CHESS:พลิกกระดานเทพ
เขียนโดย TKFD
วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เวลา 01.14 น.
แก้ไขเมื่อ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567 01.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
37) ตอนที่ 11.3 สถานการณ์อีกด้าน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากที่เมิ่งซินทำธุระส่วนตัวเสร็จ เธอก็เริ่มจัดเตรียมของเพื่อจะอาบน้ำ แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเคาะดังขึ้นจากประตูด้านหลัง...
"ก็อก ก็อก"
"เมิ่งซิน:ไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ"
เธอรีบสวมเสื้อผ้าอย่างลวกๆ ก่อนจะเดินไปเปิดประตู พอแง้มประตูออกมาก็เห็นคนที่ยืนรออยู่คือเอริน่า... หญิงสาวที่ดูสง่างามตามแบบของเธอ
"เมิ่งซิน:มะ-มีอะไรเหรอคะ ท่านเอริน่า..."
เอริน่าไม่ได้ตอบทันที... เธอเพียงแค่นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับกำลังประเมินสีหน้าของเมิ่งซิน ก่อนจะยื่นของบางอย่างมาให้ ขวดแก้วสองขวด และของอีกสองชิ้นในอ้อมแขน
^เอริน่า:ขวดสีเหลืองนี่คือสบู่ ส่วนขวดสีฟ้านี่เอาไว้สระผม ข้าเอามาให้เจ้าทำความสะอาดร่างกาย อันนี้คือผ้าขนหนู แล้วก็... ชุดนอน เอาไว้ใส่ตอนนอน^
เมิ่งซินรับของทุกอย่างมากอดไว้แน่น ก่อนจะเหลือบมองสิ่งของในมืออย่างตั้งใจ ทว่าเมื่อเห็นผ้าขนหนูและเสื้อผ้าที่ได้มา ก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพราะมันดูใหญ่กว่าตัวเธออยู่พอสมควร
เอริน่าที่สังเกตเห็นสีหน้าสงสัยของอีกฝ่ายก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า
^เอริน่า:พอดีไม่มีชุดสำหรับแขกน่ะ เลยเอาของข้ามาให้ใช้ก่อน ถ้าเจ้าไม่รังเกจอะนะ^
ิ
"เมิ่งซิน:ไม่ๆๆ ฉันไม่รังเกจหรอก อยากขอบคุณด้วยซ้ำเพราะตอนนี้ชุดที่ฉันอยู่ก็มีสภาพมอมแมมพอควรเลย"
เธอยิ้มเขินๆ ขณะพูด เสียงของเธอแฝงความรู้สึกซาบซึ้งปนเกรงใจ ดวงตาก้มมองชุดที่สวมอยู่ซึ่งมีรอยเปื้อนฝุ่นและรอยขาดเล็กๆ อยู่เต็มไปหมด
เอริน่าเหลือบตามองชุดของเมิ่งซินครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
^เอริน่า:หลังจากเจ้าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เอาชุดไปให้จิมมี่ทำความสะอาดให้เถอะ^
"เมิ่งซิน:โอ้ ไม่เป็นไรท่านเอริน่าฉันทำเองได้ ฉันไม่รบกวนจิมมี่หรอก"
เธอส่ายหน้าทันที แววตาจริงจังผสมความเกรงใจปรากฏชัด เธอไม่อยากให้ใครลำบากเพราะสิ่งของของเธอเอง
^เอริน่า:เจ้าไม่ต้องปฏิเสธหรอก เพราะนั่นมันคืองานของเขา แถมการที่เจ้าเอาไปให้เขาทำ เขาต้องดีใจแน่ๆเพราะเขาคิดว่าได้ช่วยเจ้า...^
เมิ่งซินชะงักไปเล็กน้อย คำพูดของเอริน่าทำให้เธอนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอรับรู้ถึงความตั้งใจดีของอีกฝ่าย และเริ่มเข้าใจถึงน้ำใจเล็กๆ ที่แฝงอยู่ในการกระทำเหล่านี้
"เมิ่งซิน:ก็ได้ หลังจากทำทุกอย่างเสร็จฉันจะเอาชุดไปให้จิมมี่ทำความสะอาด"
น้ำเสียงของเธออ่อนลงเล็กน้อย พลางพยักหน้าเบาๆ เหมือนกับว่าเธอยอมเปิดใจให้กับน้ำใจของคนรอบข้างทีละน้อย
เอริน่าที่ยืนอยู่ไม่ไกล มองภาพนั้นก่อนจะยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยน แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
เมิ่งซินกอดของทั้งหมดแน่นขึ้นเล็กน้อยก่อนจะปิดประตู แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอย่างช้าๆ
ห้องน้ำที่เงียบสงบถูกเติมเต็มด้วยเสียงฝีเท้าเบาๆ ของเธอ พร้อมลมหายใจที่ผ่อนคลายลงทีละนิด
'เมิ่งซิน:'...เอาล่ะ อาบน้ำดีกว่า
เธอเริ่มจากการเอื้อมไปเปิดน้ำตามคำแนะนำในหัว — แต่ไม่ทันจะได้ตั้งตัวดี น้ำก็พุ่งกระแทกลงมาด้วยแรงมหาศาล!
"เมิ่งซิน:โอ๊ย!"
แรงดันที่รุนแรงทำให้เธอถึงกับก้มหน้าลงโดยอัตโนมัติ หยดน้ำกระเด็นใส่หน้าจนรู้สึกเหมือนถูกผลักจากน้ำตกจริงๆ
เธอรีบปิดน้ำอย่างตกใจ ใบหน้าสั่นเล็กน้อยเพราะตกใจ
"เมิ่งซิน:...นี่ฉันไปยืนใต้น้ำตกเหรอ?"
หลังจากตั้งสติได้ เธอก็ค่อยๆ เปิดน้ำอีกครั้งอย่างระวัง รอบนี้เธอขยับมือปรับจนได้แรงน้ำที่พอดี ไม่เบาไป ไม่แรงไป
"เมิ่งซิน:เฮ้อ... มันต้องแบบนี้สิ"
น้ำอุ่นๆ ไหลผ่านเรือนร่าง เธอหลับตาลงเล็กน้อย ปล่อยให้มันพัดพาความเหนื่อยล้าไป
หลังจากล้างตัวพอประมาณ เมิ่งซินก็หยิบขวดสีฟ้าขึ้นมา
"เมิ่งซิน:เธอบอกว่าใช่สำหรับสระผมใช่ไหม... งั้นลองดูแล้วกัน"
เธอเปิดฝา เทของเหลวออกมานิดหน่อยแล้วยกขึ้นมาดม
กลิ่นหอมของกุหลาบอบอวลขึ้นทันที มันชัดเจนแต่ไม่ฉุน ราวกับน้ำหอมราคาแพง
"เมิ่งซิน:ว้าว... เธอได้ของแบบนี้มาจากไหนเนี่ย หอมเหมือนแชมพูหรูๆเลย"
เธอลูบมันลงบนเส้นผมที่เปียกของตัวเอง เมิ่งซินรู้สึกได้ถึงสัมผัสลื่นละมุน แต่น่าแปลก... มันไม่มีฟองเลย
ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังถูให้ทั่วหัว ก่อนจะปล่อยทิ้งไว้แล้วหยิบขวดถัดไป
"เมิ่งซิน:เห็นบอกว่านี่คือสบู่ใช่ไหม"
เมิ่งซินเปิดฝาขวดสีเหลือง กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยออกมาทันที แต่เธอกลับไม่รู้ว่าคือดอกอะไร มันน่าหลงใหลและอบอุ่นจนเธอเผลอยิ้ม
"เมิ่งซิน:ว้าว... หอมจัง ถึงจะไม่รู้ว่ากลิ่นอะไรแต่มันหอมมากๆเลย ฉันควรใช้นิดเดียวน่าจะพอ"
เธอเทของเหลวลงบนมือแล้วเริ่มถูตามร่างกาย กลิ่นหอมกระจายตัวตามไอร้อนจากน้ำ
แม้จะมีฟองเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเธอล้างออก กลิ่นหอมกลับชัดเจนและติดตัวมากกว่าเดิม
"เมิ่งซิน:เอ๊ะ! ฉันใช้มากไปหรือเปล่า... น่าจะใช้น้อยกว่านี้หน่อย"
เธอมองมือตัวเองด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย แต่ใบหน้าก็ยังแฝงความพอใจอยู่ลึกๆ
เมิ่งซินเช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูก่อนจะเดินไปยังมุมแห้งของห้องน้ำ แล้วหยิบเสื้อผ้าที่เอริน่าเตรียมไว้ขึ้นมาสวม เมื่อสวมเสร็จ เธอก็ต้องหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะขนาดของชุดนั้นหลวมมากเกินไป
"เมิ่งซิน:ฮ่า! อย่างกับเด็กใส่ชุดพ่อแม่เลย"
เธอยิ้มขำให้ตัวเองในกระจกอยู่ที่อยู่อีกมุมห้องของห้องน้ำ ก่อนจะดึงชายเสื้อยาวๆ ที่ลากพื้นขึ้นมาถือไว้แล้วเดินออกจากห้องน้ำอย่างทุลักทุเล พอถึงหน้าห้อง เธอก็เอ่ยเรียก
"เมิ่งซิน:จิมมี่"
ผ่านไปไม่กี่วินาที เสียงตอบรับก็ดังขึ้น
"จิมมี่:ขอรับ"
เมิ่งซินอึกอักเล็กน้อยเมื่อถึงเวลาต้องพูด
"เมิ่งซิน:เอ่อ... คือว่า... ฉัน..."
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ จิมมี่ก็พูดแทรกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
"จิมมี่:ถ้าเป็นเรื่องเสื้อผ้า ท่านเอริน่าบอกไว้แล้วขอรับ เอามาให้ข้าได้เลย"
เมิ่งซินได้ยินดังนั้นก็โล่งใจ ก่อนจะค่อยๆ เปิดประตูออกมา พร้อมกับยื่นเสื้อผ้าให้ จิมมี่เงยหน้ามองแล้วก็ต้องชะงักไปหนึ่งจังหวะเมื่อเห็นเมิ่งซินในชุดหลวมโคร่ง ชายผ้ากองกับพื้น และต้องใช้มือทั่งสองยกเสื้อผ้าตัวเองยืนให้จิมมี่ เหมือนเด็กที่เอาเสื้อผ้าให้ผู้ปกครองไปซัก
"จิมมี่:...อุ-ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่าๆๆ"
เสียงหัวเราะหลุดออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ เมิ่งซินที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ได้แต่เบือนหน้าไปทางอื่น พยายามกลั้นขำ แต่สุดท้ายก็หลุดยิ้มตามออกมาอยู่ดี
เธอวางเสื้อผ้าไว้ข้างประตูแล้วรีบปิดมันลง
"เมิ่งซิน:ให้ตายสิ เสียงหัวเราะนั่นมันอะไรกัน ดูสนุกสุดๆ เลยไม่ใช่หรือไง ฮ่าฮ่าฮ่า..."
เธอหัวเราะตามเสียงของจิมมี่อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ สงบลง
หากถามว่าทำไมเมิ่งซินถึงหัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ทั้งที่ตั้งใจจะเก็บอาการ คำตอบนั้นคงเป็นเพราะเผ่าพันธุ์ของจิมมี่—แฟรี่—ที่มีพลังพิเศษบางอย่าง
เวลาที่แฟรี่หัวเราะด้วยความสุขอย่างแท้จริง มันจะส่งพลังคลื่นความรู้สึกออกไปให้สิ่งรอบข้างพลอยรู้สึกสนุกตามโดยไม่รู้ตัว
และเมื่อเสียงหัวเราะเงียบลง เมิ่งซินก็ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรง ความรู้สึกผ่อนคลายยังคงหลงเหลืออยู่ เธอหลับไปในเวลาไม่นาน โดยไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มยังติดอยู่บนใบหน้าของเธออยู่
–ย้อนกลับมา 2 ชั่วโมงก่อนที่เมิ่งซินจะเจอเอริน่าและจิมมี่–
ตอนนี้ผ่านมาแล้ว 23 ชั่วโมง 58 นาที นับตั้งแต่เขาแยกทางกับเมิ่งซิน
[อลิส:ท่านอากิ ได้เวลาใช้พิษแล้วค่ะ]
"อากิ:อืม..."
เสียงตอบรับของอากิแผ่วเบา เขาหยิบสมุนไพรสีม่วงออกมาช้าๆ มือที่สั่นเล็กน้อยบ่งบอกถึงความอ่อนแรง เขาพยายามบิดสมุนไพรเพื่อรีดพิษออกมา แต่กลับรู้สึกได้ทันทีว่ากล้ามเนื้อแขนของเขาอ่อนแรงลงจนทำแทบไม่สำเร็จ
'อากิ:สมุนไพรสีม่วง... มันบิดยากขนาดนี้เลยเหรอ!'
"อากิ:ฮึบ!"
เขากัดฟันแน่นและออกแรงเพิ่มอีกนิด สุดท้ายก็รีดพิษออกมาได้ ก่อนจะแต้มมันลงบนบาดแผลทะ้งสองจุดอย่างระมัดระวัง
แต่หลังจากเวลาผ่านไปครบ 24 ชั่วโมง แทนที่อาการจะดีขึ้น บาดแผลกลับบวมแดงหนักกว่าเดิม รอบแผลมีลักษณะนูนแข็งราวกับมีก้อนบางอย่างกำลังก่อตัวอยู่ภายใน และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือเส้นเลือดฝอยสีม่วงเล็กๆ จำนวนมากที่แผ่กระจายรอบแผลเป็นใยบาง—หลักฐานของพิษที่เริ่มแทรกซึมเข้าไปในร่างกาย
อากิทายาพิษทั้งสองจุดเสร็จก็ทรุดตัวลงช้าๆ แล้วเอนตัวนอน สีหน้าเขาซีดจาง เหงื่อผุดขึ้นตามขมับ
ความร้อนเริ่มแผ่ซ่านจากภายใน พร้อมกับอาการเวียนหัวที่แล่นวูบผ่านหัวสมอง ลีน่าที่เฝ้ามองอยู่จากระยะไกล รีบวิ่งเข้ามาใกล้เมื่อเห็นอากิเริ่มหายใจหนักและหน้าซีดกว่าเดิม
"ลีน่า:พี่อากิ เป็นอะไรเหรอคะ?"
"อากิ:...พี่เวียนหัวนิดหน่อย... แล้วก็รู้สึกร้อน..."
ลีน่าเม้มปากแน่น ก่อนจะมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้ากังวล
'ลีน่า:เวียนหัว... ฉันช่วยไม่ได้ แต่เรื่องที่เขาร้อน... ฉันพอช่วยได้'
"ลีน่า:งั้น... เดี๋ยวหนูเช็ดตัวให้นะคะ"
"อากิ:..."
อากิไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงหลับตาลงช้าๆ ราวกับไม่มีแรงจะพูดแม้แต่คำเดียว
ลีน่ามองเขาด้วยแววตาเป็นห่วง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินไปหาคริสที่กำลังจัดการเรื่องน้ำอยู่ใกล้ๆ
"ลีน่า:น้ำที่ต้มไว้เย็นดีหรือยัง?"
"คริส:เย็นพอจะเช็ดตัวได้แล้วล่ะ"
"ลีน่า:แล้วผ้าล่ะ? ต้มฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?"
"คริส:ก็อยู่นี่เหมือนกัน ทั้งถังเลย"
"ลีน่า:ดี งั้นไปช่วยฉันเช็ดตัวพี่อากิหน่อยนะ"
"คริส:อืม"
คริสยกถังน้ำที่ผ่านการต้มฆ่าเชื้อและทิ้งไว้ให้เย็น พร้อมกับถังใส่ผ้าที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว เดินตามลีน่ากลับมาหาอากิที่นอนอยู่บนเตียง
ทั้งคู่ล้างมือให้สะอาดอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเริ่มต้นเช็ดตัวให้อากิอย่างเบามือ อากิในตอนนี้ดูเหมือนจะเริ่มเบลอ ดวงตาที่เปิดค้างไว้ดูไร้โฟกัส ร่างกายขยับน้อยลงและเริ่มหายใจถี่ขึ้นเล็กน้อย
ความร้อนในร่างของเขาทำให้เหงื่อชื้นซึมออกมาทั่วตัว แม้จะเช็ดแล้วเช็ดอีกก็ยังไม่ทุเลาลง
บางครั้งลีน่าต้องหยุดมือเพราะเริ่มลน มือเล็กๆ ของเธอสั่นน้อยๆ
"ลีน่า:คริส... ช่วยหน่อย พี่เขาตัวร้อนขึ้นกว่าเดิมอีกแล้ว"
"คริส:อืม เดี๋ยวฉันดูตรงนี้เอง เธอพักก่อน"
คริสเข้ามาช่วยทันที เสียงของเขานิ่งเหมือนเดิม แต่ในแววตาก็แฝงความกังวลไว้ไม่น้อย
ทั้งสองคนช่วยกันดูแลอากิอย่างเงียบๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียด ความกดดันแผ่ซ่านอยู่ในใจทั้งคู่ เหมือนเสียงลมหายใจของอากิจะกลายเป็นสิ่งเดียวที่จับต้องได้ในความเงียบนี้
ขณะเดียวกัน โจเซฟก็กำลังขะมักเขม้นอยู่กับสิ่งที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้อง—การทำพัดลมด้วยมือ
เขานำคบเพลิงเก่ามาแยกเอาไม้ แล้วประกอบเป็นโครงสามเหลี่ยมอย่างคร่าว ๆ ใช้ผ้าที่ถักเป็นเชือกมัดให้ไม้อยู่เป็นรูปร่าง ก่อนจะนำผ้ามาไว้ตรงกลางและรัดให้แน่นเพื่อให้ใช้พัดลมได้อย่างเรียบง่าย แต่พอใช้งานได้จริง
"โจเซฟ:อืม... แบบนี้น่าจะใช้ได้แล้ว"
เขาเดินถือพัดทำมือไปหาลีน่ากับคริสที่กำลังเช็ดตัวอากิอยู่
ลีน่าเห็นโจเซฟเดินเข้ามา ก็เงยหน้าขึ้นถามด้วยเสียงแผ่วเบา
"ลีน่า:มีอะไรเหรอคะ คุณลุง?"
"โจเซฟ:ลุงทำพัดลมได้แล้ว คิดว่าจะมาช่วยพัดให้อากิหน่อย"
"ลีน่า:ให้หนูพัดให้ก็ได้นะคะ"
"โจเซฟ:ไม่เป็นไรหรอก ลุงมีเรื่องอยากคุยกับเขานิดหน่อย... เลยว่าจะพัดให้จนกว่าเขาจะรู้สึกตัวน่ะ"
ลีน่าชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า
"ลีน่า:งั้นรออีกแป๊บหนึ่งนะคะ"
"โจเซฟ:อืม ได้จ้ะ"
โจเซฟเดินไปหยิบเก้าอี้ไม้ ตัวหนึ่งมานั่งรอเงียบๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก ลีน่าและคริสยังคงช่วยกันเช็ดตัวอากิต่อไปอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งเสร็จ
"ลีน่า:เสร็จแล้วค่ะคุณลุง เชิญได้เลยนะคะ"
เธอผละตัวออกให้ที่กับโจเซฟ โจเซฟพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้อากิ แล้วเริ่มค่อยๆ โบกพัดให้อากิอย่างใจเย็น แววตานิ่งสงบของเขามีบางอย่างซ่อนอยู่... ความกังวล ความหวัง หรือคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
—สองชั่วโมงผ่านไป—
อากิขยับเปลือกตาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เขาเห็นคือโจเซฟ... ที่นั่งอยู่ข้างๆและกำลังพัดลมให้เขาอยู่เงียบๆ
"โจเซฟ:นอนหลับเป็นยังไงบ้าง?"
อากิเงียบไปเล็กน้อย มองหน้าชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วค่อยตอบกลับด้วยน้ำเสียงติดจะขี้เล่นเล็กน้อย
"อากิ:...สบายมาก เพราะมีคนพัดให้แบบวีไอพี บริการแบบนี้ให้เลย ห้าดาว"
"โจเซฟ:ขอบใจสำหรับรีวิว"
ทั้งคู่หัวเราะเบาๆ ก่อนที่อากิจะสังเกตเห็นความกังวลบางอย่างในสายตาของโจเซฟ ความเงียบกลับเข้ามาแทรกอีกครั้ง
"อากิ:... นายมีอะไรจะพูดเหรอ?"
โจเซฟนิ่งไปพักหนึ่ง สีหน้าเริ่มจริงจัง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็เช่นกัน
"โจเซฟ:อาการ... เป็นยังไงบ้าง?"
อากิเงียบไปสักครู่ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ อย่างไม่อยากทำให้สถานการณ์ตึงเครียด
"อากิ:ถ้าพูดตรงๆ... ก็แย่ลงเรื่อยๆล่ะ"
โจเซฟขมวดคิ้วทันที อากิที่เห็นแบบนั้นเลยรีบพูดต่อเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเครียดเกินไป
"อากิ:แต่ก็ยังดีกว่าที่คิดนะ ตอนนี้อาการยังช้ามาก ถ้าเป็นปกติ ฉันคงจะหมดสติไปแล้ว หรือไม่ก็ไข้ขึ้นสูงจนเพ้อ... แต่ตอนนี้ก็แค่มึนๆ เบลอๆ เป็นบางช่วง"
"โจเซฟ:นั่นก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับตอนนี้... ใช่ไหม?"
อากิพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาเขาหรี่ลงเล็กน้อย เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
"โจเซฟ:..."
"อากิ:..."
ทั้งสองเงียบอีกครั้ง... ความเงียบที่คราวนี้หนักแน่นกว่าเดิม ราวกับต่างคนต่างมีคำถามในใจ แต่ยังไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
อากิเหลือบมองชายวัยกลางคนที่อยูาข้างตัว เขาเห็นว่าโจเซฟยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ แต่ลึกลงไป... อากิรู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดบางอย่าง จึงตัดสินใจชวนคุยเปลี่ยนบรรยากาศ
"อากิ:จะว่าไปแล้ว... นายเข้ามาที่นี่ได้ยังไงน่ะ โจเซฟ"
โจเซฟเลิกคิ้วเล็กน้อย คล้ายจะถูกดึงความคิดออกมาจากที่ไกลแสนไกล เขาทำท่านึกย้อน ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
"โจเซฟ:ถ้าจำไม่ผิดนะ... ตอนนั้นตัวฉันเรืองแสงสีฟ้า แล้ววูบเดียว... ก็มาที่นี่เลย แล้วนายล่ะ"
"อากิ:ของฉันน่ะเหรอ... ฉันจำได้แม่นเลย ตอนนั้นมีก็อบลินมาบุกฉันหนีหัวซุกหัวซุนอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนที่จะเจอทหาร พวกเขาพาฉันไปที่ที่พวกเขาตั้งรับก็อบลิน ฉันอยู่ที่นั้นซักพัก ก่อนที่จู่ๆก็มีคนเรืองแสงและมันก็เริ่มวุ่นวาย"
"โจเซฟ:อืม..."
"อากิ:ตอนนั้น... ฉันเห็นเพื่อนสนิทเรืองแสงเหมือนกัน เลยรีบพุ่งเข้าไปหา แล้วจับมือมันไว้ แต่พอจับได้เท่านั้นแหละ... ทุกอย่างก็วูบ แล้วก็มาที่นี่เลย"
โจเซฟขมวดคิ้วทันที น้ำเสียงเขาเปลี่ยนเล็กน้อย
"โจเซฟ:เดี๋ยวนะ... นายไม่ได้ตัวเรืองแสงเองเหรอ?"
"อากิ:อืม ฉันไม่ได้เรืองแสงเอง"
"โจเซฟ:งั้นก็แปลว่า... ต่อให้เราไม่ได้เรืองแสง ถ้าแตะคนที่เรืองแสงก็โดนพามาที่นี่ด้วยสินะ..."
"อากิ:ใช่"
โจเซฟนิ่งไป ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
"โจเซฟ:แล้ว... เพื่อนที่นายจับมือไว้ล่ะ?"
อากิเงียบไปสักพัก แววตาเต็มไปด้วยความคลุมเครือ ก่อนจะตอบช้าๆ
"อากิ:ไม่รู้เลย... ตื่นมาก็อยู่คนเดียวแล้ว ไม่เห็นใครเลยสักคน"
โจเซฟชะงักไปเล็กน้อย เขาพยายามยิ้ม แต่ในรอยยิ้มนั้นมีความลังเลแฝงอยู่
"โจเซฟ:งะ-งั้นเหรอ... ขะ-เขาคงปลอดภัยดีอยู่ที่ไหนสักแห่งแหละมั้ง"
"อากิ:ก็หวังให้เป็นแบบนั้น..."
คำพูดของอากิฟังดูเบากว่าปกติ น้ำเสียงของเขาแฝงความกังวลลึกๆ จนโจเซฟรับรู้ได้ โจเซฟที่เห็นจึงเปลี่ยนเรื่องที่ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มกว่าเดิม
"โจเซฟ:จะว่าไป... ก่อนมาที่นี่ นายทำอะไรอยู่เหรอ? เรียนที่ไหน? ทำงานที่ไหน? หรือมีอะไรที่ต้องรับผิดชอบเป็นพิเศษไหม?"
"อากิ:ก็อย่างที่เคยบอก ฉันเป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ตอนนี้เรียนอยู่ที่ไทย มีทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อกับเพื่อนบ้าง ส่วนเวลาว่าง... ก็เล่นเกมตามประสาเด็กมหาลัยน่ะนะ แล้วนายล่ะ?"
"โจเซฟ:ฉันเหรอ... เป็นเจ้าของสวนมะกอก ชาวสวนตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะ ฉันส่งผลผลิตให้โรงงานเอาไปสกัดเป็นน้ำมันมะกอก บางที... น้ำมันที่นายเคยกินก็อาจมาจากสวนของฉันก็ได้"
อากิชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
"อากิ:ฮ่า! พูดแบบนี้ฟังดูภูมิใจน่าดู... แสดงว่าสวนของนายต้องใหญ่พอตัวเลยสิ"
"โจเซฟ:ใช่"
"อากิ:...ใหญ่ขนาดไหนล่ะ?"
"โจเซฟ:ก็... ประมาณ 589 ไร่"
อากิถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาเบิกตาเล็กน้อยก่อนจะหันมามองอีกฝ่ายอย่างเหลือเชื่อ
"อากิ:...เฮ้ เดี๋ยวนะ แปลว่านายรวยใช่ไหมเนี่ย?"
โจเซฟหัวเราะในลำคอ พลางส่ายหน้าเล็กน้อย
"โจเซฟ:ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่... มีใช้เกินจำเป็นนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง"
อากิยักคิ้วให้ ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กๆ
"อากิ:จะเชื่อที่นายพูดก็ได้... แต่ช่างเรื่องนั้นก่อน ฉันอยากรู้มากกว่าว่านายดูแลสวนใหญ่ขนาดนั้นได้ยังไง?"
โจเซฟที่ได้ยินแบบนั้นก็ยืดตัวนั่งตรงขึ้น ก่อนจะกระแอมเสียงดังอย่างมีพิธีการ
"โจเซฟ:แฮ่ม! แฮ่ม!"
เสียงกระแอมของเขาดังพอจะให้ลีน่าและคริสที่อยู่ไม่ไกลได้ยิน ทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วนั่งฟังแบบเงียบๆ ไม่พูดแทรก
"โจเซฟ:เอาล่ะ... เนื่องจากสวนของฉันมีขนาดใหญ่ และเน้นเรื่องคุณภาพมาก งานเลยต้องแบ่งออกเป็นหลายส่วน—เอาแบบง่าย ๆ ก่อน ส่วนแรกคือทีมเก็บเกี่ยว แน่นอนว่าชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าพวกเขาทำหน้าที่อะไร แต่ฟังให้ดีนะ การเก็บมะกอกไม่ได้แค่เด็ดๆ แล้วจบ มันต้องใช้ความระวัง เพราะถ้ามะกอกช้ำ ก็จะเสียคุณภาพทันที"
เขาชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว ประกอบคำพูดเหมือนอาจารย์สอนวิชาเกษตร
"โจเซฟ:ดังนั้น... ส่วนใหญ่เราใช้ ‘มือ’ เก็บทีละลูก เพื่อป้องกันความเสียหายโดยไม่จำเป็น พอเก็บมาแล้วจะถูกส่งไปยังโรงคัดแยก ที่นั่นจะมีคนที่ผ่านการฝึกมาโดยเฉพาะ คอยแยกมะกอกตามเกรด—ดีมาก, ดีธรรมดา, กับพวกที่ใช้ไม่ได้เลย"
"อากิ:ละเอียดดีแฮะ..."
"โจเซฟ:แน่นอน เพราะหลังจากแยกแล้วก็ต้องผ่านขั้นตอนทำความสะอาด แล้วก็แพ็กอย่างดี ก่อนจะส่งไปยังโรงงานที่เราทำสัญญาไว้ ที่โรงงานก็จะเอาไปผลิตน้ำมันมะกอกต่อ ซึ่งแต่ละล็อตเราจะควบคุมความสดใหม่ทั้งหมด"
โจเซฟพูดได้ลื่นไหลและฉะฉาน เหมือนเล่าชีวิตประจำวันที่เขาทำมาหลายสิบปี
"อากิ:แล้วไม่ใช้เครื่องจักรเลยเหรอ?"
"โจเซฟ:ใช้สิ ตอนล้างกับตอนแพ็กสองขั้นนั้นแหละ เครื่องจักรมันช่วยได้เยอะเลย แต่ก็ใช้แค่นนั้นอหละเพราะ"
เขายักไหล่เล็กน้อย
"โจเซฟ:ขั้นที่ต้องใช้ตาและมือมนุษย์จริงๆ ฉันไม่ยอมให้เครื่องจักรมาทำเด็ดขาด เพราะถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียว—กลิ่น, รส หรือแม้แต่คุณค่าทางสารอาหารของน้ำมันมะกอกจะเปลี่ยนทันที"
"อากิ:อืมฉันเข้าใจแล้ว... แล้วมีส่วนอื่นๆอีกไหม?"
"โจเซฟ:มีสิ แถมสำคัญมากด้วย"
"อากิ:สำคัญมาก? มันคืออะไร?"
"โจเซฟ:พวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรศาสตร์เฉพาะทาง... หรือเรียกง่ายๆว่า 'หมอต้นมะกอก' พวกเขามีหน้าที่คอยดูแลสุขภาพของต้นไม้ทั้งสวน ถ้ามีโรคระบาดขึ้นมาแล้วไม่มีพวกเขาคอยดู... มะกอกในสวนอาจตายหมดได้เลย"
"อากิ:เดี๋ยวๆ... ตายหมดสวนเลยเหรอ? ต้นไม้มีโรคแบบนั้นด้วย?"
"โจเซฟ:มีสิ แถมไม่ได้มีโรคเดียวด้วยนะ—มีตั้ง 4 โรคหลัก นายอยากฟังไหมล่ะ?"
"อากิ:พูดมาขนาดนี้แล้ว... ก็จัดมาเลยแล้วกัน"
"โจเซฟ:โรคแรกคือ Xylella fastidiosa—ถ้าต้นไหนติดโรคนี้ มันจะค่อยๆ เหี่ยวเฉาเหมือนโดนดูดพลังชีวิต แถมมันแพร่ไวมาก ถ้าไม่รีบจัดการ... ทั้งไร่อาจกลายเป็นที่ร้างได้เลย"
"โจเซฟ:โรคต่อมาคือ Peacock Spot หรือ 'โรคจุดนกยูง'—เป็นเชื้อราที่ทำให้ใบมีจุดดำๆ คล้ายตานกยูง แล้วใบก็จะร่วง ทำให้ต้นอ่อนแอ ไม่ติดผล"
"โจเซฟ:โรคที่สามคือ Olive Knot—ต้นจะมีปูดขึ้นมาตามกิ่ง คล้ายก้อนเนื้องอก ถ้าเป็นเยอะ ๆ กิ่งจะตาย แล้วต้นก็จะหยุดโต"
"โจเซฟ:สุดท้ายคือ Verticillium Wilt—เป็นเชื้อราในดิน ถ้าต้นไหนติดเชื้อ มันจะดูดน้ำจากดินไม่ได้ ใบจะค่อยๆ เหี่ยวเหมือนขาดน้ำ แล้วทั้งต้นจะตายไปแบบไม่ทันให้เตรียมใจ"
อากิ ลีน่า และคริสที่ตั้งใจฟังอยู่ก็นิ่งไปเล็กน้อย สีหน้าแต่ละคนแสดงความตกใจแบบเห็นได้ชัด พวกเขาไม่คิดเลยว่าการดูแลต้นมะกอกจะมีความซับซ้อนและต้องระวังโรคพืชมากขนาดนี้
"อากิ:บ้าเอ๊ย... นี่มันเหมือนโรคในคนชัดๆ แถมแต่ละโรคดูโหดสุดๆไปเลย"
ลีน่าขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอมองไปทางโจเซฟก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
"ลีน่า:นี่ถ้าไม่มีคนดูแลจริงจัง... ทั้งไร่ก็คงพังในพริบตาเลยสินะคะ"
คริสที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าเบาๆ พร้อมเสียงถอนหายใจ
"คริส:ฉันนึกว่าสวนจะมีแค่การปลูกกับเก็บซะอีก... ไม่คิดเลยว่ามันจะละเอียดขนาดนี้"
อากิหันกลับไปมองโจเซฟอีกครั้ง แววตาเริ่มเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความเคารพโดยไม่รู้ตัว
'อากิ:แฮะ... โทษทีนะ ตอนแรกฉันก็คิดว่านายแค่ปลูกมะกอกกับบ่นไปวันๆ แต่ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่ามันยากกว่าที่คิด'
โจเซฟยิ้มนิดๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มีน้ำหนัก
"โจเซฟ:ใช่พวกต้นมะกอก ต้องการ การดูแลที่ระวังมาก แถมพวกนายรู้ไหม กว่าฉันจะหาหมอต้นมะกอกที่เก่งพอมาได้ ต้องจ่ายแพงขนาดไหน..."
"อากิ:ฟังดูแล้วไม่ถูกแน่ๆ"
"โจเซฟ:ฮึ บอกง่ายๆ คงไม่สนุก เดากันมาสิ"
"อากิ:ให้เดางั้นเหรอ... งั้นขอถามก่อน ใช้สกุลเงินอะไรจ่าย"
"โจเซฟ:ยูโร"
"อากิ:ยูโรเหรอ..."
ลีน่าที่ฟังอยู่ก็พูดขึ้นมาเสียงใสด้วยแววตาเป็นประกายเล็กน้อย
"ลีน่า:หนูเดาด้วยได้ไหมคะ?"
"โจเซฟ:เอาสิ ช่วยกันตอบจะได้มีสิทธิ์ถูกเยอะ"
ทั้งสามคนเงียบไปชั่วครู่ ราวกับกำลังตั้งสมาธิจริงจังในการคำนวณ
'ลีน่า:ฟังจากคุณพูดก่อนหน้านี้พวกเขาคงสำคัญมากๆ ฉันน่าจะตอบไปว่า 2500 ยูโรต่อเดือน'
'คริส:ลุงบอกว่าพวกเขาสำคัญ งั้นก็ไม่น่าต่ำกว่า 1000 ยูโรแน่ๆ แต่ก็ไม่น่าเกิน 3000 เพราะจะมากเกินไป... งั้นเอา 2000 แล้วกัน'
'อากิ:อลิส มีความคิดดีๆไหม'
[อลิส:ถ้าดูจากความทรงจำของท่านแล้ว ดิฉันว่าไม่เกิน 3000 ยูโร แต่ไม่น่าน้อยกว่า 1500 ค่ะ]
'อากิ:...งั้นตอบ 3000 เลยไหม'
[อลิส:...ถึงอาจจะไม่ถูก แต่ก็ใกล้เคียง ตอบไปเลยก็ได้ค่ะ]
"อากิ:ฉันตอบว่า 3000"
"ลีน่า:หนูขอตอบ 2500 ค่ะ"
"คริส:ผมขอตอบ 2000-2500 ครับ"
หลังจากที่ทั้งสามตอบเสร็จ บรรยากาศก็เงียบลงชั่วขณะ ทุกสายตาหันไปจ้องโจเซฟที่กำลังทำหน้าเรียบเฉยเหมือนตั้งใจจะสร้างความกดดัน
"โจเซฟ:คำตอบที่ถูกต้องก็คือ..."
เสียงของเขาเว้นจังหวะ ทำเอาหัวใจของทั้งสามเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ลีน่ากลืนน้ำลายเบาๆ อากิกำมือแน่นเล็กน้อย ส่วนคริสแอบถอนหายใจอย่างลุ้นๆ
"โจเซฟ:คนที่ตอบถูกก็คือ..."
เขาหยุดพูดอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มออกมากว้าง
"โจเซฟ:ทุกคนตอบถูก!!"
อากิ ลีน่า และคริสชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินคำตอบนั้น สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความงุนงง
"อากิ:หมายความว่าไง"
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความสงสัย
"ลีน่า:?"
เด็กสาวเอียงคอ แววตากลมใสเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
"คริส:ทำไมถูกทุกคนล่ะ"
คริสเลิกคิ้ว มองโจเซฟอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะหันไปมองเพื่อนร่วมกลุ่มเผื่อใครมีคำตอบ
"โจเซฟ:ก็เพราะโรคพวกนี้บ้างทีมันมาเป็นช่วง แถมหมอพวกนี้ก็มีน้อย ดังนั้นเวลามีโรคระบาด ค่าตัวพวกเขาจะขึ้นสูงมาก โดยที่ปกติจะอยู่ที่ 1500-2000 ต่อเดือน หรือ 20-50 ยูโรต่อชั่วโมง แต่ถ้ามีโรคระบาดเมื่อไหร่ ราคาจะดีดจาก 1500-2000 เป็น 2000-3000 ทันที ส่วนรายชั่วโมงก็จาก 20-50 เป็น 50-90 ทันที"
คำอธิบายของโจเซฟทำให้ทั้งสามคนเงียบไปชั่วครู่ พวกเขาค่อยๆ คิดตาม ข้อมูลที่ได้ฟังนั้นแม้จะดูแปลกในตอนแรก แต่เมื่อลองนึกตามก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลดี
จากผู้แต่ง
มีเนื้อหาเกินไปบ้างนิดหน่อย ผมขอเขียนต่อดูก่อนว่าเนื้อหาที่เกินไป มันควรเป็น 11.3.1 หรือ 12.1
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้

รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ