CHESS:พลิกกระดานเทพ

10.0

เขียนโดย TKFD

วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เวลา 01.14 น.

  41 ตอน
  3 วิจารณ์
  6,978 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567 01.16 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

40) ตอนที่ 12.2 ก็อบบลายท์(Gobblight)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
    เมิ่งซินที่เฝ้าดูทั้งสองคนมาตลอด รู้สึกได้ถึงความเงียบที่กดทับในอากาศ เหมือนเวลารอบตัวหยุดนิ่งไว้ในห้วงความเจ็บปวดที่ไม่มีคำใดอธิบายได้ เธอก้าวเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
 
 
 
    "เมิ่งซิน:...ทั้งสองคน พักกันสักหน่อยไหม?"
 
 
 
    ไม่มีคำตอบกลับมา มีเพียงความเงียบที่หนักอึ้งเหมือนหมอกในคืนฝนตก ทั้งจิมมี่และเอริน่ายังคงจมอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ไม่มีใครเข้าถึงได้ง่ายๆ
 
 
 
    เมิ่งซินจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ เธอปล่อยให้ภาพเบื้องหน้าเล่าเรื่องต่อ — ภาพจากเหตุการณ์ที่ฉายผ่านกล้องค่อยๆ เลื่อนขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นท้องฟ้าสีส้มแดงของยามเย็นที่ทอดตัวเหนือผืนป่ากว้างใหญ่ ส่วนเบื้องล่างคือเหวลึกที่กลืนกินความเงียบ เสียงดนตรีทำนองเนิบช้าเริ่มเล่นคลอเบาๆ — เป็นท่วงทำนองที่ชวนให้รู้สึกเหมือนมีใครบางคนมากระซิบปลอบโยน
 
 
 
   เอนเครดิตค่อยๆ เลื่อนขึ้นบนหน้าจออย่างเงียบงัน ราวกับโลกหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อเพลงจบลง ความเงียบที่เคยดูน่าอึดอัดกลับอ่อนโยนขึ้น คล้ายเมฆดำเริ่มจางลง
 
 
 
    เมิ่งซินถามขึ้นอีกครั้งด้วยรอยยิ้มบางบนใบหน้า แม้จะยังสื่อความเศร้า
 
 
 
    "เมิ่งซิน:เป็นยังไงกันบ้าง..."
 
 
 
    ไม่มีคำตอบ ทั้งคู่ยังไม่เปล่งเสียง จนกระทั่งผ่านไปอีกอึดใจ จิมมี่เอ่ยเสียงแผ่ว ราวกับคำพูดของเขาไม่ได้ถามเมิ่งซิน แต่อาจถามตัวเองเสียมากกว่า
 
 
 
    "จิมมี่:...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้ข้าสับสนไปหมดแล้ว..."
 
 
 
  "จิมมี่:ตอนแรกที่ข้าดู ข้าคิดว่า...หลีกวนก็แค่ต้องการอำนาจ แค่คนที่ทะเยอทะยาน...เลยทรยศอันซง..."
 
 
 
    "จิมมี่:...แต่ดูจากสิ่งที่เธอทำในตอนนี้สิ...ดูแววตาของเธอสิ เธอต้องการอะไรกันแน่ ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด..."
 
 
 
    เมิ่งซินนิ่งไป ดวงตาของเธอไหววูบเล็กน้อย เธอไม่ตอบทันที ก่อนจะสูดหายใจเบาๆ และตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจที่สุดเท่าที่เธอเคยพูดในวันนี้
 
 
 
    "เมิ่งซิน:...ฉันจะไม่บอกก็แล้วกัน ว่าทำไมเธอถึงทำแบบนั้น..."
 
 
 
    เธอเว้นช่วงเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายด้วยคำ
 
 
 
    "เมิ่งซิน:แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันบอกได้— ทุกการกระทำ ย่อมมีเหตุและผลของมันเสมอ..."
 
 
 
    "เมิ่งซิน:ถึงแม้มันจะดูโหดร้าย หรือไม่น่าให้อภัยแค่ไหนก็ตาม..."
 
  
 
    จิมมี่ไม่ได้ตอบกลับ เขาเพียงนั่งนิ่ง สายตาจับจ้องที่พื้นเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย เสียงลมหายใจของทั้งสามคนเริ่มสอดประสานไปกับความเงียบรอบตัว ทิ้งไว้เพียงคำถามที่ยังไร้คำตอบ — และความจริงที่ยังรอการเปิดเผยในวันข้างหน้า
 
 
 
    เมิ่งซินเห็นจิมมี่เงียบไปนาน สีหน้าดูจริงจัง ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างลึกๆ เธอจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ
 
 
 
    "เมิ่งซิน:งั้น...ดูต่อเลยไหม จะได้รู้ว่าทำไมหลีกวนถึงทำแบบนั้น"
 
 
 
    จิมมี่ดูลังเลไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็พยักหน้าช้าๆ แววตายังคงเต็มไปด้วยความสับสนปนมุ่งมั่น เมิ่งซินมองไปยังเอริน่าที่ตอนนี้ก็เช็ดน้ำตาเรียบร้อยและนั่งตัวตรงพร้อมจะรับชมต่อเช่นกัน
 
 
 
    เมื่อเห็นทั้งสองพร้อม เมิ่งซินก็เปิดฉากต่อไปทันที ภาพเริ่มต้นจากอันซงที่กระโจนลงจากหน้าผาสูงชัน — ร่างของเขากำลังร่วงหล่นลงสู่หุบลึก
 
 
 
    ในชั่วพริบตานั้น ความคิดมากมายไหลทะลักเข้ามาในหัวของอันซง ทั้งความโกรธ ความผิดหวัง ความแค้น...แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ “ความเสียใจ” เสียใจต่อความฝันอันยิ่งใหญ่ที่เขาเกือบจะไขว่คว้ามาได้ ความฝันที่จะเป็นหนึ่งในใต้หล้า...
 
 
 
    และทั้งหมดก็พังทลายลงด้วยน้ำมือของคนที่เขาไว้ใจที่สุด — คนที่เขารักที่สุด
 
 
 
    ความเจ็บปวดเปลี่ยนเป็นความแค้น ความแค้นที่กัดกินจิตใจเขาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อลมหายใจเหลือน้อยลงและร่างยังคงตกลงเรื่อยๆ... เขาก็เริ่มตระหนักว่า ไม่มีอะไรอีกแล้ว ความแค้นค่อยๆ เลือนหาย เหลือเพียงความว่างเปล่า และเสียงลมที่พัดผ่านหู
 
 
 
    ในวินาทีนั้น เขายอมรับความตายที่กำลังจะมาถึง
 
 
 
   "โครม!! กร๊อบ!"
 
 
 
    ร่างของอันซงกระแทกลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างรุนแรง เสียงกระแทกนั้นแทบจะทำให้ใจคนดูหัวใจหยุดเต้น ภาพตัดมาที่ร่างของเขานอนแน่นิ่ง เลือดไหลออกจากศีรษะ ปาก และแผ่นหลัง ร่างที่เคยเต็มไปด้วยความฝัน บัดนี้เหลือเพียงซากศพเงียบงันใต้ความมืดอันเงียบงัน...
 
 
 
    จิมมี่ที่นั่งดูอยู่ถึงกับสบถออกมาทันที ส่วนเอริน่าเบือนหน้าหนีไปด้านข้างด้วยสีหน้าซีดเซียว
 
 
 
    !"จิมมี่:…ตะ-ตายแล้วเหรอ…? ไอ้เหี้ย… ตายจริงๆ?! นี่มันบ้าอะไรเนี่ย!!"!
 
 
 
    เมิ่งซินหันไปมองเขาด้วยสีหน้าเข้าใจ ก่อนจะพยักหน้านิดๆ
 
  
 
    เพราะเธอเอง...ก็เคยตกใจแบบนั้นมาก่อน และเธอรู้ดีว่า...นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
 
 
 
    จิมมี่ที่กำลังอินอย่างหนัก หันขวับมาทางเมิ่งซิน สีหน้าเต็มไปด้วยคำถามที่แทบจะหลุดออกมาในวินาทีนั้น
 
 
 
    ต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้น...
 
 
 
    เขาเหมือนจะเอ่ย แต่คำพูดยังไม่ทันหลุดออกจากปาก
 
 
 
    จู่ๆ ก็เกิดสิ่งผิดธรรมชาติขึ้นกับร่างของอันซง ศพที่นิ่งสนิทเริ่มมีแสงประหลาดส่องรอบตัว ก่อนที่อักษรแปลกๆ จะลอยออกมาจากพื้นและล้อมรอบศพนั้นไว้
 
 
 
    ตัวอักษรเหล่านั้นค่อยๆ ดูดเลือดจากร่างของอันซงเข้าไป จนกลายเป็นสีแดงฉาน จากนั้นอักษรทั้งหมดก็สลายหายไปกับอากาศ...ราวกับไม่เคยมีอยู่
 
 
 
    จิมมี่ยังคงไม่ละสายตา เขาจ้องจอแทบไม่กระพริบตา กล้องในภาพค่อยๆ ซูมเข้าใกล้ใบหน้าของอันซงที่ยังนิ่งเฉย
 
 
 
    จนกระทั่ง...
 
 
 
    ...ดวงตาคู่นั้นลืมขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมเสียงหอบหายใจที่กระชากกลับมาสู่ความเป็นจริง
 
 
 
    "อันซง:โฮบ! แค่ก...แค่ก!"
 
 
 
    อันซงเบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง เขาจำได้ชัดเจน — เขาตกลงมากระแทกพื้น เขา...ตายไปแล้ว
 
 
 
    "อันซง:ข้า...ข้ายังไม่ตาย? ได้ยังไง? ทำไมข้าถึงยังมีชีวิตอยู่?!"
 
 
 
    เขารีบลุกขึ้นและสำรวจร่างกายอย่างรวดเร็ว เส้นเอ็นที่เคยถูกตัด ดันเถียนที่เคยถูกทำลาย — ทั้งหมดกลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ เมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าของอันซงก็พลันเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจกลั้น
 
 
 
    "อันซง:ฮ่า!! ฮ่า!! ฮ่า!! ฮ่า!! ฮ่า!! ฮ่า!! ฮ่า!! ฮ่า!! ฮ่า!! ฮ่า!! ฮ่า!! หลีกวนเอ๋ย...หลีกวน! สวรรค์คงเห็นถึงความชั่วของเจ้าแล้วทนไม่ได้ จึงยื่นโอกาสให้ข้ากลับมา!!! ข้า — ใน นามของอันซง!! ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ว่า... ข้าจะลากอีนางตัวเมียหลีกวนลงจากบัลลังก์ และนำความยุติธรรมกลับคืนมา!!"
 
 
 
    เสียงประกาศก้องด้วยความแค้นของอันซง ทำให้หัวใจของคนดูแทบหยุดเต้น
 
 
 
    จิมมี่ถึงกับนั่งไม่ติด ใจเต้นระรัวด้วยแรงอารมณ์ที่สาดเข้าใส่ราวพายุ เอริน่าเองก็ไม่ต่างกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงและความตื่นเต้นที่ยากจะซ่อน ทั้งคู่เงียบลงในทันที — ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ สายตาของพวกเขาจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด... และเนื้อเรื่องก็ดำเนินต่อ
 
 
 
   หลังจากเสียงหัวเราะบ้าคลั่งของอันซงดังก้องในหุบเหว เงียบงันกลับมาเยือนอีกครั้ง เขาเริ่มหาทางออกทันที ท่ามกลางผนังหินชื้นและอากาศหนาวเย็น เขาสังเกตเห็นทางลาดแคบๆ ที่พาไปสู่โพรงถ้ำมืดสนิท เขาไม่เข้าไปทันที... แต่อาศัยแสงเลือนรางและสัญชาตญาณ สำรวจบริเวณโดยรอบจนแน่ใจว่าปลอดภัย
 
 
 
    เมื่อมั่นใจแล้ว เขาก้าวเข้าสู่ความมืด เสียงฝีเท้ากระทบพื้นหินสะท้อนในโพรงลึก มือหนึ่งแตะกำแพง และเดินอยู่ในความมืด จนกระทั่งเขาเห็นแสงรำไรเผยปลายทางด้านหน้า เขารีบวิ่งเข้าไปทันที — สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าไม่ใช่เพียงโพรงธรรมดา... แต่มันคือ ถ้ำ ที่แทบจะเกินจินตนาการ
 
 
 
    "อันซง:ฮ่า... ใครจะคิดกันล่ะว่าใต้เหวแบบนี้จะมีถ้ำที่เพียบพร้อมขนาดนี้ สวรรค์... ท่านกำลังให้โอกาสข้าอยู่จริงๆ ใช่หรือไม่?"
 
 
 
    สายตาของอันซงสอดส่องไปทั่วถ้ำอย่างไม่อยากเชื่อ ทุกสิ่งที่นักฝึกยุทธเคยฝันถึง อยู่ตรงหน้าเขา — โอสถหายากเรียงราย ทั้งโอสถเพิ่มลมปราณ โอสถเสริมร่างกาย โอสถหยิน หยาง โอสถฟื้นฟู... แม้แต่โอสถระงับความหิวที่ใช้ในภาวะฉุกเฉิน
 
 
 
    ไม่เพียงเท่านั้น เขายังพบบ่อน้ำผุดใสสะอาด ลานฝึกกว้าง ชุดอาวุธและวิชายุทธนับไม่ถ้วน — กระบี่ ดาบ หอก แส้ หมัด พิษ อาวุธลับ ยันต์ แม้แต่สมบัติเก่าที่ดูเหมือนจะ สูญหายจากยุทธภพไปแล้วก็ยังมีให้เห็น
 
 
 
    "อันซง:นี่มัน... อย่างกับคลังสมบัติของราชวงศ์ ข้าจะฝันอยู่หรือไม่!"
 
 
 
    ดวงตาของเขาเป็นประกายอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียวที่จะเริ่มฝึกฝน
 
 
 
    แล้ว... เวลาก็ล่วงเลยไป ภาพเบื้องหน้าค่อยๆเปลี่ยนผ่าน — จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี...
 
 
 
    กระดาษหลายแผ่นร่วงหล่นลงมาช้าๆ ในจอภาพยนตร์ กระดาษทุกแผ่นบรรจุภาพของอันซงขณะฝึกยุทธ ฝึกพลัง ปรับสมาธิ ขยับอาวุธ พ่นพิษ ใช้กระบี่ เขียนยันต์ ฝึกหมัด ฝึกกาย... ทั้งหมดดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง
 
 
 
    แล้ว... ปีที่ห้า ก็มาถึง
 
 
 
    "อันซง:ข้าฝึกมานานเหลือเกิน... ถึงเวลาแล้ว"
 
 
 
    เขาเงยหน้ามองถ้ำที่เคยเป็นทั้งที่พึ่งและสถานที่ชุบชีวิต สายตาเขาอาลัยอาวรณ์ แต่เขาก็รู้ว่าต้องจากไป เขาตั้งจิตแน่วแน่ ก่อนจะเก็บของสำคัญทั้งหมดใส่ถุงวิเศษ — และเดินจากถ้ำออกไปยังปากเหว
 
 
 
    พอออกมาได้ เขาก็มองขึ้นไป ก่อนที่จะเริ่มปีนหุบเหวนี้ ทุกเมตรที่เขาปีนขึ้นไป ไม่ใช่แค่ระยะทาง — แต่คือการก้าวข้ามอดีต
 
 
 
    เมตรที่หนึ่ง… คือความแค้น  
 
    เมตรที่สอง… คือความฝันที่สลาย  
 
    เมตรที่สาม… คือความหวังที่ยังไม่ดับ  
 
    เมตรที่สี่… คือคำสาบาน...
 
 
 
    และเมื่อเขาใกล้พ้นเหว แสงแดดสาดเข้ามาปะทะใบหน้า ความร้อนอ่อนๆ ซึมผ่านผิวที่ไม่เคยสัมผัสแสงมานานเกินไป
 
 
 
    "อันซง:นี่สินะ... ความอบอุ่นจากแสงแดด..."
 
 
 
    เขารีบปีนขึ้นมาและยืนหลับตารับแสงนั้นอย่างช้าๆ แล้วประสานมือคารวะด้วยท่าทางขึงขัง ดวงตาเต็มไปด้วยแรงอธิษฐานและไฟในอก
 
 
 
    "อันซง:ตามที่ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์... วันนี้ ข้ามาเพื่อชำระทุกสิ่ง! ดังนั้น—โปรดมองดูข้าด้วยเถิด!"
 
 
 
    เสียงสุดท้ายของเขาก้องสะท้อนไปทั่วอากาศ ก่อนที่ฝีเท้าจะเริ่มต้นอีกครั้ง — คราวนี้…ไม่ใช่การหลบหนี แต่คือการกลับมา
 
 
 
    แต่ในขณะที่เขาเดินจากหุบเหวโดยไม่หันหลังกลับ เขาไม่รู้เลย…ว่ามีใครบางคนกำลังจับตาดูอยู่
 
 
 
    "???:..."
 
 
 
    "???:ให้ข้าทำอย่างไรต่อไป ฝ่าบาท"
 
 
 
    "???:จับตาดูเขาไว้... หากเขากำลังจะตาย เจ้าจงช่วยเขาเสีย — แต่อย่าให้เขารู้ตัวเด็ดขาด"
 
 
 
    "???:เพคะ ฝ่าบาท"
 
 
 
    บทสนทนาสิ้นสุดลง พร้อมกับกล้องที่ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นผ่านยอดไม้ของป่าอันเงียบสงัด ก่อนจะปรากฏคำกลางจออย่างสง่างาม
 
 
 
    —บทที่ 2 การเดินทางของจักรพรรดิ—
 
 
 
    จิมมี่กับเอริน่าถึงกับขนลุกซู่กับฉากนี้ ทั้งความตื่นเต้น ความสงสัย และความอินในเรื่องราวกำลังปะทุขึ้นพร้อมกันอย่างลงตัว
 
 
 
    เรื่องราวดำเนินต่อเนื่องไปอีกหลายชั่วโมง ผ่านไปถึงหกชั่วโมงเต็ม เอริน่าก็ขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ
 
 
 
    ^เอริน่า:จบตอนนี้แล้วหยุดก่อน ข้าเริ่มหิวแล้ว^
 
 
 
    "จิมมี่:ขอรับ"
 
 
 
    "เมิ่งซิน:โอเค"
 
 
 
    เมื่อผ่านไปอีกยี่สิบนาที เรื่องราวก็จบลงตามสัญญา จิมมี่แยกตัวไปเตรียมอาหาร เหลือเพียงเอริน่ากับเมิ่งซินที่นั่งอยู่ด้วยกันในห้องที่เงียบลง
 
 
 
    เอริน่าที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงลังเล
 
 
 
    ^เอริน่า:เมิ่งซิน...คือว่า อันซงจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิจริงๆ และแก้แค้นได้สำเร็จไหม?^
 
 
 
    เมิ่งซินได้ยินแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับ
 
 
 
    "เมิ่งซิน:ท่านอยากฟังสปอยเหรอ?"
 
 
 
    เอริน่าขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำแปลกๆ นั้น ก่อนจะเอียงหัวอย่างสงสัย
 
 
 
    ^เอริน่า:สปอยคืออะไร?^
 
 
 
    "เมิ่งซิน:สปอย...ก็คือการบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า ก่อนที่ท่านจะได้ดูมันน่ะ"
 
 
 
    เอริน่าทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อย
 
 
 
    ^เอริน่า:อืม...งั้นข้าไม่อยากฟังแล้ว ข้าอยากลุ้นเองมากกว่า^
 
 
 
    เมิ่งซินพยักหน้าเบาๆ อย่างเห็นด้วย ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มพูดคุยถึงฉากต่างๆ ที่เพิ่งดูจบไป เมิ่งซินช่วยเล่าเสริมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจพลาดไปในแต่ละตอน — เพราะบางครั้ง...การดูแค่ครั้งเดียว ก็อาจมองข้ามรายละเอียดสำคัญบางอย่างได้โดยไม่รู้ตัว
 
 
 
    ทั้งสองคุยกันอย่างออกรส เสียงหัวเราะและความตื่นเต้นค่อยๆ เพิ่มขึ้น
 
 
 
    'เมิ่งซิน:นึกว่าเป็นคนเงียบๆ ซะอีก...พอได้คุยจริงๆ ก็คุยไม่หยุดเลย'
 
 
 
    เสียงสนทนาที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนเล็ดลอดเข้าไปถึงในครัวที่จิมมี่ที่กำลังทำอาหารอยู่ เขาชะโงกหน้าออกมาด้วยความสงสัย
 
 
 
    "จิมมี่:เฮ้! คุยอะไรกันน่ะ ฟังดูสนุกมากเลยนะ"
 
 
 
    ^เอริน่า:ข้ากำลังพูดถึงฉากต่างๆ ที่อาจมองข้ามไปในซีรีส์น่ะ เจ้าจะฟังด้วยไหม?^
 
 
 
    "จิมมี่:แน่นอนสิ ข้าจะพลาดได้ยังไง!"
 
 
 
    จิมมี่เดินออกมาร่วมวงทันที — ขณะเดียวกัน ภายในครัวยังมีหม้อไฟเดือดปุดๆ และจานผัดที่ขยับเองได้อย่างแปลกตา เพราะเขาใช้เวทเทเลคิเนซิสควบคุมของให้ทำอาหารไปพร้อมกับพูดคุยได้
 
 
 
    ทั้งสามคุยกันอย่างออกรสถึงฉากต่างๆ ที่ประทับใจ โดยเฉพาะฉากลับที่ต้องสังเกตถึงจะเห็น
 
 
 
    "เมิ่งซิน:ท่านรู้ไหม? ตอนที่อันซงบุกโรงเตี๊ยมไปช่วยน้องมี่ — มีจอมยุทธ์ปริศนาใส่หมวกฟางดำอยู่มุมห้องทางซ้ายล่างของจอน่ะ! ขอบจอนิดเดียวเลย!"
 
 
 
    เอริน่าเบิกตากว้างทันที พร้อมกับภาพฉากนั้นที่ย้อนกลับเข้ามาในหัว
 
 
 
    ^เอริน่า:ข้าเคยเห็นเขา! ตอนฉากที่ยืนรอเข้าเมือง เขาอยู่บนกำแพงด้านซ้าย!^
 
 
 
    "เมิ่งซิน:งั้นต้องเปิดดูใหม่แล้วล่ะ!"
 
 
 
    เมิ่งซินรีบฉายฉากนั้นขึ้นมาอีกครั้ง จิมมี่ที่จ้องจออย่างตั้งใจก็ชี้ออกมาทันที
 
 
 
    "จิมมี่:นั่นๆ! เขายืนอยู่จริงๆ ด้วย!"
 
 
 
    "เมิ่งซิน:ว้าว...ข้าดูเรื่องนี้หลายรอบแล้วยังไม่เคยเห็นเลยนะเนี่ย ท่านสุดยอดจริงๆ ท่านเอริน่า ดูครั้งแรกยังสังเกตเห็นได้ขนาดนี้!"
 
 
 
    เอริน่ายิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเชิดหน้าอย่างภูมิใจ
 
 
 
    ^เอริน่า:แน่นอน ข้าตาถึงอยู่แล้ว^
 
 
 
    พวกเขาคุยกันไปเรื่อย ทั้งเรื่องที่เพิ่งดูจบ เรื่องที่ชอบไม่ชอบ ไล่ไปจนถึงความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับเหล่าตัวละครในซีรีย์ที่ได้ดู จนไม่ทันสังเกตว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จู่ๆ กลิ่นหอมของอาหารก็เริ่มลอยมาแตะปลายจมูก ตามด้วยถาดอาหารที่ลอยมาอย่างนุ่มนวลก่อนจะวางลงตรงหน้าทุกคน
 
 
 
    อาหารรอบนี้คือสตูเนื้อน้ำข้น พร้อมขนมปังเนื้อนุ่มสีทองอ่อน มันบดเนียนละเอียดที่ดูเหมือนจะละลายในปาก และผักลวกสีสดที่วางข้างกันเป็นระเบียบงดงาม
 
 
 
    ^เอริน่า:เอาล่ะ รีบกินแล้วดูกันต่อเถอะ^
 
 
 
    เมิ่งซินไม่รีรอ เธอตักสตูขึ้นมาหนึ่งช้อน กลิ่นหอมของเครื่องเทศผสมกลิ่นเนื้ออุ่นๆ ลอยเข้าจมูกเธออย่างจัง มันเป็นกลิ่นที่ชวนให้น้ำลายสอราวกับถูกปลุกให้ตื่นจากความหิว
 
 
 
    เธอหลับตาลงแผ่วเบา สูดกลิ่นนั้นอย่างตั้งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ นำมันเข้าปากอย่างระมัดระวัง
 
 
 
    น้ำสตูเข้มข้นจนแทบเคลือบช้อน รสชาติหลากหลายกลับประสานกันอย่างนุ่มนวล—ความหวานจากหัวหอมที่เคี่ยวจนแทบละลาย ผสานกับความเค็มบางๆ ของซอสเกรวี่และกลิ่นไวน์แดงที่จางจนแทบสัมผัสไม่ได้ แต่กลับเพิ่มความลึกให้รสชาติ กลิ่นไทม์และโรสแมรี่แทรกมาเบาๆ เป็นระลอก ๆ เหมือนเสียงกระซิบในคืนฝนพรำ
 
 
 
    และเนื้อ—โอ้ เนื้อนั่น... นุ่มจนแทบไม่ต้องเคี้ยว แค่แตะลิ้นก็เหมือนมันละลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้แค่ความอบอุ่นและความสุขเหมือนกอดของใครสักคนในวันที่เหนื่อยล้า
 
 
 
    เมิ่งซินลืมตาขึ้นช้าๆ หันไปมองจิมมี่ด้วยความตกตะลึงปนทึ่ง
 
 
 
    "เมิ่งซิน:จิมมี่ ในเวลาแค่นี้ เจ้าทำยังไงให้สตูเข้มข้นและเนื้อนุ่มได้ขนาดนี้?"
 
 
 
    ชายตัวกลมเงยหน้าขึ้นจากจาน พลางหัวเราะเบาๆ อย่างคนรู้ดีว่าถูกถามแน่นอน
 
 
 
    "จิมมี่:ฮ่าฮ่า ไม่มีอะไรที่เวทย์มนต์ทำไม่ได้หรอกน่ะ"
 
 
 
    ^เอริน่า:อืมๆ^
 
 
 
    เธอพยักหน้าเบาๆ เหมือนเห็นด้วยโดยไม่ต้องคิด
 
 
 
    "เมิ่งซิน:..."
 
 
 
    'เมิ่งซิน:ก็จริง ตั้งแต่มาที่นี่ ฉันก็ได้รู้ว่าเวทย์มนต์ทำได้หลายอย่างจริงๆ... แค่ทำให้สตูอร่อย ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ'
 
 
 
    มื้ออาหารยังคงดำเนินไปพร้อมกับเสียงช้อนกระทบจาน และเสียงถอนหายใจเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ จนกระทั่งทุกจานสะอาดหมดจด
 
 
 
    หลังจากกินอิ่ม จิมมี่ก็นั่งนิ่งไปเล็กน้อย แล้ว... เขากลิ้ง
 
 
 
    ร่างกลมๆ ของเขากลิ้งไปมาอยู่ตรงพื้นเหมือนลูกบอลขนาดย่อม พยายามหาทางลุกขึ้นแต่ดูเหมือนน้ำหนักจะไม่อำนวยนัก เมิ่งซินกับเอริน่าเห็นแล้วก็หลุดขำ ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
 
 
 
   จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นได้ และใช้เวทมนต์ปรับรูปร่างของตัวเองให้กลับมาปกติอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่เลยหุบยิ้ม และแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
 
 
 
    "จิมมี่:งั้นข้าเอาจานไปเก็บสักครู่ อย่าพึ่งดูหรือคุยอะไรกันตอนข้าไม่อยู่ล่ะ"
 
 
 
    เขาพูดพร้อมกับบินลอยละลิ่วไปทางห้องครัวอย่างอารมณ์ดี จานทั้งหลายก็บินตามไปเป็นขบวน ราวกับเป็นขบวนแห่ที่ฉลองให้กับมื้ออาหารที่แสนวิเศษ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมของสตูที่ยังอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ และเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ยังสะท้อนอยู่ในบรรยากาศ
 
 
 
    เมิ่งซินนั่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่สีหน้าจะค่อยๆ แปรเปลี่ยน เธอขยับตัวเล็กน้อย ราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้
 
 
 
    "เมิ่งซิน:เออ~ ท่านเอริน่าค่ะ"
 
 
 
    ^เอริน่า:ไม่ต้องเรียกห่างเหินขนาดนั้นก็ได้ พูดตามปกติเถอะ^
 
 
 
    เมิ่งซินพยักหน้าเบาๆ ก่อนตอบเสียงอ่อนลง
 
 
 
    "เมิ่งซิน:ก็ได้..."
 
 
 
    ^เอริน่า:แล้วมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ^
 
 
 
    เมิ่งซินสูดหายใจลึกเล็กน้อย แล้วพูดออกไปด้วยสีหน้าที่เริ่มจริงจัง
 
 
 
    "เมิ่งซิน:คือว่าฉัน...อยากกลับไปช่วยเพื่อนน่ะ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างแล้ว..."
 
 
 
    ^เอริน่า:เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?^
 
 
 
    เมิ่งซินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นใช้ระบบฉายภาพความทรงจำให้ดู ตั้งแต่ที่พวกเธอเริ่มบุกเข้าโจมตีก็อบลินฝูงแรก ไล่เรียงไปถึงตอนที่พวกเธอมาถึงหน้ารังและถูกโจมตีปริศนา—ก่อนที่อากิจะช่วยทุกคน แต่ก็ต้องแลกกับการถูกแทงบาดเจ็บสาหัส จนถึงจังหวะที่พวกเธอต้องหนี
 
 
 
    ขณะนั้น จิมมี่ก็ลอยกลับมาพร้อม กับรอยเปื้อนซอสนิดๆ ที่ข้างแก้ม เขาเห็นภาพที่ฉายอยู่กลางห้องและรีบลอยเข้ามาร่วมวงด้วย สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
 
 
 
    ^เอริน่า:ข้าเข้าใจแล้ว... สิ่งที่พวกเจ้าเจอคือ "หมอผีของก็อบลิน" หรือที่พวกข้าเรียกกันว่า 'ซาแมนก็อบลิน'... แต่โชคยังดีนะที่ตัวที่พวกเจ้าเจอนั้นดูจะพึ่งวิวัฒนาการ เพราะมันยังใช้แค่เวทย์รบกวนจิตใจ แล้วรีบหนีไป^
 
 
 
    "จิมมี่:ส่วนเพื่อนเจ้าที่โดนแทง...นั่นเก่งไม่ใช่เล่นเลยนะ โดนขนาดนั้นแล้วยังพาเพื่อนหนีมาได้อีก..."
 
 
 
    ^เอริน่า:ใช่... เขาน่าสนใจจริงๆ^
 
 
 
    เมิ่งซินเม้มปากแน่น พลางคิดในใจ
 
 
 
     'เมิ่งซิน:แค่เห็นเหตุการณ์แค่นั้น พวกเขาก็รู้ทันทีว่าเราเจอกับอะไร... ถ้างั้น ฉันน่าจะหาทางรักษาอากิจากที่นี่ได้'
 
 
 
    เธอเงยหน้าขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงรีบร้อนปนความหวัง
 
 
 
    "เมิ่งซิน:แล้วพวกคุณรู้ไหมว่าอาการของอากิ...มันเกิดจากอะไร? จากที่ฉันเห็น มันไม่ใช่อาการติดเชื้อธรรมดาแน่ๆ"
 
 
 
    ^เอริน่า:มีอาการของเพื่อนเจ้าที่ให้ข้าดูไหม? หากไม่เห็น ข้าก็ไม่อาจตัดสินได้^
 
 
 
    เมิ่งซินพยักหน้าทันที แล้วเปิดฉากภาพความทรงจำช่วงที่อากิเริ่มทรุดตัวลง อาการหายใจติดขัด สีหน้าเจ็บปวด
 
 
 
    จิมมี่มองภาพนั้นพลางขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขรึมขึ้นผิดปกติ
 
 
 
    "จิมมี่:อืม... อาการแบบนี้... ใช่สิ่งที่ข้าคิดไว้ไหม ท่านเอริน่า?"
 
 
 
   ^เอริน่า:ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า^
 
 
 
    "เมิ่งซิน:มันคืออะไรกันแน่?!"
 
 
 
    ^เอริน่า:เพื่อนเจ้าดูเหมือนจะติดโรค... 'ก็อบบลายท์' (Gobblight)^
 
 
 
    "เมิ่งซิน:กะ-ก็อบลายท์? มะ...มันคืออะไร?"
 
 
 
    จิมมี่ลอยตัวออกมาข้างหน้า แล้วชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้วเหมือนคุณครูจะเริ่มสอน
 
 
 
    "จิมมี่:เรื่องนี้ข้าขออธิบายเอง ขอรับ"
 
 
 
    ^เอริน่า:เชิญ^
 
 
 
    เมิ่งซินหันไปมองเขาด้วยสายตาตั้งใจ
 
 
 
    "จิมมี่:ก็อบบลายท์ เป็นโรคที่พบได้ในก็อบลินพวกที่ ‘สกปรกมากๆ’ ข้าไม่ได้พูดเล่นนะ เพราะพวกมันอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมสกปรกที่สุดจนเชื้อโรคเพาะพันธุ์อยู่ในอาวุธหรือเล็บของพวกมันได้เลย"
 
 
 
    เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนพูดต่อด้วยเสียงจริงจัง
 
 
 
    "จิมมี่:โดยปกติพวกมันมักจะตายเพราะเชื้อนั้นเอง... แต่มนุษย์ก็สามารถติดโรคนี้ได้จากการถูกโจมตีด้วยของสกปรกพวกนั้นเช่นกัน แต่โชคดีที่มันไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ถ้าปล่อยไว้นาน มันจะทำให้ผู้ติดเชื้ออาการแย่ลง มีอาการชัก ไข้ขึ้นลง อาการมันจะแย่ลงเรื่อยๆจนในที่สุดก็ตาย"
 
 
 
    เมิ่งซินกลืนน้ำลายลงคอ
 
 
 
    "จิมมี่:ส่วนวิธีรักษามีอยู่สามวิธีหลักๆ หนึ่ง—ใช้โพชั่นชำระล้างระดับไหนก็ได้ หานแน่นอนแต่จะหายช้าเร็วอยู่ที่ว่าติดโรคนานแค่ไหนและโพชั่นระดับอะไร สอง—ให้นักบวชร่ายเวทชำระล้าง วิธีนี้หาย 100% สาม—ใช้ ‘ดอกลิลลี่ขาวบด’ ทาที่แผลโดยตรง แต่วิธีนี้ต้องใช้ตอนแผลยังใหม่ ยิ่งปล่อยไว้นาน โอกาสหายยิ่งต่ำ... โอ๊ะ ใช่! ถ้าเป็นแผลเล็กน้อยก็ใช้น้ำเกลือลาดเอาก็พอ"
 
 
 
    เมิ่งซินเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยินคำว่า *ดอกลิลลี่ขาว* แววตาของเธอเปล่งประกายความหวังชั่ววูบ... แต่เมื่อประโยคต่อมาถึงเรื่อง "เวลา" ที่ผ่านไป รอยยิ้มของเธอก็จางหาย
 
 
 
    ราวกับใจถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น
 
 
 
    'เมิ่งซิน:ผ่านมา...นานเกินไปแล้วหรือเปล่านะ...'
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
                 จากผู้แต้ง
 
    ตัดจบไว้แค่นี้ล่ะกันไว้เจอกันตอนหน้า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา