CHESS:พลิกกระดานเทพ
10.0
เขียนโดย TKFD
วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เวลา 01.14 น.
41 ตอน
3 วิจารณ์
7,011 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567 01.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
36) ตอนที่ 11.2 แลกเปลี่ยนเรื่องราว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ "จิมมี่:ท่านเมิ่งซิน ข้าอยากเห็นว่ามุมมองจากด้านบนนั้นมันเป็นอย่างไร"
"เมิ่งซิน:ได้เลย ถ้าเจ้าอยากดู"
เมิ่งซินหลับตาลงเพียงครู่ ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะเปลี่ยนไป
เธอนึกถึงความทรงจำหนึ่ง—วันที่ได้ขึ้นไปยัง At The Top SKY จุดชมวิวบนชั้นสูงสุดของตึกเบิร์จคาลิฟา เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ทันทีที่ภาพนั้นปรากฏขึ้น ตรงหน้าก็คือวิวทิวทัศน์อันงดงามและกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เมืองทั้งเมืองที่เคยใหญ่โตกลับดูเล็กจิ๋วราวกับของเล่นในกล่องโชว์ ตึกระฟ้าเรียงตัวกันอย่างสง่างามภายใต้แสงอาทิตย์ที่ทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้า
เอริน่าและจิมมี่เบิกตากว้าง ใบหน้าทั้งคู่เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและประทับใจ
^เอริน่า:สิ่งก่อสร้างในโลกของเจ้าดูยิ่งใหญ่และงดงามยิ่งนัก... ราวกับเป็นเมืองของเหล่าทวยเทพ^
"จิมมี่:เมิ่งซิน… เจ้ามีภาพตอนอยู่ใกล้ๆ ขอบไหม? ข้าอยากเห็นว่าด้านล่างจะเป็นยังไง"
เมิ่งซินพยักหน้าเบาๆ แล้วเปลี่ยนภาพไปยังช่วงเวลาที่เธอเดินออกไปที่ระเบียงกระจกใส
ภาพเบื้องล่างทอดยาวออกไปสุดสายตา
ตึกสูงระฟ้า บ้านเรือน รถยนต์ และถนนที่เคยดูใหญ่โต กลับกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ ราวกับฉากจำลองขนาดย่อส่วน
มันทั้งสวยงามและน่าทึ่งในเวลาเดียวกัน
"จิมมี่:ว้าว... ขนาดข้าบินได้ ข้ายังไม่เคยขึ้นมาสูงขนาดนี้เลย มันสูงแค่ไหนกันเนี่ย?"
"เมิ่งซิน:จำตัวเลขเป๊ะๆ ไม่ได้ แต่ไม่น่าจะต่ำกว่า 800 เมตรแน่ๆ"
"จิมมี่:อีกแค่ 200 เมตรก็ครบหนึ่งกิโลเมตรแล้วไม่ใช่รึ!? มนุษย์โลกนี้... บ้ากันจริงๆ!"
เมิ่งซินหัวเราะเบาๆ พลางหันไปมองจิมมี่ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
"เมิ่งซิน:มีบ้ากว่านี้อีกนะ... อยากดูไหมล่ะ?"
"จิมมี่:ดูอะไร?"
เมิ่งซินไม่ตอบ แต่ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
ตอนนี้ทั้งสามอยู่ในห้องทรงยาว ภายในเต็มไปด้วยคนที่สวมชุดแปลกตาและแว่นป้องกันขนาดใหญ่
"จิมมี่:ที่นี่มันที่ไหนรึ?"
"เมิ่งซิน:รอดูต่อไปเถอะ"
จากนั้น ประตูท้ายเครื่องบินก็ค่อยๆ เปิดออก
สายลมแรงพัดเข้ามาปะทะ พร้อมกับภาพของท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่เปิดโล่งอยู่ด้านนอก
เมิ่งซินเดินไปยังประตูท้าย ท่ามกลางสายตาทั้งสองที่จับจ้อง
ภาพเบื้องล่างยังคงไกลจนมองไม่เห็นพื้น
"จิมมี่:ท่านขึ้นมาสูงมากเลย... แต่ขึ้นมาทำไมกันล่ะ?"
เมิ่งซินหันมายิ้มให้เฉยๆ โดยไม่ตอบ
เอริน่าที่เฝ้ามองอยู่ก็เบิกตากว้าง ก่อนจะเอ่ยเสียงหลง
^เอริน่า:เจ้าอย่าบอกนะ... ว่าจะกระโดด!?^
"เมิ่งซิน:ใช่แล้ว"
จากนั้น ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็นมุมมองจากตัวเมิ่งซิน
เธอกระโจนออกไปจากเครื่องบิน ร่างลอยละลิ่วกลางเวหา
^เอริน่า:ว้าย!^
"จิมมี่:อ้าาาาาาาาา!!!"
ภาพตอนนี้เปลี่ยนเป็นมุมมองจากตัวเมิ่งซินที่กำลังร่วงหล่นจากท้องฟ้า
แต่แทนที่เธอจะกลัว เธอกลับดูสนุกสนานอย่างเหลือเชื่อ
เธอหมุนตัวกลางอากาศอย่างอิสระ บางจังหวะก็เหวี่ยงตัวไปรอบๆ ราวกับกำลังเล่นสนุกกับแรงลมที่ปะทะเข้ามา
"จิมมี่:เจ้าทำอะไรอยู่เนี่ย!? เจ้าไม่กลัวตายหรือไง! นี่เจ้ากำลังดิ่งลงพื้นนะ!"
ขณะที่จิมมี่กำลังโวยวาย
เอริน่าไม่พูดอะไร เธอเพียงแค่ยกมือขึ้นปิดหน้า แต่ก็ยังแอบมองลอดระหว่างนิ้วอย่างลุ้นระทึก
เมิ่งซินยังคงเล่นอยู่บนฟ้าอีกพักใหญ่ จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งนาที
ในที่สุด เธอก็กางร่มชูชีพออก
ลมต้านแรงดึงรั้งตัวเธอไว้อย่างนุ่มนวล
ความเร็วในการร่วงหล่นลดลงอย่างเห็นได้ชัด
"จิมมี่:ตกช้าลงแล้ว... เฮ้อ... ไอ้ที่ใช้เมื่อกี้คืออะไรขอรับ?"
"เมิ่งซิน:มันคือลมชูชีพ เอาไว้ใช้หลังจากกระโดดจากเครื่องบิน เพื่อให้ลงพื้นได้อย่างปลอดภัย"
"จิมมี่:งั้นแสดงว่าท่านปลอดภัยแล้วใช่ไหมขอรับ?"
"เมิ่งซิน:ใช่แล้วล่ะ"
จากนั้น ภาพก็แสดงให้เห็นเธอลอยอยู่กลางอากาศ กางร่มชูชีพรับลมเอาไว้อย่างสง่างาม
ด้านล่างคือทิวทัศน์กว้างใหญ่สุดสายตา ทั้งเมืองใหญ่ ป่าเขา และแม่น้ำที่ทอดตัวไปไกล
เธอค่อยๆ ลอยตัวลงอย่างช้าๆ ใช้เวลาราว 4-5 นาที
ก่อนจะแตะพื้นอย่างปลอดภัย ท่ามกลางสายลมที่ยังพัดผ่านเบาๆ
"จิมมี่:ท่านนี่เล่นเสี่ยงชีวิตจริงๆ ท่านคงไม่ได้ทำแบบนี้บ่อยๆ ใช่ไหม..."
เมิ่งซินที่ได้ยินกลับหยุดยิ้มลงในทันที
เธอเอียงหน้าหนีเล็กน้อย ก่อนจะเลิ่กลั่กอย่างที่พยายามไม่ตอบตรงๆ
จิมมี่ที่สังเกตเห็น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นทันใด
"จิมมี่:...ท่านทำใช่ไหม?"
เมิ่งซินไม่ได้เอ่ยอะไร
เธอเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ...
เป็นการยอมรับเงียบๆ ที่เต็มไปด้วยความจริงใจ จิมมี่ที่เห็นอบบนั้นเลยพูดว่า
"จิมมี่:...เอาเป็นว่า...เราไปดูอย่างอื่นเถอะ"
"เมิ่งซิน:ก็ได้..."
น้ำเสียงของเธอเบากว่าปกติ
แม้ไม่มีใครเอ่ยอะไรเพิ่มเติม แต่ความรู้สึกบางอย่างก็ยังคลออยู่ในอากาศ
ทว่าเมิ่งซินก็ไม่ปล่อยให้บรรยากาศหม่นหมองอยู่นาน
เธอเริ่มเปลี่ยนภาพในหัวเป็นเรื่องราวอื่น—ประสบการณ์มากมายจากการท่องเที่ยวทั่วโลกของเธอ
เธอพาทั้งสองเดินทางผ่านภาพความทรงจำ
จากหอไอเฟลในกรุงปารีส
ไปยังเทพีเสรีภาพกลางมหานครนิวยอร์ก
จากทุ่งหิมะขาวโพลนใต้เงาภูเขาเอเวอร์เรสต์
ถึงอ่าวสวยงามในนอร์เวย์ที่พระอาทิตย์ไม่เคยตก
เธอเล่าเรื่องแต่ละที่ด้วยแววตาเป็นประกาย ทั้งตื่นเต้น ทั้งอ่อนโยน ราวกับเธอกำลังพาเพื่อนรักทั้งสองท่องไปในความทรงจำส่วนตัวของตัวเอง
...จนกระทั่ง...
ทันใดนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาตัดการบรรยายของเมิ่งซิน...
"โครก~~~"
จิมมี่และเอริน่าที่ได้ยินก็เงียบไปทันที ต่างคนต่างพยายามกลั้นหัวเราะ แม้จะเห็นได้ชัดว่าเสียงนั้นมาจากใคร เมิ่งซินก้มหน้าลงเล็กน้อย ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ
"จิมมี่:ข้าว่า... ใกล้ถึงเวลาดินเนอร์มื้อเย็นแล้วล่ะ เดี๋ยวข้าไปทำอะไรให้กินสักครู่"
พูดจบ เขาก็บินหายไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เมิ่งซินกับเอริน่าอยู่กันตามลำพัง...
บรรยากาศจู่ๆ ก็เงียบลงอย่างประหลาด ไม่มีใครเอ่ยปาก ต่างคนต่างนิ่ง จนกระทั่ง เอริน่าเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่จริงจัง
^เอริน่า:สิ่งที่เจ้าให้ดูเมื่อกี้... มันมีแต่เรื่องที่สนุกสนาน...^
^เอริน่า:ทำไมเจ้าไม่ให้เราดู... ด้านอื่นๆ บ้างล่ะ^
เมิ่งซินนิ่งไปเล็กน้อย ดวงตาของเธอทอดมองออกไปไกล เหมือนกำลังย้อนกลับไปในความทรงจำ ก่อนจะตอบกลับมาช้าๆ
"เมิ่งซิน:ก็... มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าดูเท่าไหร่หรอก ฉันอยากให้พวกเธอเห็นแต่สิ่งดีๆ"
"เมิ่งซิน:เพราะไม่อยากให้มองโลกในแง่ร้าย... ไม่อยากให้รู้สึกเหมือนโลกมันเลวร้ายน่ะ"
เอริน่าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แฝงด้วยความอยากรู้ลึกๆ
^เอริน่า:ไม่เป็นไร... ข้าอยากเห็น^
^เอริน่า:ข้าอยากรู้ ว่ามันจะแตกต่างจากโลกที่ข้าอยู่ไหม^
"เมิ่งซิน:...ได้"
ภาพเปลี่ยนไปในทันที แสงสดใสและความคึกคักเมื่อครู่ ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยเงามืดและความเงียบงัน
เมิ่งซินเริ่มฉายภาพของสลัมที่แออัดในเมืองใหญ่
ภาพของเด็กๆ ที่เดินเท้าเปล่าบนถนนที่เต็มไปด้วยขยะ ข่าวรายวันเรื่องความรุนแรง ยาเสพติด สงครามระหว่างมนุษย์ และความโหดร้ายที่มนุษย์กระทำต่อกันอย่างไม่ไยดี
ภาพของคนร่ำรวยที่กินอาหารหรูหราท่ามกลางไฟระยิบ ตัดสลับกับภาพของแม่ลูกที่ต้องนอนข้างถนนใต้สะพาน เพราะไม่มีแม้แต่บ้านจะอยู่
เอริน่าเงียบไปนาน... สายตาที่มองจอมิใช่แค่ "ดู" แต่เหมือนพยายาม "เข้าใจ" ก่อนจะพึมพำออกมาช้าๆ
^เอริน่า:...ไม่ว่าโลกไหน ก็ยังมีความโหดร้ายอยู่ทุกทีสินะ...^
"เมิ่งซิน:แล้วความโหดร้ายที่ดาวของท่านมันเป็นยังไง?"
^เอริน่า:เจ้าอยากดูจริงๆ เหรอ?^
"เมิ่งซิน:อืม"
เอริน่าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ
เลื่อนลูกแก้วเข้ามาใกล้ตัว
จากนั้นเธอก็เริ่มฉายภาพ...
ภาพแรก... คือหมู่บ้านที่เงียบงัน
ก่อนเสียงกรีดร้องจะแทรกขึ้นมา จากเงามืดของแนวป่าด้านหลัง
มอนสเตอร์ขนาดใหญ่พุ่งทะลุแนวไม้เข้ามา
ร่างของผู้คนถูกฉีกกระชากอย่างกับตุ๊กตา เนื้อสดๆ กระเด็นสาดไปทั่ว
เสียงหัวเราะของอสูรกายดังก้องเหนือเสียงร้องไห้ของเด็กๆ
หญิงสาวถูกลากไปต่อหน้าครอบครัวของตนเอง...
เมิ่งซินรู้สึกได้ทันทีถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลัง
หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะกระเด็นออกจากอก
ภาพต่อมา... คือสงคราม
ทหารในชุดเกราะฟาดฟันกันกลางทุ่งศพ ดาบที่เปื้อนเลือดฟันแขนขาขาดกระเด็น
เวทมนตร์ที่ใช้ไม่ได้มีเพียงเพื่อปกป้อง แต่บางลูกก็ใช้เผาหมู่ให้กลายเป็นขี้เถ้า
เสียงกรีดร้อง... เสียงเนื้อแตก เสียงของทหารหนุ่มที่เรียกหาพ่อแม่ทั้งที่ร่างพวกเขาถูกสับจนเละ
บางร่างยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่มีแขน ไม่มีขา
เด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกเวทไฟแผดเผาทั้งเป็นจนหนังลอกติดกระดูก
เมิ่งซินถึงกับเบิกตากว้าง มือเธอสั่น ใบหน้าเริ่มซีดเผือด
แล้วภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
กลุ่มมนุษย์ในคุก ถูกบังคับให้สู้กันเองด้วยมือเปล่าเพื่อความบันเทิงของผู้มีอำนาจ
คนที่พ่าย ถูกเฉือนแขนออกทั้งเป็นแล้วโยนให้สัตว์เวทกลืนกินตรงหน้า
เสียงกัด เสียงกระดูกแหลกชัดเจนราวอยู่ตรงหน้า...
"อ—อุ่ก..."
เมิ่งซินเอามือปิดปากทันที สีหน้าเธอซีดเผือดเหมือนคนจะอาเจียน
ร่างกายสั่นจนหยุดไม่ได้ หัวใจเต้นถี่ เหงื่อเย็นไหลซึมทั่วหลัง
ดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยภาพสะท้อนของความตายอันโหดร้าย
เอริน่าที่เห็นแบบนั้นก็หยุดภาพทั้งหมดทันที
เธอเงียบไปก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา
^เอริน่า:ข้าว่าข้าพอแค่นี้ดีกว่า...^
เมิ่งซินยังคงนั่งนิ่ง น้ำตาซึมตรงขอบตา
ดูเหมือนสมองของเธอกำลังพยายามสลัดภาพเหล่านั้นออก
เอริน่าที่เห็นแบบนั้นแล้วเลยร่ายเวทย์มนต์ช้าๆ เสียงกระซิบของมนตราดังเบาๆ
^เอริน่า:Calma Mentis^
แสงสีฟ้าบางเบาไหลผ่านเข้าหัวใจของเมิ่งซิน ราวกับสายลมเย็นปลอบโยนจิตใจ
เธอหลับตาลง ลมหายใจเริ่มกลับมาเป็นจังหวะ
หัวใจเต้นช้าลง อาการคลื่นไส้ค่อยๆ หายไป
"เมิ่งซิน:... ขอบคุณ"
^เอริน่า:ไม่เป็นไร... ข้าเองก็มีส่วนผิด ที่แสดงอะไรแบบนั้นให้เจ้าดู^
"เมิ่งซิน:ฉันก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่ามันรุนแรงจริงๆ เพราะเรื่องแบบนี้... พวกเราชาวโลกเคยเห็นแค่ในหนังเท่านั้นแหละ"
^เอริน่า:หนัง? นั่นคืออะไรงั้นหรือ^
"เมิ่งซิน:เอ่อ... มันเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งน่ะ จะมีคนมารับบทเป็นตัวละครแล้วแสดงเรื่องราวต่างๆ ให้เราดู เหมือนกับเล่าเรื่องผ่านภาพเคลื่อนไหว"
^เอริน่า:น่าสนใจดีนี่นา เจ้าพอจะให้ข้าดูได้ไหม^
"เมิ่งซิน:ได้สิ"
เอริน่าที่เห็นโอกาศก็ทำการชวนเมิ่งซินคุยเรื่องอื่นทันทีเพื่อช่วยให้เธอลืมภาพก่อนหน้านี้
ส่วนเมิ่งซินก็เริ่มฉายภาพยนตร์จากความทรงจำให้เอริน่าดู ทั้งสองนั่งชมกันอย่างเงียบๆ ท่ามกลางบรรยากาศผ่อนคลาย ขณะที่จิมมี่กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารเย็น
เวลาผ่านไปประมาณสี่สิบนาที จิมมี่ก็กลับมาพร้อมถาดอาหารที่ลอยตามหลังมาด้วย เขานำจานอาหารไปวางตรงหน้าเอริน่าก่อน แล้วค่อยวางให้เมิ่งซิน จากนั้นก็บินขึ้นมาอยู่ข้างๆ เอริน่า พลางเอียงหน้าถามด้วยความสงสัย
"จิมมี่:กำลังดูอะไรกันอยู่งั้นรึ?"
^เอริน่า:ข้ากำลังดูสิ่งที่เรียกว่าหนัง เมิ่งซินบอกว่ามันเป็นความบันเทิงของมนุษย์ โดยที่พวกเขาจะสวมบทบาทต่างๆ แล้วแสดงเรื่องราวให้ผู้ชมดู^
จิมมี่เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงข้างๆ พวกเธอ แล้วเริ่มดูหนังด้วยกัน สามคนดูหนังแนวจอมยุทธกำลังภายในต่ออีกประมาณยี่สิบนาที จนกระทั่งจบหนึ่งตอน
จิมมี่ที่ดูไปด้วยสีหน้าเข้มข้น ถึงกับลอยตัวขึ้นมาเล็กน้อยอย่างตื่นเต้น ก่อนจะหันไปถามเมิ่งซินทันที
"จิมมี่:เดี๋ยวนะ! ไหนเจ้าบอกว่าโลกของเจ้ามันไม่มีมานา แล้วทำไมมนุษย์ในเรื่องถึงปล่อยพลังตูมตาม เดินกลางอากาศได้ล่ะ?"
"เมิ่งซิน:อ๋อ... พลังพวกนั้นมันไม่ได้มีจริงหรอก มันเป็นเทคโนโลยีของมนุษย์ที่เรียกว่า Visual Effects หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า VFX น่ะ เป็นการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ให้ดูเหมือนจริง ส่วนที่เห็นกระโดดสูงหรือบินได้น่ะ บางทีก็ใช้ลวดเส้นเล็กๆ หรือเหล็กเส้นช่วยยกตัวให้ลอยขึ้นมา"
"จิมมี่:มนุษย์นี่คิดอะไรแปลกๆ ได้เก่งจริงๆ... ถ้าพวกเจ้ามีมานาล่ะก็—อาจจะทำอะไรได้ยิ่งกว่านั้นอีกนะเนี่ย"
"เมิ่งซิน:นั่นสิ~ ถ้ามีมานาจริงๆ หนังแบบนี้อาจจะดูเหมือนการ์ตูนธรรมดาไปเลย ฮ่าฮ่า!"
"จิมมี่:ข้าอดใจไม่ไหวแล้ว อยากดูตอนต่อไปแล้วสิ!"
เมิ่งซินหัวเราะเบาๆ อย่างเข้าใจ ก่อนจะหันไปมองอาหารตรงหน้า
'เมิ่งซิน:ฮ่าฮ่า ฉันเข้าใจความรู้สึกเขาดีนะ แต่...ให้ฉันกินก่อนได้ไหม หิวจะแย่แล้ว... แต่จะพูดออกไปก็คงดูไม่ดีเท่าไหร่'
"เมิ่งซิน:ฮ่าฮ่า..."
เธอยิ้มแห้งๆ ขณะหัวเราะเบาๆ แต่เอริน่าที่สังเกตเห็นอาการลังเลของเธอก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
^เอริน่า:จิมมี่ ก่อนจะดูต่อ...เราควรให้แขกกินอาหารก่อนไหม เดี๋ยวมันจะเย็นไปกว่านี้นะ^
จิมมี่ชะงักนิดหนึ่ง แล้วก็เหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ เขารีบถอยออกมาอย่างรู้ตัว ก่อนจะลอยมานิ่งๆ อยู่ข้างโต๊ะ ให้ทั้งสองคนได้กินกันอย่างสะดวก
แต่ก่อนที่เมิ่งซินจะเริ่มลงมือ เอริน่าก็หันไปถามจิมมี่ด้วยความเป็นห่วง
^เอริน่า:แล้วของเจ้าล่ะ จิมมี่?^
"จิมมี่:เรามีแขกอยู่ จะให้ข้ารับประทานด้วยได้อย่างไรล่ะ เดี๋ยวข้าไปกินทีหลังก็ได้"
เมิ่งซินที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบเอ่ยขึ้นมาทันที
"เมิ่งซิน:ข้าไม่ติดอะไรเลย มานั่งกินด้วยกันเถอะ ยิ่งมีคนร่วมโต๊ะ อาหารก็ยิ่งอร่อยขึ้น...ใช่ไหม ท่านเอริน่า?"
เอริน่าชะงักไปเล็กน้อย เหมือนจะไม่คุ้นกับบรรยากาศแบบนี้ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แล้วตอบเสียงแผ่ว
เอริน่า:ใช่...^
เมื่อได้ยินคำตอบนั้น จิมมี่ก็ไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธอีก เขาบินออกไปอย่างว่าง่าย เพื่อไปหยิบอาหารของตัวเองที่วางแยกไว้อยู่ไม่ไกล
เมิ่งซินแอบหันไปมองตามอย่างอดสงสัยไม่ได้ และเมื่อเห็นอาหารของจิมมี่ เธอก็อดเบิกตาเล็กน้อยไม่ได้—ปริมาณอาหารของเขานั้นเกือบเท่าเอริน่าเลยด้วยซ้ำ!
แต่ที่ทำให้เธอสะดุดใจยิ่งกว่าคือ...จานของตัวเองกลับเป็นจานที่เล็กที่สุด
ถึงจะบอกว่า "เล็ก" แต่มันก็ยังใหญ่อยู่ดี เพราะของที่อยู่ตรงหน้าเธอคือเนื้อบดทอดชิ้นใหญ่ที่แทบจะปิดจานได้ทั้งใบ... ขนาดเกือบเท่าใบหน้าของเธอเลยทีเดียว ส่วนของเอริน่าและจิมมี่—มันใหญ่ออกจะเกินพอดีไปหน่อย โดยเฉพาะของจิมมี่ที่ขนาดเนื้อชิ้นเดียว...ก็แทบจะใหญ่เท่าตัวเขาแล้ว
'เมิ่งซิน:เอริน่าได้อันใหญ่ก็พอเข้าใจนะ ดูเข้ากับร่างกายเธออยู่...แต่จิมมี่เนี่ยนะ? นั่นมันจะเยอะเกินไปแล้วไหม! เนื้อทอดชิ้นนั้นมันใหญ่จะเท่าตัวเขาอยู่แล้ว!'
เมิ่งซินได้แต่กลอกตาเล็กน้อยก่อนจะยอมเก็บคำถามเหล่านั้นไว้ในใจ แล้วจึงหันกลับมาสนใจอาหารของตนเองแทน
เธอหยิบส้อมและมีดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วค่อยๆ หั่นชิ้นเนื้อออกอย่างใจเย็น เนื้อบดที่ดูธรรมดาเมื่อผ่าออกมากลับเผยให้เห็นผักที่ถูกห่ออยู่ข้างในเป็นชิ้นพอดีคำ ทั้งมันฝรั่ง แครอท กะหล่ำ และหัวไชเท้า
เมิ่งซินจิ้มชิ้นเนื้อที่ห่อผักไว้อย่างดี แล้วค่อยๆ นำเข้าปาก
ทันทีที่กัดเข้าไป น้ำซุปอ่อนๆ ที่อยู่ในเนื้อก็ไหลออกมาอย่างนุ่มนวล กลิ่นหอมของเครื่องเทศผสมกับรสเค็มนิดๆ และความหวานของเนื้อบด แทรกด้วยความกรุบกรอบของผักทำให้เธอหลับตาพริ้มโดยไม่รู้ตัว
ความอบอุ่นแผ่ซ่านในปาก...และในใจ
รสชาติที่เรียบง่าย...แต่กลับอ่อนโยนและจริงใจจนเมิ่งซินเผลอยิ้มเบาๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
'เมิ่งซิน:ตอนเห็นฉันคิดว่ามันแค่เนื้อทอดธรรมดา...แต่พอกินจริงๆ แล้ว น้ำซุปกลับซึมออกมาจากเนื้อเลย...รสเค็มอ่อนๆ กับความหวานของเนื้อเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ แถมผักยังกรอบอยู่อีกต่างหาก ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าเขาทำยังไง'
ในขณะที่เมิ่งซินกำลังเพลิดเพลินกับรสชาติ เอริน่าที่นั่งเงียบข้างๆ ก็หันไปพยักหน้าให้จิมมี่เบาๆ เหมือนส่งสัญญาณบางอย่าง จิมมี่เองก็ยิ้มตอบกลับด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
เขารู้ดีว่าอาหารจานนี้...คือของขวัญเล็กๆ ที่เขาตั้งใจทำให้
เวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบ ท่ามกลางเสียงช้อนส้อมกระทบจานและความรู้สึกอบอุ่นที่กระจายอยู่ทั่วโต๊ะ
คนแรกที่ทานหมดคือเมิ่งซิน ตามด้วยเอริน่าที่กินช้าและเรียบร้อย ส่วนจิมมี่...เขาใช้เวลานานที่สุดเพราะอาหารในจานของเขาเยอะจนดูเกินตัวไปมาก
เมื่อทุกอย่างหมดลง จิมมี่ก็นั่งหอบอยู่เล็กน้อย และที่สำคัญ—ร่างกายของเขากลมป่องจนดูเหมือนลูกบอลลอยได้!
เมิ่งซินมองแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ มันเป็นภาพที่ดู...น่ารักอย่างประหลาด
แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมา ร่างของจิมมี่ก็หดแฟ่บลงกลับเป็นปกติภายในพริบตา เมิ่งซินที่ยังยิ้มอยู่ถึงกับชะงัก แล้วทำหน้ามึนงงทันที
"จิมมี่:พอดีเผ่าพันธุ์ข้าย่อยอาหารได้เร็วน่ะ ฮ่าฮ่า!"
"เมิ่งซิน:..."
'เมิ่งซิน:นั่นไม่ใช่เร็วแล้ว...นั่นมันหายไปเลยไม่ใช่รึไง'
เธอได้แต่เบิกตากว้างอย่างพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เพราะสำหรับวันนี้แล้ว—สิ่งแปลกใหม่พวกนี้...ก็เริ่มกลายเป็น “ปกติ” สำหรับเธอไปเสียแล้ว
หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหาร ทั้งสามก็นั่งดูหนังด้วยกันต่อ ใช้เวลาไปร่วมสี่ชั่วโมงกว่า
"จิมมี่:ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่านางหลีกวงจะทรยศอันซงในตอนสุดท้าย!"
^เอริน่า:เรื่องความสัมพันธ์นี่เข้าใจยากจริง ขนาดอยู่ด้วยกันมาตั้งนานยังทำกันได้^
เมิ่งซินที่ได้ยินทั้งคู่กำลังถกเถียงกันก็มองหน้าพวกเขา ก่อนจะพูดขึ้นว่า
"เมิ่งซิน:ทั้งสองคนอย่าเพิ่งด่วนสรุปสิ"
"จิมมี่:ทำไมล่ะ?"
"เมิ่งซิน:ก็...บางทีที่เธอทำลงไป อาจมีเหตุผลของเธอก็ได้"
ทั้งจิมมี่และเอริน่าถึงกับหันมามองเธอด้วยสายตาเป็นประกายทันที
"จิมมี่:เจ้าจะบอกว่ามันมีต่ออย่างนั้นเหรอ?"
เมิ่งซินยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ แค่นั้นจิมมี่ก็ดูดีใจเหมือนเด็กน้อยที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่
"จิมมี่:งั้นดูต่อเลยไหม! ข้าอยากดูแล้ว!"
"เมิ่งซิน:ฮ่าฮ่า แน่นอน ฉันจะเปิดให้เอง"
เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่เริ่มแผ่วลงเล็กน้อยจนเอริน่าหันมามอง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
^เอริน่า:เมิ่งซิน เจ้าควรพักผ่อนก่อนนะ ข้าว่าเจ้าเริ่มเหนื่อยแล้ว^
"เมิ่งซิน:ฉันดูเหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอ?"
จิมมี่ที่ได้ยินเอริน่าพูดก็รีบหันไปมองเมิ่งซินทันที แล้วเขาก็สังเกตเห็นชัดเจน—เธอดูอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด
'จิมมี่:ข้ามัวแต่ตื่นเต้นกับหนังจนลืมสังเกตเลย...ตอนนี้เธอคงเหนื่อยสุดๆ แล้วล่ะ ข้าควรจัดห้องพักให้เธอ'
"จิมมี่:ท่านเอริน่า ข้าขอจัดห้องพักให้นางได้หรือไม่?"
^เอริน่า:ทำตามที่เจ้าเห็นสมควรเถอะ^
"จิมมี่:ขอรับ!"
จิมมี่พูดจบก็บินอ้อมไปด้านหลังเอริน่า ก่อนจะหยิบกระดิ่งเล็กๆ ออกมาแล้วสั่นเบาๆ
“กริ่ง!”
เสียงกระดิ่งดังกังวาน และตามมาด้วยแรงสั่นสะเทือน
“คลื่น~~~”
ชั้นหนังสือมากมายเริ่มขยับ เสียงกลไกดังขึ้นเป็นจังหวะ
“คลื่น โครม คราก!”
มันเหมือนกับฉากจิ๊กซอว์ที่ถูกประกอบเข้าหากันอย่างลงตัว ชั้นหนังสือค่อยๆ เคลื่อนไหว ก่อตัวเป็นห้องพักขนาดพอดี
เมิ่งซินที่มองอยู่ก็ได้แต่พึมพำในใจอย่างเหนื่อยหน่ายปนขำ
'เมิ่งซิน:ขนาดหนังสือบินเองได้ยังมี...แค่ชั้นหนังสือกลายเป็นห้อง คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอีกแล้วล่ะ'
ไม่นานนัก ห้องพักก็เสร็จสมบูรณ์ จิมมี่บินกลับมาหาเมิ่งซินด้วยท่าทางภูมิใจ
"จิมมี่:ห้องพักเสร็จแล้วขอรับ เชิญใช้ได้เลย"
เมิ่งซินลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะหันไปโค้งให้เอริน่าเล็กน้อยพร้อมกล่าวอย่างสุภาพ
"เมิ่งซิน:ขอบคุณสำหรับห้องพักนะ ฉันขอไปพักก่อน"
^เอริน่า:เชิญเถอะ^
เอริน่าก้มศีรษะตอบรับเบาๆ แต่ในน้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นกลับแฝงความห่วงใยไว้ชัดเจน
เมิ่งซินเดินไปที่ประตูก่อนจะเปิดเข้าไปในห้อง ข้อมือเล็กๆ ผลักบานประตูด้วยแรงไม่มากนัก พอเข้ามาก็เห็นชั้นหนังสือที่มีหนังสือเต็มแน่นทุกตารางนิ้วและไม่มีช่องว่าง ดูไปดูก็เหมือนกำแพงจริงๆ แค่เพียงมันทำมาจากหนังสือ เธอชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะกวาดตามองด้วยแววตาแปลกใจปนทึ่ง
กลางห้องมีเตียงอยู่หนึ่งเตียง ปูผ้าเรียบร้อยจนดูสะอาดสะอ้าน ด้านขวาของห้องมีประตูอีกบาน เมิ่งซินเดินเปิดไปดูก็พบว่ามันคือห้องน้ำ
"เมิ่งซิน:ฉันน่าจะทำธุระส่วนตัวแล้วก็..."
เมิ่งซินก้มดมที่เสื้อตัวเอง ลมหายใจเบาๆ พ่นออกจากจมูกพร้อมรอยย่นระหว่างคิ้ว
"เมิ่งซิน:ฉันน่าจะอาบน้ำสักหน่อย"
เมิ่งซินที่คิดได้อย่างนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ พอเข้ามาเธอจะไปทำธุระส่วนตัว แต่พอเห็นส้วมอันใหญ่ก็เผลอชะงักกึก ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะหันมองของต่างๆ ในห้องน้ำอย่างละเอียด ก็พบว่าของส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่จนเกินตัวเธอไปมาก เธอเลยคิดในใจว่า
'เมิ่งซิน:นี่คงเป็นห้องน้ำที่เอริน่าใช้แน่ๆ เพราะดูจากขนาดของใช้ต่างๆแล้ว มันไม่พอดีกับฉันซะเลย'
เมิ่งซินถอนหายใจเบาๆ พร้อมรอยยิ้มจางๆ ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกปลงในโชคชะตาตัวเอง
ื
จากผู้แต่ง
ถ้าทุกคนเจอสถานการณ์แบบเดียวกับเมิ่งซิน… คุณจะทำยังไง?
สถานที่แปลกๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร…
ผู้หญิงตัวใหญ่สูงถึง 3 เมตร แฟรี่ 1 ตน ที่เก่งเวทมนตร์และสาวตัวใหญ่ที่มีพลังลึกลับที่เมิ่งซินโดน แต่ก็ทำได้แค่แกล้งลืมมันไป...
ถ้าคัดใจไป อาจจะต้องเสี่ยงต่อชีวิต แต่ถ้าคิดตามน้ำไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปดี
ถ้าคุณเป็นเมิ่งซิน…
จะเลือกเดินไปตามเส้นทางที่ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง หรือจะหาทางเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่เหมือนมีอะไรกดดันอยู่ตลอด?
"เมิ่งซิน:ได้เลย ถ้าเจ้าอยากดู"
เมิ่งซินหลับตาลงเพียงครู่ ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะเปลี่ยนไป
เธอนึกถึงความทรงจำหนึ่ง—วันที่ได้ขึ้นไปยัง At The Top SKY จุดชมวิวบนชั้นสูงสุดของตึกเบิร์จคาลิฟา เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ทันทีที่ภาพนั้นปรากฏขึ้น ตรงหน้าก็คือวิวทิวทัศน์อันงดงามและกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เมืองทั้งเมืองที่เคยใหญ่โตกลับดูเล็กจิ๋วราวกับของเล่นในกล่องโชว์ ตึกระฟ้าเรียงตัวกันอย่างสง่างามภายใต้แสงอาทิตย์ที่ทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้า
เอริน่าและจิมมี่เบิกตากว้าง ใบหน้าทั้งคู่เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและประทับใจ
^เอริน่า:สิ่งก่อสร้างในโลกของเจ้าดูยิ่งใหญ่และงดงามยิ่งนัก... ราวกับเป็นเมืองของเหล่าทวยเทพ^
"จิมมี่:เมิ่งซิน… เจ้ามีภาพตอนอยู่ใกล้ๆ ขอบไหม? ข้าอยากเห็นว่าด้านล่างจะเป็นยังไง"
เมิ่งซินพยักหน้าเบาๆ แล้วเปลี่ยนภาพไปยังช่วงเวลาที่เธอเดินออกไปที่ระเบียงกระจกใส
ภาพเบื้องล่างทอดยาวออกไปสุดสายตา
ตึกสูงระฟ้า บ้านเรือน รถยนต์ และถนนที่เคยดูใหญ่โต กลับกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ ราวกับฉากจำลองขนาดย่อส่วน
มันทั้งสวยงามและน่าทึ่งในเวลาเดียวกัน
"จิมมี่:ว้าว... ขนาดข้าบินได้ ข้ายังไม่เคยขึ้นมาสูงขนาดนี้เลย มันสูงแค่ไหนกันเนี่ย?"
"เมิ่งซิน:จำตัวเลขเป๊ะๆ ไม่ได้ แต่ไม่น่าจะต่ำกว่า 800 เมตรแน่ๆ"
"จิมมี่:อีกแค่ 200 เมตรก็ครบหนึ่งกิโลเมตรแล้วไม่ใช่รึ!? มนุษย์โลกนี้... บ้ากันจริงๆ!"
เมิ่งซินหัวเราะเบาๆ พลางหันไปมองจิมมี่ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
"เมิ่งซิน:มีบ้ากว่านี้อีกนะ... อยากดูไหมล่ะ?"
"จิมมี่:ดูอะไร?"
เมิ่งซินไม่ตอบ แต่ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
ตอนนี้ทั้งสามอยู่ในห้องทรงยาว ภายในเต็มไปด้วยคนที่สวมชุดแปลกตาและแว่นป้องกันขนาดใหญ่
"จิมมี่:ที่นี่มันที่ไหนรึ?"
"เมิ่งซิน:รอดูต่อไปเถอะ"
จากนั้น ประตูท้ายเครื่องบินก็ค่อยๆ เปิดออก
สายลมแรงพัดเข้ามาปะทะ พร้อมกับภาพของท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่เปิดโล่งอยู่ด้านนอก
เมิ่งซินเดินไปยังประตูท้าย ท่ามกลางสายตาทั้งสองที่จับจ้อง
ภาพเบื้องล่างยังคงไกลจนมองไม่เห็นพื้น
"จิมมี่:ท่านขึ้นมาสูงมากเลย... แต่ขึ้นมาทำไมกันล่ะ?"
เมิ่งซินหันมายิ้มให้เฉยๆ โดยไม่ตอบ
เอริน่าที่เฝ้ามองอยู่ก็เบิกตากว้าง ก่อนจะเอ่ยเสียงหลง
^เอริน่า:เจ้าอย่าบอกนะ... ว่าจะกระโดด!?^
"เมิ่งซิน:ใช่แล้ว"
จากนั้น ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็นมุมมองจากตัวเมิ่งซิน
เธอกระโจนออกไปจากเครื่องบิน ร่างลอยละลิ่วกลางเวหา
^เอริน่า:ว้าย!^
"จิมมี่:อ้าาาาาาาาา!!!"
ภาพตอนนี้เปลี่ยนเป็นมุมมองจากตัวเมิ่งซินที่กำลังร่วงหล่นจากท้องฟ้า
แต่แทนที่เธอจะกลัว เธอกลับดูสนุกสนานอย่างเหลือเชื่อ
เธอหมุนตัวกลางอากาศอย่างอิสระ บางจังหวะก็เหวี่ยงตัวไปรอบๆ ราวกับกำลังเล่นสนุกกับแรงลมที่ปะทะเข้ามา
"จิมมี่:เจ้าทำอะไรอยู่เนี่ย!? เจ้าไม่กลัวตายหรือไง! นี่เจ้ากำลังดิ่งลงพื้นนะ!"
ขณะที่จิมมี่กำลังโวยวาย
เอริน่าไม่พูดอะไร เธอเพียงแค่ยกมือขึ้นปิดหน้า แต่ก็ยังแอบมองลอดระหว่างนิ้วอย่างลุ้นระทึก
เมิ่งซินยังคงเล่นอยู่บนฟ้าอีกพักใหญ่ จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งนาที
ในที่สุด เธอก็กางร่มชูชีพออก
ลมต้านแรงดึงรั้งตัวเธอไว้อย่างนุ่มนวล
ความเร็วในการร่วงหล่นลดลงอย่างเห็นได้ชัด
"จิมมี่:ตกช้าลงแล้ว... เฮ้อ... ไอ้ที่ใช้เมื่อกี้คืออะไรขอรับ?"
"เมิ่งซิน:มันคือลมชูชีพ เอาไว้ใช้หลังจากกระโดดจากเครื่องบิน เพื่อให้ลงพื้นได้อย่างปลอดภัย"
"จิมมี่:งั้นแสดงว่าท่านปลอดภัยแล้วใช่ไหมขอรับ?"
"เมิ่งซิน:ใช่แล้วล่ะ"
จากนั้น ภาพก็แสดงให้เห็นเธอลอยอยู่กลางอากาศ กางร่มชูชีพรับลมเอาไว้อย่างสง่างาม
ด้านล่างคือทิวทัศน์กว้างใหญ่สุดสายตา ทั้งเมืองใหญ่ ป่าเขา และแม่น้ำที่ทอดตัวไปไกล
เธอค่อยๆ ลอยตัวลงอย่างช้าๆ ใช้เวลาราว 4-5 นาที
ก่อนจะแตะพื้นอย่างปลอดภัย ท่ามกลางสายลมที่ยังพัดผ่านเบาๆ
"จิมมี่:ท่านนี่เล่นเสี่ยงชีวิตจริงๆ ท่านคงไม่ได้ทำแบบนี้บ่อยๆ ใช่ไหม..."
เมิ่งซินที่ได้ยินกลับหยุดยิ้มลงในทันที
เธอเอียงหน้าหนีเล็กน้อย ก่อนจะเลิ่กลั่กอย่างที่พยายามไม่ตอบตรงๆ
จิมมี่ที่สังเกตเห็น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นทันใด
"จิมมี่:...ท่านทำใช่ไหม?"
เมิ่งซินไม่ได้เอ่ยอะไร
เธอเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ...
เป็นการยอมรับเงียบๆ ที่เต็มไปด้วยความจริงใจ จิมมี่ที่เห็นอบบนั้นเลยพูดว่า
"จิมมี่:...เอาเป็นว่า...เราไปดูอย่างอื่นเถอะ"
"เมิ่งซิน:ก็ได้..."
น้ำเสียงของเธอเบากว่าปกติ
แม้ไม่มีใครเอ่ยอะไรเพิ่มเติม แต่ความรู้สึกบางอย่างก็ยังคลออยู่ในอากาศ
ทว่าเมิ่งซินก็ไม่ปล่อยให้บรรยากาศหม่นหมองอยู่นาน
เธอเริ่มเปลี่ยนภาพในหัวเป็นเรื่องราวอื่น—ประสบการณ์มากมายจากการท่องเที่ยวทั่วโลกของเธอ
เธอพาทั้งสองเดินทางผ่านภาพความทรงจำ
จากหอไอเฟลในกรุงปารีส
ไปยังเทพีเสรีภาพกลางมหานครนิวยอร์ก
จากทุ่งหิมะขาวโพลนใต้เงาภูเขาเอเวอร์เรสต์
ถึงอ่าวสวยงามในนอร์เวย์ที่พระอาทิตย์ไม่เคยตก
เธอเล่าเรื่องแต่ละที่ด้วยแววตาเป็นประกาย ทั้งตื่นเต้น ทั้งอ่อนโยน ราวกับเธอกำลังพาเพื่อนรักทั้งสองท่องไปในความทรงจำส่วนตัวของตัวเอง
...จนกระทั่ง...
ทันใดนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาตัดการบรรยายของเมิ่งซิน...
"โครก~~~"
จิมมี่และเอริน่าที่ได้ยินก็เงียบไปทันที ต่างคนต่างพยายามกลั้นหัวเราะ แม้จะเห็นได้ชัดว่าเสียงนั้นมาจากใคร เมิ่งซินก้มหน้าลงเล็กน้อย ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ
"จิมมี่:ข้าว่า... ใกล้ถึงเวลาดินเนอร์มื้อเย็นแล้วล่ะ เดี๋ยวข้าไปทำอะไรให้กินสักครู่"
พูดจบ เขาก็บินหายไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เมิ่งซินกับเอริน่าอยู่กันตามลำพัง...
บรรยากาศจู่ๆ ก็เงียบลงอย่างประหลาด ไม่มีใครเอ่ยปาก ต่างคนต่างนิ่ง จนกระทั่ง เอริน่าเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่จริงจัง
^เอริน่า:สิ่งที่เจ้าให้ดูเมื่อกี้... มันมีแต่เรื่องที่สนุกสนาน...^
^เอริน่า:ทำไมเจ้าไม่ให้เราดู... ด้านอื่นๆ บ้างล่ะ^
เมิ่งซินนิ่งไปเล็กน้อย ดวงตาของเธอทอดมองออกไปไกล เหมือนกำลังย้อนกลับไปในความทรงจำ ก่อนจะตอบกลับมาช้าๆ
"เมิ่งซิน:ก็... มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าดูเท่าไหร่หรอก ฉันอยากให้พวกเธอเห็นแต่สิ่งดีๆ"
"เมิ่งซิน:เพราะไม่อยากให้มองโลกในแง่ร้าย... ไม่อยากให้รู้สึกเหมือนโลกมันเลวร้ายน่ะ"
เอริน่าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แฝงด้วยความอยากรู้ลึกๆ
^เอริน่า:ไม่เป็นไร... ข้าอยากเห็น^
^เอริน่า:ข้าอยากรู้ ว่ามันจะแตกต่างจากโลกที่ข้าอยู่ไหม^
"เมิ่งซิน:...ได้"
ภาพเปลี่ยนไปในทันที แสงสดใสและความคึกคักเมื่อครู่ ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยเงามืดและความเงียบงัน
เมิ่งซินเริ่มฉายภาพของสลัมที่แออัดในเมืองใหญ่
ภาพของเด็กๆ ที่เดินเท้าเปล่าบนถนนที่เต็มไปด้วยขยะ ข่าวรายวันเรื่องความรุนแรง ยาเสพติด สงครามระหว่างมนุษย์ และความโหดร้ายที่มนุษย์กระทำต่อกันอย่างไม่ไยดี
ภาพของคนร่ำรวยที่กินอาหารหรูหราท่ามกลางไฟระยิบ ตัดสลับกับภาพของแม่ลูกที่ต้องนอนข้างถนนใต้สะพาน เพราะไม่มีแม้แต่บ้านจะอยู่
เอริน่าเงียบไปนาน... สายตาที่มองจอมิใช่แค่ "ดู" แต่เหมือนพยายาม "เข้าใจ" ก่อนจะพึมพำออกมาช้าๆ
^เอริน่า:...ไม่ว่าโลกไหน ก็ยังมีความโหดร้ายอยู่ทุกทีสินะ...^
"เมิ่งซิน:แล้วความโหดร้ายที่ดาวของท่านมันเป็นยังไง?"
^เอริน่า:เจ้าอยากดูจริงๆ เหรอ?^
"เมิ่งซิน:อืม"
เอริน่าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ
เลื่อนลูกแก้วเข้ามาใกล้ตัว
จากนั้นเธอก็เริ่มฉายภาพ...
ภาพแรก... คือหมู่บ้านที่เงียบงัน
ก่อนเสียงกรีดร้องจะแทรกขึ้นมา จากเงามืดของแนวป่าด้านหลัง
มอนสเตอร์ขนาดใหญ่พุ่งทะลุแนวไม้เข้ามา
ร่างของผู้คนถูกฉีกกระชากอย่างกับตุ๊กตา เนื้อสดๆ กระเด็นสาดไปทั่ว
เสียงหัวเราะของอสูรกายดังก้องเหนือเสียงร้องไห้ของเด็กๆ
หญิงสาวถูกลากไปต่อหน้าครอบครัวของตนเอง...
เมิ่งซินรู้สึกได้ทันทีถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลัง
หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะกระเด็นออกจากอก
ภาพต่อมา... คือสงคราม
ทหารในชุดเกราะฟาดฟันกันกลางทุ่งศพ ดาบที่เปื้อนเลือดฟันแขนขาขาดกระเด็น
เวทมนตร์ที่ใช้ไม่ได้มีเพียงเพื่อปกป้อง แต่บางลูกก็ใช้เผาหมู่ให้กลายเป็นขี้เถ้า
เสียงกรีดร้อง... เสียงเนื้อแตก เสียงของทหารหนุ่มที่เรียกหาพ่อแม่ทั้งที่ร่างพวกเขาถูกสับจนเละ
บางร่างยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่มีแขน ไม่มีขา
เด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกเวทไฟแผดเผาทั้งเป็นจนหนังลอกติดกระดูก
เมิ่งซินถึงกับเบิกตากว้าง มือเธอสั่น ใบหน้าเริ่มซีดเผือด
แล้วภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
กลุ่มมนุษย์ในคุก ถูกบังคับให้สู้กันเองด้วยมือเปล่าเพื่อความบันเทิงของผู้มีอำนาจ
คนที่พ่าย ถูกเฉือนแขนออกทั้งเป็นแล้วโยนให้สัตว์เวทกลืนกินตรงหน้า
เสียงกัด เสียงกระดูกแหลกชัดเจนราวอยู่ตรงหน้า...
"อ—อุ่ก..."
เมิ่งซินเอามือปิดปากทันที สีหน้าเธอซีดเผือดเหมือนคนจะอาเจียน
ร่างกายสั่นจนหยุดไม่ได้ หัวใจเต้นถี่ เหงื่อเย็นไหลซึมทั่วหลัง
ดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยภาพสะท้อนของความตายอันโหดร้าย
เอริน่าที่เห็นแบบนั้นก็หยุดภาพทั้งหมดทันที
เธอเงียบไปก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา
^เอริน่า:ข้าว่าข้าพอแค่นี้ดีกว่า...^
เมิ่งซินยังคงนั่งนิ่ง น้ำตาซึมตรงขอบตา
ดูเหมือนสมองของเธอกำลังพยายามสลัดภาพเหล่านั้นออก
เอริน่าที่เห็นแบบนั้นแล้วเลยร่ายเวทย์มนต์ช้าๆ เสียงกระซิบของมนตราดังเบาๆ
^เอริน่า:Calma Mentis^
แสงสีฟ้าบางเบาไหลผ่านเข้าหัวใจของเมิ่งซิน ราวกับสายลมเย็นปลอบโยนจิตใจ
เธอหลับตาลง ลมหายใจเริ่มกลับมาเป็นจังหวะ
หัวใจเต้นช้าลง อาการคลื่นไส้ค่อยๆ หายไป
"เมิ่งซิน:... ขอบคุณ"
^เอริน่า:ไม่เป็นไร... ข้าเองก็มีส่วนผิด ที่แสดงอะไรแบบนั้นให้เจ้าดู^
"เมิ่งซิน:ฉันก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่ามันรุนแรงจริงๆ เพราะเรื่องแบบนี้... พวกเราชาวโลกเคยเห็นแค่ในหนังเท่านั้นแหละ"
^เอริน่า:หนัง? นั่นคืออะไรงั้นหรือ^
"เมิ่งซิน:เอ่อ... มันเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งน่ะ จะมีคนมารับบทเป็นตัวละครแล้วแสดงเรื่องราวต่างๆ ให้เราดู เหมือนกับเล่าเรื่องผ่านภาพเคลื่อนไหว"
^เอริน่า:น่าสนใจดีนี่นา เจ้าพอจะให้ข้าดูได้ไหม^
"เมิ่งซิน:ได้สิ"
เอริน่าที่เห็นโอกาศก็ทำการชวนเมิ่งซินคุยเรื่องอื่นทันทีเพื่อช่วยให้เธอลืมภาพก่อนหน้านี้
ส่วนเมิ่งซินก็เริ่มฉายภาพยนตร์จากความทรงจำให้เอริน่าดู ทั้งสองนั่งชมกันอย่างเงียบๆ ท่ามกลางบรรยากาศผ่อนคลาย ขณะที่จิมมี่กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารเย็น
เวลาผ่านไปประมาณสี่สิบนาที จิมมี่ก็กลับมาพร้อมถาดอาหารที่ลอยตามหลังมาด้วย เขานำจานอาหารไปวางตรงหน้าเอริน่าก่อน แล้วค่อยวางให้เมิ่งซิน จากนั้นก็บินขึ้นมาอยู่ข้างๆ เอริน่า พลางเอียงหน้าถามด้วยความสงสัย
"จิมมี่:กำลังดูอะไรกันอยู่งั้นรึ?"
^เอริน่า:ข้ากำลังดูสิ่งที่เรียกว่าหนัง เมิ่งซินบอกว่ามันเป็นความบันเทิงของมนุษย์ โดยที่พวกเขาจะสวมบทบาทต่างๆ แล้วแสดงเรื่องราวให้ผู้ชมดู^
จิมมี่เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงข้างๆ พวกเธอ แล้วเริ่มดูหนังด้วยกัน สามคนดูหนังแนวจอมยุทธกำลังภายในต่ออีกประมาณยี่สิบนาที จนกระทั่งจบหนึ่งตอน
จิมมี่ที่ดูไปด้วยสีหน้าเข้มข้น ถึงกับลอยตัวขึ้นมาเล็กน้อยอย่างตื่นเต้น ก่อนจะหันไปถามเมิ่งซินทันที
"จิมมี่:เดี๋ยวนะ! ไหนเจ้าบอกว่าโลกของเจ้ามันไม่มีมานา แล้วทำไมมนุษย์ในเรื่องถึงปล่อยพลังตูมตาม เดินกลางอากาศได้ล่ะ?"
"เมิ่งซิน:อ๋อ... พลังพวกนั้นมันไม่ได้มีจริงหรอก มันเป็นเทคโนโลยีของมนุษย์ที่เรียกว่า Visual Effects หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า VFX น่ะ เป็นการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ให้ดูเหมือนจริง ส่วนที่เห็นกระโดดสูงหรือบินได้น่ะ บางทีก็ใช้ลวดเส้นเล็กๆ หรือเหล็กเส้นช่วยยกตัวให้ลอยขึ้นมา"
"จิมมี่:มนุษย์นี่คิดอะไรแปลกๆ ได้เก่งจริงๆ... ถ้าพวกเจ้ามีมานาล่ะก็—อาจจะทำอะไรได้ยิ่งกว่านั้นอีกนะเนี่ย"
"เมิ่งซิน:นั่นสิ~ ถ้ามีมานาจริงๆ หนังแบบนี้อาจจะดูเหมือนการ์ตูนธรรมดาไปเลย ฮ่าฮ่า!"
"จิมมี่:ข้าอดใจไม่ไหวแล้ว อยากดูตอนต่อไปแล้วสิ!"
เมิ่งซินหัวเราะเบาๆ อย่างเข้าใจ ก่อนจะหันไปมองอาหารตรงหน้า
'เมิ่งซิน:ฮ่าฮ่า ฉันเข้าใจความรู้สึกเขาดีนะ แต่...ให้ฉันกินก่อนได้ไหม หิวจะแย่แล้ว... แต่จะพูดออกไปก็คงดูไม่ดีเท่าไหร่'
"เมิ่งซิน:ฮ่าฮ่า..."
เธอยิ้มแห้งๆ ขณะหัวเราะเบาๆ แต่เอริน่าที่สังเกตเห็นอาการลังเลของเธอก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
^เอริน่า:จิมมี่ ก่อนจะดูต่อ...เราควรให้แขกกินอาหารก่อนไหม เดี๋ยวมันจะเย็นไปกว่านี้นะ^
จิมมี่ชะงักนิดหนึ่ง แล้วก็เหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ เขารีบถอยออกมาอย่างรู้ตัว ก่อนจะลอยมานิ่งๆ อยู่ข้างโต๊ะ ให้ทั้งสองคนได้กินกันอย่างสะดวก
แต่ก่อนที่เมิ่งซินจะเริ่มลงมือ เอริน่าก็หันไปถามจิมมี่ด้วยความเป็นห่วง
^เอริน่า:แล้วของเจ้าล่ะ จิมมี่?^
"จิมมี่:เรามีแขกอยู่ จะให้ข้ารับประทานด้วยได้อย่างไรล่ะ เดี๋ยวข้าไปกินทีหลังก็ได้"
เมิ่งซินที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบเอ่ยขึ้นมาทันที
"เมิ่งซิน:ข้าไม่ติดอะไรเลย มานั่งกินด้วยกันเถอะ ยิ่งมีคนร่วมโต๊ะ อาหารก็ยิ่งอร่อยขึ้น...ใช่ไหม ท่านเอริน่า?"
เอริน่าชะงักไปเล็กน้อย เหมือนจะไม่คุ้นกับบรรยากาศแบบนี้ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แล้วตอบเสียงแผ่ว
เอริน่า:ใช่...^
เมื่อได้ยินคำตอบนั้น จิมมี่ก็ไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธอีก เขาบินออกไปอย่างว่าง่าย เพื่อไปหยิบอาหารของตัวเองที่วางแยกไว้อยู่ไม่ไกล
เมิ่งซินแอบหันไปมองตามอย่างอดสงสัยไม่ได้ และเมื่อเห็นอาหารของจิมมี่ เธอก็อดเบิกตาเล็กน้อยไม่ได้—ปริมาณอาหารของเขานั้นเกือบเท่าเอริน่าเลยด้วยซ้ำ!
แต่ที่ทำให้เธอสะดุดใจยิ่งกว่าคือ...จานของตัวเองกลับเป็นจานที่เล็กที่สุด
ถึงจะบอกว่า "เล็ก" แต่มันก็ยังใหญ่อยู่ดี เพราะของที่อยู่ตรงหน้าเธอคือเนื้อบดทอดชิ้นใหญ่ที่แทบจะปิดจานได้ทั้งใบ... ขนาดเกือบเท่าใบหน้าของเธอเลยทีเดียว ส่วนของเอริน่าและจิมมี่—มันใหญ่ออกจะเกินพอดีไปหน่อย โดยเฉพาะของจิมมี่ที่ขนาดเนื้อชิ้นเดียว...ก็แทบจะใหญ่เท่าตัวเขาแล้ว
'เมิ่งซิน:เอริน่าได้อันใหญ่ก็พอเข้าใจนะ ดูเข้ากับร่างกายเธออยู่...แต่จิมมี่เนี่ยนะ? นั่นมันจะเยอะเกินไปแล้วไหม! เนื้อทอดชิ้นนั้นมันใหญ่จะเท่าตัวเขาอยู่แล้ว!'
เมิ่งซินได้แต่กลอกตาเล็กน้อยก่อนจะยอมเก็บคำถามเหล่านั้นไว้ในใจ แล้วจึงหันกลับมาสนใจอาหารของตนเองแทน
เธอหยิบส้อมและมีดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วค่อยๆ หั่นชิ้นเนื้อออกอย่างใจเย็น เนื้อบดที่ดูธรรมดาเมื่อผ่าออกมากลับเผยให้เห็นผักที่ถูกห่ออยู่ข้างในเป็นชิ้นพอดีคำ ทั้งมันฝรั่ง แครอท กะหล่ำ และหัวไชเท้า
เมิ่งซินจิ้มชิ้นเนื้อที่ห่อผักไว้อย่างดี แล้วค่อยๆ นำเข้าปาก
ทันทีที่กัดเข้าไป น้ำซุปอ่อนๆ ที่อยู่ในเนื้อก็ไหลออกมาอย่างนุ่มนวล กลิ่นหอมของเครื่องเทศผสมกับรสเค็มนิดๆ และความหวานของเนื้อบด แทรกด้วยความกรุบกรอบของผักทำให้เธอหลับตาพริ้มโดยไม่รู้ตัว
ความอบอุ่นแผ่ซ่านในปาก...และในใจ
รสชาติที่เรียบง่าย...แต่กลับอ่อนโยนและจริงใจจนเมิ่งซินเผลอยิ้มเบาๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
'เมิ่งซิน:ตอนเห็นฉันคิดว่ามันแค่เนื้อทอดธรรมดา...แต่พอกินจริงๆ แล้ว น้ำซุปกลับซึมออกมาจากเนื้อเลย...รสเค็มอ่อนๆ กับความหวานของเนื้อเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ แถมผักยังกรอบอยู่อีกต่างหาก ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าเขาทำยังไง'
ในขณะที่เมิ่งซินกำลังเพลิดเพลินกับรสชาติ เอริน่าที่นั่งเงียบข้างๆ ก็หันไปพยักหน้าให้จิมมี่เบาๆ เหมือนส่งสัญญาณบางอย่าง จิมมี่เองก็ยิ้มตอบกลับด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
เขารู้ดีว่าอาหารจานนี้...คือของขวัญเล็กๆ ที่เขาตั้งใจทำให้
เวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบ ท่ามกลางเสียงช้อนส้อมกระทบจานและความรู้สึกอบอุ่นที่กระจายอยู่ทั่วโต๊ะ
คนแรกที่ทานหมดคือเมิ่งซิน ตามด้วยเอริน่าที่กินช้าและเรียบร้อย ส่วนจิมมี่...เขาใช้เวลานานที่สุดเพราะอาหารในจานของเขาเยอะจนดูเกินตัวไปมาก
เมื่อทุกอย่างหมดลง จิมมี่ก็นั่งหอบอยู่เล็กน้อย และที่สำคัญ—ร่างกายของเขากลมป่องจนดูเหมือนลูกบอลลอยได้!
เมิ่งซินมองแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ มันเป็นภาพที่ดู...น่ารักอย่างประหลาด
แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมา ร่างของจิมมี่ก็หดแฟ่บลงกลับเป็นปกติภายในพริบตา เมิ่งซินที่ยังยิ้มอยู่ถึงกับชะงัก แล้วทำหน้ามึนงงทันที
"จิมมี่:พอดีเผ่าพันธุ์ข้าย่อยอาหารได้เร็วน่ะ ฮ่าฮ่า!"
"เมิ่งซิน:..."
'เมิ่งซิน:นั่นไม่ใช่เร็วแล้ว...นั่นมันหายไปเลยไม่ใช่รึไง'
เธอได้แต่เบิกตากว้างอย่างพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เพราะสำหรับวันนี้แล้ว—สิ่งแปลกใหม่พวกนี้...ก็เริ่มกลายเป็น “ปกติ” สำหรับเธอไปเสียแล้ว
หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหาร ทั้งสามก็นั่งดูหนังด้วยกันต่อ ใช้เวลาไปร่วมสี่ชั่วโมงกว่า
"จิมมี่:ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่านางหลีกวงจะทรยศอันซงในตอนสุดท้าย!"
^เอริน่า:เรื่องความสัมพันธ์นี่เข้าใจยากจริง ขนาดอยู่ด้วยกันมาตั้งนานยังทำกันได้^
เมิ่งซินที่ได้ยินทั้งคู่กำลังถกเถียงกันก็มองหน้าพวกเขา ก่อนจะพูดขึ้นว่า
"เมิ่งซิน:ทั้งสองคนอย่าเพิ่งด่วนสรุปสิ"
"จิมมี่:ทำไมล่ะ?"
"เมิ่งซิน:ก็...บางทีที่เธอทำลงไป อาจมีเหตุผลของเธอก็ได้"
ทั้งจิมมี่และเอริน่าถึงกับหันมามองเธอด้วยสายตาเป็นประกายทันที
"จิมมี่:เจ้าจะบอกว่ามันมีต่ออย่างนั้นเหรอ?"
เมิ่งซินยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ แค่นั้นจิมมี่ก็ดูดีใจเหมือนเด็กน้อยที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่
"จิมมี่:งั้นดูต่อเลยไหม! ข้าอยากดูแล้ว!"
"เมิ่งซิน:ฮ่าฮ่า แน่นอน ฉันจะเปิดให้เอง"
เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่เริ่มแผ่วลงเล็กน้อยจนเอริน่าหันมามอง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
^เอริน่า:เมิ่งซิน เจ้าควรพักผ่อนก่อนนะ ข้าว่าเจ้าเริ่มเหนื่อยแล้ว^
"เมิ่งซิน:ฉันดูเหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอ?"
จิมมี่ที่ได้ยินเอริน่าพูดก็รีบหันไปมองเมิ่งซินทันที แล้วเขาก็สังเกตเห็นชัดเจน—เธอดูอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด
'จิมมี่:ข้ามัวแต่ตื่นเต้นกับหนังจนลืมสังเกตเลย...ตอนนี้เธอคงเหนื่อยสุดๆ แล้วล่ะ ข้าควรจัดห้องพักให้เธอ'
"จิมมี่:ท่านเอริน่า ข้าขอจัดห้องพักให้นางได้หรือไม่?"
^เอริน่า:ทำตามที่เจ้าเห็นสมควรเถอะ^
"จิมมี่:ขอรับ!"
จิมมี่พูดจบก็บินอ้อมไปด้านหลังเอริน่า ก่อนจะหยิบกระดิ่งเล็กๆ ออกมาแล้วสั่นเบาๆ
“กริ่ง!”
เสียงกระดิ่งดังกังวาน และตามมาด้วยแรงสั่นสะเทือน
“คลื่น~~~”
ชั้นหนังสือมากมายเริ่มขยับ เสียงกลไกดังขึ้นเป็นจังหวะ
“คลื่น โครม คราก!”
มันเหมือนกับฉากจิ๊กซอว์ที่ถูกประกอบเข้าหากันอย่างลงตัว ชั้นหนังสือค่อยๆ เคลื่อนไหว ก่อตัวเป็นห้องพักขนาดพอดี
เมิ่งซินที่มองอยู่ก็ได้แต่พึมพำในใจอย่างเหนื่อยหน่ายปนขำ
'เมิ่งซิน:ขนาดหนังสือบินเองได้ยังมี...แค่ชั้นหนังสือกลายเป็นห้อง คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอีกแล้วล่ะ'
ไม่นานนัก ห้องพักก็เสร็จสมบูรณ์ จิมมี่บินกลับมาหาเมิ่งซินด้วยท่าทางภูมิใจ
"จิมมี่:ห้องพักเสร็จแล้วขอรับ เชิญใช้ได้เลย"
เมิ่งซินลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะหันไปโค้งให้เอริน่าเล็กน้อยพร้อมกล่าวอย่างสุภาพ
"เมิ่งซิน:ขอบคุณสำหรับห้องพักนะ ฉันขอไปพักก่อน"
^เอริน่า:เชิญเถอะ^
เอริน่าก้มศีรษะตอบรับเบาๆ แต่ในน้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นกลับแฝงความห่วงใยไว้ชัดเจน
เมิ่งซินเดินไปที่ประตูก่อนจะเปิดเข้าไปในห้อง ข้อมือเล็กๆ ผลักบานประตูด้วยแรงไม่มากนัก พอเข้ามาก็เห็นชั้นหนังสือที่มีหนังสือเต็มแน่นทุกตารางนิ้วและไม่มีช่องว่าง ดูไปดูก็เหมือนกำแพงจริงๆ แค่เพียงมันทำมาจากหนังสือ เธอชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะกวาดตามองด้วยแววตาแปลกใจปนทึ่ง
กลางห้องมีเตียงอยู่หนึ่งเตียง ปูผ้าเรียบร้อยจนดูสะอาดสะอ้าน ด้านขวาของห้องมีประตูอีกบาน เมิ่งซินเดินเปิดไปดูก็พบว่ามันคือห้องน้ำ
"เมิ่งซิน:ฉันน่าจะทำธุระส่วนตัวแล้วก็..."
เมิ่งซินก้มดมที่เสื้อตัวเอง ลมหายใจเบาๆ พ่นออกจากจมูกพร้อมรอยย่นระหว่างคิ้ว
"เมิ่งซิน:ฉันน่าจะอาบน้ำสักหน่อย"
เมิ่งซินที่คิดได้อย่างนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ พอเข้ามาเธอจะไปทำธุระส่วนตัว แต่พอเห็นส้วมอันใหญ่ก็เผลอชะงักกึก ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะหันมองของต่างๆ ในห้องน้ำอย่างละเอียด ก็พบว่าของส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่จนเกินตัวเธอไปมาก เธอเลยคิดในใจว่า
'เมิ่งซิน:นี่คงเป็นห้องน้ำที่เอริน่าใช้แน่ๆ เพราะดูจากขนาดของใช้ต่างๆแล้ว มันไม่พอดีกับฉันซะเลย'
เมิ่งซินถอนหายใจเบาๆ พร้อมรอยยิ้มจางๆ ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกปลงในโชคชะตาตัวเอง
ื
จากผู้แต่ง
ถ้าทุกคนเจอสถานการณ์แบบเดียวกับเมิ่งซิน… คุณจะทำยังไง?
สถานที่แปลกๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร…
ผู้หญิงตัวใหญ่สูงถึง 3 เมตร แฟรี่ 1 ตน ที่เก่งเวทมนตร์และสาวตัวใหญ่ที่มีพลังลึกลับที่เมิ่งซินโดน แต่ก็ทำได้แค่แกล้งลืมมันไป...
ถ้าคัดใจไป อาจจะต้องเสี่ยงต่อชีวิต แต่ถ้าคิดตามน้ำไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปดี
ถ้าคุณเป็นเมิ่งซิน…
จะเลือกเดินไปตามเส้นทางที่ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง หรือจะหาทางเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่เหมือนมีอะไรกดดันอยู่ตลอด?
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้

รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ