ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ
เขียนโดย Richa
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 10.03 น.
แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 10.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) แรกพบ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากจัดงานศพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว น้ามะปรางน้องสาวคนเล็กของแม่ต้องย้ายถิ่นฐานจากกรุงเทพฯ มาอยู่ที่บ้านของน้ำ จังหวัดที่เป็นชายแดนไทย - ลาว โดยมีเพียงแม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งเขตดินแดน น้ามะปรางต้องรับหน้าที่ดูแล “น้ำ” หลานสาวผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากอุบัติเหตุและ “ธาร” หลานชายจอมเกเร เนื่องจากเด็กทั้งสองยังไม่บรรลุนิติภาวะ เขาและเธอจึงต้องมีผู้ปกครอง อีกทั้งน้ามะปรางยังต้องมาดูแลกิจการของครอบครัวพี่สาวและพี่เขย ซึ่งเป็นกิจการรีสอร์ทริมฝั่งแม่น้ำโขง
ตลอดเวลาร่วมสิบกว่าปีที่ผ่านมา มีลูกค้าทั้งขาประจำและขาจรแวะเวียนเข้ามาพักอาศัยอย่างไม่เคยว่างเว้น ด้วยวิวทิวทัศน์ริมน้ำโขงที่แสนสวยงามและเสน่ห์อันมีมนต์ขลังของรีสอร์ทแห่งนี้ มันคือสิ่งที่ดึงดูดให้แขกที่เคยเข้าพักต้องเดินทางกลับมาอีกครั้งคล้ายกับต้องมนตรา จนกระทั่งเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา ข่าวการเสียชีวิตพร้อมกันถึงสองคนของเจ้าของรีสอร์ทได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วบวกกับวิธีการบริหารรีสอร์ทแบบไม่มีความเป็นมืออาชีพของน้ามะปราง ทำให้บรรดาลูกค้ามากมายที่ปกติต้องจองกันข้ามปีต่างพากันขอยกเลิกการจอง
ณ เวลานี้รีสอร์ทที่เคยวุ่นวายไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาจึงเหลือแค่เพียงความเงียบเหงาและว่างเปล่า มีคนงานเพียงน้อยนิดที่ยังคงทำงานอยู่เพราะคนงานส่วนใหญ่ที่เคยมีทั้งชาวไทยและคนงานจากประเทศเพื่อนบ้านได้พากันมาลาออกไปโดยไม่รู้สาเหตุ อาจเพราะบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปหรือเพราะมนต์เสน่ห์ของรีสอร์ทแห่งนี้ได้ถูกทำลายลง จะด้วยเหตุผลอะไรก็ยากที่จะคาดเดา
น้ำยังคงทุกข์ตรมอยู่กับโศกเศร้าและสูญเสีย น้ามะปรางตัดสินใจให้เธอหยุดพักการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยไว้ก่อน เพื่อพักรักษาจิตใจของเธอให้เข้มแข็งและเพื่อความปลอดภัยของเธอน้ามะปรางจึงเฝ้าระวังเธออย่างไม่ยอมให้คาดสายตา
วันเวลาได้ผ่านเลยอย่างเชื่องช้าจากวันเป็นเดือน แต่เวลาก็ยังเยียวยาความเจ็บปวดในใจของหญิงสาวไม่ได้เลย ในทุกนาทีเธอก็ยังคงจมปลักอยู่กับความเสียใจและหมกมุ่นอยู่กับความทรงจำที่สูญหาย หรือไม่ก็นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรดของพ่อที่ท้ายรีสอร์ท เธอเหม่อมองออกไปยังแม่น้ำโขงและเพ้อฝันฝันว่าจะมีใครบางคนเดินขึ้นมา แต่วันแล้ววันเล่าเธอก็ไม่พบเจอใครนอกจากสายน้ำอันว่างเปล่าและโดดเดี่ยว
แม้จะเป็นชีวิตในต่างจังหวัด แต่ความวุ่นวายต่าง ๆ มากมายก็ได้เกิดขึ้นจนน้ามะปรางแทบไม่มีเวลาเหลือไว้สำหรับตัวเธอเอง บางครั้งเรื่องยุ่ง ๆ ของน้ามะปรางก็ทำให้น้ำมีโอกาสได้ปลีกตัวแยกออกมาเพียงลำพังและอยู่กับตัวเองอย่างโดดเดี่ยวได้บ้างแม้จะน้อยครั้งก็ตาม เธอก็ยังรู้สึกดีใจที่ไม่ต้องใช้ชีวิตเหมือนนักโทษคุมขัง
นอกจาก “น้ำ” จะทำให้น้ามะปรางคอยเป็นกังวลแล้ว “ธาร” ยังเป็นอีกคนที่สร้างเรื่องปวดหัวให้น้าสาวได้ไม่เว้นวัน ธารทำตัวแย่ลงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ทะเลาะวิวาทกับเพื่อนได้ทุกวัน ธารมักจะกลับบ้านมาพร้อมกับบาดแผลต่าง ๆ ตามร่างกาย รวมทั้งทะเลาะกับน้ำทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
“ธาร นายไปไหนมาตั้งหลายวัน” น้ำเอ่ยถามน้องชายในขณะที่เจอกันอย่างไม่ตั้งใจในห้องรับแขกชั้นล่างของบ้าน
“ผมจะหายไปไหนก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพี่” ธารตอบพี่สาวอย่างไม่เต็มใจ มารดาผู้เป็นดั่งกาวใจไม่อยู่เชื่อมความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของทั้งคู่อีกต่อไปแล้ว ธารจึงมีชีวิตที่อิสระไร้การควบคุมจากใคร
“นายยังโกรธพี่อยู่เหรอ? พี่ก็ไม่ได้อยากให้พ่อกับแม่ต้องตายนะ พี่ไม่ใช่ฆาตกรฆ่าพ่อกับแม่นะ” น้ำพูดออกไปด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ เสียงสะอื้นไห้เบา ๆ ดังออกมาจากน้ำเสียงของเธอ แต่มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรกับธาร เขาเองก็เสียใจไม่น้อยไปกว่าเธอ หรือบางทีเขาดูเหมือนจะเสียใจมากกว่าเธอด้วยซ้ำ
“ก็เพราะพี่ พ่อกับแม่ต้องไปส่งพี่ที่มหาวิทยาลัย พี่ทำให้พ่อกับแม่ต้องตาย ทั้งหมดมันคือความผิดของพี่ ผมเกลียดพี่” ธารตวาดพร้อมกับสาดอารมณ์ใส่พี่สาวแล้วเดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่แยแส
“หยุดเดี๋ยวนี้นะธาร มันไม่ใช่ความผิดของน้ำซะหน่อย มันเป็นอุบัติเหตุและไม่มีใครต้องการให้มันเกิดขึ้น เธอจะโทษพี่สาวเธอไปจนวันตาย พ่อกับแม่ของเธอก็ไม่ฟื้นกลับคืนมาหรอกนะ” น้ามะปรางที่เดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์ทักท้วงขึ้น
น้าสาวคนสวยพยายามจะประสานรอยร้าวระหว่างสองพี่น้อง นอกจากเธอจะทำมันไม่สำเร็จแล้วบางครั้งเธอยังทำให้มันแย่ลงไปกว่าเดิม เธอไม่ใช่กาวใจของทั้งคู่ ธารเดินขึ้นไปบันไดบนห้องนอนของเขาพร้อมกับปิดประตูเสียงดังจนน้ามะปรางต้องสะดุ้งขึ้นสุด
“อย่าไปสนใจคำพูดของธารเลยนะน้ำ มันไม่ใช่ความผิดของน้ำเลยสักนิดเดียวมันเป็นอุบัติเหตุ ใคร ๆ รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ พอมีความสูญเสียเกิดขึ้น บางคนก็ยอมรับมันไม่ได้เลยต้องหาใครสักคนมารับผิดชอบ” น้ามะปรางพยายามจะปลอบใจเผื่อว่าอะไรมันจะดีขึ้นมาบ้าง
“ธารเลยให้น้ำเป็นคนรับผิดชอบการตายของพ่อและแม่” น้ำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตัดพ้อต่อว่าพลางเดินออกจากบ้านไป ปล่อยให้น้ามะปรางยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวและงุนงง ตัว เธอควบคุมพฤติกรรมของหลานสาวและหลานชายไม่ได้เลย
น้ำเดินตรงดิ่งไปยังท้ายรีสอร์ท มันคือมุมประจำของเธอ มันคือสถานที่แห่งเดียวที่เธอรู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่น เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างหรือใครบางคนกำลังเฝ้ามองดูเธออย่างห่วงใยจากตรงนี้และเขาคอยช่วยเหลือเธออยู่ เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นในความว่างเปล่า
เก้าอี้ไม้ยาวแกะสลักเป็นรูปพญานาคตั้งตระหง่านไว้ที่ท้ายสุดของรีสอร์ทมันคือเก้าอี้ตัวโปรดของพ่อ พ่อของเธอได้แกะสลักมันขึ้นมาด้วยสองมือของท่านเอง พญานาคตนนั้นหันหน้าสู่ริมน้ำโขง เธอเคยออกมาเดินเล่นและแอบเห็นพ่อกับแม่ของเธอพากันมานั่งที่เก้าอี้ตัวนี้บ่อยครั้งพร้อมกับพูดคุยอะไรบางอย่างที่เธอไม่อาจจะได้ยินและทั้งคู่ต่างก็เหม่อมองออกไปยังวิวทิวทัศน์อันแสนสวยงามของแม่น้ำโขง
ช่วงเวลาพลบค่ำที่เส้นขอบฟ้ามีสีแดงคาดยาว พระอาทิตย์กำลังจะโบกมืออำลาจากเมืองมนุษย์เพื่อไปทักทายเหล่าฝูงปลาและสัตว์อื่นยังดินแดนใต้ผืนน้ำ แม่น้ำโขงที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดยังคงไหลนิ่งและสงบเยือกเย็น มันช่างดูลึกลับและน่าหวาดกลัวไปพร้อม ๆ กัน
ไอหมอกสีขาวสะอาดตาค่อย ๆ ลอยฟุ้งขึ้นมาจากผิวน้ำอย่างบางเบาและหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนปกคลุมไปทั่วบริเวณ จ๋อม! จ๋อม! จ๋อม! เสียงเหมือนคนกำลังเดินขึ้นมาจากน้ำ
น้ำจ้องมองไปที่ไอหมอกสีขาวนั้นอย่างไม่ยอมละสายตา จากท้ายรีสอร์ทของเธอลงสู่ริมหาดของแม่น้ำโขงมีเพียงบันไดดินแบบธรรมชาติที่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นมา ซึ่งทางรีสอร์ทได้ตกแต่งใหม่โดยการทำราวจับและโรยหินสีสันสวยงามตามทางเดินเท้าลงไปเป็นขั้นบันไดเพื่อให้ผู้คนที่มาเข้าพักได้เดินขึ้นลงไปชมวิวริมน้ำโขงอย่างใกล้ชิดได้สะดวกมากขึ้น
น้ำเดินลงบันไดดินนั้นไปสู่พื้นหาดของแม่น้ำโขง! นี่เป็นครั้งแรกที่เธอห่างจากสายตาของน้ามะปรางมากที่สุด ไอหมอกสีขาวยังคงลอยฟุ้งขึ้นมาจากพื้นน้ำสู่ริมหาดและสัมผัสอย่างแผ่วเบาที่ฝ่าเท้าของน้ำ ไอหมอกนั้นเริ่มลอยสูงขึ้นจนท่วมศีรษะของเธอ
ภายใต้ไอหมอกหนาฟุ้งชายคนหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามา ภาพที่มองเห็นด้วยสายตาคือเขาเดินมาอย่างเชื่องช้าแต่ทำไมเพียงพริบตาเดียว ร่างของเขาก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของหญิงสาวเหมือนเขาสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วและเงียบกริบ
น้ำยืนแน่นิ่งเหมือนกำลังต้องมนต์สะกด ชายหนุ่มคนนั้นเขายืนอยู่ห่างจากตัวของเธอเพียงแค่ระยะเอื้อมมือถึง เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคล้ายนายแบบฝรั่ง ผิวขาวซีดเหมือนกับคนที่ไม่เคยพบเจอกับแสงแดดมาอย่างยาวนาน ใบหน้านั้นช่างงดงามและมีเสน่ห์เหมือนเทพบุตรในนิยาย คิ้วดกหนา ดวงตาลึกและมีนัยน์ตาสีเขียว ใบหน้าของเขานั้นช่างดูอ่อนเยาว์แต่แววตาคู่นั้นเหมือนคนที่ได้เดินทางผ่านกาลเวลามาอย่างเนิ่นนาน
เขาเดินขึ้นมาจากแม่น้ำโขงคล้ายอมนุษย์ผู้อาศัยอยู่ใต้น้ำ แต่รูปกายภายนอกของเขาคือ “มนุษย์” มนุษย์ผู้ชายที่แต่งตัวเหมือนผู้ชายทั่วไปด้วยเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนสีเข้ม เขาสวมหมวกแบบมีปีกด้านหน้าและสะพายเป้หลังยี่ห้อ The North Face รอบคอของเขาคล้องสายสะพายกล้อง Mirrorless ยี่ห้อ Olympus ซึ่งตัวกล้องห้อยอยู่ตรงกลางระหว่างอกกว้างของเขา ภาพลักษณ์ของเขาเหมือนนักท่องเที่ยวจากแดนไกล
“คุณเห็นผมเหรอ?” ชายหนุ่มคนนั้นถามขึ้นด้วยสีหน้าสะดุ้งและตกใจ คิ้วดกรกรุงรังของเขาถูกยกขึ้น จนทำให้เห็นรอยย่นเล็ก ๆ บนหน้าผาก ดวงตากลมโตสีเขียวเป็นประกายเบิกโพลงขึ้นพร้อมกับทั้งสองข้างอย่างตกใจ
“คุณเป็นคนรึเปล่า” น้ำจ้องมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตาของชายหนุ่มผู้นั้น ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มของเธอจ้องมองไปยังดวงตาสีเขียวเป็นประกายของเขาอย่างสงสัยใคร่รู้
แววตาสีเขียวคู่นั้นส่องประกายเจิดจ้าขึ้นมาในทันที มันสะกดสายตาและร่างกายของหญิงสาวเอาไว้จนเธอไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายตัวเองได้ น้ำรู้สึกเหมือนร่างกายของเธอมันไม่ใช่ของเธออีกต่อไปแล้วเพราะเธอไม่สามารถควบคุมมันได้เลย
เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่น้ำกลับรู้สึกเหมือนมันช่างผ่านไปนานแสนนาน ความรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกดก็ได้เลือนหายไปอย่างช้า ๆ ร่างกายของเธอเริ่มกลับสู่สภาพผ่อนคลาย เมื่อดวงตาสีเขียวคู่นั้นเมินออกไปจากระดับสายตาของเธอ
“แล้วคุณเห็นผมมีเขางอกออกมาที่หัว มีปีกงอกออกมาที่หลัง มีหางงอกออกมาที่ก้น หรือมีเกล็ดเหมือนปลาตามตัวหรือแขนขารึเปล่าล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นอย่างหยอกเย้า ใบหน้าที่เคยดูบึ้งตึงเริ่มมีแววของรอยยิ้มแสดงออกมา ดวงตาสีเขียวคู่นั้นดูไม่ทรงพลังเหมือนครั้งแรกที่เธอสบตา แต่มันคือนัยน์ตาสีเขียวประกายสดใสและงดงามมาก
“โอเค คุณเป็นคน” หญิงสาวเริ่มกลับมาควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง เธอแปลกใจกับสิ่งประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเธอ แต่หลังจากพิจารณาแล้วว่าเขามีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนมนุษย์ผู้ชายทั่วไป ไม่ได้แปลกประหลาดเหนือมนุษย์แต่อย่างใดเธอก็หายสงสัย
“แล้วคุณเป็นคนไทยเหรอ?” ดวงตากลมโตคู่นั้นของหญิงสาวส่อแววสงสัย
“ผมไม่ใช่คนไทย” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก มันเป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์จนทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นและตื่นกลัวไปพร้อม ๆ กัน
“ก็ไม่แปลกใจ หน้าตาคุณไม่เหมือนคนไทยเลย แล้วทำไมคุณพูดไทยได้” หญิงสาวยังคงจ้องมองไปยังนัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นอย่างต้องมนต์สะกด แต่มันเป็นมนต์สะกดที่เกิดขึ้นจากอำนาจจิตใจของตัวเธอเองที่ปรารถนา
“ผมเคยขึ้นมาฝั่งไทยบ่อย ๆ ได้ยินคนไทยพูดคุยกันบ่อยจนสามารถเลียนเสียงและสำเนียงคนไทยได้” รอยยิ้มนั้นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าแต่ครั้งนี้มันเป็นรอยยิ้มที่แฝงไว้ซึ่งความเจ้าเล่ห์แสนกลคล้ายเขากำลังหยอกเย้าหรือยียวน
“งั้นเหรอ? คุณข้ามมาจากฝั่งลาวเหรอ? ” คราวนี้เป็นหญิงสาวเองที่สงสัยจนต้องขมวดคิ้วขึ้น ลมเริ่มพัดมาอย่างแผ่วเบา ผมยาวสลวยของน้ำปลิวไสวไปตามแรงลม ทำให้เห็นใบหน้างามของเธอได้อย่างชัดเจน
“คงงั้นมั่ง ก็มีพื้นดินอยู่แค่สองฝั่งโขง หรือคุณคิดว่าผมขึ้นมาจากใต้น้ำเมืองบาดาล” ชายหนุ่มตอบกลับมาอย่างยียวน ดวงตาสีเขียวเป็นประกายของเขายังคงจ้องมองมายังดวงหน้าอันแสนสวยงามแต่อมทุกข์ของน้ำ
“คุณนี่มันกวนประสาทจริง ๆ ถ้าไม่ใช่คนไทย แล้วคุณเป็นคนลาวเหรอ?” น้ำเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย เธอเคยข้ามแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้านหลายครั้ง ในยุคสมัยนี้เพื่อนบ้านของเธอได้แต่งงานกับชาวต่างชาติและมีลูกครึ่งหน้าตาดีมากมาย เขาคนนี้ก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็เป็นได้
“อืมม ใช่ จะเรียกแบบนั้นก็ได้ ผมเป็นคนลาวแท้ ๆ โดยกำเนิด”
“เหอ ๆ หน้าคุณไม่เหมือนคนลาวเลยสักนิด คิดเหรอว่าฉันจะเชื่อว่าคุณเป็นคนลาว” น้ำจ้องมองรูปร่างสูงโปร่งแข็งแรง กับใบหน้าคมสันนั้น ถ้าเขาจะบอกเธอว่าเขาคือลูกครึ่งจากประเทศทางฝั่งตะวันตกเธอจะหมดความสงสัยทันที
“ผมคงบังคับให้คุณเชื่อไม่ได้ ถ้าคุณมีหน้าคนลาวในอุดมคติและเชื่อว่าคนลาวทุกคนต้องบล็อกหน้าแบบนั้น” เขาหยุดพูดไปสักพักเพื่อจ้องมองใบหน้าสวยสดใสของน้ำ ซึ่งตอนนี้มีเริ่มดูมีสีสันมากขึ้นกว่านาทีแรกที่เขาพบเจอ
“จะไทยหรือจะลาวมันก็บล็อกหน้าเดียวกันล่ะ แต่แค่คุณแตกต่างกว่าคนอื่น” น้ำพูดขึ้นอย่างฉุนเฉียว นานแล้วที่เธอไม่ได้สนทนากับใครแบบนี้ เธอเก็บตัวอยู่เพียงลำพังในโลกส่วนตัวของเธอ
“แตกต่าง? คุณกำลังจะบอกว่าผมหน้าตาดี? ”
“คุณนี่หลงตัวเองชะมัด ฉันกำลังจะบอกว่าคุณหน้าแปลกตะหากล่ะ”
“ผมจะคิดว่านี่คือคำชมก็แล้วกัน คิดแบบนี้แล้วสบายใจดี ยุคสมัยนี้บล็อกหน้าแบบเอ็กซ์โซติคกำลังได้รับความนิยม”
“เอาที่สบายใจเลย” หญิงสาวพูดอย่างขบขำ
“ผมดีใจที่ทำให้คุณหัวเราะได้” ชายหนุ่มจ้องมองมาที่ใบหน้าของหญิงสาว มันเริ่มมีแววตาของความสดใสปรากฏขึ้น หญิงสาวหุบยิ้มทันทีที่ถูกทักท้วง
“คุณเป็นลูกครั้งใช่มั้ย? พ่อหรือแม่ล่ะที่เป็นคนลาว?”
“พ่อของผมเป็นชาวอเมริกัน ผิวขาว ผมดำ และมีตาสีเขียว ผมได้สีตามาจากพ่อ”
“โอเค แบบนี้ค่อยน่าเชื่อหน่อย” น้ำเสียงของหญิงสาวฟังดูผ่อนคลายคล้ายกับเธอได้เจอมิตรสหายเก่าที่คุ้นเคยมาอย่างยาวนาน
“แล้วคุณข้ามน้ำโขงมาได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าคุณว่ายน้ำข้ามมา น้ำเย็นจะตาย!”
“น้ำเย็นจะตาย! ใครจะว่ายน้ำข้ามมาล่ะคุณ เรือมี ก็พายเรือข้ามมาซิครับ อุตส่าห์แอบหนีข้ามมาตอนมีหมอกบัง กะว่าจะไม่ให้ใครเห็น แต่คุณก็ดันตาดีมาเห็นจนได้” ชายหนุ่มยิ้มละไม เขาเองก็มีท่าทีที่มีความสุขกับการสนทนาพาทีกับเธอ
“นี่! ถ้าฉันมองไม่เห็นคุณ แบบนี้เค้าก็เรียกว่าตาบอดแล้วล่ะ เห็นเดินเป็นตัวเป็นตนเหมือนคนเพิ่งเดินขึ้นมาจากน้ำแบบนี้ จะมองไม่เห็นได้ยังไง แล้วที่ว่าพายเรือข้ามมา ไหนล่ะ? เรืออยู่ไหน? ไม่เห็นมีเรือสักลำ” หญิงสาวพูดพลางหันมองไปโดยรอบซึ่งมีเพียงไอหมอกสีขาวฟุ้งปกคลุมไปทั่วบริเวณหาดริมแม่น้ำโขงและพื้นน้ำ เธอไม่เห็นใครอื่นหรือสิ่งแปลกปลอมอื่นใดอีกเลย
“ผมก็แอบผูกเอาไว้ซิคุณ จะเอามาผูกให้เห็นประเจิดประเจ้อให้คนจับได้ทำไมล่ะ ผมลักลอบเข้ามานะ” ชายหนุ่มแปลกหน้าตอบอย่างเย้าแหย่และยียวนกวนประสาท
“ลักลอบเข้ามา? นี่คุณเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมายเหรอ? แอบเอาของหนีภาษีเข้ามาเหรอ? หรือมาซื้อของหนีภาษีไปกลับไปขายที่ประเทศคุณ? หรือหนีมาใช้แรงงานเป็นแรงงานต่างด้าวแบบผิดกฎหมาย? สงสัยอยู่แล้วเชียวเพราะบริเวณนี้ไม่มีใครเขาข้ามกันมันผิดกฎหมาย! คุณต้องไปข้ามจุดที่มี ตม.!”
“ตม. ด่านตรวจคนเข้าเมืองนะ รู้จักใช่มั้ย? ไม่ใช่อยากจะข้ามที่ไหนก็ข้าม มันไม่ถูกต้อง! เดี๋ยวตำรวจจะจับเอา คราวหน้าอย่างทำแบบนี้อีกนะ” หญิงสาวพูดยาวเหยียด เธอรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยในเพื่อนใหม่ผู้ชอบทำตัวแปลกประหลาดคนนี้เหลือเกิน
“รู้ว่า ตม. อยู่ตรงไหน ผมแค่หนีขึ้นมาเที่ยว มาเจอสาวสวย ที่เป็นคนไทยแบบคุณ เดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว" รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้า คราวนี้ดวงตาสีเขียวเป็นประกายคู่นั้นไม่ได้จ้องมองมาที่ดวงตากลมโตของน้ำอีกต่อไป แต่ดวงตาคู่นั้นเริ่มสำรวจตามดวงหน้าและเรือนร่างของน้ำอย่างพินิจพิจารณา
“คนบ้า! อย่ามาจ้องฉันแบบนั้นน่ะ ถ้าชอบเที่ยวผู้หญิงก็ไปโน่น! เข้าเมืองไปเลย!” หญิงสาวตวาดออกไปอย่างฉุนเฉียวและเขินอาย เมื่อสายตาพิฆาตคู่นั้นจ้องมองเธอคล้ายเหยื่ออันโอชะ
“มีเพียงผู้หญิงคนเดียวเท่านั้นที่ผมต้องการ ผู้หญิงที่ทำให้ผมรัก ทำให้ผมต้องรอคอยและเฝ้าตามหาผ่านห้วงของกาลเวลามานานแสนนาน” เขาตอบออกมาอย่างเหม่อลอย เหมือนใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นได้ล่องลอยเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดของเขา
“เพ้อเจ้อ!” หญิงสาวพูดออกไปอย่างฉุนเฉียวปนขบขัน “ผู้หญิงคนนั้นโชคร้ายหรือโชคดีที่เป็นคนรักของคนเพ้อเจ้อแบบคุณ เชิญพายเรือข้ามห้วงของกาลเวลาของคุณต่อไปเถอะ คราวหน้าก็ช่วยแวะที่ตม. ด้วยแล้วกันหนีข้ามน้ำข้ามกาลเวลามาแบบนี้เดี๋ยวโดนตำรวจส่งกลับประเทศแล้วจะไม่มีโอกาสได้ข้ามมาอีก จะหาว่าไม่เตือน!” น้ำเอ่ยถามออกไปอย่างยียวนบ้าง
ชายหนุ่มส่งยิ้มอย่างขบขันให้กับหญิงสาวที่ต่อปากต่อคำกับเขาอย่างไม่หยุดหย่อน เธอเองก็อดไม่ได้ที่จะส่งยิ้มให้เขาเช่นกัน มันเป็นรอยยิ้มแรกที่เกิดขึ้นหลังจากที่เธอต้องพบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ มันคือความผ่อนคลายที่เธอไม่เคยพบเจอมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา
“ผมดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของคุณอีกครั้งหนึ่ง คุณไม่เคยยิ้มอีกเลยตั้งแต่สูญเสียพ่อและแม่ของคุณไป” ชายหนุ่มพูดออกมาเหมือนเขารู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับเธอ
“คุณรู้เรื่องราวของฉันได้ยังไง?” น้ำเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย
“เรื่องราวความสูญเสียของคุณมันแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง มันเป็นข่าวใหญ่ใช้ได้เลย ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกนะที่ผมจะรู้ ผมเสียใจด้วยกับความสูญเสียของคุณ”
รอยยิ้มที่สดใสได้เลือนรางหายไปจากใบหน้าอันสวยงามของหญิงสาว ความโศกเศร้าถาโถมเข้ามาเยือนเหมือนเช่นเดิม คนแปลกหน้าที่มาทำให้หัวใจชุ่มช่ำ เขาคือคนที่รู้เรื่องราวมากมายของเธอ เขาคงจะแวะเข้ามาทักทายเพียงเพราะความ “สงสาร” หรือ “เห็นใจ” เท่านั้น
“อย่าเสียใจไปเลย มันคือลิขิตฟ้า”
ลิขิตฟ้า!!! ความฉุนเฉียวได้พรั่งพรูเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดของหญิงสาวอีกครั้ง ถ้านี่คือลิขิตฟ้า สวรรค์ก็คงใจร้ายกับเธอมาก ทำให้เธอต้องสูญเสียทั้งพ่อและแม่ รวมทั้งความทรงจำ บ้านที่เคยเป็นบ้านบัดนี้มันเหลือแต่ความว่างเปล่า ครอบครัวที่เคยอบอุ่นบัดนี้มีเหลือแต่ความร้าวฉาน
น้ำพยายามจะเดินแยกตัวออกไป แต่เหมือนมีเรี่ยวแรงอันมหาศาลได้ฉุดรั้งเธอเอาไว้จากด้านหลัง อ้อมแขนที่แข็งแรงนั้นโอบกอดรอบเอวเล็กคอดกิ่วของเธอและรัดแน่นเอาไว้เช่นนั้น แม้ว่าเธอจะออกแรงขัดขืนจนสุดกำลังก็ไม่อาจจะดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดอันมั่นคงของเขาได้
“แล้ววันหนึ่งคุณจะเข้าใจ การฝืนลิขิตฟ้ามันมีค่าตอบแทนเสมอ พ่อและแม่ของคุณก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนนั้นด้วยชีวิต”
เสียงนั้นเหมือนเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่นิ่มนวลและอบอุ่น มันดังก้องอยู่ในโสตประสาทของหญิงสาวและยังคงวนเวียนไปมาเหมือนเธอกำลังเปิดเพลงเดิมซ้ำ ๆ ฟังวนไปวนมา
“น้ำ มายืนอยู่ตรงนี้เอง น้าเป็นห่วงแทบแย่ ไปยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นคนเดียว เข้าบ้านได้แล้ว พระอาทิตย์ตกดินแล้ว เดียวยุงชุม” เสียงอบอุ่นและห่วงใยของน้ามะปรางตะโกนเรียกมาในระยะใกล้ชิด
หญิงหันมองไปรอบตัวเธอ ไอหมอกที่เคยลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณบัดนี้มันได้เลือนหายไปพร้อมกับชายหนุ่มลึกลับคนนั้นก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“น้ามะปรางเห็นผู้ชายตัวสูง ๆ ขาว ๆ ตาสีเขียว ยืนอยู่ตรงนี้รึเปล่าคะ”
“ไม่นิ น้าไม่เห็นใครเลย น้าเห็นน้ำยืนนิ่งอยู่คนเดียว นิ่งจนน้าคิดว่าถูกสาปให้กลายเป็นหินไปแล้ว น้าตกใจหมดเลยรู้มั้ย น้าแอบคิดว่าเมดูซ่ามาเจอน้ำแล้วอิจฉาที่น้ำสวยกว่าเลยสาปหลานสาวน้าให้กลายเป็นหินไปซะแล้ว" น้ามะปรางพูดหยอกเย้าพลางหัวเราะคิกคิก
สองหน้าหลานเดินขึ้นบันไดดินสู่บ้านพักด้านบน น้ำหันลงมามองที่ริมโขงด้านล่างอีกครั้งอย่างสงสัย ชายหนุ่มคนนั้นคือใคร? เขาคือคนลาวที่พายเรือข้ามฟากเพื่อหนีมาเที่ยวฝั่งไทยจริงหรือ? แล้วทำไมน้ามะปรางถึงมองไม่เห็นเขา? เขาหายตัวไปได้อย่างไร? ซ้ำเขายังหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เขามีตัวตนจริง ๆ หรือเขาเป็นเพียงแค่ชายจินตนาการที่หญิงสาวสร้างขึ้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ