กระบี่เหมันต์ใต้เงาจันทร์

3.3

เขียนโดย หนิงเซียน

วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 19.01 น.

  6 บท
  6 วิจารณ์
  628 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2568 07.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่ 5

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หลังอาหารค่ำจบลงเหล่าทหารองครักษ์ ต่างผลัดเปลี่ยนเวรยามคอยอารักษ์ขาความปลอดภัยภายในเรือนพัก หยางเจี้ยนนำทีมลูกน้องคนสนิทห้าคน ออกมาตรวจตราความเรียบร้อยนัยตาสีนิลหันมองไปทางเรือนหลัก คิดถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน

“ พี่ใหญ่ กำลังมองหาใครหรือพี่” เสียงของฟู่เหิงลูกน้องที่เป็นดั่งมือขวาของเขาเอ่ยถาม

“ ไม่มีอะไรเจ้าว่าแถวนี้เงียบผิดปกติหรือไม่ ”

“ ข้าว่าจะถามพี่ใหญ่อยู่เหตุใดที่นี่ไม่มีแม้แต่เสียงแมลง ”

“ พวกเจ้าไปหาพรรคพวกของพวกเรากระจายกำลังเฝ้า จุดนั้น จุดนั้นและจุดนั้นส่วนข้า จะไปตรวจทางเรือนหลักกับเหล่าฟู่”

หน่วยคุ้มกันต่างพากันรวมก่อนก่อนแยกย้ายตรวจตรา ในความมืดปรากฎกลุ่มเงาดำนับยี่สิบคน แยกย้ายเป็นสี่กลุ่มต่างแยกลงมือตามแผนที่วางกันไว้ 

“ เห้ยเจ้าจุดไฟแล้วโยนเข้าไป ”

“ ได้เลยรับรองเจ้าพวกนั้นได้กลายเป็นไก่ย่างแน่ ”

ในเรือนหลักหลี่จวิ้นกำลังยืนมองดวงจันทร์ สายตาเหลือบมองไปทางกลุ่มควันข้างกำแพง ก่อนที่ร่างสูงของเขาจะหายไปจากมุมนั้น

“ องค์รัชทายาท…องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”

ร่างหนาของหยางเจี้ยนร้องเรียกพรางเดินหาตามทางเดิน ในเรือนแต่ไม่พบร่างของหลี่จวิ้น หยางเจี้ยนเริ่มรู้สึกหงุดหงิดพาลร้อนใจ

‘เจ้าหายไปที่ใดกันหลี่จวิ้น’ 

“ พี่ใหญ่…องค์รัชทายาทหายไปที่ใดกัน”

“ เราออกตามหาให้ทั่วเรือนก่อน”

“ ได้พี่ ”

ท่าทางร้อนใจของหยางเจี้ยนทำให้ฟู่เหิงต้องปิดปาก กลัวจะไปกระตุกต่อมเสือเข้า ขณะที่พวกเขาสองคนกำลังหาอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงของเฟิงหลินร้องเรียกมาแต่ไกล

“ พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ”

ร่างของเฟิงหลินหาวหวอดๆเขาเหนื่อยล้าเต็มที หลังอาหารเย็นเขาถึงรีบกลับไปนอนเอาแรง เพื่อตื่นมาเฝ้ายามในตอนดึกใครจะคิดว่าดึกดื่นเช่นนี้ เหล่าองครักษ์ลับกลับส่งเสียงดังจนเขาต้องออกมาดู

“ องค์รัชทายาทหายตัวไปเจ้าเห็นหรือไม่ ”

หยางเจีัยนเอ่ยถามร่างสูงตรงหน้าแต่เฟิงหลิน กลับทวนคำถามอีกครั้งเหมือนยังไม่ได้สติดี

“ เมื่อสักครู่เจ้าบอกว่าใครหายนะ ”

ไม่รอให้อีกฝ่ายได้สติหยางเจี้ยนเดินนำฟู่เหิง ไปหาทางหลังเรือนหลัก สองเท้าของเขาก้าวนำด้วยความเร็วกว่าปกติ ฟู่เหิงต้องคอยกึ่งวิ่งกึ่งเดินตาม

“ พวกเจ้าจะไปที่ใดกัน…ถ้าจะไปหาเจ้าเด็กนั่นล่ะก็ นู้นนนนนอยู่ทางด้านนู้นกับพวกแมลงนั่นไง ”

เสียงของชายชราผู้หนึ่งร้องเรียกพวกเขา หยางเจี้ยนกับฟู่เหิงมองหน้ากัน พวกเขาไม่รู้จักคนตรงหน้าแต่เหตุใด ชายชราผู้นี้ถึงรู้ว่าพวกเขากำลังตามหาใคร เฟิงหลินเดินตามพวกเขามาติดๆ 

“ ท่าน…ท่านปรมาจารย์นักพรต”

“ หือ /ห๊ะ ท่านปรมาจารย์ ”

พวกเขาทั้งสามรีบโค้งตัวประสานมือทำความเคารพ นักพรตเฒ่าเพียงลงมาจากหลังคา ก่อนจะเอ่ยถามร่างหนา

“ เจ้ามีนามว่าอะไรรึ ”

“ เรียนท่านปรมาจารย์ข้าน้อยนามว่าหยางเจี้ยนขอรับ ”

“ ดี เอาล่ะข้าเลือกเจ้าเป็นศิษย์คนสุดท้ายของข้า เจ้ายินดีคารวะข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือไม่ ”

ทั้งสามต่างมองหน้ากันนี่มันเรื่องอะไรกัน นักพรตเฒ่าไม่เอ่ยอะไรต่อเพียงยิ้มไป พรางลูบเครายาวของตนเองไปพราง

“ ข้าน้อยยินดีขอรับ ”

หยางเจี้ยนตัดสินใจตอบตกลงเวลานี้เขาเพียงต้องการ จะรู้ว่าหลี่จวิ้นอยู่ที่ใดกัน

“ ตาเฒ่า…ท่านเป็นอาจารย์ที่ไม่ได้เรื่อง… ปล่อยให้ข้าโดนแมลงเหล่านั้นรุมตี…ส่วนท่าน กลับมารับลูกศิษย์คนใหม่ไม่ห่วงข้าบ้างเลยรึ ”

เสียงบ่นโวยวายของหลี่จวิ้นหาได้ทำให้นักพรตเฒ่า ไยดีไม่ร่างชรากลับหัวเราะลั่น

“ ก็แค่แมลงยี่สิบตัวเจ้ายังสะบักสะบอมเช่นนี้ เห็นทีครานี้เจ้าต้องกลับไปที่สระเหมันต์ ฝึกลมปราณต่อสักครึ่งปีเป็นเช่นไร ”

“ อ้อ…นี่ท่านกำลังหมายความว่า หากเป็นท่านคงจัดการคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นเหตุใดเมื่อครู่ท่านจึงไม่ลงมือกลับมาหลบอยู่ที่นี่ ”

หลี่จวิ้นกล่าวหานักพรตเฒ่ามือขวาโบกพัดไปมา สายตาเหลือบมองคนทั้งสาม พรางส่ายศีรษะต่อความยียวนของอาจารย์ตนเอง

‘ช่างเป็นเฒ่าจิ้งจอกที่เอาแต่ใจเสียจริง’

“ เจ้าลูกศิษย์ปากดีข้าไม่ได้ทอดทิ้งเจ้าเสียหน่อย มานี่มาข้าจะพาเจ้ามาเจอคนผู้หนึ่ง ”

“ คนเหล่านี้เป็นหน่วยองครักษ์ที่เสด็จพ่อส่งมา ข้าเจอพวกเขาแล้ว ”

“อ้อ…เป็นเช่นนี้เองงั้นเรื่องลมปราณของเจ้าก็แก้ง่ายแล้ว ”

“ ท่านมีวิธีแล้วรึ ”

“ หืม…นี่พวกเจ้าไม่เมื่อยกันบ้างรึ พวกเจ้าไม่เมื่อยแต่ข้าเมื่อย ข้าปวดขาจะแย่แล้ว…งั้นข้าขอไปพักที่เรือนก่อนนะ ส่วนพวกเจ้ายืนคุยกันต่อไปเถอะข้าไปก่อนล่ะ “

กล่าวจบนักพรตเฒ่าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว พาให้ร่างสูงของหลี่จวิ้นร้องเรียกยกใหญ่

“ เอ้านี่…ตาเฒ่า…ท่านรอข้าด้วยท่านยังไม่บอกข้าเลย ”

“ เอ่อ คุณชายนี่มันเกิดอะไรขึ้นขอรับ”

เฟิงหลินเอ่ยถามแมลงที่ว่าคือพวกไหนกัน

“ พวกเจ้ามันไม่เอาไหนจริงๆ ไอ้เจ้าพวกนั้นจุดไฟจะเผาเรือนพวกเจ้าไม่มีใครมาสักคน ”

“ นี่ท่านไปจัดการคนเหล่านั้นคนเดียวรึ ”

หยางเจี้ยนเอ่ยถามสายตาคาดคั้นบ่งบอกว่า เขาเริ่มมีโทสะแล้วหลี่จวิ้นยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“ ข้าไม่ไปพวกเจ้าจะไปรึไงถ้าต้องรอให้พวกเจ้ามา เรือนนี้ของข้าได้กลายเป็นซากแล้วกระมัง ”

“ นี่ท่านบ้าไปแล้วรึ !! หากครั้งหน้าท่านยังทำเช่นนี้ข้าจะ… ”

“ จะอะไรนี่เจ้าลูกเต่าถ้าข้าไม่ไล่คนเหล่านั้นไป เรือนก็ต้องถูกเผาจะมีคนตายกี่คนกัน”

หลี่จวิ้นเริ่มมีอารมณ์ขุ่นมัวเขาอุตส่าห์ช่วย กลับโดนต่อว่าจากองครักษ์ขั้นสี่ ‘ ให้ตายสิเจ้าลูกเต่า ’

“ ท่านไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวท่านนะ ท่านต้องมีชีวิตอยู่เพื่อราษฎรของท่าน หลังของท่านแบกชีวิตแบกความหวังของราษฎรท่านรู้บ้างหรือไม่ และหากเกิดเรื่องกับท่านเหล่าองครักษ์ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่พ้นวันพรุ่งหัวของพวกเขา คงได้เสียบประจานที่หนัาประตูเมืองท่านทำอะไรเคยนึกถึงผล ที่จะตามมาเหล่านี้หรือไม่สีหน้าเช่นนี้ คงไม่เคยนึกถึงเลยกระมัง ”

“ …. ”

สองมือของเฟิงหลินจับเข้าที่เสื้อคลุมของหยางเจี้ยน ก่อนจะชกเข้าที่หน้าไปทีหนึ่ง

“ นี่เจ้าช่างกล้านักเจ้ามีกี่หัวกันถึงกล้าล่วงเกินคุณชายเช่นนี้ ”

“ หลี่จวิ้นหยางเจี้ยนพวกเจ้าสองคนเข้ามาหาข้า ”

เสียงของนักพรตเฒ่าดั่งระฆัง พวกเขาต่างมองหน้ากันเฟิงหลินลดมือลง หลี่จวิ้นพยายามข่มอารมณ์ขุ่นมัวที่อยู่ในใจ เขาไม่ได้โกรธหยางเจี้ยนแต่เขารู้สึกโกรธตนเอง โกรธที่ตนเป็นถึงรัชทายาทแต่กลับกระทำการวู่วาม ไม่รอบคอบเท่ากับคนตรงหน้าที่เป็นเพียงองครักษ์ผู้หนึ่ง

“ ข้าต้องขออภัยด้วย…จริงอย่างที่เจ้ากล่าวมา เป็นข้าที่ผิดเองต่อจากนี้คงต้องรบกวนเจ้า อยู่ข้างกายข้า…คอยตักเตือนข้าแล้ว”

ร่างสูงโค้งคำนับขอโทษหยางเจี้ยนร่างหนายืนนิ่ง ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ

“ คุณชายนี่ท่านหมายความเช่นไร ”เฟิงหลินเอ่ยถาม

“ ….. ”

“ เรื่องนี้เป็นข้าผิด…ข้าทำหน้าที่องครักษ์คุ้มกัน ได้ไม่ดีพอพรุ่งนี้ข้าจะรับโทษโบยร้อยไม้ ”

“ นี่เจ้าจะกลั่นแกล้งให้ข้ารู้สึกผิดไปตลอดเลยใช่รึไม่ ได้พรุ่งนี้ใครกล้าโบยเจ้าข้าจะตัดมือผู้นั้นทิ้ง เรื่องนี้เป็นข้าที่ผิดไม่ต้องเอ่ยอะไรอีกทั้งนั้น ”

หลี่จวิ้นหันไปมองเฟิงหลินกับฟู่เหิง พวกเขาทำสีหน้าแปลกๆแล้วยังเดินถอยห่างจากเขาอีก ทำไมเขาถึงรู้สึกมีบางอย่างที่ผิดปกติไป

“ เจ้าสองคนก็แยกย้ายไปพักเถอะ ส่วนเจ้าก็ตามข้าไปพบท่านอาจารย์ ”

ร่างสูงของหลี่จวิ้นเดินนำหยางเจี้ยนไปเรือนหลัก นัยตาสีนิลหันมอง

ฟู่เหิงก่อนจะบอกให้เขากลับไปก่อน

“ เอาล่ะมาแล้วก็นั่งลงก่อนเถอะหลี่จวิ้นที่ข้ามาวันนี้ ข้าได้ตัดสินใจจะบอกเจ้าว่า ข้าจะละทางโลก ”

“ นี่ตาเฒ่าท่านมาเพื่อบอกลาข้ารึ…ดูไปไม่สมเป็นท่าน เอาเสียเลย”

“ เจ้าฟังข้าปราณในกายเจ้าข้าจะใช้ลมปราณของข้า เข้าไปจัดเส้นลมปราณในกายเจ้าใหม่ พร้อมทั้งถ่ายทอดวรยุทธ์ให้แก่เจ้าเพียงแต่ว่าช่วงแรก เจ้าต้องฝึกวิชาคู่กับหยางเจี้ยนเพื่อให้เส้นลมปราณของเจ้า สามารถดูดซับลมปราณของข้าได้ ”

“ ฝึกวิชาคู่…กับเจ้านี่เหอะนี่ท่านกำลังล้อข้าเล่นรึ”

“ ข้าตรวจดูปราณของเขาแล้ว ปราณของเขาเหมาะกับฝึกวิชาคู่ซึ่งเป็นวิชาลับอันนี้ที่สุด”

ร่างหนาใบหน้าไร้อารมณ์หากยังรู้สึกมีบางคำพูด ของพวกเขาที่ผิดปกติ

“.........”

“ เหตุใดคู่ของข้าจึงไม่ใช่สตรีแรกแย้ม…กลับเป็นบุรุษอย่างเขาได้ ”

“ หึ นี่เจ้ากำลังคิดอกุศลแล้วเดิมทีผู้คิดเคล็ดวิชานี้ เป็นสหายที่รู้ใจกันหาใช่คู่รักไม่ ”

นักพรตเฒ่านำไม้เคาะศรีษะของหลี่จวิ้น ใบหน้างามงอง้ำสายตาเหลือบมองร่างหนาข้างกาย 

“ ไหนเลยจึงเป็นเช่นนี้ท่านเคยบอกข้า ให้เข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเพื่อที่จะมีวันที่ข้า ได้ฝึกเคล็ดวิชานี้ไม่ใช่รึ ”

“ เจ้านี่โง่งมจริงๆข้าว่าเจ้าอยู่ในวังจน จิตใจคับแคบไปหมดแล้วกระมัง ”

ร่างชราของนักพรตเดินไปที่หน้าต่าง สายตาขุ่นมองแสงจันทร์ในยามค่ำคืน ก่อนจะเอ่ยเรียกทั้งสองคน ให้มองไปที่ดวงจันทร์

“ เจ้าลองมองดูบนฟ้าเห็นอะไรรึไม่ เพราะมีกลางคืนจึงมีกลางวัน มีดวงจันทร์จึงมีดวงอาทิตย์ มีความมืดมิดจึงมีแสงสว่าง เพราะมีดับจึงมีเกิด มีวันพบเจอย่อมมีวันจากลา นี่คือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เจ้าทั้งสองคนอุปนิสัยต่างกันเช่นเดียวกับตะวันและจันทรา ชาติกำเนิดของพวกเจ้าก็ต่างกัน…หลี่จวิ้นเจ้าเปรียบดั่งแสงสว่างของดวงตะวัน ส่วนเจ้า หยางเจี้ยนเจ้าเปรียบดั่งแสงจันทร์ในความมืด เจ้าทั้งสองต่างกันแต่ชะตาให้เจ้าทั้งสองมาเจอกัน วันนี้ที่ข้าจะสอนคือเคล็ดวิชากระบี่แสงสุริยัน และดาบจันทร์กระจ่างให้แก่พวกเจ้า ”

ทั้งสองมองหน้าของกันและกัน ต่างฝ่ายต่างไม่เอ่ยอะไรออกมา

แต่การไม่เอ่ยอะไรเลยกลับเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สายตาของทั้งคู่บอก

ความรู้สึกในใจออกมาแล้ว

“......”

“......”

สายตาขุ่นของนักพรตเฒ่ามองใบหน้าของคนทั้งสอง เป็นอย่างที่เขา

คาดไว้จริงๆ

“ แต่มีอีกสิ่งที่ข้าต้องบอกเจ้าหยางเจี้ยน… ตะวันไม่อาจอยู่ร่วมกับจันทรา ต่อให้ลอยเด่นบนฟ้าเช่นกันแต่ไม่ได้อยู่บนฟ้าเดียวกัน หากวันใดที่แสงตะวันเริ่มดับ เจ้าต้องเป็นผู้เติมแสงสว่างเมื่อถึงวันนั้น เจ้าต้องทำเช่นเดียวกับที่ข้าทำในวันนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่ ”

“ ขอรับ…หากวันนั้นมาถึงศิษย์ยินดีทำตามคำสั่ง ”

“ นี่เจ้า!! สมองเจ้ามีปัญหาหรือเจ้าจะสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยข้า เจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆถึงรับปากตาเฒ่านี่ ”

“ ท่านต่างหากที่สมองมีปัญหา ข้าบอกท่านแล้วชีวิตท่านอยู่เพื่อราษฎรนับล้าน หาใช่อยู่เพื่อข้าไม่ หากชีวิตของข้าแลกกับชีวิตของท่าน เพื่อให้ท่านดูแลราษฎรดูแลผู้คนในใต้หล้าให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ย่อมคุ้มค่า...ข้าเป็นทหารทุกการกระทำของข้าล้วนเพื่อราษฎร ”

“ แต่ข้าคือรัชทายาทผู้ที่ได้นั่งบนบัลลังก์มังกร ผู้ซึ่งเป็นโอรสสวรรค์ข้าขอสั่งให้เจ้ามีชีวิตอยู่ …เจ้าต้องอยู่หรือเจ้ากล้าขัดคำสั่งข้า ”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา