ภูผาวายุ

-

เขียนโดย มุมน้ำเงิน

วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.55 น.

  19 ตอน
  1 วิจารณ์
  12.39K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 15.34 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) ดงผีไพร

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก

“แล้วพี่ชาย มีนามว่ากระไรรึ”

“ข้ามีนามว่า เงิน”
ดวงแขกับมะลิช่วยกันประคองภูผาขึ้นเกวียนเดิม หญิงสาวทั้งสองทำท่าว่าจะขึ้นเกวียนเดียวกันด้วย
“เดี๋ยวๆ ประเดี๋ยวเกวียนข้าก็ล่มกันพอดี พวกเจ้าสองคนกลับไปขึ้นเกวียนเล่มเดิมเสีย!
นายเงิน เอยขึ้นมาบอกกับสองสาว มะลิที่กำลังสบตามองหน้าภูผาด้วยความห่วงใยก็ถูกดวงแขจูงมือลากตัวไปยังเกวียนอีกเล่มหนึ่ง บุญเกิดที่นั่งข้างๆภูผา แบะปากเอยพูดด้วยท่าทียียวน
“เหม๋ๆ เจอคู่หมายเข้าหน่อย ลืมบ่าวไปเลยน้า”
“กระไร ข้าเห็นพวกนางมีชีวิตรอดปลอดภัย ก็ต้องดีใจเข้าไปถามไถ่สิวะ เดี๋ยวพ่อเหนียวเข้าให้ อุ้ยๆ”
ภูผาเอยยิ้มกับบุญเกิด ง้างแขนขู่ แต่ด้วยอาการปวดระบมทั่วร่างจึงร้องครางออกมา
“อูยย เก็บสังขารไว้พักผ่อนเถอะขอรับ ประเดี๋ยวมีแรงค่อยมาไล่เตะไอ้เกิดใหม่”
แม้จะมีศักดิ์เป็นนายกับบ่าว แต่ด้วยความสนิทสนม เติบโตมาด้วยกัน จึงพูดจาหยอกเอินเล่นกันเป็นเรื่องปกติ
หนึ่งในผู้หญิงของคณะเดินทางนี้ รูปร่างงามปานนางไม้จำแลง ดวงตาคมโต เดินมายังสองหนุ่ม ยื่นไก่ย่างที่คณะเดินทางย่างรออยุ่ก่อนแล้ว ให้โดยไม่เอยคำใด แล้วหันหลังเดินกลับไปขึ้นเกวียนของตนทันที
บุญเกิดมองตามหลังหญิงสาวรูปร่างระหง สะโอดสะอง หน้าหลงใหล ด้วยสายตาที่เคลิ้ม ภูผาเห็นบุญเกิดทำตาเยิ้มมองตามหญิงผู้นั้นจึงยกมือขึ้นดีดนิ้วเรียกสติบุญเกิด
“แปร๊ะ! ไอ้เกิด..” บุญเกิดสะดุ้งเปลียนสีหน้าเป็นปกติ บายหน้าไปทางอื่นหลบสายตาภูผา
กองเกวียนได้ออกเดินทางต่อ ทั้งสองหนุ่มนั่งอยู่ในลักษณะห้อยขาตามเดิมพูดคุยกัยพรางยกไก่ย่างกัดฉีกเนื้อกินอย่างหิวโซ
“งัมๆ ..ว่าแต่ คุณภูผา งัม. ไปแอบซุ่มฝึกปรือดาบมาตั้งแต่เมือใด งัม. ใยบ่าวไม่ยักรู้ งั่มๆ. “
บุญเกิดเอยถามขณะที่ไก่ยังเต็มปาก ภูผาเผยสีหน้างงงัน
“เอ็งพูดเรื่องกระไร เคี้ยวให้หมด ข้าฟังมิรู้เรื่อง ฝึกดาบที่ใหน”
บุญเกิดกลืนไก่ลงไปคำใหญ่ ยกกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำขึ้นมาดื่ม ก่อนที่จะเอยขึ้นมา
“ก็ที่เรือนของคุณภูผางัยขอรับ คุณภูผาใช้ดาบจากเรือนเก่าเล่มนี้ ฆ่าไอ้พวกโจรพวกนั้นไปตั้งสี่คนไงขอรับ”
บุญเกิดเอยพรางยกดาบพันผ้าเล่มนั้นขึ้นมา ภูผาเสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความงงงัน พึ้งรู้ว่าดาบเล่มนี่เป็นดาบที่มาจากเรือนเก่า เพราะบุญเกิดพันดาบนี่ตอนที่ตนยังสลบ
“ตอนนั้นฆ่ามิได้ฆ่าใคร เท่าที่จำความ ข้าโดนไอ้เวรตะไลนั้น ซ้อมข้าจนสลบ แล้วไอ้ดาบเล่มนี้ ข้ามิเคยจับเสียด้วยซ้ำ อ้อ ข้าเคยจับตอนก่อนถูกซ้อมหมดสติกับตอนที่ขู่พี่เงิน เพียงเท่านั้น มิเคยใช้ห้ำหั่นกับผู้ใดเลยสักครา”
บุญเกิดได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้างงงวย ครู่หนึ่งก็พลันเบิกตาโพรง รีบวางดาบพันผ้าในมือลงไว้ห่างกายทันที ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง เอยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว
“คุณภูผามิรู้ตัวเลยหรือขอรับ ระ ระ หรือว่า นี่จักเป็นดาบผีสิงจริงๆ”
“หาา เอ็งเอยถึงเรื่องกระไร ทำเอาข้าขนหัวลุกไปหมดแล้ว”
“ก็ตอนที่คุณภูผาสลบเหมือดลงไปกองเยี่ยงนั้น จู่ๆก็จับดาบนี่ลุกขึ้นแลฆ่าพวกมันสิ้นน่ะสิ ขอรับ”
ทั่งคู่สนทนากันด้วยอาการขนลุกขนชัน ภูผาเอยสั่งบุญเกิดพร้อมกับชี้ไปที่ดาบเล่มนั้น
“เอ็งรีบเอามันทิ้งลงเกวียนไปบัดเดี๋ยวนี้”
บุญเกิดตอบรับคำสั่ง รีบคว้าดาบนั้นเขวี้ยงลงเกวียนโดยทันที นายเงินที่ขับเกวียนอยู่ ได้ยินตลอดการสนทนาของชายหนุ่มทั่งคู่ จึงดึงเชือกที่ผูกติดสายสนตะพายควายในมือ ควายเทียมเกวียนหยุดชะงักทันที หลังจากที่บุญเกิดทิ้งดาบลงจาเกวียน นายเงินลงไปเก็บดาบนั่นขึ้นมาพร้อมหันหน้ามาเอยกับคนทั้งสอง ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นี่พวกเอ็งทำกระไรน่ะ เอามาเก็บไว้ที่ข้านี่”
“แต่นี่มันเป็นดาบผีสิงนะ” ภูผาเอย
นายเงินกลับขึ้นเกวียนแล้วบิดตัวหันมาเอยกับทั้งคู่ด้วยอาการยิ้มๆ
“ข้าต้องพาพวกเอ็งแลดาบนี่ไปพบกับอาจารย์ หากข้ามินำดาบไปด้วยข้าก็โดนเอ็ดเอาน่ะสิ เอาละพวกเอ็งเลิกห้อยขาเยี่ยงนั่นได้ละ พวกเรากำลังจะเข้าเขตดงผีไพร ระวังตัวกันด้วย”
“ดงผีไพรนี่มันกระไรรึ พี่เงิน ชื่อฟังดูหน้ากลัวพิลึก” บุญเกิดเอยถามด้วยอาการสงสัย
“ประเดี๋ยวพวกเอ็งก็รู้เอง”
เอยจบ ชายร่างใหญ่หัวโล้น ท่าทางยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา บิดตัวกลับจับเชือกตะพายบังคับเกวียนตามเดิม เฆี่ยนไปที่ก้นควายรัวสองสามทีเพือเร่งฝีเท้าออกเดินทางตามเกวียนสองเล่มหน้าให้ทัน
สองหนุ่มที่อยู่ในอาการนั่งห้อยขา ก็ยกขาขึ้นกลับมาทางเบื้องหน้า ยืดตัวขึ้นมองไปยังปลายทาง
ป่าด้านหน้ามีหมอกสีดำปกคลุมอย่างกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ต้นไม้ใหญ่มีเถาวัลย์ระโยงระยางหน้าแน่นอยู่ทุกต้น ทางเข้าป่าเป็นทางแคบขนาดพอดิบพอดีกับขนาดเกวียน
ก่อนที่จะเข้าป่าเบื้องหน้านั้น คณะเกวียนหยุดจอด นายเงินกระโดดลงมาจากเกวียนแล้วตบเท้าเดินมาท้ายเกวียน
“มีกระไรรึ พี่เงิน” ภูผาเอยถาม
“ประเดี๋ยวข้าจักไปจุดคบก่อน ในป่านั้นมันมืด พวกเอ็งหยิบคบไฟ ตรงนั้นมาซิ”
บุญเกิดหยิบคบไฟส่งให้นายเงินแล้วนายเงินก็หันหลังเดินไปรวมกลุ่มกับพวกของตนที่ลงจากเกวียนถือคบไฟลงมาทุกคน ภูผาหันหน้าไปเอยกับบุญเกิด
“มันมืดถึงขั้นต้องจุดคบเชียวรึวะ”
นายเพลิง หนึ่งในสมาชิกร่วมเดินทางของคณะนายเงิน หยิบฟางจากหลังเกวียนของตนสองกำกองไว้ที่พื้นแล้วหยิบ *ตะบันไฟ ออกมาจากถุงย่าม ตบลูกตะบันไฟโดยแรงแล้วดึงออก บรรจงเป่าลูกตะบันให้เกิดเป็นเชื้อไฟ นำไปสุมกับกองฟาง
คณะของนายเงินทั้งห้าคน ช่วยกันจุดคบไฟแล้วนำไปผูกกับขอบไม้ข้างเกวียนทั้งสองข้าง ทั้งสามเล่มเกวียนผูกคบไฟในลักษณะเดียวกัน แล้วทุกคนในคณะก็กลับขึ้นเกวียน เดินทางเข้าสู่ป่าดงผีไพร
แม้จะเป็นตอนกลางวันที่มีแดดจ้าร้อนจัด เมือเข้ามาในป่านี้ กลับเย็นลงชนิดกลับกัน กลางวันได้กลับกลายดุจดั่งกลางคืน แสงแดดที่คอยสาดส่อง บัดนี้กลับมืดลงด้วยร่มเงาของต้นไม้ประกอบกับหมอกดำที่ปกคลุมผืนป่านี่เอาไว้ มองออกไปไกลไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดมิด แต่หากมองใกล้ๆก็ยังเห็นได้พอสลัวจากคบไฟที่ผูกติดเกวียนไว้ทั้งสองข้าง คณะเกวียนเดินทางเรือยๆอย่างไม่สดุจไปด้วยความคุ้นชิน
“พิลึกดีแท้ ใยถึงมึดได้เพียงนี้” ภูผาเอยออกมาด้วยความประหลาดใจ
สองสาวดวงแข มะลิ กอดเข่านั่งชิดกันพิงขอบไม้เรือนเกวียน นิ่งเงียบไม่พูดจา ภูผากับบุญเกิดก็เช่นกัน ทั้งสี่คนอยู่ในอาการกังวลใจ ส่วนคณะของนายเงิน ทุกคนยังคงท่าทีที่ปกติเรียบเฉย นายเงินหันหน้ามาเอยกับชายหนุ่มทั้งสองด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“หากพวกเอ็ง พบเห็นกระไร ก็อย่าเอ็ดตะโรไปเชียวละ”
“กระไรรึ พี่เงิน” บุญเกิดเอยถามด้วยความฉงนพรางเหลียวหน้าเหลียวหลังมองรอบกาย
ทันใดนั้น เสียงกรี๊ด วี๊ดว้าย ดังขึ้นจากเกวียนด้านหน้า ทั่งคู่รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นเสียงของดวงแขและมะลิ วี๊ดว้ายอยู่ครู่หนึ่งก็เงียบหายไป ภูผากับบุญเกิดยืดตัวขึ้นมอง ภูผายกมือป้องปากร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง
“มะลิ ดวงแข! พวกเอ็งเป็นกระไร” แล้วหันหน้ามาเอยกับนายเงินด้วยหน้าตาตื่นๆ “เกิดเรื่องกระไรขึ้นรึ พี่เงิน”
บุญเกิดเหลียวมองข้างทางด้วยท่าทีแตกตื่น ทันใดนั้น แสงสีเขียววูปวาบปรากฎขึ้นเป็นคู่ๆคลายดวงตา บินว่อนอยู่รอบเกวียน บุญเกิดหยิบคบไฟที่เหลือวางอยู่ในเกวียน ต่อจุดไฟเข้ากับคบไฟที่ผูกอยู่ข้างเกวียน กวาดคบไฟในมือไปที่ลูกไฟสีเขียวพวกนั้น ลูกไฟสีเขียววูปวาปราวมรกตคู่หนึ่งปราดตรงเข้ามาหาบุญเกิด บุญเกิดกวาดคบไฟเข้าใส เผยให้เห็นร่างกายของดวงตา มรกตคู่นั้น
กลุ่มควันสีดำทะมึนรวมตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายคน บินว่อนลอยอยู่ในอากาศ ดวงตาสีเขียวมรกตเรืองแสงวูปวาบ ปราดตรงเข้ามาหาบุญเกิด แสงคบไฟในมือบุญเกิดกระทบไปที่ร่างดำทะมึนนั้น บุญเกิดเบิกตาโพรง ขนลุกซู่ ละล่ำละลัก
“ผะ ผะ ผี......”
——————————

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา