟื้นตัวมาฆ่าเจ้า”
“เจ้ามาเพื่อไล่ข้าจริงๆสินะ”
“คนอย่างข้าไม่ต้องการให้ใครมาปกป้องดูแล ถ้ารู้แล้วก็รีบไสหัวไป!”
“คนที่ออกคำสั่งกับข้าได้มีเพียงมายลอร์ดเพียงผู้เดียวเท่านั้น แล้วอย่างเจ้าน่ะรึจะมาฆ่าข้า น่าขำ”
“เจ้า!”
เหมือนคำพูดหลายต่อหลายประโยคอุดอยู่ในลำคอจนพูดออกมาไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว นี่อาจเป็นครั้งแรกที่มีคนสามารถทำให้ท่านฟลอกซ์แห่งป่าสีน้ำเงินโกรธจนพูดไม่ออก นับตั้งแต่ที่ยังมีชีวิตจนกระทั่งตอนนี้ที่มีสภาพไม่ได้ต่างไปจากวิญญาณอาศัยร่างคนอื่น
เซดริกยังคงนั่งคร่อมร่างบางและกำข้อมือของเธอเอาไว้ไม่ปล่อย จนกระทั่งความรู้สึกเหมือนคมมีดพุ่งหลาวมาแต่ไกล เขาจึงฉุดเธอให้ลุกโดยไม่คิดว่าใบหน้าของเธอผู้นั้นจะชิดกับตนมากเพียงใด ดวงตาสีทองเบิกกว้างฉายแววตกใจปนเปกับความโกรธที่ยังหลงเหลือ ทว่าเซดริกกลับไม่สนใจและยังถือวิสาสะอุ้มร่างสะโอดสะองชุดลุ่มล่ามนั้นนั้นแนบอก
“จะทำอะไร!”
ฟลอกซ์ตกใจสะดุ้งสุดตัวแต่ก็เหมือนจะเป็นการขยับได้เพียงมิลเดียวเท่านั้น เซดริกเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดสอดส่ายสายตาล่อกแล่กเหมือนระวังภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
ตูมมมมมมม!!!!
มังกรหนุ่มในร่างมนุษย์ค้อมตัวต่ำพร้อมกระชับวงแขนแน่น ใบหน้าของฟลอกซ์จึงอัดแนบกับผ้าคลุมในส่วนที่อยู่บนอกของเขาอย่างไร้ทางเลี่ยง กลุ่มควันมากมายหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆจากการระเบิดที่ดังขึ้นต่อเนื่องคละเคล้ากับเสียงกรีดร้องของพวกเอลป์
“ไม่นะ!”
“จะไปไหน”
เซดริกยังกระชับวงแขนแน่นไม่ยอมปล่อย ขณะที่ฟลอกซ์ไม่ละความพยายามที่จะดิ้นรน
“ปล่อยข้า!”
“จะไปหาที่ตายหรือไง”
“ข้าตายไปแล้ว!”
“ยัง…เจ้ายังไม่ตาย”
“ก็บอกว่าข้าตายไปแล้วยังไงเล่า ปล่อยข้าลงเจ้ามังกรดื้อด้าน!”
“อย่ามาออกคำสั่งกับข้า”
เซดริกกดเสียงให้หนักและยักกระชับวงแขนให้รัดร่างบางจนใบหน้าแข็งกร้าวของอีกฝ่ายเริ่มบิดเบี้ยว แบบนี้ล่ะดีแล้ว จะได้พาหนีได้อย่างสะดวก แต่ดูท่าการหนีจะไม่ค่อยราบรื่นซักเท่าไหร่ เมื่อเจ้าตัวปัญหาดันโผล่มาถูกที่ถูกเวลากว่าใครเพื่อน
“เจอตัวจนได้สินะ เจ้าหญิง”
ดีที่เซดริกกระชับวงแขนกดร่างบางให้มุดอยู่ในผ้าคลุมของตัวเอง จึงทำให้อีกฝ่ายความจำเลอะเลือนไปชั่วขณะ
“อะไรกันเนี่ย ข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน”
“ก็ไม่เคยเหมือนกันนั่นแหล่ะ”
“ส่งตัวเฮเลียสมา”
“ไม่”
คำตอบง่ายๆแสนสั้นแต่ได้ใจความ หากจำไม่ผิดนี่ก็คงจะเป็นพ่อมดโวเลนธาร์ที่ตามหาเจ้าหญิงเฮเลียสเพื่อนำกลับไปเป็นราชินีของตน เซดริกไม่ค่อยเข้าใจความหมายของการออมชอมซักเท่าไหร่ เพราะเมื่ออีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาเหมือนหยั่งเชิงเขาก็โบกผ้าคลุมหายตัวไปพร้อมกับความมืดทันที
“คิดว่าจะหนีพ้นรึ”
ไม่คิดแต่ทำจริงๆต่างหาก
ในมิติที่หายตัวเข้ามาไม่ใช่ที่ไหนไกลอื่นนอกจากเส้นทางสายเดิมที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกควัน ฟลอกซ์ยังคงอยู่ในอ้อมแขนของมังกรหนุ่ม เธออ่อนแอเกินกว่าจะลุกขึ้นต่อกรกับพวกมัน และภายในหมอกควันนี้ทำให้มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอกได้ พวกเอลฟ์กำลังต่อสู้กับพ่อมดโดยมีลิซ่ากับเออร์แวนคอยนำทัพ เพิงพักของพวกเขาถูกทำลายลงอย่างราบคาบแต่พวกเขาก็ยังช่วยกับปกป้องกระโจมอีกหลังที่ยังเหลือเพราะเข้าใจว่ายังมีคนอยู่ในนั้น
“พาพวกเขาเข้ามาไม่ได้รึ”
ฟลอกซ์หันไปถามเซดริกที่ยังนิ่ง มังกรหนุ่มส่ายหน้าเป็นคำตอบแสนเงียบ ในเวลานั้นคทาอันแหลมคมจากพ่อมดตนหนึ่งก็แทงทะลุร่างของเอลฟ์นางหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือ
“เออร์แวน!”
รู้สึกแสบร้อนจนอยากดิ้นพล่านไปกับพื้นเมื่อเห็นร่างสูงเพรียวล้มลงนอนกับพื้นอย่างนิ่งสนิท ฟลอกซ์อยากออกไปแต่ดูเหมือนเซดริกจะอ่านใจเธอออก เขายังคงกอดกระชับร่างของเธอแน่นเข้าไปอีก
“ปล่อยข้า….ปล่อยข้า!”
ฟลอกซ์ดิ้นสุดชีวิตไม่ต่างจากคนบ้าที่กำลังหาทางหลุดพ้นจาก
โซ่ตรวน และในที่สุดหลุดพ้นกระโดดวิ่งออกไปยังร่างที่นอนนิ่งท่ามกลางการต่อสู้โรมรันโดยที่ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังไม่อาจห้ามปรามได้อีก
“เออร์แวน… เออร์แวน!”
“อึก…ท่านฟลอกซ์”
“ทำใจดีๆเอาไว้”
“ข้าไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ ท่านรีบหนีไปเถอะ”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ!”
“รีบหนีไปเถอะเจ้าค่ะ ไปสิ”
ลมหายใจรวยรินถูกตัดขาดไปพร้อมกับร่างกายของเอลฟ์สาวที่นิ่งสนิทจมกองเลือดแดงฉานที่ไหลทะลักออกมาจากอกด้านซ้าย ดวงตาสีทองแข็งกร้าวได้ยินเสียงขบเขี้ยวดังกรอดจนเข็ดฟัน เล็บสีดำยาวเฟื้อยแหลมคมดุจใบมีดที่เพิ่งผ่านการลับมาหมาดๆ ก่อนที่เสียงขู่คำรามของสัตว์ร้ายจะดังกึกก้องตรึงทุกสรรพสิ่งให้หยุดนิ่ง
กรรรรรรรรรรรรร!!!
ความบ้าระห่ำได้เริ่มขึ้นแล้ว จากนางปีศาจที่ระบุเผ่าพันธุ์ไม่ได้อย่างฟลอกซ์ เธอไม่ใช่ทั้งเอลฟ์ไม่ใช่ปีศาจแต่เธอเป็นเพียงลูกผสมของเผ่าหมาป่าเท่านั้น
เซดริกมองความบ้าระห่ำแบบเกินขอบเขตของหญิงสาวตรงหน้าอย่างเงียบเชียบ ในเวลานั้นเองจิตสังหารอันแรงกล้าก็พุ่งเข้ามาเล่นงานเขาจากด้านหลัง ทำให้ต้องเอี้ยวตัวหลบและปัดป้องด้วยผ้าคลุมที่โบกสะบัดราวกับมีชีวิต
“หลบเก่งดีนี่เจ้าหนู”
โวเลนธาร์ช่างถนัดการลอบโจมดีจากด้านหลังเสียเหลือเกิน แต่ดูท่าคราวนี้การลอบกัดของเขาจะยากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเจ้าหนุ่มแปลกหน้าผมสีเงินคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่คิด
“เป็นพ่อมดลอบกัดแบบนี้ได้หรือ”
เซดริกเอ่ยถามอย่างซื่อตรงเรียกรอยยิ้มขื่นจากอีกฝ่ายได้อย่างน่าชื่นชม
“ก็ใครใช้ให้หันหลังกันเล่า”
“อย่างนั้นรึ”
ว่าแล้วผ้าคลุมอีกด้านก็โบกสะบัดเหมือนปีกสีดำที่กระพือตบฉาดจนร่างพ่อมดต้องปลิวละลิ่วไปติดต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปหลายวา
โครม!!!!
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะสนองให้”
ดวงตาสีทองฉายแววโรจน์บ่งบอกถึงความปรารถนาที่จะทำลายล้าง ตอนนี้ไม่มีเหตุผลที่จะต้องออมชอม แต่จะว่าไปก็ไม่รู้จักว่าการออมชอมคืออะไรเสียด้วยสิ

…………………………………………………………..
ท่ามกลางท้องฟ้าที่สงบเกินกว่าจะเรียกว่าปกติ จู่ๆชั้นบรรยากาศก็เริ่มบิดตัวเป็นเกลียวกลายเป็นหลุมดำที่เริ่มขยายตัวออกช้าๆ จากขนาดเท่าไข่ไก่กลายมาเป็นอุโมงค์ที่สามารถเดินเข้าออกได้โดยง่าย ซักพักเงารางๆของคนสองคนก็เดินพ้นออกมาจากอุโมงค์ คนหนึ่งสูงบางสวมผ้าคลุมสีหม่นปกปิดใบหน้าจนเหลือเพียงลูกตาสีมรกตแสนคม ส่วนอีกคนไม่ได้ต่างไปจากกองผ้าขี้ริ้วเพราะเตี้ยซะจนมองไม่ออกว่าส่วนไหนเป็นหัวส่วนไหนเป็นเท้า มีเพียงลูกตากลมโตสีมรกตเท่านั้นก็บ่งบอกว่าเขาคือคนเดินสองขาไม่ใช่สัตว์หน้าตาประหลาด
“ที่นี่สินะ โลกมนุษย์ที่ว่า”
เสียงหญิงสาวที่ออกจะเย่อหยิ่งเล็กน้อย ดังมาจากคนร่างสูงก่อนที่เสียงแหลมเล็กจากคนร่างเล็กกว่าดังขึ้นมาแทรก
“เวลาก็ไม่ค่อยมีแล้ว”
“ไปกันเถอะ”
สิ้นสุดคำพูดร่างปริศนาทั้งสองก็หายวับไปจากปากทางเข้าของอุโมงค์ ก่อนที่มันจะหดหายและกลับกลายเป็นสภาพอากาศที่เงียบสงบดังเดิม

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา