CHESS:พลิกกระดานเทพ
เขียนโดย TKFD
วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เวลา 01.14 น.
แก้ไขเมื่อ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567 01.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
39) ตอนที่ 12.1 อันซงและหลีกวน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ"เมิ่งซิน:อืม~~"
เมิ่งซินครางเบาๆ ขณะขยับตัวบนเตียงด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย
หลังจากหลับมาได้กว่าเจ็ดชั่วโมงเต็ม ร่างกายของเธอก็รู้สึกสดชื่นจนแทบจะลุกขึ้นมาเต้นได้
'เมิ่งซิน:เตียงนุ่มมากๆเลย... นุ่มกว่าตอนนอนกับคนอื่นๆอีก...'
ในจังหวะนี้เมิ่งซินก็เริ่มคิดถึงคนอื่นๆ จนใบหน้าของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นครุ่นคิดอย่างจริงจัง
'เมิ่งซิน:...คนอื่นๆ'
เมิ่งซินนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่ความคิดถึงจะค่อยๆ แทรกเข้ามาในจิตใจ
'เมิ่งซิน:พวกเขาจะเป็นยังไงบ้างนะ... ลีน่าจะได้นอนสบายหรือเปล่า อากิ...ยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม...'
'เมิ่งซิน:ฉันควรคุยกับเอริน่าเรื่องกลับไปหาทุกคนแล้วสิ'
ขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดนั้นเอง...
"ก็อก ก็อก"
ก็มีเสียงจากจากตรงประตู
"จิมมี่:ตื่นหรือยังขอรับ?"
เสียงจิมมี่ดังขึ้นจากหลังประตู
"เมิ่งซิน:ตื่นแล้ว~"
"จิมมี่:งั้นข้าขอเข้าไปด้านในได้หรือไม่?"
"เมิ่งซิน:เข้ามาได้เลย~"
ประตูเปิดออกแบบเบาๆ และร่างเล็กของจิมมี่ก็บินเข้ามาพร้อมกับถาดหนึ่งใบที่ลอยตามหลังเขามาอย่างนุ่มนวล
"จิมมี่:นี่คือชุดของท่านหญิงเมิ่งซิน ข้าทำความสะอาดและซ่อมแซมให้เรียบร้อยแล้วขอรับ"
ถาดที่ลอยตามมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ
ข้างในมีเสื้อผ้าที่คุ้นตา ถูกพับเรียบร้อยอย่างสวยงาม แต่ที่สะดุดตากลับเป็นขวดแก้วใบเล็กๆ และไม้แท่งบางขนาดเท่านิ้วมือ ปลายไม้มีเส้นเล็กๆคล้ายเส้นใยฝังอยู่
เมิ่งซินหยิบมันขึ้นมาดูอย่างสนใจ ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อย
"เมิ้งซิน:อันนี้คืออะไรเหรอ?"
"จิมมี่:อ้อ นั่นคือ ‘ไม้ขัดฟัน’ ขอรับ"
จิมมี่รีบอธิบาย
"จิมมี่:เส้นที่เห็นตรงปลายทำมาจากไม้การู เราทุบให้แตกเป็นเส้นแล้วคัดเฉพาะเส้นที่ไม่แข็งเกินไป ไม่อ่อนเกินไปมาใช้ทำความสะอาดฟัน ส่วนขวดข้างๆ นั่นเป็นสมุนไพรตากแห้งบดละเอียด ใช้ควบคู่กัน"
เมิ่งซินนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอียงคอถามด้วยความสับสน
"เมิ่งซิน:...มันคือแปรงสีฟันกับยาสีฟันใช่ไหม?"
จิมมี่ทำหน้าฉงนไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ
"จิมมี่:ข้าไม่รู้ว่าแปรงสีฟันกับยาสีฟันคืออะไร... แต่จากที่ท่านพูดชื่อมา น่าจะมีหน้าที่เดียวกันนั่นแหละขอรับ"
เมิ่งซินยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้ารับ
"เมิ่งซิน:โอเค~ ขอบคุณสำหรับไม้ขัดฟันนะ"
"จิมมี่:ยินดีขอรับ"
พูดจบ จิมมี่ก็บินออกจากห้องไป ปล่อยให้เมิ่งซินมีเวลาส่วนตัว
ถึงไม้ขัดฟันจะใช้งานต่างจากของที่เธอเคยใช้ แต่กลิ่นของสมุนไพรบดนั้นกลับหอมสดชื่นอย่างน่าประหลาด
กลิ่นของใบไม้ตากแห้ง สมุนไพรเย็นๆ และกลิ่นอ่อนๆ ของการู ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเริ่มเช้าวันใหม่ในป่าเขาที่สงบสุข
ผ่านไปสิบกว่านาที เมิ่งซินก็ทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย พร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่จนเรียบร้อยดี เธอเดินไปเปิดประตูออกจากห้องอย่างเงียบๆ ก่อนจะพบกับภาพของเอริน่าที่กำลังนั่งกินคัพเค้กอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชา หมวกใบใหญ่ที่เธอใส่ยังปิดหน้าบางส่วนเหมือนเดิม ข้างๆ กันนั้นมีจิมมี่ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ พลางนั่งชมการกินอย่างใจเย็น
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ทั้งสองก็หันมามอง เมิ่งซินสบตากับพวกเขา และจิมมี่ก็ลอยตัวขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดเชิญชวนด้วยน้ำเสียงสุภาพ
"จิมมี่:เรียนเชิญมานั่งตรงนี้ได้เลยขอรับ"
โต๊ะที่จิมมี่เชิญเมิ่งซินไปนั่งคือตำแหน่งตรงข้ามกับเอริน่า เหมือนเช่นเมื่อวาน เมิ่งซินเดินตรงไป แต่สายตากลับสะดุดกับเบาะรองนั่งที่วางอยู่บนเก้าอี้ มันดูนุ่มและสะอาดอย่างเห็นได้ชัด
จิมมี่ที่เห็นเธอเหลือบตามองเบาะก็ยิ้มอย่างภูมิใจก่อนจะพูดขึ้นมา
"จิมมี่:ข้าเตรียมให้เองขอรับ เวลานั่งนานๆ จะได้ไม่เมื่อย"
เมิ่งซินกำลังจะเอ่ยขอบคุณ แต่จิมมี่กลับบินเข้ามาใกล้แล้วพูดเสียงเบากว่าปกติ ราวกับกำลังกระซิบ
*"จิมมี่:ที่จริงนี่เป็นไอเดียของท่านเอริน่าขอรับ แต่นางไม่กล้าบอกเอง... เลยให้ข้าออกตัวแทนแทน"*
เมิ่งซินได้ยินก็ยิ้มเล็กๆ ก่อนจะคิดขึ้นมาในใจ
'เมิ่งซิน:หลังจากสังเกตมาซักพัก ท่านเอริน่าเธอเป็นคนขี้อายจริงๆ ฉันควรขอบคุณเธอตรงๆ'
เธอหันไปมองหญิงสาวตรงหน้า เอริน่ายังคงกินขนมช้าๆ แบบไม่แสดงสีหน้าอะไร เมิ่งซินจึงพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
"เมิ่งซิน:ขอบคุณนะ"
เอริน่าชะงักเล็กน้อย มือที่กำลังถือคัพเค้กหยุดกลางอากาศคล้ายลังเลใจ แต่เพียงครู่เดียว เธอก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะกัดขนมชิ้นเล็กๆ อย่างเงียบๆ โดยไม่ตอบอะไรกลับมาเลยสักคำ
ส่วนจิมมี่ที่นั่งดูอยู่ก็รีบบินกลับไปที่โต๊ะ แล้วนำคัพเค้กอีกชิ้นมาวางตรงหน้าเมิ่งซินพร้อมกับถ้วยชาร้อนที่กลิ่นหอมลอยฟุ้ง เมิ่งซินยิ้มบางๆ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ แล้วจึงเริ่มทานขนมและจิบชาช้าๆ อย่างผ่อนคลาย
หลังจากทานหมด จิมมี่ก็เดินอยู่บนโต๊ะอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะมายืนอยู่หน้าเมิ่งซินพร้อมทำหน้าตาเศร้าๆ น่าสงสาร ดวงตากลมโตของเขาสะท้อนความอยากรู้อย่างเห็นได้ชัด
"จิมมี่:ข้าอยากดูต่อแล้ว... เปิดให้ดูได้ไหม?"
เมิ่งซินที่เห็นก็เผลอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ เธอรู้สึกว่าท่าทางของจิมมี่ในตอนนี้ทั้งน่ารักและน่าเอ็นดู จึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"เมิ่งซิน:แน่นอน มาดูต่อกันเถอะ"
ทันทีที่พูดจบ จานขนมและถ้วยชาก็ค่อยๆ ลอยออกจากโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ แล้วแทนที่ด้วยลูกแก้วคริสตัลใสที่รอการแตะเพื่อเริ่มฉายภาพ
เมิ่งซินกำลังจะยื่นมือไปแตะ แต่จิมมี่ก็รีบพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
"จิมมี่:อะ! ท่านเมิ่งซินไม่ต้องแตะลูกแก้วแล้วขอรับ ใช้เชือกเส้นนี้ค้องแขนก็พอ มันเป็นอุปกรณ์ที่ท่านเอริน่าทำไว้เมื่อคืนนี้ ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับลูกแก้วโดยตรง โดยที่ไม่ต้องสัมผัสเลย"
เมิ่งซินมองเชือกเส้นเล็กๆ ที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยพลังงานจางๆ แล้วอดไม่ได้ที่จะคิดในใจ
'เมิ่งซิน:ทำมันเมื่อคืนเองเหรอ... งั้นแสดงว่าท่านเอริน่าก็อยากดูเหมือนกันสินะ แค่ไม่แสดงออกเท่านั้นเอง'
เธอหันไปมองหญิงสาวอีกครั้ง แม้เอริน่าจะยังนั่งนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ปลายหูที่ขึ้นสีแดงจางๆ ก็บ่งบอกถึงความเขินอายอย่างไม่อาจปิดบัง เมิ่งซินยิ้มเล็กน้อย พลางสวมเชือกที่จิมมี่ยื่นให้ ก่อนที่ลูกแก้วคริสตัลจะเริ่มเปล่งแสง
ภาพที่ฉายออกมาเป็นซีรีส์แนวจอมยุทธ ซึ่งต่อเนื่องจากตอนก่อนหน้า—หลังจากหลีกวนทรยศอันซง เธอก็ก่อกบฏราชวงศ์อย่างสมบูรณ์ ยึดอำนาจ และก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดินีด้วยมือของตัวเอง
เธอสั่งฆ่าผู้ต่อต้านที่เหลืออย่างไร้ความปรานี ทุบทำลายกลไกอำนาจเก่าจนหมดสิ้น และควบคุมทุกอย่างไว้ภายใต้กำมือของเธอ เหตุการณ์ทั้งหมดที่กินเวลาหลายปี ถูกบีบอัดและเล่าอย่างกระชับภายในเวลา 4-6 ชั่วโมง
จนกระทั่งใกล้จบตอน...
บนจอภาพ เสียงตะโกนดังขึ้นจากลานพิธีด้านหน้าบัลลังก์
"ราชองครักษ์:นำตัวนักโทษอันซงเข้าเฝ้าฝ่าบาท!"
บานประตูใหญ่เปิดออก ชายผู้หนึ่งถูกนำตัวเข้ามา—ร่างกายซูบผอม ใบหน้าซีดเซียว ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าชุดนักโทษขาดรุ่งริ่ง มือ คอ และเท้าถูกพันธนาการด้วยโซ่เหล็กหนาพิเษศ เสียงโซ่กระทบพื้นดังกังวานในโถงราชสำนักทุกย่างก้าว
สภาพของอันซงดูย่ำแย่ เขาถูกทรมานทั้งกายและใจจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล และแม้จะยังมีชีวิตอยู่ แต่ดวงตาเขาก็แทบไร้แวว
บนบัลลังก์สูง หลีกวนมองภาพเบื้องหน้า สีหน้าที่เดิมนิ่งสงบพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที แววตาที่เคยเฉียบคมพลันเต็มไปด้วยโทสะ
ทุกคนในท้องพระโรงที่เห็นสีหน้าของเธอต่างรีบก้มหน้าลง ไม่มีใครกล้าพูดหรือขยับตัวแม้แต่น้อย
'หลีกวน:มันผู้ใด... บังอาจแตะต้องเขา? ข้าจะลากมันออกมา แล้วประหารมันด้วยมือของข้าเอง!'
เธอคิดในใจอย่างเดือดดาล แต่ยังคงรักษาท่าทีเงียบขรึมเอาไว้ภายนอก ทว่าแรงกดดันภายในท้องพระโรงกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่ากลัว ทุกลมหายใจของขุนนางที่อยู่ในนั้นต่างเต็มไปด้วยความระแวง...ว่าใครกันแน่ที่เผลอล่วงเกินชายผู้นี้
เมื่ออันซงถูกพามายืนเบื้องหน้าบัลลังก์ เขายืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่หม่นมัวและอ่อนล้า แต่ยังคงเก็บประกายบางอย่างไว้ สายตาคู่นั้นสบกับหลีกวน...แววตาที่เหมือนจะบอกว่า
'ที่นั่งบนนั้น...ควรเป็นของข้า'
หลีกวนสะดุ้งวูบในอก ความรู้สึกบางอย่างพุ่งขึ้นมาในทันที ทั้งโทษ ทั้งความเจ็บปวด ทั้งความคับแค้นที่ไม่มีคำใดอธิบายได้
แต่สายตานั้นก็อยู่ได้ไม่นาน...
*เพียะ!*
ผู้คุมกระแทกเข้าที่ขาพับของอันซงอย่างไร้ความปรานี เขาทรุดตัวลงคุกเข่า เสียงโซ่สะท้อนก้องกับพื้น ขณะเดียวกันราชองครักษ์ก็ยืนขึ้นและเริ่มอ่านคำประกาศ
"ราชองครักษ์:บัดนี้ ข้าผู้ทำหน้าที่ราชองครักษ์ประจำพระองค์ จักขอประกาศข้อหาที่มีต่อ 'ท่านอันซง' หรือ 'อดีตพระคนรักขององค์จักรพรรดินี' ทั้งเจ็ดประการดังนี้—
ข้อที่หนึ่ง:พยายามลอบปลงพระชนม์องค์จักรพรรดินี
ข้อที่สอง:สมคบคิดก่อกบฏต่อราชบัลลังก์และแผ่นดิน
ข้อที่สาม:จงใจปกปิดฐานะและแฝงกายเข้าสู่ราชสำนักโดยมิได้รับอนุญาต
ข้อที่สี่:ใช้อำนาจในทางมิชอบ ล่อลวงขุนนางและแม่ทัพให้หันหลังให้พระราชอำนาจ
ข้อที่ห้า:ทำให้พระทัยขององค์จักรพรรดินีสั่นคลอน จนราชกิจทั้งมวลต้องหยุดชะงัก
ข้อที่หก:ล่วงละเมิดเขตหวงห้ามของพระราชวังโดยปราศจากพระบรมราชานุญาต
และสุดท้าย ข้อที่เจ็ด:ทรยศต่อพระเมตตาแห่งองค์จักรพรรดินี ทำลายความไว้วางพระทัยที่พระองค์ทรงมอบให้ด้วยพระหฤทัย..."
ทุกถ้อยคำกระแทกลงในโถงอย่างหนักแน่น
อันซงที่ได้ยินข้อกล่าวหาเหล่านั้น แม้จะไร้เสียงพูดจากการทรมานต่อเนื่อง แต่ใบหน้าก็ปรากฏแววเย้ยหยันออกมาอย่างจางๆ มุมปากที่แตะแผลแตกยังเผยรอยยิ้มเย็นชา
'อันซง:ช่างน่าขันเสียจริง...ทุกข้อหานั้น เจ้าเองก็ทำพร้อมกับข้ามิใช่หรือ...ส่วนข้อที่เจ็ด...เป็นเจ้ามิใช่รือไงที่กระทำต่อข้า'
เขากล่าวในใจ...อย่างเงียบงัน
"ราชองครักษ์:ดังนั้น...โทษที่ท่านอันซงจะได้รับต่อไปนี้คือ!! การตัดเส้นเอ็นทั่วทั้งร่าง ทำลายจุดตันเถียนให้ย่อยยับ และเนรเทศสู่ 'หุบเหวมรณะ'! สิ้นสุดการพิพากษา!"
คำประกาศดังสะท้อนก้องไปทั่วโถงรัชสภา เสียงของราชองครักษ์แทบกลบลมหายใจของเหล่าขุนนางที่ต่างหวาดผวา
ร่างของอันซงที่ยังคุกเข่าอยู่ถูกรั้งขึ้นอย่างไร้ความปรานี โซ่เหล็กที่พันธนาการเขาส่งเสียงเสียดหู ขณะที่ผู้คุมลากเขาออกไป...ลากเขาไปสู่จุดจบที่น่าเกลียดที่สุดสำหรับบุรุษผู้ครั้งหนึ่งเคยยืนเคียงข้างจักพรรดินี
หลังจากอันซงถูกนำตัวออกไป บรรยากาศภายในท้องพระโรงยังคงเงียบงัน ก่อนที่เหล่าขุนนางจะเริ่มเคลื่อนไหว เตรียมเสนอเรื่องราชการต่อองค์จักรพรรดินี...ทว่า
เสียงของหลีกวนก็ดังขึ้น...เสียงที่เย็นยะเยือกและเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ
"หลีกวน:ใคร...บังอาจแตะต้องเขา โดยไม่ได้รับคำสั่งจากข้า?"
เสียงนั้นราบเรียบ...แต่แฝงไว้ด้วยพลังอำนาจที่แทบกดทับพื้นจนสั่นสะเทือน
เหล่าขุนนางทั้งโถงชะงักค้าง สีหน้าซีดเผือด ใบหน้าหลายคนเริ่มมีเหงื่อผุด แม้จะไม่มีใครพูด แต่ทุกคนต่างเข้าใจดีว่า...พระนางโกรธอย่างแท้จริง
ไม่มีใครกล้าขานรับ
ความเงียบแผ่ขยายอย่างน่าหวาดกลัว
แล้วพระนางก็เอ่ยอีกครั้ง—เสียงนั้นดังขึ้นกว่าเดิม แต่กลับเยือกเย็นจนเหมือนมีมีดเล่มบางกรีดผ่านต้นคอของทุกคน
"หลีกวน:ได้...ได้!!! ในเมื่อไม่มีใครตอบ ถ้าข้าไปสืบเองจนรู้ว่าใคร..."
ดวงเนตรสีทองวาวโรจน์ด้วยโทสะ เปลวเพลิงอำมหิตแผ่พุ่งจากพระวรกายราวกับเทพอารมณ์บาปแห่งการลงทัณฑ์
"หลีกวน:...ข้าจะสั่งประหารมันทุกคนที่เกี่ยวข้อง!! และไม่เพียงแค่ตัวมัน—*เจ็ดชั่วโคตร*ของมัน...ข้าจะล้างบางให้สิ้น!"
โถงเงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงหายใจ เหล่าขุนนางต่างพากันก้มหน้าลงต่ำ ไม่มีใครกล้าสบตาพระเนตรขององค์จักรพรรดินีแม้แต่น้อย
ทุกคนรู้แล้ว...
ไฟในใจขององค์จักรพรรดินี...ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์คนใดควรยั่วให้ลุกโชน
ขุนนางทั้งโถงต่างรู้ดีถึงความโหดเหี้ยมที่ถูกขนานนามว่า *เหล็กกล้าผสานเพลิงโลกันต์* ของพระนางไม่ได้มีไว้ประดับ ไม่มีใครกล้าขยับแม้แต่น้อย จนกระทั่ง...ขุนนางผู้หนึ่งค่อยๆ ก้าวออกจากแถว
เขาคุกเข่าลง กราบแทบพื้นเสียงดังแนบแน่น แล้วเปล่งเสียงออกมาอย่างสั่นเทา
"ขุนนาง:เดชะพระบารมีไม่พ้นเกล้าฯ ขอรับ...ผู้ที่กล้าทรมานท่านอันซงหาใช่ผู้อื่นไม่...คือแม่ทัพอู ข้าพยายามทัดทานแล้ว แต่เขากล่าวว่า ‘แค่นักโทษคนเดียว ใยต้องเกรงกลัว?’ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการทรมานทั้งหมด ขอพระองค์ทรงทราบเถิด..."
เสียงสะท้อนแผ่วเบาภายในท้องพระโรงแทบกลืนกับเสียงหัวใจของขุนนางที่เต้นระรัว
สีพระพักตร์ของหลีกวนคล้ายจะเย็นลงเล็กน้อย...จนกระทั่ง
*ตึง!*
แม่ทัพอูสาวเท้าก้าวออกมาด้วยท่าทีองอาจ เย็นชา และกล่าวเสียงหนักแน่น...โดยไม่แม้แต่จะคุกเข่า
"แม่ทัพอู:เรียนองค์จักรพรรดินี...ข้าเพียงทรมานนักโทษอันตราย ผู้เป็นภัยต่อพระองค์ ข้ามิได้กระทำสิ่งใดเกินเลย ขอทรงพระกรุณาเห็นแก่ความจงรักภักดีของข้าด้วยเถิด..."
ความเงียบอันเย็นยะเยือกปกคลุมทั่วห้องราวกับฟ้าหยุดหายใจ
จากนั้น...เสียงหัวเราะก็แว่วขึ้น
"หลีกวน:ฮะ...ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า..."
เสียงหัวเราะของหลีกวนแฝงด้วยความวิปลาสปนเดือดดาล ดังกึกก้องจนผืนพรมแทบสะเทือน ก่อนพระนางจะเอ่ยอย่างเยือกเย็น แต่ทุกถ้อยคำกลับราวกับคมดาบกรีดหัวใจทุกคน
"หลีกวน:เมตตา? เจ้าต้องการความเมตตาจากข้า?"
นางแค่นหัวเราะอีกครั้ง ก่อนประกาศก้อง
"หลีกวน:ได้! ข้าจะมอบเมตตาให้เจ้าตามแบบของข้า! ทหาร—! นำตัวมันไปทรมาน! เช่นเดียวกับที่มันทำกับอันซง! และจงลากครอบครัวมันไปด้วย! ให้ทุกคนในตระกูลมันลิ้มรสความเจ็บปวดนั้นจนสิ้นลมหายใจ!! จากนั้น...ประหารให้หมด! นำหัวของมันไปห้อยประจานหน้าประตูเมือง! โทษฐานขัดพระบัญชา!!"
ความเงียบภายในท้องพระโรงเปลี่ยนเป็นความสั่นสะท้านของความตาย เสียงฝีเท้าทหารรีบกรูกันเข้าไปควบคุมตัวแม่ทัพอูในทันที
แล้วสายพระเนตรของพระนางก็หันกลับมายังขุนนางที่กล้าออกมารายงาน
"หลีกวน:ส่วนเจ้า...แม้เจ้าห้ามไม่สำเร็จ แต่เจ้าก็กล้าออกมาพูดความจริง ข้าจะลงโทษเจ้าโทษฐานห้ามไม่เป็นผล—โบยสิบครั้ง! และในฐานะผู้เปิดเผยความผิด ข้าจะมอบทองหนึ่งชั่งให้เจ้าตามสมควร!"
ขุนนางผู้นั้นทรุดตัวลงก้มกราบอีกครั้งด้วยน้ำตาคลอเบ้า
"ขุนนาง:ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงพระเมตตา ขอบพระทัย ขอบพระทัย ขอบพระทัย..."
เขาก้มลงกราบสามครั้งแน่นิ่ง เสียงสั่นเครือยังคงดังก้องในโถง ขณะที่ทหารเข้ามาพาตัวเขาออกไปทั้งด้วยความเคารพและความสงสาร
เหตุการณ์ในวันนั้น...กลายเป็นตราประทับลงในใจขุนนางทั้งหลาย
พวกเขารู้แล้วว่า...มีสองสิ่งที่ไม่ควรขัดขืน
หนึ่ง—พระบัญชาขององค์จักรพรรดินี
สอง—ชื่อของอันซง
จิมมี่และเอริน่าที่ดูอยู่เงียบงัน แม้ในใจจะมีคำถามมากมาย แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถามเมิ่งซิน พวกเขาเลือกที่จะเฝ้าดูต่อไปในความสงบเงียบที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน
ฉากต่อมา อันซงถูกตัดเส้นเอ็นและทำลายจุดดันเทียน—เขาถูกลากตัวมาหน้าเหวมรณะ ขาทั้งสองแทบไม่อาจประคองน้ำหนักตัวได้อีก เขายืนโซเซ มองลงไปยังความมืดดำที่เบื้องล่าง
ทหารคนหนึ่งที่ควบคุมเขาอยู่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"ทหาร:ท่านมีอะไรอยากจะพูดหรืออยากจะเล่าก่อนจะลงไปหรือไม่?"
ทหารอีกคนหันมาทันที
"ทหาร:เฮ้ เรามีหน้าที่แค่เอาตัวเขามาทิ้—"
"ชู่ว—!"
ชายคนแรกรีบยกมือห้ามไม่ให้พูดต่อ ดวงตาของเขายังจับจ้องอยู่ที่อันซง
อันซงหันมามองเขา ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบพร่า
"อันซง:นาย...ชื่ออะไร"
"เหยียนอี้:กระผมชื่อเหยียนอี้"
เขาตอบพลางโค้งตัวเล็กน้อย(ชื่อแปลว่า:ผู้มีคำพูดที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม)
อันซงพยักหน้าเบาๆ
"อันซง:เป็นชื่อที่ดี"
เขาหันกลับไปมองเหวเบื้องหน้า... และเริ่มเล่าเรื่องราวของเด็กน้อยคนหนึ่ง เด็กธรรมดาในหมู่บ้านเล็กๆ มีพ่อแม่ที่อบอุ่น ชีวิตเรียบง่าย และความฝันเพียงอยากเป็นชาวนาเหมือนพ่อแม่
แต่แล้ว...วันหนึ่งก็ได้มีจอมยุทธ์กลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านหมู่บ้านนั้น พวกเขาใจดีมากๆ กูแลทุกคนในหมู่บ้านอย่างเป็นกันเอง และเด็กคนนั้น—อันซง—ก็เกิดความนนใจเลยเข้าหาพวกเขา ก่อนจะเกิดหลงใหลในพลังของพวกเขา เขาเลียนแบบท่าทางเพียงแค่เห็นครั้งเดียว และทำได้เหมือนเป๊ะ เหล่าจอมยุทธ์ตกตะลึง พวกเขารู้ทันทีว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา
ดังนั้น พวกเขาจึงพาเขาไปยังภูเขาแห่งหนึ่ง...
"ภูเขาหัวซาน"
เหล่าทั้งหารที่ได้ยินต่างชะงัก สีหน้าซีดเผือดทันทีที่ได้ยิน
'ทหาร:ทะ-ท่านบอกว่าท่าน...มาจากสำนักเทพกระบี่? สำนักนั้น...'
'ทหาร:บรรลัยแล้วข้า! นี่มันคนของสำนักเทพกระบี่ สำนักที่ขึ้นชื่อเรื่องการล้างแค้นให้คนในสำนักด้วย!'
เหยียนอี้ถึงกับคุกเข่าทันที
"เหยียนอี้:ข้าน้อยขอคาราวะท่านศิษย์จากสำนักเทพกระบี่! โปรดรับคำขอขมาจากข้าที่ล่วงเกินท่านด้วย!"
ทหารคนอื่นๆรีบทำตามอย่างลนลาน
"เหล่าทหาร:ข้าขอนอบน้อมและขออภัยต่อท่านด้วย! โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วย!"
อันซงที่เห็นแบบนั้นก็พยักหน้าให้พวกเขาอย่างเงียบๆ ทหารที่เห็นท่าทีตอบรับก็ถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เหงื่อที่ไหลอยู่เต็มแผ่นหลังก็คล้ายจะจางลงทันที
หากถามว่าทำไมทหารเหล่านี้จึงแสดงความเคารพและหวาดกลัวต่ออันซงมากขนาดนี้... ก็เพราะว่าเขาคือศิษย์แห่ง "สำนักเทพกระบี่" สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในฝ่ายธรรมะ และเป็นที่รู้จักว่าเป็นศูนย์รวมของความยุติธรรม ความเมตตา และเป็นผู้ควบคุมความสงบเรียบร้อยในยุทธภพ หากไม่มีพวกเขา ยุทธภพแห่งนี้อาจเต็มไปด้วยสำนักที่แย่งชิงอำนาจอย่างไร้ขอบเขต
แต่ในขณะที่พวกเขาแบกรับภาระใหญ่เช่นนั้น สำนักเทพกระบี่กลับมีลูกศิษย์เพียงแค่สี่สิบกว่าคน แต่ว่าแต่ละคนนั้นล้วนเป็นอัจฉริยะหรือปีศาจในร่างมนุษย์ โดยคนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขา ยังมีพลังทัดเทียมจ้าวสำนักของสำนักที่ถูกยกเป็นอันดับสองของยุทธภพเสียด้วยซ้ำ คนทั่วไปจึงยกย่องบูชา พวกเขาในนาม... ครึ่งเซียน ผู้พิทักษ์มนุษย์
จากนั้น อันซงจึงเริ่มเล่าเรื่องราวของตน...
หลังจากฝึกฝนจนสำเร็จวิชา เขาก็ขอลงจากเขาเพื่อท่องยุทธภพ เขาได้พบเจอทั้งมิตรแท้ ศัตรูคู่อาฆาต และสุดท้าย... คนที่เขารัก
เมื่อเขาเอ่ยถึง “คนรัก” เหล่าทหารที่ยืนฟังอยู่กลับพากันเบือนหน้าหนี เงียบงันราวกับไม่เคยได้ยินถ้อยคำนั้น ทั้งที่ในใจของพวกเขาต่างก็รู้ดีว่ากำลังเอ่ยถึงใคร...
เขากับนางเดินทางร่วมกัน ท่องไปในโลกกว้างอย่างมีความสุข แต่แล้ว... วันหนึ่ง นางได้ชวนเขาทำบางสิ่ง
และเขา... ผู้ที่รักนางสุดหัวใจ ก็ยอมทำทุกอย่างให้—ไม่ว่าจะฆ่า ปล้น หรือแม้แต่ลักพาตัว เขาทำมันทั้งหมดด้วยมือของเขาเอง ใช้วิชาที่สำนักเทพกระบี่สั่งสอน เพื่อทำเรื่องที่ขัดต่อคำสั่งสอนทุกอย่าง
เขาทำ... เพียงเพราะ “เชื่อใจ” คนที่เขารัก
จนกระทั่ง... วันที่แผนทุกอย่างจบลง
คนรักของเขา แทงเขาจากข้างหลัง... ด้วยมีดอาบยาพิษ
เขาล้มลง ไม่รู้ว่าตนตายไปหรือไม่ จนกระทั่งลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง... ภายในคุกมืดทึบ
เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่อยากเชื่อสิ่งที่จำได้เป็นภาพสุดท้าย เขาภาวนาขอให้มันไม่ใช่เรื่องจริง แต่วันนี้ เวลานี้ เขาก็ได้รู้แล้ว...
สิ่งที่เขาปฏิเสธมาตลอด มันคือความจริง
ทหารบางคนที่ได้ฟังถึงกับจุกในอก หายใจแทบไม่ออก บางคนถึงกับน้ำตาไหลโดยไม่อาจควบคุมได้
และในช่วงเวลาที่เงียบงันนั้น อันซงก็กล่าวคำสุดท้ายด้วยเสียงอันแผ่วเบา
"อันซง:อย่างน้อย... ก็มีคนฟังเรื่องราวของข้าในตอนจบ"
ว่าจบ เขาก็หันหลัง... และทิ้งตัวลงไปในเหวเบื้องล่าง ร่างนั้นหายไปในเงามืดที่ไม่มีใครอาจไขว่คว้าได้
เหล่าทหารร้องไห้โศกเศร้าให้กับจอมยุทธ์ผู้หนึ่ง ผู้ที่แม้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่กลับพ่ายแพ้ต่อสิ่งที่อ่อนโยนที่สุดในใจมนุษย์
ทว่า... ไม่ใช่เพียงพวกเขาเท่านั้น
ที่ไกลออกไปนู้น... มีใครบางคนกำลังนอนร้องไห้เหมือนจะขาดใจตายอยู่เช่นกัน
กล้องไม่ได้เผยให้เห็นว่าเป็นผู้ใด
แต่สิ่งหนึ่งที่ปรากฏเด่นชัดคือ...
...ชุดของผู้ที่ร้องไห้ มันเด่นชัดแจ่มแจ้งจนไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร เพราะมันเป็นชุดที่ได้เห็นไปแล้ว มันคือชุดของจักรพรรดินีผู้โหดเหี้ยม
จิมมี่และเอริน่านิ่ง น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกมากมายผสมกันอยู่ทั้งคำถามและความสงสัยมากมายตีกันมั่วไปหมด แต่มีสิ่งหนึ่งท่ามกลางความรู้สึกนั้น มันคือเสียงร้องไห้ของหญิงผู้นี้
มันคือเสียงที่เจ็บปวดเกินกว่าจะบรรยาย
เสียงสะอื้นที่แทรกผ่านอากาศเข้ามา ไม่ใช่แค่ได้ยินด้วยหู... แต่เหมือนมันกัดกินหัวใจของคนฟังทีละนิด
จิมมี่เม้มปากแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่เอ่อล้น แต่ก็ไม่อาจต้านทานได้
ข้างๆ กัน เอริน่าปิดปากตนเองไว้แน่น พยายามไม่ให้เสียงสะอื้นของตัวเองหลุดออกมา
เพราะเสียงนั้น... คือเสียงของใครบางคนที่หัวใจแตกสลายอย่างแท้จริง
และพวกเขาทั้งคู่ก็รู้ดี...
...ว่าเสียงนี้เป็นของใคร
จากผู้แต่ง
ที่ลงช้าไม่ใชอะไรน่ะ แต่งเนื้อเรื่องของหลีกวนกับอันซงอยู่ แต่เขียนไปเขียนมาน่าจับไปแต่งอีกเรื่องเนอะ... งั้นมาร์คไว้ก่อนล่ะกัน อนาคตอาจเอามาเขียน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้

รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ