angelic ภาค หัวใจสีขี้เถ้า

9.3

เขียนโดย zusuran

วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 20.50 น.

  15 ตอน
  0 วิจารณ์
  13.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) พบกันอีกครั้ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ความเงียบและไออุ่นจางๆที่รายล้อมอยู่รอบกายเรียกสติเลือนรางให้กลับคืน เปลือกตาคลี่เปิดขึ้นอย่างเชื่องช้าพร้อมความรู้สึกแสบร้อนในลำคอ และร่ายกายที่เย็นยะเยือกจนจะเรียกได้ว่าชา
“แค่กๆๆ! หนาวจัง”
พรึ่บ!
จู่ๆก็มีผ้าคลุมหล่นลงมาคลุมร่างที่ยังนอนราบอยู่บนพื้น เฮเลียสกะพริบตาถี่รัวพลางจับผ้าคลุมผืนใหญ่ให้แนบกระชับร่างเพื่อความอบอุ่น รู้สึกถึงไออุ่นที่ยังหลงเหลือจึงทำให้คลายหนาวไปได้เปราะหนึ่ง เมื่อรู้สึกอุ่นจนหายชาก็ขยับกายลุกขึ้นนั่งและมองหาที่มาของผ้าคลุม จนได้พบกับใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ฟื้นเสียที”
เสียงทุ้มออกจะเย็นชาไปเสียหน่อยแต่ก็ไม่ได้ครึ่งของเจ้าชายปีศาจ เฮเลียสยันตัวออกห่างจนแผ่นหลังชนเข้ากับผิวขรุขระของต้นไม้ ในขณะที่ร่างนั้นยังคงนั่งนิ่ง
“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไร”
“ลืมข้าคนนี้ไปแล้วหรือไง”
เสียงทุ้มบ่งบอกว่าคนตรงหน้าคือชายหนุ่ม เฮเลียสหยุดดิ้นรนหาทางหนีและจ้องมองชายปริศนาด้วยความฉงนสงสัยอยู่ในที ในโลกนี้มีใครสักกี่คนที่เธอรู้จักกระทั่งบอกชื่อตัวเอง นอกจากเจ้าชายปีศาจเคโอเรสเตอร์ที่เป็นพี่ชายบุญธรรม เอลฟ์ผู้พิทักษ์แห่งป่าสีน้ำเงินนามโอซาริส และ…
“อย่าบอกนะว่าท่านคือ…”
“ไม่ได้พบกันนานเลยนะ เฮเลียส”
“โทรเฟ่น!”
มิน่าล่ะทำไมถึงได้คุ้นกับเสียงนี้นัก พลันแสงไฟสีแดงอมส้มปรากฏขึ้นปลายนิ้วของเทพหนุ่มส่องสว่างให้เห็นบริเวณที่เธอและเขาอยู่ในตอนนี้ ที่นี่เหมือนห้องอันแสนจะคับแคบ ดูแล้วก็น่าจะเป็นรากไม้ที่เป็นโพลงที่อยู่ของสัตว์บางชนิด
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ไม่มีที่ไหนที่ข้าไปไม่ถึงหรอก”
“ท่านสินะ ที่เป็นคนมาช่วยข้าที่ปราสาท แล้วก็…ที่ลำธารนั่น”
เฮเลียสคาดเดาไม่ผิดเมื่อเทพหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก
“ท่านช่วยข้าเอาไว้ถึงสองครั้ง”
“ก็ไม่ได้คิดค่าเหนื่อยอะไรนี่”
ช่างเป็นคำพูดที่ตัดทอนความรู้สึกจริงๆ นิสัยแบบนี้เหมือนเจ้าชายปีศาจไม่มีผิด แต่เรื่องนั้นก็ไม่ได้สลักสำคัญเท่ากับสถานที่ที่อยู่ในตอนนี้ เฮเลียสละสายตาจากเทพหนุ่มพลางสอดส่ายสายตาไปรอบๆ พบว่าที่โพลงไม้แห่งนี้มีเนื้อที่คับแคบพอที่จะให้ล้มตัวนอนเหยียดได้เพียงคนเดียวและไร้ซึ่งทางออกที่ควรจะมี
“ท่านพาข้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไง”
“นั่นคือคำถามที่ใช้ถามเทพรึ”
“ข้าไม่อยากต่อปากต่อคำกับท่านโทรเฟ่น ข้าจะออกไปจากที่นี่ เปิดทางให้ข้าซะ”
“ออกไป?”
“ข้าจะกลับปราสาท ขอบคุณที่ช่วยเหลือข้า แล้วก็ขอบคุณสำหรับผ้าคลุม”
ว่าพลางส่งผ้าคลุมสีดำคืนให้เจ้าของ เทพหนุ่มไม่มีท่าทีว่าจะรับมันกลับ แต่เขากลับส่งยิ้มที่ตีความหมายไม่ออกมาเสียแทน นี่คือการพบกันอีกครั้งที่เฮเลียสไม่ปรารถนาที่จะให้เกิดขึ้นเลยจริงๆ นึกว่าเทพจะนิสัยดีกว่านี้เสียอีก เฮเลียสลุกขึ้นยืนซึ่งโชคยังดีที่ความสูงของเธอไม่ได้เป็นอุปสรรคในการยืนในโพลงไม้แห่งนี้ แต่แล้วไหนล่ะทางออก โทรเฟ่นเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
“ทางออกอยู่ที่ไหน”
“จะออกไปตอนนี้เลยรึ”
“หมายความว่ายังไง”
“ข้างนอกฝนตกหนัก ไม่อย่างนั้นข้าก็คงพาเจ้ากลับปราสาทเอลฟ์ไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องมุดเข้ามาอยู่ในนี้หรอก”
“สายฝนทำอะไรข้าไม่ได้หรอก อย่างน้อยมันคงจะดีกว่าที่ต้องติดอยู่ในนี้กับท่าน!”
“จำได้ว่าตอนที่พบกันครั้งแรกเจ้าไม่ ‘กระด้าง’ขนาดนี้นี่ เฮเลียส”
ว่าเข้าไปนั่น ใช่สิ เธอมันกระด้างไม่สวยงามไม่อ่อนโยนไม่ๆๆๆ ไม่สารพัดทุกอย่างที่หญิงกุลสตรีควรจะมีนี่ แต่เดี๋ยวก่อน…แล้วเธอจะน้อยใจทำไมกันเนี่ย!
พอเห็นใบหน้าบูดบึ้งเต็มพิกัดของหญิงสาวโทรเฟ่นก็ถึงกับหุบยิ้ม ท่าทางเขาจะพูดอะไรไม่เข้าหูเธอเสียแล้ว นี่แหล่ะที่เขาอ่อนด้อยกว่าแกรนเชลล์ น้องชายของเขา
“ข้าพูดอะไรให้เจ้าขุ่นเคืองใจสินะ ทำหน้าเหมือนปีศาจขี้เรื้อนเลย”
“นี่ท่าน!”
“โอ๊ะโอ ข้าพูดผิดอีกแล้วรึ”
“จะเป็นพระคุณอย่างสูงหากว่าท่านหยุดพูด”
เฮเลียสตัดบทไปเสียดื้อๆ เพราะถ้าหากปล่อยให้เขาพูดต่อเธออาจจะต้องทุบหัวตัวเองให้สลบไปอีกรอบเพราะทนคำพูดของเขาไม่ไหว
“ว่าแต่ฝนตกหนักขนาดที่เทพอย่างท่านยังต้องหลบเลยรึ”
เจ้าหญิงเริ่มเปลี่ยนบทสนทนาโดยพลัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกนะว่านี่เป็นการยอกย้อนทางอ้อมจากเธอผู้ซึ่งไม่เคยเอ่ยปากด่าใครมาก่อน โทรเฟ่นยังยิ้มบางและตอบคำถามเธอด้วยท่าทางระรื่น
“ก็เพราะว่ามันไม่ได้มีแค่ฝนน่ะสิ”
“หมายความว่ายังไง”
ตูมมม!!!
เสียงระเบิดดังขึ้นก่อนที่จะเกิดแรงสั่นสะเทือนจนเฮเลียสต้องเซถลาเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเทพหนุ่มอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“กะ เกิดอะไรขึ้น”
“มีการต่อสู้เกิดขึ้นข้างนอกน่ะสิ”
“ใคร อุ๊บ!”
มือหนาของเทพหนุ่มเลื่อนมาปิดปากก่อนที่เสียงใสของเจ้าหญิงจอมแก่นจะก้องกังวานออกไปไกล เฮเลียสพยายามเบือนหน้าหนีและดึงดันที่จะออกห่าง แต่เรี่ยวแรงของหญิงสาวไหนเลยจะเทียบเท่าผู้ชายตัวโต หนำซ้ำวงแขนที่กอดเธอเอาไว้ยังกระชับแน่นแบบไม่กลัวว่าเธอจะขาดอากาศหายใจซะด้วย
“เงียบไว้ เดี๋ยวพวกมันก็ได้ยินหรอก”
เฮเลียสนิ่งเลิกดิ้นรน ไม่นานวงแขนนั้นก็คลายให้หลวมพอให้ได้กอบโกยเอาอากาศเข้าปอด หญิงสาวเอื้อมมือมาแกะมือที่ปิดปากออกก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วที่พอจะได้ยินกันแค่สองคน
“ข้าไม่กลัวหรอก”
“เหรอ นั่นสินะ เจ้าหญิงปีศาจเช่นเจ้าคงกลัวอะไรไม่เป็นหรอก”
“ท่านว่าใครเป็นปีศาจ! อุ๊บ!”
เฮเลียสรีบยกมือปิดปากแน่น เอาเข้าแล้วไง เผลอตะคอกออกไปจนได้ โทรเฟ่นส่ายหน้าเหมือนจะเอือมระอา ทันใดนั้นผนังรากไม้ที่เขาพิงอยู่ก็เกิดการแตกร้าวก่อนที่มันจะพังทลายแตกออกเป็นเสี่ยงๆจากแรงกระแทกด้านนอก
ตูม!
โทรเฟ่นดีดตัวหลบพ้นเศษรากไม้ที่แตกเป็นเสี่ยงโดยไม่ลืมคว้าร่างบางตรงหน้ากระโจนออกไปจากโพลงไม้นั้นด้วย
“ข้าขอโทษ”
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า”
เทพหนุ่มลุกขึ้นยืนโดยไม่ลืมฉุดร่างบางให้ลุกตาม ฝนที่ตกกระหน่ำลงมาทำให้เสื้อผ้าของเธอที่เริ่มแห้งไปบางส่วนกลับมาเปียกโชกแนบเนื้อเห็นส่วนโค้งส่วนเว้าจนแทบทนมองไม่ไหว
“คลุมนี่ไว้ซะ”
เฮเลียสรับผ้าคลุมจากมือเขาไปคลุมตัวอย่างไม่คัดค้าน โทรเฟ่นแอบเห็นแก้มเธอขึ้นสีระเรื่อ ก็แน่ล่ะ ไม่ว่าจะแกร่งแค่ไหนสตรีก็ยังเป็นสตรีอยู่วันยังค่ำ
“อยู่นานเดี๋ยวจะเป็นอันตราย ไม่รู้ว่าพวกมันเป็นพวกไหน รีบไปเถอะ ตอนนี้ข้าไม่มีอารมณ์จะปะทะกับใคร เจ้า…”
“ข้าไหว”
“ดี ไปกันเถอะ”
“จะรีบไปไหน”
เสียงเย็นเยียบดังแทรกเข้ามากลางสายฝน เหมือนมนตร์สะกดให้ก้าวขาไม่ออก โทรเฟ่นจับสัมผัสไวกว่าเฮเลียสจึงรีบดึงตัวเธอไปไว้ด้านหลังพลางจ้องไปยังต้นตอของเสียงที่เป็นเพียงเงาดำที่กลมกลืนกับต้นไม้ใบหญ้าแถวนั้น
“ออกมาซะ”
“……..”
ผ่านไปเกือบสองนาทีสิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความเงียบที่คละเคล้ากับเสียงฝน เฮเลียสจ้องมองเงาดำที่ยังยืนนิ่งอยู่อย่างไม่กะพริบตา แปลกที่มันไม่เข้ามาโจมตีและแปลกที่โทรเฟ่นไม่ชิงลงมือเสียก่อน
“โทรเฟ่น นั่นมัน….”
“ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะพาเจ้าบินไป!”
ไม่พูดเปล่า เทพหนุ่มหันกลับมาคว้าร่างเธอเข้าไปกอดแนบอกและวิ่งด้วยความเร็วเพื่อหาช่องว่างพอที่จะกางปีกทะยานขึ้นไปบนฟ้า แต่ทว่า…
“คงให้ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะ”
สิ่งที่เข้ามาขวางตรงหน้าคือร่างสีดำของเสือเขี้ยวดาบตัวใหญ่ ดวงตาสีขี้เถ้าวาวโรจน์จ้องมองมาที่เฮเลียสขณะที่กรงเล็บวาววับยิ่งกว่าคมดาบยามต้องแสงจันทร์ได้กางออกมาปะทะคมดาบของเทพหนุ่มเสียงดังแสบแก้วหูราวกับเสียงฟ้าผ่า
เปรี้ยงงงงงงงง!!!
“อย่าหวังเลยว่าจะรอด!”
“เสือพูดได้!?”
เฮเลียสเบิกตากว้างเอียงคอจ้องมองเจ้าเสือหน้าขนนั้นอย่างสนใจ และการจ้องของเธอนี้เองที่ทำให้มันเบือนหน้าหนีและถูกโทรเฟ่นฉวยโอกาสถีบเข้าท้องของมันจังเบอร์
พลั่ก!
“อึก! แค่กๆๆ”
“ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นใคร แต่ขอบอกไว้เลยว่าข้าไม่ใช่ศัตรูของใครทั้งนั้น อย่ามาท้าตีมั่วๆ”
ได้ทีเทพหนุ่มก็ฉวยโอกาสพูดซะให้หายอยาก เขากระชับดาบเรียวยาวสีดำในมือและชี้ปลายของมันไปที่เสือสีดำที่พยายามลุกขึ้นยืนสี่ขา ดวงตาของมันวาวโรจน์แม้ยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยสายฝน ที่สำคัญมันพูดได้
“อย่ามาโกหก เจ้าเป็นพวกเดียวกับพวกมัน เรื่องแค่นี้ดูไม่ออกข้าก็โง่เต็มทีแล้ว!”
เจ้าเสือเขี้ยวดาบสีดำทมิฬบริภาษออกมาเหมือนจะโกรธเคืองมากเป็นพิเศษ โทรเฟ่นได้แต่ถอนหายใจเพราะคิดว่าคงไม่มีทางคุยกันรู้เรื่องแน่ๆ เฮเลียสจึงช่วยแก้ต่างให้อีกเสียง
“ไม่ใช่นะ เราแค่หลบฝนอยู่แล้วก็บังเอิญได้ยินเสียงต่อสู้ก็เท่านั้น”
“โกหก! พวกเจ้าจะฉวยโอกาสเล่นงานข้ากับพี่ข้างหลังล่ะสิไม่ว่า”
“พี่? หมายความว่ายังมีอีกตัวรึ”
“อย่ามาทำไขสือ ข้าได้กลิ่นไอปีศาจจากตัวเจ้า หากเจ้าไม่ใช่พวกที่เล่นงานข้ากับพี่แล้วเจ้าเป็นพวกไหนกัน”
เจ้าเสือสีดำตัวเขื่องว่าพลางชี้เล็บมาที่ตรงเฮเลียส
“ปีศาจ…”
“พวกเจ้า อึก! แค่กๆๆ!”
และจู่ๆเสือดำตัวนั้นก็ล้มลง แต่เพียงชั่ววินาทีมันก็ลุกขึ้นยืนทั้งที่ยังโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ก็ตาม เท้าป้อมๆเต็มไปด้วยกรงเล็บที่แหลมคมก้าวมาข้างหน้าอย่างแช่มช้า โทรเฟ่นไม่มีท่าทีว่าจะถอยหลังซึ่งทำให้เฮเลียสได้เห็นรอยแดงที่อาบบนขนสีดำของเสือหนุ่มชัดเจน มันบาดเจ็บ และก่อนที่เท้าหน้าของมันจะเงื้อขึ้นตบหน้าเธอ เสียงของสตรีอันเยือกเย็นปานน้ำแข็งก็แทรกเข้ามาทำให้อุ้งเล็บนั้นชะงักกลางอากาศ
“พอได้แล้ว ไลน์”
“พี่!”
เจ้าเสือหนุ่มสีดำยังเงื้ออุ้งเล็บไว้เหนือหัวพลางหันไปมองต้นตอของเสียงที่อยู่ด้านข้าง ไม่นานเสือเขี้ยวดาบสีดำอีกตัวก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ข้างทาง ดวงตาสีขี้เถ้าเช่นเดียวกับเจ้าตัวแรกปรายตามองเทพหนุ่มที่ยืนนิ่งโดยมีเฮเลียสอยู่แนบอก
“เขาไม่ใช่ศัตรู”
“ว่าไงนะ”
“เก็บเล็บของเจ้าซะ”
“แต่ข้าได้กลิ่นสาบของปีศาจจากตัวผู้หญิงคนนี้”
“เก็บเล็บเจ้าลงซะ ไลน์”
เมื่อถูกกดดันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เสือหนุ่มก็จำต้องลดอุ้งเท้าและเก็บเล็บตัวเองอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เสือเขี้ยวดาบสีดำร่างเพรียวแต่ดูแข็งแรงอีกตัวเดินออกมาจากพุ่มไม้และหยุดอยู่ข้างกายของเสือหนุ่มที่ตอนนี้เริ่มโงนเงนจนแทบจะยืนต่อไม่ไหว ดวงตาสีขี้เถ้าของเจ้าหล่อนฉายแววเป็นห่วง ไม่นานแสงจางๆก็อาบชโลมร่างของเสือทั้งสองและจากร่างของเสือก็กลับกลายมาเป็นชายหนุ่มและหญิงสาวที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกันเป็นที่สุด
“นะ นี่มัน…”
“ขออภัยที่เสียมารยาท เราถูกเล่นงานจึงจำเป็นต้องระวังตัว”
หญิงสาวร่างเพรียวบางผิวขาวผมสีดำยาวแนบกายเพราะเปียกฝน ชุดสีดำที่สวมใส่มีเพียงเสื้อเกาะอกเอวลอยและกระโปรงที่ถูกกรีดขึ้นมาจนถึงสะโพกอย่างจงใจ ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยริ้วแผลที่เหมือนจะได้รับมาหมาดๆ เธอเอ่ยกับโทรเฟ่นพลางค้อมศีรษะเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นดวงตาสีขี้เถ้าของเธอก็ยังฉายแววของความเย็นชาให้เห็นแจ่มแจ้ง บวกกับแผลเป็นที่แก้มซ้ายด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้เธอดูน่าเกรงขามเป็นพิเศษ
“ข้าไม่ถือสาหรอก” เทพหนุ่มตอบส่งๆพลางเก็บดาบในมือเข้าไปไว้ในฝักเหมือนเดิม
“ข้าชื่อลิกไนต์ ส่วนนี่ไลน์ น้องชายฝาแฝดของข้า”
“ใครเล่นงานพวกเจ้ากันล่ะ”
โทรเฟ่นเริ่มสนทนาเมื่อรู้ที่มาของสองพยัคฆ์ฝาแฝด เฮเลียสยังคงจับจ้องไปที่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆผู้เป็นพี่สาว เขามีเส้นผมสีดำยาวลู่แนบลำคอเพราะเปียกฝนบนแก้มมีเส้นสีดำเหมือนหนวดเสือพาดแก้มสองข้าง เสื้อผ้าขาดวิ่นและอาบโชกไปด้วยเลือดที่ถูกน้ำฝนชะล้างให้เจือจาง ดวงตาสีขี้เถ้าจับจ้องมาที่เธอด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ก่อนที่ร่างนั้นจะล้มลง
พลั่ก!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา