กระบี่เหมันต์ใต้เงาจันทร์
เขียนโดย หนิงเซียน
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 19.01 น.
แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2568 07.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) บทที่ 5
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังอาหารค่ำจบลงเหล่าทหารองครักษ์ ต่างผลัดเปลี่ยนเวรยามคอยอารักษ์ขาความปลอดภัยภายในเรือนพัก หยางเจี้ยนนำทีมลูกน้องคนสนิทห้าคน ออกมาตรวจตราความเรียบร้อยนัยตาสีนิลหันมองไปทางเรือนหลัก คิดถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน
“ พี่ใหญ่ กำลังมองหาใครหรือพี่” เสียงของฟู่เหิงลูกน้องที่เป็นดั่งมือขวาของเขาเอ่ยถาม
“ ไม่มีอะไรเจ้าว่าแถวนี้เงียบผิดปกติหรือไม่ ”
“ ข้าว่าจะถามพี่ใหญ่อยู่เหตุใดที่นี่ไม่มีแม้แต่เสียงแมลง ”
“ พวกเจ้าไปหาพรรคพวกของพวกเรากระจายกำลังเฝ้า จุดนั้น จุดนั้นและจุดนั้นส่วนข้า จะไปตรวจทางเรือนหลักกับเหล่าฟู่”
หน่วยคุ้มกันต่างพากันรวมก่อนก่อนแยกย้ายตรวจตรา ในความมืดปรากฎกลุ่มเงาดำนับยี่สิบคน แยกย้ายเป็นสี่กลุ่มต่างแยกลงมือตามแผนที่วางกันไว้
“ เห้ยเจ้าจุดไฟแล้วโยนเข้าไป ”
“ ได้เลยรับรองเจ้าพวกนั้นได้กลายเป็นไก่ย่างแน่ ”
ในเรือนหลักหลี่จวิ้นกำลังยืนมองดวงจันทร์ สายตาเหลือบมองไปทางกลุ่มควันข้างกำแพง ก่อนที่ร่างสูงของเขาจะหายไปจากมุมนั้น
“ องค์รัชทายาท…องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”
ร่างหนาของหยางเจี้ยนร้องเรียกพรางเดินหาตามทางเดิน ในเรือนแต่ไม่พบร่างของหลี่จวิ้น หยางเจี้ยนเริ่มรู้สึกหงุดหงิดพาลร้อนใจ
‘เจ้าหายไปที่ใดกันหลี่จวิ้น’
“ พี่ใหญ่…องค์รัชทายาทหายไปที่ใดกัน”
“ เราออกตามหาให้ทั่วเรือนก่อน”
“ ได้พี่ ”
ท่าทางร้อนใจของหยางเจี้ยนทำให้ฟู่เหิงต้องปิดปาก กลัวจะไปกระตุกต่อมเสือเข้า ขณะที่พวกเขาสองคนกำลังหาอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงของเฟิงหลินร้องเรียกมาแต่ไกล
“ พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ”
ร่างของเฟิงหลินหาวหวอดๆเขาเหนื่อยล้าเต็มที หลังอาหารเย็นเขาถึงรีบกลับไปนอนเอาแรง เพื่อตื่นมาเฝ้ายามในตอนดึกใครจะคิดว่าดึกดื่นเช่นนี้ เหล่าองครักษ์ลับกลับส่งเสียงดังจนเขาต้องออกมาดู
“ องค์รัชทายาทหายตัวไปเจ้าเห็นหรือไม่ ”
หยางเจีัยนเอ่ยถามร่างสูงตรงหน้าแต่เฟิงหลิน กลับทวนคำถามอีกครั้งเหมือนยังไม่ได้สติดี
“ เมื่อสักครู่เจ้าบอกว่าใครหายนะ ”
ไม่รอให้อีกฝ่ายได้สติหยางเจี้ยนเดินนำฟู่เหิง ไปหาทางหลังเรือนหลัก สองเท้าของเขาก้าวนำด้วยความเร็วกว่าปกติ ฟู่เหิงต้องคอยกึ่งวิ่งกึ่งเดินตาม
“ พวกเจ้าจะไปที่ใดกัน…ถ้าจะไปหาเจ้าเด็กนั่นล่ะก็ นู้นนนนนอยู่ทางด้านนู้นกับพวกแมลงนั่นไง ”
เสียงของชายชราผู้หนึ่งร้องเรียกพวกเขา หยางเจี้ยนกับฟู่เหิงมองหน้ากัน พวกเขาไม่รู้จักคนตรงหน้าแต่เหตุใด ชายชราผู้นี้ถึงรู้ว่าพวกเขากำลังตามหาใคร เฟิงหลินเดินตามพวกเขามาติดๆ
“ ท่าน…ท่านปรมาจารย์นักพรต”
“ หือ /ห๊ะ ท่านปรมาจารย์ ”
พวกเขาทั้งสามรีบโค้งตัวประสานมือทำความเคารพ นักพรตเฒ่าเพียงลงมาจากหลังคา ก่อนจะเอ่ยถามร่างหนา
“ เจ้ามีนามว่าอะไรรึ ”
“ เรียนท่านปรมาจารย์ข้าน้อยนามว่าหยางเจี้ยนขอรับ ”
“ ดี เอาล่ะข้าเลือกเจ้าเป็นศิษย์คนสุดท้ายของข้า เจ้ายินดีคารวะข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือไม่ ”
ทั้งสามต่างมองหน้ากันนี่มันเรื่องอะไรกัน นักพรตเฒ่าไม่เอ่ยอะไรต่อเพียงยิ้มไป พรางลูบเครายาวของตนเองไปพราง
“ ข้าน้อยยินดีขอรับ ”
หยางเจี้ยนตัดสินใจตอบตกลงเวลานี้เขาเพียงต้องการ จะรู้ว่าหลี่จวิ้นอยู่ที่ใดกัน
“ ตาเฒ่า…ท่านเป็นอาจารย์ที่ไม่ได้เรื่อง… ปล่อยให้ข้าโดนแมลงเหล่านั้นรุมตี…ส่วนท่าน กลับมารับลูกศิษย์คนใหม่ไม่ห่วงข้าบ้างเลยรึ ”
เสียงบ่นโวยวายของหลี่จวิ้นหาได้ทำให้นักพรตเฒ่า ไยดีไม่ร่างชรากลับหัวเราะลั่น
“ ก็แค่แมลงยี่สิบตัวเจ้ายังสะบักสะบอมเช่นนี้ เห็นทีครานี้เจ้าต้องกลับไปที่สระเหมันต์ ฝึกลมปราณต่อสักครึ่งปีเป็นเช่นไร ”
“ อ้อ…นี่ท่านกำลังหมายความว่า หากเป็นท่านคงจัดการคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นเหตุใดเมื่อครู่ท่านจึงไม่ลงมือกลับมาหลบอยู่ที่นี่ ”
หลี่จวิ้นกล่าวหานักพรตเฒ่ามือขวาโบกพัดไปมา สายตาเหลือบมองคนทั้งสาม พรางส่ายศีรษะต่อความยียวนของอาจารย์ตนเอง
‘ช่างเป็นเฒ่าจิ้งจอกที่เอาแต่ใจเสียจริง’
“ เจ้าลูกศิษย์ปากดีข้าไม่ได้ทอดทิ้งเจ้าเสียหน่อย มานี่มาข้าจะพาเจ้ามาเจอคนผู้หนึ่ง ”
“ คนเหล่านี้เป็นหน่วยองครักษ์ที่เสด็จพ่อส่งมา ข้าเจอพวกเขาแล้ว ”
“อ้อ…เป็นเช่นนี้เองงั้นเรื่องลมปราณของเจ้าก็แก้ง่ายแล้ว ”
“ ท่านมีวิธีแล้วรึ ”
“ หืม…นี่พวกเจ้าไม่เมื่อยกันบ้างรึ พวกเจ้าไม่เมื่อยแต่ข้าเมื่อย ข้าปวดขาจะแย่แล้ว…งั้นข้าขอไปพักที่เรือนก่อนนะ ส่วนพวกเจ้ายืนคุยกันต่อไปเถอะข้าไปก่อนล่ะ “
กล่าวจบนักพรตเฒ่าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว พาให้ร่างสูงของหลี่จวิ้นร้องเรียกยกใหญ่
“ เอ้านี่…ตาเฒ่า…ท่านรอข้าด้วยท่านยังไม่บอกข้าเลย ”
“ เอ่อ คุณชายนี่มันเกิดอะไรขึ้นขอรับ”
เฟิงหลินเอ่ยถามแมลงที่ว่าคือพวกไหนกัน
“ พวกเจ้ามันไม่เอาไหนจริงๆ ไอ้เจ้าพวกนั้นจุดไฟจะเผาเรือนพวกเจ้าไม่มีใครมาสักคน ”
“ นี่ท่านไปจัดการคนเหล่านั้นคนเดียวรึ ”
หยางเจี้ยนเอ่ยถามสายตาคาดคั้นบ่งบอกว่า เขาเริ่มมีโทสะแล้วหลี่จวิ้นยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ ข้าไม่ไปพวกเจ้าจะไปรึไงถ้าต้องรอให้พวกเจ้ามา เรือนนี้ของข้าได้กลายเป็นซากแล้วกระมัง ”
“ นี่ท่านบ้าไปแล้วรึ !! หากครั้งหน้าท่านยังทำเช่นนี้ข้าจะ… ”
“ จะอะไรนี่เจ้าลูกเต่าถ้าข้าไม่ไล่คนเหล่านั้นไป เรือนก็ต้องถูกเผาจะมีคนตายกี่คนกัน”
หลี่จวิ้นเริ่มมีอารมณ์ขุ่นมัวเขาอุตส่าห์ช่วย กลับโดนต่อว่าจากองครักษ์ขั้นสี่ ‘ ให้ตายสิเจ้าลูกเต่า ’
“ ท่านไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวท่านนะ ท่านต้องมีชีวิตอยู่เพื่อราษฎรของท่าน หลังของท่านแบกชีวิตแบกความหวังของราษฎรท่านรู้บ้างหรือไม่ และหากเกิดเรื่องกับท่านเหล่าองครักษ์ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่พ้นวันพรุ่งหัวของพวกเขา คงได้เสียบประจานที่หนัาประตูเมืองท่านทำอะไรเคยนึกถึงผล ที่จะตามมาเหล่านี้หรือไม่สีหน้าเช่นนี้ คงไม่เคยนึกถึงเลยกระมัง ”
“ …. ”
สองมือของเฟิงหลินจับเข้าที่เสื้อคลุมของหยางเจี้ยน ก่อนจะชกเข้าที่หน้าไปทีหนึ่ง
“ นี่เจ้าช่างกล้านักเจ้ามีกี่หัวกันถึงกล้าล่วงเกินคุณชายเช่นนี้ ”
“ หลี่จวิ้นหยางเจี้ยนพวกเจ้าสองคนเข้ามาหาข้า ”
เสียงของนักพรตเฒ่าดั่งระฆัง พวกเขาต่างมองหน้ากันเฟิงหลินลดมือลง หลี่จวิ้นพยายามข่มอารมณ์ขุ่นมัวที่อยู่ในใจ เขาไม่ได้โกรธหยางเจี้ยนแต่เขารู้สึกโกรธตนเอง โกรธที่ตนเป็นถึงรัชทายาทแต่กลับกระทำการวู่วาม ไม่รอบคอบเท่ากับคนตรงหน้าที่เป็นเพียงองครักษ์ผู้หนึ่ง
“ ข้าต้องขออภัยด้วย…จริงอย่างที่เจ้ากล่าวมา เป็นข้าที่ผิดเองต่อจากนี้คงต้องรบกวนเจ้า อยู่ข้างกายข้า…คอยตักเตือนข้าแล้ว”
ร่างสูงโค้งคำนับขอโทษหยางเจี้ยนร่างหนายืนนิ่ง ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ
“ คุณชายนี่ท่านหมายความเช่นไร ”เฟิงหลินเอ่ยถาม
“ ….. ”
“ เรื่องนี้เป็นข้าผิด…ข้าทำหน้าที่องครักษ์คุ้มกัน ได้ไม่ดีพอพรุ่งนี้ข้าจะรับโทษโบยร้อยไม้ ”
“ นี่เจ้าจะกลั่นแกล้งให้ข้ารู้สึกผิดไปตลอดเลยใช่รึไม่ ได้พรุ่งนี้ใครกล้าโบยเจ้าข้าจะตัดมือผู้นั้นทิ้ง เรื่องนี้เป็นข้าที่ผิดไม่ต้องเอ่ยอะไรอีกทั้งนั้น ”
หลี่จวิ้นหันไปมองเฟิงหลินกับฟู่เหิง พวกเขาทำสีหน้าแปลกๆแล้วยังเดินถอยห่างจากเขาอีก ทำไมเขาถึงรู้สึกมีบางอย่างที่ผิดปกติไป
“ เจ้าสองคนก็แยกย้ายไปพักเถอะ ส่วนเจ้าก็ตามข้าไปพบท่านอาจารย์ ”
ร่างสูงของหลี่จวิ้นเดินนำหยางเจี้ยนไปเรือนหลัก นัยตาสีนิลหันมอง
ฟู่เหิงก่อนจะบอกให้เขากลับไปก่อน
“ เอาล่ะมาแล้วก็นั่งลงก่อนเถอะหลี่จวิ้นที่ข้ามาวันนี้ ข้าได้ตัดสินใจจะบอกเจ้าว่า ข้าจะละทางโลก ”
“ นี่ตาเฒ่าท่านมาเพื่อบอกลาข้ารึ…ดูไปไม่สมเป็นท่าน เอาเสียเลย”
“ เจ้าฟังข้าปราณในกายเจ้าข้าจะใช้ลมปราณของข้า เข้าไปจัดเส้นลมปราณในกายเจ้าใหม่ พร้อมทั้งถ่ายทอดวรยุทธ์ให้แก่เจ้าเพียงแต่ว่าช่วงแรก เจ้าต้องฝึกวิชาคู่กับหยางเจี้ยนเพื่อให้เส้นลมปราณของเจ้า สามารถดูดซับลมปราณของข้าได้ ”
“ ฝึกวิชาคู่…กับเจ้านี่เหอะนี่ท่านกำลังล้อข้าเล่นรึ”
“ ข้าตรวจดูปราณของเขาแล้ว ปราณของเขาเหมาะกับฝึกวิชาคู่ซึ่งเป็นวิชาลับอันนี้ที่สุด”
ร่างหนาใบหน้าไร้อารมณ์หากยังรู้สึกมีบางคำพูด ของพวกเขาที่ผิดปกติ
“.........”
“ เหตุใดคู่ของข้าจึงไม่ใช่สตรีแรกแย้ม…กลับเป็นบุรุษอย่างเขาได้ ”
“ หึ นี่เจ้ากำลังคิดอกุศลแล้วเดิมทีผู้คิดเคล็ดวิชานี้ เป็นสหายที่รู้ใจกันหาใช่คู่รักไม่ ”
นักพรตเฒ่านำไม้เคาะศรีษะของหลี่จวิ้น ใบหน้างามงอง้ำสายตาเหลือบมองร่างหนาข้างกาย
“ ไหนเลยจึงเป็นเช่นนี้ท่านเคยบอกข้า ให้เข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเพื่อที่จะมีวันที่ข้า ได้ฝึกเคล็ดวิชานี้ไม่ใช่รึ ”
“ เจ้านี่โง่งมจริงๆข้าว่าเจ้าอยู่ในวังจน จิตใจคับแคบไปหมดแล้วกระมัง ”
ร่างชราของนักพรตเดินไปที่หน้าต่าง สายตาขุ่นมองแสงจันทร์ในยามค่ำคืน ก่อนจะเอ่ยเรียกทั้งสองคน ให้มองไปที่ดวงจันทร์
“ เจ้าลองมองดูบนฟ้าเห็นอะไรรึไม่ เพราะมีกลางคืนจึงมีกลางวัน มีดวงจันทร์จึงมีดวงอาทิตย์ มีความมืดมิดจึงมีแสงสว่าง เพราะมีดับจึงมีเกิด มีวันพบเจอย่อมมีวันจากลา นี่คือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เจ้าทั้งสองคนอุปนิสัยต่างกันเช่นเดียวกับตะวันและจันทรา ชาติกำเนิดของพวกเจ้าก็ต่างกัน…หลี่จวิ้นเจ้าเปรียบดั่งแสงสว่างของดวงตะวัน ส่วนเจ้า หยางเจี้ยนเจ้าเปรียบดั่งแสงจันทร์ในความมืด เจ้าทั้งสองต่างกันแต่ชะตาให้เจ้าทั้งสองมาเจอกัน วันนี้ที่ข้าจะสอนคือเคล็ดวิชากระบี่แสงสุริยัน และดาบจันทร์กระจ่างให้แก่พวกเจ้า ”
ทั้งสองมองหน้าของกันและกัน ต่างฝ่ายต่างไม่เอ่ยอะไรออกมา
แต่การไม่เอ่ยอะไรเลยกลับเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สายตาของทั้งคู่บอก
ความรู้สึกในใจออกมาแล้ว
“......”
“......”
สายตาขุ่นของนักพรตเฒ่ามองใบหน้าของคนทั้งสอง เป็นอย่างที่เขา
คาดไว้จริงๆ
“ แต่มีอีกสิ่งที่ข้าต้องบอกเจ้าหยางเจี้ยน… ตะวันไม่อาจอยู่ร่วมกับจันทรา ต่อให้ลอยเด่นบนฟ้าเช่นกันแต่ไม่ได้อยู่บนฟ้าเดียวกัน หากวันใดที่แสงตะวันเริ่มดับ เจ้าต้องเป็นผู้เติมแสงสว่างเมื่อถึงวันนั้น เจ้าต้องทำเช่นเดียวกับที่ข้าทำในวันนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่ ”
“ ขอรับ…หากวันนั้นมาถึงศิษย์ยินดีทำตามคำสั่ง ”
“ นี่เจ้า!! สมองเจ้ามีปัญหาหรือเจ้าจะสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยข้า เจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆถึงรับปากตาเฒ่านี่ ”
“ ท่านต่างหากที่สมองมีปัญหา ข้าบอกท่านแล้วชีวิตท่านอยู่เพื่อราษฎรนับล้าน หาใช่อยู่เพื่อข้าไม่ หากชีวิตของข้าแลกกับชีวิตของท่าน เพื่อให้ท่านดูแลราษฎรดูแลผู้คนในใต้หล้าให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ย่อมคุ้มค่า...ข้าเป็นทหารทุกการกระทำของข้าล้วนเพื่อราษฎร ”
“ แต่ข้าคือรัชทายาทผู้ที่ได้นั่งบนบัลลังก์มังกร ผู้ซึ่งเป็นโอรสสวรรค์ข้าขอสั่งให้เจ้ามีชีวิตอยู่ …เจ้าต้องอยู่หรือเจ้ากล้าขัดคำสั่งข้า ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้

รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ