โอม อนันตภพ (ภาค : ปฐมบท 13 กุญแจเปิดนรก)
-
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2563 เวลา 06.34 น.
1 ตอน
33 วิจารณ์
2,498 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2563 06.41 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) นิมิตร
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ไกลออกไปในทะเลที่ไกลแสนไกลจากทุกสรรพสิ่ง มีเกาะรัางเล็กๆที่แสนกันดารแห่งหนึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางคลื่นพายุที่พัดกระหน่ำอยู่รอบๆเกาะ
เกาะนี้เป็นเกาะที่แสนกันดารอย่างแท้จริง เพราะทั่วบริเวณของเกาะทั้งหมดนี้ไม่มีแม้แต่พวกต้นไม้ใบหญ้าต่างๆให้เห็นเลยสักต้นเดียวนอกจากหินโสโคลกตะปุ่มตะป่ำสีดำคล้ำที่มีให้เห็นไปทั่วทั้งเกาะ ดูๆไปแล้วเกาะนี้จะอย่างไรก็ไม่น่าจะมีมนุษย์คนใดหรือสิ่งมีชีวิตใดมาพักอาศัยหรือใช้ชีวิตยังชีพอยู่ที่นี่ได้แม้จะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆก็ตาม
แต่ทว่า ที่ใจกลางของเกาะเล็กๆแห่งนี้กลับปรากฏเงาร่างของชายชราผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหินด้วยร่างกายที่ไม่ไหวติง
ชายชราผู้นี้แต่งกายด้วยชุดสีเปลือกไม้ที่ดูคล้ายนักบวชของนิกายใดนิกายหนึ่งของศาสนาพุธ แต่ผมเผ้าอันยาวสยายที่กลายเป็นสีขาวทั่วทั้งศรีษระของเขานั้นก็กลับไม่ได้รัดเกล้าไว้ให้ดูเรียบร้อยแต่อย่างใด ดังนั้นมันจึงปลิวพริ้วไสวอยู่ในสายลมของลมพายุที่พัดอื้ออึงอยู่รอบๆด้าน
และไม่ว่าจะมีคลื่นลมและน้ำทะเลซัดสาดเข้าปะทะกับลำตัวของชายชราอยู่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ตาม เขาก็ยังนั่งขัดสมาธิด้วยดวงตาที่ปิดสนิทแนบแน่นอย่างไม่ไหวติงแม้แต่น้อยนิด
แต่แม้ภายนอกจะสงบนิ่งดั่งหินผา ทว่าลึกลงไปภายใต้ห้วงนิมิตรของจิตที่ดำดิ่งสู่ภพภาพของสถานที่แห่งหนึ่ง กลับทำให้จิตของชายชราผู้นี้ปั่นป่วนขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย
ภาพนิมิตรนั้นสว่างไสวชัดเจนราวกับจะจับต้องได้ มันคือภาพของประตูศิลาขนาดยักษ์ที่เป็นรูปทรงกลมสีดำราวกับนิล ที่ริมขอบรอบๆประตูศิลาแผ่นนี้ยังมีร่องสี่เหลี่ยมยาวตั้งแทยงเข้าหาจุดศูนย์กลางอยู่สิบสองร่อง และตรงกลางของจุดศูนย์กลางนั้นก็มีร่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่วางตัวในแนวตั้ง และเมื่อพิจารณาดูดีๆ ประตูศิลาขนาดยักษ์นี้ก็มีลักษณะที่คล้ายกับนาฬิกาขนาดใหญ่ที่มีร่องรอบๆแทนตำแหน่งของเลขเวลาในนาฬิกาจริงๆนั่นเอง
จิตของชายชราเพ่งภาพนิมิตรนี้ด้วยความหวาดหวั่นขึ้นเรื่อยๆ ในจิตนั้นความสงสัยของเขาก็คือ ทั้งร่องที่ตั้งแทยงไปรอบๆวงและร่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่อยู่ตรงกลางของประตูศิลานี้มันเหมือนกับจะเป็นภาชนะที่รอคอยอะไรบางอย่างที่สำคัญเพื่อมาเติมเต็มให้กับมัน
พริบตานั้น ภาพในนิมิตรของชายชราก็แปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ร่องที่ตั้งแทยงจากริมขอบของประตูศิลายักษ์ทั้ง 12 ร่องกลับมีดอกกุญแจขนาดใหญ่กว่าปกติทั่วไปวางอยู่ในร่องครบทั้ง 12 ร่อง
ดอกกุญแจ 12 ดอกที่วางอยู่ในร่อง 12 ร่อง มีความวิจิตสวยงามและดูลี้ลับอย่างประหลาด และลวดลายที่สลักบนตัวกุญแจก็ดูคล้ายกับสัญลักษณ์ที่เป็นรูปสัตว์ต่างๆ จิตนิมิตรของชายชราพยายามจะเพ่งพิจเพื่อแยกให้ออกว่าในแต่ละดอกกุญแจนั้นมีรูปสัญลักษณ์ของสัตว์ตัวใดบ้าง
ทว่าก่อนที่จิตนิมิตรจะทันแยกแยะ พริบตานั้นที่ร่องสี่เหลี่ยมตรงกลางก็ปรากฏร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน !
ร่างของหญิงสาวนอนหลับตาอยู่ในร่องนั้นอย่างสงบด้วยเครื่องแต่งกายที่เป็นเสื้อกระโปรงสีฟ้าคราม แขนทั้งสองอันเรียวงามของเธอทอดวางราบอยู่ข้างลำตัวอย่างเรียบร้อย และเปลือกตาทั้งคู่ที่ปิดสนิทของเธอนั้น ก็วางอยู่บนดวงหน้าสีน้ำผึ้งที่ดูสงบราวกับไร้ชึ่งชีวิต
พิจารณาดูแล้ว หญิงสาวผู้นี้ก็ถือได้ว่าเป็นหญิงสาวที่มีความงามไม่น้อยเลยทีเดียว ทว่าความงามที่เห็นนี้ ก็ดูจะมีความลี้ลับซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่อย่างประหลาด
ทันใดนั้น... ดวงตาทั้งคู่ของหญิงสาวก็เปิดขึ้น และในดวงตานั้นก็ปรากฏประกายของเปลวเพลิงที่ร้อนแรงราวกับลาวาฉายฉานออกมา และดอกกุญแจทั้ง 12 ดอกที่อยู่โดยรอบนั้นต่างก็เปล่งแสงลี้ลับหลากสีออกมาจนเจิดจ้า
หญิงสาวที่ดูเหมือนเพิ่งตื่นจากการหลับไหล ค่อยๆเดินออกมาจากประตูศิลายักษ์อย่างเชื่องช้า
สายตาของดวงตาที่เป็นเปลวเพลิงนั้นก็มองประสานตรงเข้ามาสู่ในจิตของชายชราที่เพ่งภาพนิมิตรนี้เข้าพอดี
จิตของชายชราในตอนนี้ก็บังเกิดความร้อนระอุราวกับวิญญาถูกเซ่นสังเวยด้วยไฟนรก และแม้แต่ร่างของเขาที่ยังนั่งอยู่ท่ามกลางลมพายุทะเลก็ยังร้อนขึ้นอย่างทวีคูณจนควันสีขาวระเหยออกจากร่างที่นั่งนิ่งจนฟุ้งกระจาย
จิตของชายชรายังมองตรงเข้าไปในนิมิตรอย่างไม่ลดละ และขณะนี้ หญิงสาวผู้มีดวงตาเป็นเปลวเพลิง ก็เดินห่างออกมาจากประตูศิลายักษ์ได้ราว 7 ก้าว ก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองที่ร่องสี่เหลี่ยมที่เธอเพิ่งจะเดินออกมา จากนั้นเธอก็ชูมือขึ้นทั้งสองข้าง โดยที่มือในแต่ละข้างนั้นต่างก็หดนิ้วนางกับนิ้วก้อยลงแนบกับฝ่ามือจนทำให้เหลือนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลางของแต่ละมือที่กางออกราวกับเป็นสัญลักษณ์กรงเล็บของปิศาจจากนรก
เนตรแห่งจิตในนิมิตรของชายชราเริ่มเบิกโพลงมากขึ้นอย่างหวาดหวั่นกับสิ่งที่คาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นตรงหน้า
ในร่องสี่เหลี่ยมตรงกลางประตูศิลายักษ์ในขณะนี้นั้น กลับเริ่มมีเงาแห่งความมืดมิดก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างคล้ายกับสิ่งมีชีวิตประหลาดขึ้นอยู่หลายร่าง
พริบตานั้น เงาแห่งความมืดที่รวมตัวเป็นร่างหลายร่างนั้นก็พุ่งทะยานออกมากันทันที !
และมันไม่ได้มีแค่ไม่กี่ร่าง แต่มันพุ่งทะยานออกมาเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น หรือนับไม่ถ้วน !
ร่างของชายชราที่นั่งอยู่กลางเกาะร้างพลันตื่นขึ้นจากนิมิตรทันที และร่างกายของเขาในขณะนี้ก็เต็มไปด้วยเหงื่อกาฬที่ทะลักไหลออกมาจนเปียกโชก
ดวงตาที่เพิ่งลืมขึ้นมาในขณะนี้ก็เต็มไปด้วยกระกายของความหวาดหวั่นอย่างเหลือประมาณ
และที่จริงเขาไม่ได้หวาดกลัวกับสิ่งที่เห็นในนิมิตร หรือถ้าจะว่าหวาดกลัว เขากลับกลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในกาลข้างหน้าเสียมากกว่า
เพราะในพริบตาของนิมิตรสุดท้ายที่เขามองเห็นนั้น เขาได้เห็นหญิงสาวผู้มีดวงตาราวกับไฟนรกเหลียวหน้ากลับมา และพูดคำพูดที่ไม่มีเสียงออกมาคำหนึ่ง
"โลก !"
หรือว่า...
หญิงสาวผู้นี้จะนำหายนะมาสู่โลกทั้งหมดกันล่ะ...?!
ชายชราตัดสินใจเข้าสู่สมาธิอีกครั้ง ดวงจิตของเขาไหลวนอยู่ในห้วงมิติที่ไร้กาลเวลาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จิตจะวิ่งตรงไปสู่จุดหนึ่งของเวลาในอนาคต
ปี 1995 ที่จิตนิมิตรมาหยุดมองอยู่ที่ภาพเหตุการณ์หนึ่ง
ประเทศไทย กรุงเทพมหานคร ชานเมืองแห่งหนึ่ง
หญิงสาวแรกรุ่น ผิวสีน้ำผึ้ง ดวงตาคู่งามที่ช่างดูไร้เดียงสา กับชุดเสื้อกระโปรงสีฟ้าครามอันหอมกรุ่น เธอเดินตรงเข้าไปที่บ้านแฝดหลังหนึ่งที่ก่อสร้างใกล้จะเสร็จ
ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังปีนบันไดทาสีบ้านอยู่อย่างขมักเขม้น และเมื่อหญิงสาวเดินไปเกือบจะถึง เขาก็หันหน้ามาเห็นพอดี
"นุช..." ชายหนุ่มเรียกเบาๆด้วยรอยยิ้มมุมปาก
"พี่สิงห์..." หญิงสาวเรียกชื่อกลับด้วยเสียงเบาๆเช่นกัน
หญิงสาวและชายหนุ่มต่างมองตากันและกันอย่างรักใคร่ โดยที่ไม่รู้ถึงการแอบมองด้วยจิตรนิมิตรจากอดีตกาล
จิตรนิมิตรของชายชรายืนมองคู่รักคู่นี้จากหน้ารั้วบ้านแฝดที่ยังไม่มีประตู จากนั้นเขาก็แหงนหน้าขึ้นมองบ้านแฝดหลังนี้
"อา... โศกนาฏกรรม และความพินาศพังภินท์แห่งโลกในอนันตภพกำลังได้เริ่มต้นขึ้นณ.ที่นี้อีกโลกหนึ่ง และณ.ที่นี้เองก็กลับเป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของบางสิ่ง เวรกรรม... เวรกรรม... "
จิตนิมิตรของชายชรารำพึงแล้ว ก็สลายจิตถอยกลับสู่อดีตกาลทันที...!
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆนี้นะครับ)
เกาะนี้เป็นเกาะที่แสนกันดารอย่างแท้จริง เพราะทั่วบริเวณของเกาะทั้งหมดนี้ไม่มีแม้แต่พวกต้นไม้ใบหญ้าต่างๆให้เห็นเลยสักต้นเดียวนอกจากหินโสโคลกตะปุ่มตะป่ำสีดำคล้ำที่มีให้เห็นไปทั่วทั้งเกาะ ดูๆไปแล้วเกาะนี้จะอย่างไรก็ไม่น่าจะมีมนุษย์คนใดหรือสิ่งมีชีวิตใดมาพักอาศัยหรือใช้ชีวิตยังชีพอยู่ที่นี่ได้แม้จะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆก็ตาม
แต่ทว่า ที่ใจกลางของเกาะเล็กๆแห่งนี้กลับปรากฏเงาร่างของชายชราผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหินด้วยร่างกายที่ไม่ไหวติง
ชายชราผู้นี้แต่งกายด้วยชุดสีเปลือกไม้ที่ดูคล้ายนักบวชของนิกายใดนิกายหนึ่งของศาสนาพุธ แต่ผมเผ้าอันยาวสยายที่กลายเป็นสีขาวทั่วทั้งศรีษระของเขานั้นก็กลับไม่ได้รัดเกล้าไว้ให้ดูเรียบร้อยแต่อย่างใด ดังนั้นมันจึงปลิวพริ้วไสวอยู่ในสายลมของลมพายุที่พัดอื้ออึงอยู่รอบๆด้าน
และไม่ว่าจะมีคลื่นลมและน้ำทะเลซัดสาดเข้าปะทะกับลำตัวของชายชราอยู่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ตาม เขาก็ยังนั่งขัดสมาธิด้วยดวงตาที่ปิดสนิทแนบแน่นอย่างไม่ไหวติงแม้แต่น้อยนิด
แต่แม้ภายนอกจะสงบนิ่งดั่งหินผา ทว่าลึกลงไปภายใต้ห้วงนิมิตรของจิตที่ดำดิ่งสู่ภพภาพของสถานที่แห่งหนึ่ง กลับทำให้จิตของชายชราผู้นี้ปั่นป่วนขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย
ภาพนิมิตรนั้นสว่างไสวชัดเจนราวกับจะจับต้องได้ มันคือภาพของประตูศิลาขนาดยักษ์ที่เป็นรูปทรงกลมสีดำราวกับนิล ที่ริมขอบรอบๆประตูศิลาแผ่นนี้ยังมีร่องสี่เหลี่ยมยาวตั้งแทยงเข้าหาจุดศูนย์กลางอยู่สิบสองร่อง และตรงกลางของจุดศูนย์กลางนั้นก็มีร่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่วางตัวในแนวตั้ง และเมื่อพิจารณาดูดีๆ ประตูศิลาขนาดยักษ์นี้ก็มีลักษณะที่คล้ายกับนาฬิกาขนาดใหญ่ที่มีร่องรอบๆแทนตำแหน่งของเลขเวลาในนาฬิกาจริงๆนั่นเอง
จิตของชายชราเพ่งภาพนิมิตรนี้ด้วยความหวาดหวั่นขึ้นเรื่อยๆ ในจิตนั้นความสงสัยของเขาก็คือ ทั้งร่องที่ตั้งแทยงไปรอบๆวงและร่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่อยู่ตรงกลางของประตูศิลานี้มันเหมือนกับจะเป็นภาชนะที่รอคอยอะไรบางอย่างที่สำคัญเพื่อมาเติมเต็มให้กับมัน
พริบตานั้น ภาพในนิมิตรของชายชราก็แปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ร่องที่ตั้งแทยงจากริมขอบของประตูศิลายักษ์ทั้ง 12 ร่องกลับมีดอกกุญแจขนาดใหญ่กว่าปกติทั่วไปวางอยู่ในร่องครบทั้ง 12 ร่อง
ดอกกุญแจ 12 ดอกที่วางอยู่ในร่อง 12 ร่อง มีความวิจิตสวยงามและดูลี้ลับอย่างประหลาด และลวดลายที่สลักบนตัวกุญแจก็ดูคล้ายกับสัญลักษณ์ที่เป็นรูปสัตว์ต่างๆ จิตนิมิตรของชายชราพยายามจะเพ่งพิจเพื่อแยกให้ออกว่าในแต่ละดอกกุญแจนั้นมีรูปสัญลักษณ์ของสัตว์ตัวใดบ้าง
ทว่าก่อนที่จิตนิมิตรจะทันแยกแยะ พริบตานั้นที่ร่องสี่เหลี่ยมตรงกลางก็ปรากฏร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน !
ร่างของหญิงสาวนอนหลับตาอยู่ในร่องนั้นอย่างสงบด้วยเครื่องแต่งกายที่เป็นเสื้อกระโปรงสีฟ้าคราม แขนทั้งสองอันเรียวงามของเธอทอดวางราบอยู่ข้างลำตัวอย่างเรียบร้อย และเปลือกตาทั้งคู่ที่ปิดสนิทของเธอนั้น ก็วางอยู่บนดวงหน้าสีน้ำผึ้งที่ดูสงบราวกับไร้ชึ่งชีวิต
พิจารณาดูแล้ว หญิงสาวผู้นี้ก็ถือได้ว่าเป็นหญิงสาวที่มีความงามไม่น้อยเลยทีเดียว ทว่าความงามที่เห็นนี้ ก็ดูจะมีความลี้ลับซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่อย่างประหลาด
ทันใดนั้น... ดวงตาทั้งคู่ของหญิงสาวก็เปิดขึ้น และในดวงตานั้นก็ปรากฏประกายของเปลวเพลิงที่ร้อนแรงราวกับลาวาฉายฉานออกมา และดอกกุญแจทั้ง 12 ดอกที่อยู่โดยรอบนั้นต่างก็เปล่งแสงลี้ลับหลากสีออกมาจนเจิดจ้า
หญิงสาวที่ดูเหมือนเพิ่งตื่นจากการหลับไหล ค่อยๆเดินออกมาจากประตูศิลายักษ์อย่างเชื่องช้า
สายตาของดวงตาที่เป็นเปลวเพลิงนั้นก็มองประสานตรงเข้ามาสู่ในจิตของชายชราที่เพ่งภาพนิมิตรนี้เข้าพอดี
จิตของชายชราในตอนนี้ก็บังเกิดความร้อนระอุราวกับวิญญาถูกเซ่นสังเวยด้วยไฟนรก และแม้แต่ร่างของเขาที่ยังนั่งอยู่ท่ามกลางลมพายุทะเลก็ยังร้อนขึ้นอย่างทวีคูณจนควันสีขาวระเหยออกจากร่างที่นั่งนิ่งจนฟุ้งกระจาย
จิตของชายชรายังมองตรงเข้าไปในนิมิตรอย่างไม่ลดละ และขณะนี้ หญิงสาวผู้มีดวงตาเป็นเปลวเพลิง ก็เดินห่างออกมาจากประตูศิลายักษ์ได้ราว 7 ก้าว ก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองที่ร่องสี่เหลี่ยมที่เธอเพิ่งจะเดินออกมา จากนั้นเธอก็ชูมือขึ้นทั้งสองข้าง โดยที่มือในแต่ละข้างนั้นต่างก็หดนิ้วนางกับนิ้วก้อยลงแนบกับฝ่ามือจนทำให้เหลือนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลางของแต่ละมือที่กางออกราวกับเป็นสัญลักษณ์กรงเล็บของปิศาจจากนรก
เนตรแห่งจิตในนิมิตรของชายชราเริ่มเบิกโพลงมากขึ้นอย่างหวาดหวั่นกับสิ่งที่คาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นตรงหน้า
ในร่องสี่เหลี่ยมตรงกลางประตูศิลายักษ์ในขณะนี้นั้น กลับเริ่มมีเงาแห่งความมืดมิดก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างคล้ายกับสิ่งมีชีวิตประหลาดขึ้นอยู่หลายร่าง
พริบตานั้น เงาแห่งความมืดที่รวมตัวเป็นร่างหลายร่างนั้นก็พุ่งทะยานออกมากันทันที !
และมันไม่ได้มีแค่ไม่กี่ร่าง แต่มันพุ่งทะยานออกมาเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น หรือนับไม่ถ้วน !
ร่างของชายชราที่นั่งอยู่กลางเกาะร้างพลันตื่นขึ้นจากนิมิตรทันที และร่างกายของเขาในขณะนี้ก็เต็มไปด้วยเหงื่อกาฬที่ทะลักไหลออกมาจนเปียกโชก
ดวงตาที่เพิ่งลืมขึ้นมาในขณะนี้ก็เต็มไปด้วยกระกายของความหวาดหวั่นอย่างเหลือประมาณ
และที่จริงเขาไม่ได้หวาดกลัวกับสิ่งที่เห็นในนิมิตร หรือถ้าจะว่าหวาดกลัว เขากลับกลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในกาลข้างหน้าเสียมากกว่า
เพราะในพริบตาของนิมิตรสุดท้ายที่เขามองเห็นนั้น เขาได้เห็นหญิงสาวผู้มีดวงตาราวกับไฟนรกเหลียวหน้ากลับมา และพูดคำพูดที่ไม่มีเสียงออกมาคำหนึ่ง
"โลก !"
หรือว่า...
หญิงสาวผู้นี้จะนำหายนะมาสู่โลกทั้งหมดกันล่ะ...?!
ชายชราตัดสินใจเข้าสู่สมาธิอีกครั้ง ดวงจิตของเขาไหลวนอยู่ในห้วงมิติที่ไร้กาลเวลาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จิตจะวิ่งตรงไปสู่จุดหนึ่งของเวลาในอนาคต
ปี 1995 ที่จิตนิมิตรมาหยุดมองอยู่ที่ภาพเหตุการณ์หนึ่ง
ประเทศไทย กรุงเทพมหานคร ชานเมืองแห่งหนึ่ง
หญิงสาวแรกรุ่น ผิวสีน้ำผึ้ง ดวงตาคู่งามที่ช่างดูไร้เดียงสา กับชุดเสื้อกระโปรงสีฟ้าครามอันหอมกรุ่น เธอเดินตรงเข้าไปที่บ้านแฝดหลังหนึ่งที่ก่อสร้างใกล้จะเสร็จ
ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังปีนบันไดทาสีบ้านอยู่อย่างขมักเขม้น และเมื่อหญิงสาวเดินไปเกือบจะถึง เขาก็หันหน้ามาเห็นพอดี
"นุช..." ชายหนุ่มเรียกเบาๆด้วยรอยยิ้มมุมปาก
"พี่สิงห์..." หญิงสาวเรียกชื่อกลับด้วยเสียงเบาๆเช่นกัน
หญิงสาวและชายหนุ่มต่างมองตากันและกันอย่างรักใคร่ โดยที่ไม่รู้ถึงการแอบมองด้วยจิตรนิมิตรจากอดีตกาล
จิตรนิมิตรของชายชรายืนมองคู่รักคู่นี้จากหน้ารั้วบ้านแฝดที่ยังไม่มีประตู จากนั้นเขาก็แหงนหน้าขึ้นมองบ้านแฝดหลังนี้
"อา... โศกนาฏกรรม และความพินาศพังภินท์แห่งโลกในอนันตภพกำลังได้เริ่มต้นขึ้นณ.ที่นี้อีกโลกหนึ่ง และณ.ที่นี้เองก็กลับเป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของบางสิ่ง เวรกรรม... เวรกรรม... "
จิตนิมิตรของชายชรารำพึงแล้ว ก็สลายจิตถอยกลับสู่อดีตกาลทันที...!
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆนี้นะครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ