กระบี่เหมันต์ใต้เงาจันทร์
เขียนโดย หนิงเซียน
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 19.01 น.
แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2568 07.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) บทที่ 6
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ พวกเจ้าสองคนจะเถียงกันเพื่ออะไรกัน…เจ้าอยากให้เขามีชีวิตอยู่เรื่องนั้นง่ายมาก เจ้าแค่ต้องแข็งแกร่งขึ้นไปอีกมีเพียงสิ่งนี้ เจ้าถึงจะปกป้องเขาปกป้องน้องของเจ้า ปกป้องบัลลังก์ของเจ้าได้ หากไม่เป็นเช่นนั้นจะต้องมีคนตาย แบบเสด็จแม่ของเจ้าอีกนับไม่ถ้วน ”
สายตาคมมองใบหน้าของหยางเจี้ยน
“ ชีวิตนี้ข้ายอมสละช่วงวัยเยาว์เพื่อแบกรับหน้าที่ ข้ายอมสละช่วงเวลาที่ข้าจะได้วิ่งเล่นเพื่อฝึกความแข็งแกร่ง สองมือนี้ของข้าแบกรับชีวิตของผู้คนไว้มากมาย แต่ชีวิตของคนที่ข้ารักข้ากลับรักษาไว้ไม่ได้ เสด็จแม่ข้าตายอย่างไร้สาเหตุ คนชั่วยังลอยนวล สิบวันก่อนข้ายังเกือบเสียน้องชายของข้า ข้านี่ช่างอ่อนแอช่างโง่งม หยางเจี้ยนเจ้าเอาชีวิตของเจ้ามาฝากไว้ที่มือข้า เจ้านี่ช่างโง่เสียจริง ”
“ ท่านสิโง่ข้าไม่ได้เอาชีวิตข้าฝากไว้ที่ท่าน แต่ชีวิตท่านต่างหากที่ต้องฝากไว้ที่ข้า วันใดที่ท่านจะล้มข้าจะยืนเป็นเสาหลักให้ท่าน…หลี่จวิ้นท่านจงจำไว้ชีวิตข้านี้มีไว้เพื่อท่าน และข้าไม่เสียใจหากมีวันที่ข้าต้องสละตัวเอง ข้าขอแค่ท่านเป็นฮ่องเต้ที่ดี ไม่เบียดเบียนราษฎรข้าย่อม…หลี่จวิ้น”
ร่างสูงของหลี่จวิ้นล้มลงต่อหน้าต่อตาของหยางเจี้ยน นักพรตเฒ่าส่ายศีรษะก่อนจะเอ่ย
“ ลมปราณของเจ้านั่นควบคุมไม่ค่อยได้เวลานี้อาการคงกำเริบเลยสลบไปเจ้าจับเขานั่งดีๆ ข้าจะเริ่มช่วยเขาจำไว้เมื่อเขาตื่นขึ้นมา จงพาเขากลับหยางโจวโดยเร็วที่สุด ที่หยางโจวมีหุบเขาเหมันต์ที่นั่นมีสระเหมันต์สามารถฟื้นฟูร่างกายของเขาได้ ส่วนนี่คือตำราวิชาคู่ เจ้าต้องรักษาให้ดีห้ามให้ใครเห็น สิ่งสำคัญคือเมื่อเจ้ากับเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของกัน ถึงจะเป็นการช่วยฟื้นฟูพลังลมปราณของเขาได้ดีที่สุด แต่เจ้าคงต้องพักสองถึงสามวันเพื่อฟื้นฟูพลัง ”
“ ส่วนหนึ่งของกัน !!? ”
'ทำไมเขารู้สึกว่าความหมายของประโยคนี้มันค่อนข้าง….
“ นี่เจ้ากำลังคิดอะไร !!ตอนฝึกวิชาลมปราณของพวกเจ้าต้องประสานเข้าด้วยกัน…นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าชมชอบบุรุษ ”
“ ท่านต่างหากล่ะตาเฒ่าที่เอ่ยวาจาเช่นนั้น…ท่านรีบช่วยเขาก่อนเรื่องที่ท่านสั่ง ข้าจำได้ ”
ใบหน้าคมเริ่มมีสี ‘ถึงเขาจะไม่เคยเที่ยวหอคณิกาแต่เรื่องชื่นชอบอย่างไรเสีย เขาย่อมชมชอบสาวงาม เพียงแต่เจ้านั่น….
“ เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะถือซะว่าข้าไม่เคยถามเจ้าแต่อย่าลืมสิ่งที่ข้าบอก ตะวันไม่อาจอยู่ร่วมแผ่นฟ้าเดียวกับจันทรา แต่จันทราไม่ได้โดดเดี่ยว”
“ บนฟ้ามีเพียงดวงตะวันที่ส่องสว่างในยามเช้า อาจารย์ว่าองค์รัชทายาท โดดเดี่ยวเหมือนกันใช่รึไม่ ”
“ หากเขาไม่โดดเดี่ยวเขาจะแข็งแกร่งได้เยี่ยงไรอย่าว่าแต่เขา เจ้าเองก็เช่นกันแม้นจันทราจะมีหมู่ดวงเป็นสหาย แต่ทว่าดวงดาวเหล่านั้นไม่เคยทำให้ความเหงาของจันทรานั้นหายไป ”
“ ทำไมจันทราถึงเหงาล่ะท่านอาจารย์ ”
“ เจ้าเคยได้นิทานบ้างรึไม่…นิทานนั้นกล่าวว่าเทพดวงตะวันมีใจรักกับเทพจันทรา แต่เพราะหน้าที่เขาทั้งคู่จึงไม่ได้อยู่ร่วมกัน ”
“....... ”
“ นี่คือธรรมชาติที่ข้าบอกแก่พวกเจ้า มีพบย่อมมีจาก”
“ ข้าเข้าใจแล้วขอบคุณท่านอาจารย์มากที่สั่งสอนข้า”
“ ดี แต่ก่อนข้าเองก็มีสหายรู้ใจร่วมฝึกวิชาร่วมกัน ร่วมเดินทางไกลพันลี้ กินนอนด้วยกัน”
“ คนผู้นั้นตอนนี้…”
“ เขาไปรอข้าบนนั้นแล้วและอีกไม่นานข้าจะตามเขาไปเช่นกัน ”
ณ เมืองหลวงฉางอัน
ในยามราตรีหอโคมเขียวในเมืองชั้นในต่างเป็นที่เที่ยวของเหล่าบุรุษที่เปลี่ยวเหงามากมาย คืนนี้ที่หอดังอย่างหอหยุนเฟย ได้เปิดให้มีการละเล่นต่อบทกวี ผู้ที่ชนะการต่อกลอนจะได้อยู่ร่วมกับแม่นางจื่อหลิงสาวงามอันดับหนึ่งของหอหยุนเฟยทำให้ที่หอ เต็มไปด้วยผู้คนทั้งบัณฑิตและเหล่าลูกขุนนางน้อยใหญ่เดินกันอย่างคับคั่ง
“ ออกไป!! ออกไปซะ คืนนี้ข้าเหมาหอนี้แล้ว”
บุรุษในชุดคลุมยาวสีฟ้าอ่อน ใบหน้าขาวสะอาดหมดจด รวบผมบนศรีษะที่มวยผมประดับปิ่นหยก รูปร่างสูงสง่าบนสายคาดเอวมีพู่หยกขาว และป้ายของจวนเจิ้นโหว บ่งบอกฐานะของบุรุษผู้นี้ได้เป็นอย่างดี บุตรชายคนเดียวของเจิ้นโหว”จื่ออันหมิง”
“ ลูกชายของเจิ้นโหว คุณชายอันหมิง ให้ตายสิสงสัยอยากมาชื่นชมแม่นางจื่อหลิงถึงได้ถลุงเงินบิดาเยี่ยงนี้”
“ ท่านทำเยี่ยงนี้ได้หรอ พวกเราทุกคนต่างมารอชื่นชมแม่นางจื่อหลิงกันทั้งนั้นนะ ”
“ ใช่ๆๆ ทำไม่ถูก ”
เสียงโวยวายของเหล่าบัณฑิตตะโกนโห่ร้องแสดงความไม่พอใจ แต่ร่างสูงของอันหมิง กลับสั่งให้บ่าวในจวนเขาใช้ไม้ทุบตีพร้อมโยนชายเหล่านัันออกจากหอ ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ความร้ายกาจของร่างสูง ทำให้บุรุษที่มาเที่ยวหอหยุนเฟยพากันหนีตายคร้านจะมีเรื่อง แม่เล้าเห็นดังนั้นจึงให้คนไปตามองครักษ์เสื้อแพร ให้มาจัดการกับอันหมิงเป็นที่รู้กันทั่วว่าองครักษ์เสื้อแพรมีหน้าที่จัดการเหล่าขุนนางที่ประพฤติมิชอบ และมีสิทธิพิเศษในการจัดการกับขุนนางระดับสูง…เพียงแต่ เรื่องคุณชายของจวนโหวหาได้เป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดต้องให้องครักษ์ เสื้อแพรออกมาไกล่เกลี่ยไม่เมื่อทางองครักษ์ไม่ช่วยแม่เล้า จึงได้แต่จนใจต้อนรับจื่ออันหมิงเรียกเหล่ายอดบุปผางามของหอมาคอยปรนนิบัติดูแล
*ยามเหม่า บ่าวข้างกายของอันหมิงเดินมาเคาะเรียกที่หน้าห้อง ร่างบางของจื่อหลิงสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงีย เมื่อนางรู้ว่าเป็นบ่าวจากจวนเจิ้นโหว นางจึงหันมาปลุกร่างสูงที่นอนหลับอยู่ข้างกายนาง
“ คุณชาย..คุณชายอันหมิง..คุณชาย..คะ..คุณ..ชาย..กรี๊ดดดดด…คุณชายตายแล้ว..ช่วยด้วยยยย ”
เสียงกรีดร้องดังลั่นหอเหล่าสาวงามพากันตื่นตกใจ บ่าวของอันหมิงถีบประตูเข้ามาในห้อง หลังจากได้ยินเสียงกรีดร้อง
“ คุณชายข้าเป็นอันใด…เกิดอะไรขึ้น…คุณชายขอรับ…คุณชาย…คุณชายของบ่าวฮือๆ คุณชายใครทำคุณชายยย”
จวนหลิว
ร่างสูงดูงามสง่าร่างกายสมส่วนแต่ยังดูบอบบางกว่ามาก ถ้าเทียบกับหน่วยองครักษ์เสื้อแพรเพราะอย่างไรกรมอาญามีหน้าที่ ตัดสินโทษและสืบสวนคดีถึงจะขึ้นกับหกกรมแต่ถือว่าเป็นขุนฝ่ายพลเรือน ซึ่งมีความต่างจากองครักษ์เสื้อแพรอยู่บ้าง เหตุเพราะนอกจากสืบสวนจับกุมแล้วหน้าที่อารักษ์ขาเชื้อพระวงศ์ รวมถึงสู้รบทางทหารในบางครั้งเป็นหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพร ใบหน้าหล่อเหลาของจางซือหันไปทางหน้าจวน เขาได้ยินเสียงเอะอะของลูกน้องของกรมคนที่เขาคุ้นเคยนัก คล้ายว่าเช้านี้เขาจะไม่ได้ทานมื้อเช้าแล้วกระมัง
“ ใต้เท้าหลิว…แย่แล้ว…มีคนตายมีคนตายแล้วขอรับ ”
เสียงของซิงเฉิงลูกน้องของจางซือตำแหน่งงานคือซืออู้* [ฝ่ายประสานงาน ]เรียกหาที่หน้าประตูจวน
“ ใครตายกันเจ้าถึงได้เอ็ดตะโรแต่เช้าเยี่ยงนี้ ”
“ เป็น…เป็น…บุตรชายของเจิ้นโหวจื่ออันหมิงขอรับใต้เท้า “
“ เหตุใดคดีนี้จึงมาถึงกรมอาญา ”
จางซือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหตุเพราะถ้าเป็นคดีของคุณนางชั้นผู้ใหญ่ คดีควรถูกส่งไปให้*ต้าหลี่ซื่อ[ศาลต้าหลี่] ซึ่งมีหน้าที่สืบสวนคดีโดยตรงมากกว่ากรมอาญา
“ ช่วงนี้ต้าหลี่ซื่องานล้นมือเรื่องคดีลอบปลงพระชนม์องค์ชายรอง ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้กรมอาญาสืบสวนร่วมกันกับต้าหลี่ซื่อขอรับ ”
“ ข้ารู้แล้ว…แล้วศพพบที่ไหน ”
“ เป็น..เป็นหอคณิกาหยุนเฟยขอรับใต้เท้า ”
ลูกชายเจิ้นโหวตายที่หอโคมเขียวช่างเหมาะเป็นที่นินทาเสียจริง แม้ราชสำนักจะไม่ออกกฎหมายห้ามขุนนางเที่ยวหอนางโลม แต่ก็มีกฎว่าห้ามเที่ยวจนเป็นที่เสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่งเห็นทีข้อนี้จวนเจิ้นโหวจะผิดเต็มประตูเสียแล้ว
“ ข้าจะไปดูศพแล้วจะนำไปไว้ที่ต้าหลี่ซื่อแล้วกัน ”
อย่างไรเสียกรมอาญามีหน้าที่ตัดสินโทษเป็นหลัก หาใช่ผ่าพิสูจน์ศพไม่ ดั่งคำกล่าวว่า ‘ งานไหนที่เขาทำได้ย่อมไม่ให้ผู้ใดได้ทำ แต่ถ้าหากงานนั้นเขาทำไม่ได้เขาย่อมไม่ทำ
หอหยุนเฟย
ภายในหอหยุนเฟย เหล่าคณิการ่วมกว่าห้าสิบชีวิต ยืนที่โถงใหญ่ร่างบางแต่งกายด้วยชุดกระโปรง เสื้อเปิดไหล่กว้างถักทอมาจากผ้าแพรบางสีสันสดใสต่างยืนเรียงกัน เมื่อพวกนางเห็นบุรุษร่างสูงสวมชุดสีน้ำเงินถือป้ายของกรมอาญาเข้ามาในหอ สีหน้าของแต่ละนางต่างซีดเซียว ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว เหตุเพราะชื่อเสียงของกรมอาญาที่ขึ้นชื่อเรื่องตัดสินโทษ ทรมานผู้กระทำผิดด้วยทัณฑ์ทรมานต่างๆ ทำให้ใครได้เจอเป็นต้องขวัญผวา แม้คนผู้นั้นจะหน้าตาหล่อเหลาปาน เทพเซียนก็ไม่อาจลบชื่อเสียงในทางลบเหล่านั้นได้ ซึ่งข่าวลือพวกนี้คนอย่างจางซือหาได้สนใจไม่
“ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้กรมอาญา กับศาลต้าหลี่รับผิดชอบคดีนี้ร่วมกัน จึงขอให้พวกเจ้าทุกคนให้ความร่วมมือกับพวกข้าด้วย”
ซิงเฉิงกล่าวต่อหน้าธารกำนัลสายตาสบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาของจางซือ
“ เอ่อ ใต้เท้าเจ้าคะ บ่าวเป็นแม่เล้าของหอแห่งนี้หากใต้เท้าจะสืบสวนคดีบ่าว มีเรื่องอยากร้องขอ…อย่าปิดหอได้ไหมเจ้าคะ”
แม่เล้าของหอเดินมาขอร้องต่อซิงเฉิงแต่ไม่ทันที่เขาจะกล่าวปฎิเสธ กลับเป็น เสียงของจางซือที่เอ่ยขัดขึ้นมา
“ ข้าเกรงว่าจะไม่ได้และอีกเรื่องคำว่าขอร้องของกรมอาญาไม่ได้แปลว่าขอร้องแต่เป็นคำสั่ง ศพอยู่ที่ไหน ”
เขาละเกลียดการลงพื้นที่สืบสวนที่สุดเพราะมักจะมีคนเห็นแก่ตัวอย่าง แม่เล้าผู้นี้อยู่เต็มไปหมด
‘ มีคนตายในหอยังมีใจจะเปิดทำการค้าช่างเป็นสตรีที่
จิตใจเหี้ยมนัก ‘’
ร่างสูงของจางซือเดินขึ้นไปที่ห้องชั้นบน ซึ่งเป็นชั้นของคนมีเงินเพราะถือว่าชั้นสองสำหรับแขกที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
อย่างน้อยต้องใช้เงินถึง 10 ตำลึงสำหรับการเที่ยวหอนี้เบี้ยหวัดต่อปีของเขายังแค่ 80 -100 ตำลึงเท่านั้น ลูกเจิ้นโหวช่างถลุงเงินบรรพชนโดยแท้
สองเท้าของจางซือเดินไปถึงห้องมุมห้องหนึ่งภายในห้องตกแต่งไปด้วยผ้าม่านสีแดง ตรงกลางห้องมีโต๊ะซึ่งมีชุดกาน้ำชาวางอยู่ บนเตียงพบร่างอันไร้วิญญาณของจื่ออันหมิงบน ร่างของศพสภาพเปลือยเปล่า ช่างเป็นการตายที่น่าเวทนาในห้องยังมีสตรี ผิวขาวผ่องใบหน้างดงามผู้หนึ่งนั่งอยู่บนพื้น
“ ใต้เท้าเจ้าคะ..นี่คือแม่นางจื่อหลิงเป็นดาวของที่นี่เจ้าคะ”
“ ใต้เท้า…ใต้เท้าบ่าวไม่รู้เรื่องนะเจ้าคะ…พอบ่าวตื่นมาคุณชายเขาตายแล้ว…บ่าวไม่ได้ทำ”
จื่อหลิงร้องโวยวายดั่งคนเสียสติ สตรีบอบบางเช่นนางตื่นมาพบว่าบุรุษที่นอนข้างกายได้กลายเป็นศพ คงตกใจจนแทบเสียสติ จางซือถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ นางแพศยาคุณชายข้าแข็งแรงดีจะนอนตายเช่นนี้ได้อย่างไร…เป็นเจ้าที่ฆ่าคุณชายข้า”
“ ไม่ใช่นะ…บ่าวไม่ได้ทำ!! ถ้าบ่าวทำบ่าวจะกล้านอนอยู่ข้างศพหรือ ”
เสียงทะเลาะของคนทั้งคู่สุดแสนจะน่าเอือมระอา จางซือส่งสัญญาณให้คนของกรมอาญาพอคนทั้งคู่ออกไป ร่างสูงก้าวเท้าเข้าไปยืนข้างเตียง สายตาตรวจดูสภาพศพของอันหมิงหากมองด้วยตาเปล่าเหมือนคนนอนหลับเท่านั้น หากไม่จับดูจะไม่รู้เลยว่าเขาตายไปแล้ว
“ ศพเริ่มแข็งตัวแล้วคงตายช่วงยามฉู่*(ช่วงตี1) ต้องรอหมอชันสูตรสินะ ”
“ ข้าว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นเจ้าได้ยินเหล่าบุปผาที่นี่เอ่ยว่า ใต้เท้าจากกรมอาญาหล่อเหลายิ่ง ”
ร่างสูงของจางซือหันไปตามเสียงเรียกมุมปากอิ่มยกยิ้มขึ้นคนที่มาหาใช่ใครอื่น สหายสมัยเรียนสำนักศึกษาหลวง “เจิ้งหง” บุตรชายของใต้เท้าเจิ้ง เสนาบดีกรมคลังตอนนี้เจิ้งหงอยู่ที่ศาลต้าหลี่ คิดแล้วคดีนี้เขาอาจได้ทำงานร่วมกับสหายรัก เช่นนั้นเขาคงมีเวลาได้แอบอู้แล้ว
“ ไหนเลยข้าจะสู้ใต้เท้าเจิ้งหงแห่งศาลต้าหลี่ได้ เอ…ทำไมข้าถึงไม่ได้รับข่าวดีของใต้เท้าเจิ้งสักทีนะ ”
“ บุรุษอย่างข้าแม้จะเกิดมาหน้าตาหล่อเหลา…ชาติกำเนิดดี การศึกษาก็ไม่แย่…เสียอย่างที่เรื่องสตรีข้าช่างอาภัพ ”
“ เกรงว่าเพราะเจ้าช่างเลือกมากเกินไปกระมัง ”
สองหนุ่มผลัดกันเย้าแหย่กันไปมา สายจาของเจิ้งหงเหลือบมองไปทางศพ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
“ เจ้ารู้รึไม่คนของเจิ้นโหวแทบมาอาละวาดที่ศาลต้าหลี่ ฝ่ายนั้นต้องการให้เรื่องการตาย ของคุณชายจวนโหวเป็นเรื่องเล็ก
“ เจ้าคงไม่ตอบตกลงไปใช่รึไม่ ”
“ หากข้าทำเช่นนั้นพรุ่งนี้จะมีฏีการ้องเรียนข้ากองสูงเป็นภูเขาแน่ ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้

รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ