ฮักเพียงเจ้าสุดหทัย (omegaverse)
เขียนโดย มิมาลินทร์
วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 11.34 น.
แก้ไขเมื่อ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2563 20.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ความทรงจำและการเจอกันอีกครั้ง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความลมเย็นปลิวพลิ้วไหว ดอกจำปีมากมายต่างร่วงหล่นโชยกลิ่นหอมของมันออกมา ราวกับแข่งขันกันแย่งเป็นที่หนึ่งว่าใครนั้นจะมีกลิ่มหอมที่สุดกลิ่นตลบอบอวลนี้ทำให้เด็กน้อยผิวขาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งรู้สึกสุขใจและสบายใจในเวลาเดียวกัน เมื่อยามที่ได้กลิ่นของมันทำให้เขารู้สึกว่าที่นี้คือบ้าน ที่มีพ่อและแม่อยู่ด้วยกัน
เมื่อครู่ แม่ของเขาได้ชวนเขาไปทำขนมญี่ปุ่นชนิดหนึ่งเมื่อทำเสร็จแล้ว เด็กน้อยก็แอบแบ่งใส่ถ้วยปิ่นโตใบหนึ่งแล้ววิ่งมานั่งกินมันในสวนจำปีแห่งนี้ซึ่งเขาชอบมานั่งเล่นที่นี้บ่อยๆ ทุกครั้งที่กลับมาจากญี่ปุ่นมาไทย
'เชียงใหม่' เมืองในไทยที่มีคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ชอบมาอาศัยอยู่ รวมทั้งแม่และครอบครัวของเด็กน้อยด้วยพวกเขาย้ายมาอยู่กันเพราะบิดานั้นเป็นชาวไทย มีธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์อยู่ในบ้านเกิดของเขาจึงจำต้องมาเยี่ยมเยียนที่นี้บ้างในบางเวลา
“หนม กินดูมั้ย” เสียงเด็กน้อยเสียงใสเอ่ยขึ้น แม้จะอายุราวเก้าขวบแล้วแต่เจ้าตัวยังพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะว่าสาเหตุที่อยู่ญี่ปุ่นมากกว่าเมืองไทยเลยทำให้เป็นแบบนี้ เจ้าตัวน้อยพูดพลางพร้อมกับค่อยๆ ยื่นถ้วยปิ่นโตกลมๆ ที่บรรจุขนมอยู่มให้บุคคลปริศนาคนหนึ่งที่แอบซ่อนห่างจากเขาหลายเมตร เสียงใสนั้นตะโกนไปยังเด็กหนุ่มชาวจีนอีกคนที่อายุมากกว่าเขาราวเจ็ดถึงแปดปีได้ที่ในเวลานี้เขากำลังยืนแอบดูเด็กน้อยอยู่ตรงหลังต้นจำปีต้นหนึ่ง
“หนม.....ขนมหรือ?” เด็กหนุ่มชาวจีนที่หลบอยู่ ค่อยๆ เผยตัวออกมาด้วยใบหน้าขาวเนียนที่ตอนนี้เริ่มมีรอยแดงฝาดๆ บนแก้ม ตอนนี้เขาคงเขินอายไม่น้อย เจ้าตัวบ่นพึมพำกับตัวเองสักพักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ รับขนมมาดูและสังเกตลักษณะของมันอยู่นานเหมือนเขานั้นคนไม่เคยเห็นมันมาก่อน
“อือๆ ” คนตัวเล็กพยักหน้าตอบ เหมือนได้ยินสิ่งที่เขาบ่นพึมพำ เด็กจีนพอเห็นน้องตัวเล็กตอบก็ยิ้มและค่อยๆ เอาขนมที่อยู่บนมือใส่เข้าปาก และเริ่มพิจารณาลิ้มรสชาติของมันช้าๆ
“อร่อยจัง มันชื่อว่าอะไรหรอ” เด็กหนุ่มชาวจีนถามคนตรงหน้าทันทีเมื่อรู้สึกถูกอกถูกใจขนมเป็นอย่างมาก คนตรงหน้าเมื่อได้ยินคำถามก็ฉงนอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายกับกำลังค่อยๆ แปลคำถามของอีกฝ่าย ก่อนจะตอบอยากอุ่ยอ้าย
“ไดฟูกุ ทำกะม้า”
“อืม ทำขนมกับแม่ ขนมญี่ปุ่น.. สินะ?”
“เธอชื่ออะไร” เขาเอ่ยถามเด็กตรงหน้าพร้อมย่อตัวลงให้สูงระดับเท่ากัน
“.....ลิน” เด็กน้อยตอบสั้น ๆ
"พี่ชื่อ....."
"อึ๊ก" เสียงเด็กหนุ่มมัธยมปลายครึ่งเสี้ยวญี่ปุ่น ร้องสะดุ้งโหย่งขึ้นเพราะได้ฟื้นตื่นจากฝันที่ยาวนานจากห้วงนิทรา เขาค่อยๆ ขยี้ตาแล้วนั่งนิ่งอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง
เด็กหนุ่มผิวขาวนวลเนียนคนนี้มักจะชอบฝันถึงเรื่องแนวๆ นี้อยู่เสมอ ว่าตัวเองนั้นได้อยู่ในสถานที่ ที่เต็มไปด้วยดอกจำปีและมีครอบครัวอยู่อีกครอบครัวหนึ่ง ความจริงแล้วตัวของเขาก็รู้ดีว่าเขานั้นเป็นเด็กกำพร้าไร้พ่อแม่ตั้งแต่อายุราวเก้าขวบย่างสิบขวบ แต่เขากลับจำอดีตอะไรไม่ได้ มีเพียงแค่ฝันเท่านั้น ฝันที่แสนจะเลือนรางเมื่อนอนหลับและหายไปเมื่อตอนที่ตื่นราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ฝันเท่านั้น 'ไม่ใช่ความจริง'
กลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2XXX
วันจันทร์ เวลา 6.05 น.
"อาลิน ตื่นหรือยังลูก" เสียงผู้หญิงมีอายุคนหนึ่งตะโกนเรียกลูกชายของคนตนที่อยู่ในห้อง 'อาลิน' คือชื่อของเด็กครึ่งเสี้ยวญี่ปุ่นคนนี้ที่พึ่งตื่นจากฝันเมื่อสักครู่ ตอนนี้เขามีครอบครัวใหม่มารับเขาเป็นลูกบุญธรรมแล้ว จากนามสกุลญี่ปุ่นก็กลายเป็นนามสกุล 'มาซาเอล' แทน ซึ่งผู้หญิงที่ตะโกนเรียกอาลินอยู่เสียงดังก็มีศักดิ์เป็น 'แม่เลี้ยง'
"ครับ ตื่นแล้ว" อาลินตอบแม่เลี้ยงออกไปเบาๆ แล้วลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว จัดเครื่องนอนให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนที่จะเดินไปหยิบผ้าขนหนูสีเทาผืนเก่า ตรงไปอาบน้ำในห้องน้ำภายในห้องนั้น
อาลินถูกรับมาอุปการะโดย "จาคีฟ" และภรรยา ตั้งแต่อายุย่างเข้าสิบปี เพราะจาคีฟแอบชอบแม่ของเขาสมัยเรียนมหาลัยอยู่ฝ่ายเดียว แต่จาคีฟก็ไม่ได้สมหวังในรักครั้งนั้นเพราะดันถูกพ่อแม่บังคับให้หมั้นหมายกับภรรยาของเขาที่อยู่กินกันในปัจจุบันและมีโซ่ทองคล้องใจเป็นบุตรชายและหญิงอย่างละหนึ่งคน อาลินจึงตกอยู่ในสถานะ"ลูกเลี้ยง" มาตั้งแต่ที่จาคีฟรับเป็นพ่อบุญธรรม
แต่มันไม่เหมือนในหนังหรอกนะ ที่จะเกิดการตบตีหรือหมั่นไส้ลูกเลี้ยงจากแม่เลี้ยงและพี่น้อง มันกลับตรงกันข้าม อาลินเป็นที่รักในสายตาของแม่เลี้ยง และจาฟาร์ผู้เป็นพี่ชายคนโตของบ้านและจามินทร์ผู้เป็นน้องสาวของเขา เพราะอาลินเป็นเด็กดี เรียบร้อย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาของเขามาตลอดนั้นก็คือสถานะที่ไม่ยอมปรากฏออกมาเลย มันทำให้เขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในสังคม
แต่ก็ยังมีโชคอยู่บ้างที่คนในครอบครัวคอยเอาดูแลใจใส่และคอยเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี ทั้งอาลินและจาฟาร์นั้น คอยเป็นเพื่อนกันมาตลอด เรียนที่เดียวกัน ไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกัน อาจเป็นเพราะว่าอายุที่ห่างกันเพียงแค่หนึ่งปีเลยทำให้คุยกันค่อนข้างเข้าใจกันง่ายไปด้วย อาลินเข้ากับครอบครัวใหม่ของเขาได้อย่างดี แต่ทว่า พอเขายิ่งโตขึ้นผู้เป็นพ่อบุญธรรมของเขากลับมีนิสัยแปลกไปและทำตัวแย่ขึ้นเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ไปโรงเรียนใหม่ ‘วันแรก’
พ่อของเขามีปัญหาทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาและพี่น้องคนอื่น ๆ ต้องย้ายโรงเรียนกะทันหัน เพราะมันเป็นวันแรกที่จะต้องมาเรียนโรงเรียนใหม่จึงจำเป็นต้องมีผู้ปกครองมารับส่งให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เส้นทาง เวลาเกิดเรื่องร้ายๆ ก็มีเรื่องดีๆ แอบซ่อนเร้นอยู่บ้าง จามินทร์ น้องสาววัยสิบสี่ปีสอบเทียบมัธยมศึกษาปีที่หกได้ ซึ่งอาลินเองก็กำลังศึกษาอยู่ในช่วงระดับนั้นเช่นกัน นั้นหมายความว่าหล่อนจะเรียนรุ่นเดียวกับอาลินผู้เป็นพี่ชาย ไม่แน่ว่าอาจมีความเป็นไปได้เล็กๆ ที่สองพี่น้องอาจได้เรียนห้องเดียวกัน เพราะที่นี้เป็นโรงเรียนเอกชนเล็กๆ ที่ราคาถูกกว่าโรงเรียนก่อนหน้า ห้องเรียนเลยมีจำนวนที่จำกัดมีเพียงแค่สองห้องต่อหนึ่งช่วงชั้น
จานอาหารบนโต๊ะค่อยๆ ถูกทยอยมาวางไว้ใกล้อ่างล้างจาน ลูกๆ ภายในบ้านเมื่อกินข้าวเช้าที่มารดาและอาลินเป็นคนทำอย่างอิ่มอร่อย ก็รู้หน้าที่ของตนอย่างมีวินัยล้างเก็บจานของตนแล้วนำไปตากในสถานที่ ที่เตรียมเอาไว้ ฝ่ายผู้เป็นพ่อและแม่ยังคงนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารนั่งคุยเรื่องต่างๆ นานา ตามประสาสามีภรรยาหารือกันในยามเช้า
"พ่อ วันนี้พาลูกๆ ไปส่งโรงเรียนหน่อยสิ วันนี้แม่ไม่ว่าง ต้องไปส่งขนมแต่เช้า" เสียงของสาวชาวไทยที่มีอายุเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางอารมณ์ดี พลางจดอะไรบางอย่างใส่สมุดเล่มจิ๋วสีชมพูอ่อน หล่อนเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานและใจดีมาก มีคุณสมบัติหลายอย่างที่แม่บ้านดีเด่นหลายคนพึงมีโดยเฉพาะทำขนมนั้นเป็นสิ่งที่หล่อนเชี่ยวชาญ
แม่เลี้ยงของอาลินนั้นเปิดร้านทำขนมฝรั่งแบบออนไลน์เล็กๆ หลังจากทราบว่าทางสามีของตนเริ่มมีปัญหาธุรกิจอยู่บ่อยครั้ง วันนี้เป็นวันที่มีการขอออเดอร์ออกมาเป็นพิเศษจากลูกค้าที่รู้จักคุ้นมือ ฝีมืออาหารของหล่อน หล่อนจึงต้องไปส่งลูกค้าด้วยตัวเอง แต่ก็ยังคงแอบห่วงๆ ลูกของตัวเองเหมือนกัน ปกติหล่อนจะเป็นคอยไปส่งลูกๆ เองตลอด
“ได้สิ” สามีของเธอพยักหน้าและกล่าวตอบ พร้อมกับเดินไปเอากุญแจรถ แล้วเดิน ตรงไปยังหน้าบ้าน พร้อมแสดงท่าทางโบกมือเป็นเชิง ให้ลูกๆ ที่เก็บจานให้เดินตามเขาออกไปด้วย
หลายนาทีไม่นานต่อจากนั้น ทุกคนก็ได้ขึ้นรถกันจนครบหมดแล้ว คนที่นั่งเบาะหน้าสุดคือจามินทร์ น้องสาวคนเล็กของบ้าน ตอนนี้เด็กสาวเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกผู้เรียนเร็วเกินวัยถัดมาทางฝั่งด้านหลัง คือ อาลินและจาฟาร์สองหนุ่ม คนหนึ่งเป็นเด็กมัธยมปลายธรรมดาและหนุ่มมหาลัยปีหนึ่งสุดจี๊ดที่พ่อแสนจะปวดหัว ในระหว่างทาง ทางครอบครัวก็มีการคุยแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบ กันอยู่เป็นระยะๆ แต่จาคีฟกับหลีกเลี่ยงที่จะคุยกับอาลินอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
"คุณพ่อเป็นอะไรนะ....? " หนุ่มน้อยได้แต่งุนงง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้งุนงงเพียงคนเดียวเสียแล้ว เหมือนพี่น้องของเขาทั้งสองที่นั่งรถอยู่ ก็มีสีหน้าท่าทางที่แปลกใจไม่ต่างกัน สิ่งแรกที่อาลินนึกถึงก็คงเป็นเรื่องที่ระยะนี้พ่อของตนนั้นแปลกไป จากเดิมที่แปลกๆ อยู่แล้ว ตั้งแต่เขาเริ่มขึ้นมัธยมปลายนั่นแหละ
ทุกครั้งที่มองหน้าของอาลิน พ่อมักจะทำหน้าหงุดหงิดไม่พอใจอยู่เสมอ หลังๆ ก็เริ่มมีปัญหาหนักขึ้น พ่อเลี้ยงเริ่มเลี่ยงที่จะพูดคุยและมองหน้าตรงๆ ทำให้คนตัวเล็กแอบคิดไม่ได้ว่าใบหน้าของเขาไปเหมือนคนที่พ่อเกลียดสักคนในชีวิตของเขาที่เคยผ่านมารึเปล่า เพราะเขาเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อเก็บมาเลี้ยง จะหน้าไม่เหมือนกันกับพ่อเลี้ยงนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก จะหน้าเหมือนคนที่พ่อไม่ชอบหน้าค่อนข้างเป็นไปได้มาก เมื่อเจออาการของคนผู้เป็นพ่อที่แสดงมันออกมาต่อเนื่องแบบนี้ ท่ามกลางความเงียบ ที่พ่อไม่คุยกะอาลิน ก็กลับมามีเสียงอีกครั้ง....
''อาล แกลงไปจากรถก่อน วันนี้พ่อจะส่งแกแค่นี้'' เสียงจาคีฟ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมกับกดปุ่มปลดล็อกประตูรถทันทีเมื่อพูดจบ เขามักจะเรียกชื่อ "อาลิน" ว่า "อาล" เพราะชื่ออาลิน เป็นชื่อที่คนที่เขาเกลียดเป็นคนตั้ง คนที่เป็นมารหัวใจของเขา พอเจ้าเด็กนี้โตขึ้นหน้าตาก็ดันคล้ายพ่อของมันมากเสียนี้ นั้นทำให้เขาไม่อยากจะมองหน้าพอมองแล้วนึกถึงเรื่องอดีตเก่าๆ ที่พ่อของมันบังอาจมาแย่งผู้หญิงที่เขารักไป แล้วผลแห่งความรักของสองคนนั้นก็มากลายเป็นเจ้าเด็กชายตรงหน้า
จาฟาร์พอได้ยินพ่อพูดไล่น้องชายที่เปรียบเสมือนเพื่อนซี้คนหนึ่งของเขาแบบนั้น ก็เริ่มที่จะไม่พอใจ "ทำไมพ่อถึงจะทิ้งน้องไว้กลางทางแบบนี้" เสียงชายผิวเข้มเอ่ยถามขึ้น เสียงเขาไม่ปรากฏอารมณ์ออกมาให้เห็นนัก อาจเป็นเพราะเขาไม่กล้าที่จะพูดจา ตะคอกหรือใส่อารมณ์พูดต่อคนเป็นพ่อได้ แม้เขาจะไม่พอใจเลยก็ตาม
ชายร่างท้วมผู้เป็นบิดาลอบมองลูกชายจากกระจกหน้ารถพลางแล้วก็เอ่ยตอบลูกพลาง "เรื่องของฉัน” จามินทร์ที่นั่งอยู่ข้างพ่อก็มองตาปริบๆ หล่อนนั่งนิ่งเงียบดูพฤติกรรมของบิดามาเป็นระยะแล้ว แน่นอนว่าหล่อนเองก็ไม่ได้เห็นด้วยในสิ่งที่พ่อทำนักหรอก แต่หากอารมณ์ร้อนใส่พ่อไปก็คงไม่ถูกเช่นกันเพราะคำว่า "ลูก" มันติดอยู่ที่คอ แต่ดูเหมือนว่าพี่ชายคนโตของหล่อนจะไม่ได้คิดแบบนั้นนะ.......
" พ่อไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!! " จาร์ฟาร์ขึ้นเสียงใส่พ่อของตนโดยไม่รู้ตัว เขาแค่ไม่คาดคิดว่าพ่อจะตอบคำถามอย่างไร้ความรับผิดชอบแบบนี้ สิ่งที่ออกมาจากปากของเขามันสื่อได้เพียงว่า จะอย่างไรก็ช่างและนี้ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะไปยุ่ง ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างจาฟาร์มีหรือจะยอม คนเป็นพ่อที่ไหนจะมากลั่นแกล้งลูกของตัวเอง
"แกอย่ามาขึ้นเสียงกับฉันนะ! " ฝ่ายพ่อเองก็เริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาบ้าง เขารู้สึกไม่พอใจที่ลูกชายทำตัวไม่เคารพเขาแบบนี้แถมยังจะมาปกป้องคนนอกคอกอย่างเด็กที่ชื่อ"อาลิน" นั้นอีก ถึงมันจะเป็นลูกเขาแต่มันก็เป็นลูกเลี้ยงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกของศัตรูหัวใจของเขา ทำไมเจ้าจาฟาร์ต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนมันด้วยกันล่ะ ทั้งสองคนเริ่มแสดงอาการเหมือนจะทะเลาะกันในไม่ช้า
พออาลินเห็นแบบนั้นก็ทนไม่ได้ จึงพูดแทรกเพื่อตัดบทแล้วก็ยื่นมือหมายจะเปิดประตูออกจากรถคันหรูนี้ออกไป
"ครับพ่อ ผมจะลงจากรถ" ในขณะที่กำลังเปิดประตูลงจากรถนั้น ก็มีเสียงเบาๆ พูดขึ้นมา "แต่.." จาฟาร์เอ่ยด้วยเสียงเป็นห่วง เขาจับไหล่เขาน้องชายที่นั่งข้างๆ เป็นเชิงรั้งเขาไม่ให้ลงจากรถคันนี้ไป ตอนนี้เขาพยายามเถียงช่วยน้องอยู่แต่ทำไมอาลินที่ไม่ยอมสู้กลับไปบ้าง ทั้งๆ ก็รู้ว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
คนตัวเล็กหันไปสบตาบิดาทันทีเพื่อดูสีหน้าของเขาเมื่อเห็นว่าพี่ชายทำแบบนี้ เขาจะแสดงอารมณ์อย่างไรอยู่? อาลินรู้ดีว่าพ่อต้องไม่พอใจเป็นแน่ ซึ่งมันก็จริงพอมองผ่านกระจกรถตรงคนขับ ชายร่างท้วมแสดงสีหน้าโกรธจัดออกมา เขากลอกตาไล่ให้อาลินออกไปจากรถ
"ถ้าแกยุ่งมากกว่านี้ ฉันจะยึดเงินน้องแกด้วย ไม่ให้มันไปโรงเรียนวันแรกได้" จาฟาร์ชะงักทันทีเมื่อเห็นว่าการโต้เถียงของเขาไม่เป็นประโยชน์เลย อีกทั้งถ้ายังดันทุรังทำมันไปมากกว่านี้ พ่อก็จะลงโทษน้องให้หนักกว่าเดิมอีก ฝ่ายอาลินเองก็กลัวเรื่องจะบานปลาย
แย่ไปกว่านี้จึงรีบลงจากรถ ส่วนจาฟาร์ก็เริ่มคิดได้ว่าการที่นั่งเงียบๆ สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้มีเพียงแค่มองอาลินด้วยสายตาเป็นห่วง จนพ่อค่อยๆ ขับรถออกไป....
คนตัวเล็กที่ลงจากรถสีเทาเก่าๆ มองรถคันที่ตัวเองนั่งเมื่อครู่ด้วยสีหน้าเศร้า เขาค่อยๆ มองมันลับสายตาออกไปช้าๆ เมื่อเลิกเศร้าได้แล้วเขาก็เริ่มตั้งใจสังเกตทางโดยมองไปรอบๆ เหลือบไปเห็นป้ายบอกทางว่าตำแหน่งที่เขาอยู่คือที่ไหน เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาข้อมูลทันที ในระหว่างที่กำลังจะหาข้อมูลอยู่นั้น ก็มีรถสีดำคันหรู บีบแตรใส่
"ปรี๊ด ปรี๊ด"
อาลินทำหน้า งงงวยก่อนจะเดินไปหาต้นเสียง
"ครับ? ... คุณบีบแตรเรียกผมหรอ"
"บีบ ใส่ป้าขายน้ำเต้าหู้ตรงนั้นมั้ง" ชายหนุ่มปริศนาพูดพลางยักไหล่ใส่แบบกวน ตาของเขามองไปยังร้านเต้าหู้ที่ห่างไกลจากสายตาไปเกือบสิบกว่าเมตร เป็นเชิงประชด เขามาบีบแตรใส่เจ้าเด็กนี้ ก็เพราะเห็นเหตุการณ์ที่ว่าเด็กคนนี้เหมือนจะโดนไล่ลงมาจากรถข้างหน้าเขาเมื่อครู่ ด้วยความที่เขาสังเกตเห็นว่าเด็กนี้ใส่ชุดเครื่องแบบโรงเรียนเดียวกันกับเขา บวกกับแถวนี้เขาชอบมาซื้อของกินพอดี เลยคิดอยากจะยื่นมือมาช่วยเหลือสักหน่อยก็เท่านั้นหรอก
ร่างบางพอได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น ก็หันไปดูในสิ่งที่เขาบอกทันที "จริงด้วยสิ แถวนี้มีร้านน้ำเต้าหู้จริงด้วย ไม่ได้สังเกตเลย" อาลินพึมพำกับตัวเองเบาๆ เขาพึ่งลงมา จะไม่ได้สังเกตสถานที่บางที่เลย ก็คงไม่แปลกเพราะมัวแต่หาทางว่าจะนั่งรถไปโรงเรียนยังไงอยู่ เด็กหนุ่มน้อยอย่างอาลินรีบวิ่งไปซื้อน้ำเต้าหู้ทันทีเมื่อได้เห็นร้านนั้น ฝ่ายชายที่อยู่บนรถ ก็ได้แต่ งงๆ เขาไม่ได้ขอให้เด็กนั้นไปซื้อสักหน่อย เขาจะบีบแตรให้ติดรถมาด้วยต่างหาก
“อะไรของเด็กนั่นเนี่ย” ชายคนดังกล่าวก็ได้แต่คอยมองพฤติกรรมของเด็กคนนั้น ตั้งแต่ต่อแถวแล้วสั่งน้ำเต้าหู้แล้ววิ่งกลับมาหาเขา พร้อมกับถือน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ ติดไม้ติดมือมาเต็มไปหมด "นี่ครับ" ร่างบางพูดเสร็จก็ยื่นมันให้อีกฝ่ายที่อยู่ในรถ
"ห้ะ? " คนในรถตกใจกว่าเดิม มันหมายความว่ายังไงกันเนี่ย? อาลินที่เห็นเขาทำหน้าแบบนั้นก็ทำหน้าสงสัย
"ก็คุณอยากกิน? " พูดไปก็ยิ้มหวานให้คนตรงหน้า ชายหนุ่มปริศนาคนนั้นก็มองหน้าคนตัวเล็กอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นบทสนทนาอีกครั้ง
“เธอนี่มัน กวนประสาทชะมัด” เขาแอบดุอีกฝ่าย แต่ก็ยอมรับของมาแบบ งงๆ ก่อนจะเอามันทั้งหมดวางไว้หน้ารถ เด็กนักเรียนที่อยู่ข้างนอกก็ยังคงทำหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ชายในรถก็ได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
"เธอนี้มัน ทึ่มจริงๆ " ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างเหลืออด คงไม่เป็นไรหรอกมั้งถ้าจะช่วยเด็กไปส่งโรงเรียนถือว่าทำบุญละกัน
"น้ำเต้าหู้นี้ ถือว่าเป็นค่าไปส่งเธอนะ" เขาบอกเด็กที่ยืนอยู่หน้ารถแล้วค่อยๆ หยิบปาท่องโก๋ออกมากินเสี้ยวหนึ่ง
ฝ่ายอาลินได้แต่ทำแต่แป๋วไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด "ค่าส่ง? " เขาเอ่ยถามอีกฝ่าย ชายคนดังกล่าวพยักหน้าตอบคำถามของคนตัวเล็ก แล้วเคี้ยวของในปากอย่างเอร็ดอร่อย
" ใช่ฉันเป็นครูสอนโรงเรียนที่เธอใส่ชุดอยู่ไง ฉันจะให้เธอติดรถฉันไปด้วย" เขาพูดอธิบายพร้อมกับยกนิ้วชี้ไปที่ตัวของอาลินที่ยืนอยู่นอกตัวรถ
"อาจารย์? " คนตัวเล็กเลิกคิ้วขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาเริ่มสังเกตถึงการแต่งกายของอีกฝ่ายบ้าง ตอนแรกเขายังไม่เชื่ออีกฝ่ายเท่าใดนัก มันจะบังเอิญไปรึเปล่าที่ครูในโรงเรียนใหม่ของเขา ขับรถผ่านมาพอดีแถมใจดีจะรับเขาไปส่งอีก..... อาจเป็นมิจฉาชีพก็ได้
" ฉันเป็นเหล่าซือ ชื่อหลาง เธอจะติดรถไปโรงเรียนกับฉันไหม? นี่มันก็จะสายแล้วนะ" อาจารย์หนุ่มรีบพูดขัดเด็กนักเรียนตัวเอง เขารู้นะว่าเจ้าเด็กนี้คิดอะไร!
แหกตาเบิ่งดูสิเนี่ยป้ายชื่อโรงเรียนก็อยู่คาอกฉันเนี่ย เจ้าเด็กทึ่ม! หลางพูดไปเคาะนาฬิกาบนข้อมือเป็นจังหวะดัง “ป๊อกๆ”
"เอ่อ...จริงด้วย งั้นรบกวนด้วยนะครับ!! " คนตัวเล็กเหลือบมองนาฬิกาในโทรศัพท์ตัวเองพลาง ตอนนี้ก็เจ็ดโมงครึ่งแล้วด้วยสิ อีกยี่สิบนาทีก็ถือว่าไปโรงเรียนสาย จะมัวโอ้เอ้ ก็คงไม่ดีแน่ๆ ลองเชื่อในสิ่งที่คนคนนี้พูดน่าจะดีกว่า
สุดท้ายอาลินก็ยอมติดรถชายที่อ้างตนว่าเป็นอาจารย์ที่สอนในโรงเรียนใหม่ของเขา พอไปถึงยังโรงเรียนแล้วก็กลายเป็นว่าสิ่งที่ชายคนนั้นพูดนั้นก็คือความจริง
วันนั้นนับเป็นวันที่โชคร้ายปนโชคดี ที่หลางบังเอิญขับรถผ่านมาเจอ นั่นทำให้พวกเขาได้พูดคุยกันดีๆ เป็นครั้งแรก แต่ทำไมกันนะ? ทำไมถึงมีความรู้คุ้นเคยเหมือนอาลินและหลางเคยได้เจอได้รู้จักกันมาก่อนหน้านี้
"หรือว่าเขาคือเด็กชายชาวจีนในฝันกันนะ? " เสียงคิดในใจยังคงกึกก้องภายในหัวของอาลิน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ