ฉีดวิตามินผิวคืออะไร มีข้อดี ข้อเสียไหม มีผลข้างเคียงหลังฉีดไหม

ฉีดวิตามินผิวคือการฉีดสารบำรุงผิวต่างๆ เช่น วิตามินซี วิตามินบีรวม กลูต้าไธโอน ทำให้วิตามินเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสเร็วขึ้น
การดูแลผิวพรรณเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับคนยุคปัจจุบัน ซึ่งหนึ่งในวิธีที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก คือ "การฉีดวิตามินผิว" หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ฉีดผิวขาว” แม้จะดูเหมือนเป็นเทรนด์ใหม่ แต่แท้จริงแล้วการฉีดวิตามินผิวนั้นมีมาเป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะในแวดวงความงามของประเทศแถบเอเชียรวมทั้งประเทศไทย บทความนี้จะพาไปรู้จักกับการฉีดวิตามินผิวอย่างละเอียด ครบถ้วนทุกแง่มุมทั้งข้อดี ข้อเสีย และผลข้างเคียง เพื่อช่วยในการตัดสินใจที่ถูกต้องและปลอดภัย
ฉีดวิตามินผิวคืออะไร?
การฉีดวิตามินผิว (Skin Vitamin Injection หรือ IV Vitamin Therapy) คือวิธีการดูแลผิวพรรณโดยการฉีดวิตามินและสารอาหารที่จำเป็นเข้าสู่ร่างกายโดยตรงผ่านทางหลอดเลือดดำหรือกล้ามเนื้อ สารหลักที่นิยมใช้ส่วนใหญ่คือวิตามินซี วิตามินบีรวม กลูต้าไธโอน คอลลาเจน และสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ
โดยการฉีดวิตามินผิวสามารถทำได้สองแบบหลักๆ คือ

การฉีดเข้าหลอดเลือดดำ (IV Drip): นิยมที่สุดเพราะให้ผลลัพธ์รวดเร็ว เห็นผลได้ชัดเจน
การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (IM Injection): เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูดซึมอย่างช้าๆ และปลอดภัยต่อการระคายเคืองของหลอดเลือด

สารที่นิยมใช้ในการฉีดวิตามินผิว
ในการฉีดวิตามินผิวมีสารหลักๆ ที่นิยมใช้ดังนี้
วิตามินซี (Vitamin C)
วิตามินซีช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน ลดจุดด่างดำและรอยหมองคล้ำ ช่วยผิวกระจ่างใสและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของผิว
กลูต้าไธโอน (Glutathione)
สารต้านอนุมูลอิสระทรงพลัง ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานินทำให้ผิวขาวขึ้น ลดความหมองคล้ำ ป้องกันริ้วรอยก่อนวัย
วิตามินบีรวม (Vitamin B Complex)
ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดี ช่วยฟื้นฟูผิวจากความอ่อนล้า ลดความเครียด และบำรุงระบบประสาท
คอลลาเจน (Collagen)
เสริมสร้างโครงสร้างผิวให้มีความยืดหยุ่น ลดเลือนริ้วรอยและชะลอวัยผิว
สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ (Antioxidants)
เช่น Coenzyme Q10, วิตามินอี, แอลฟาไลโปอิกแอซิด ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบและชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว

ข้อดีของการฉีดวิตามินผิว

ผิวขาวกระจ่างใสเร็วขึ้น วิตามินและกลูต้าไธโอนช่วยยับยั้งเมลานิน ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนในระยะเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะเมื่อฉีดอย่างต่อเนลื่องเป็นคอร์ส
ฟื้นฟูผิวจากภายในสู่ภายนอก ผิวแข็งแรง มีสุขภาพดีขึ้นจากภายใน เพราะร่างกายได้รับวิตามินโดยตรงในปริมาณที่เหมาะสม
ลดจุดด่างดำและรอยแผลเป็น ช่วยให้ผิวสม่ำเสมอ ลดการผลิตเม็ดสี ลดรอยดำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยแผลเป็น
ชะลอวัย ลดริ้วรอย คอลลาเจนและวิตามินซีช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ลดริ้วรอยแห่งวัย
เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย การฉีดวิตามินซีในปริมาณสูง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันร่างกาย ลดโอกาสการติดเชื้อ

ข้อเสียของการฉีดวิตามินผิว

ค่าใช้จ่ายสูง ต้องทำต่อเนื่องและมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการดูแลผิวรูปแบบอื่นๆ
ผลลัพธ์ไม่ถาวร เมื่อหยุดฉีด ผิวอาจกลับมาคล้ำหรือหมองเหมือนเดิม ทำให้ต้องฉีดต่อเนื่องเพื่อรักษาสภาพผิว
เสี่ยงต่อการแพ้สารที่ฉีดเข้าไป มีโอกาสเกิดอาการแพ้สูง หากไม่ได้รับการตรวจสอบสารที่ใช้อย่างดี หรือทำกับบุคคลที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดวิตามินผิว

อาการวิงเวียน หน้ามืด คลื่นไส้จากการฉีดเร็วเกินไป
ผื่นคัน แพ้สารวิตามิน
ปวด บวม บริเวณที่ฉีด
ภาวะวิตามินเกิน (Vitamin Overdose) หากใช้ในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น
เสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือด หากไม่สะอาดหรือไม่ได้มาตรฐาน
ในระยะยาวอาจเกิดการตกค้างของสารเคมี เช่น กลูต้าไธโอนสะสมในร่างกาย

การฉีดวิตามินผิวมีความเสี่ยงและอาจเป็นอันตรายได้หากทำไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อฉีดกับผู้ที่ไม่ใช่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการอบรมมาโดยเฉพาะ

การแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) ซึ่งเป็นภาวะอันตรายต่อชีวิต ต้องรีบรักษาทันที
ติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) หากใช้เข็มหรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
การทำงานของตับและไตผิดปกติ จากการสะสมของกลูต้าไธโอนหรือวิตามินปริมาณสูง
หลอดเลือดอักเสบ ที่อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น การเกิดลิ่มเลือดหรือภาวะลิ่มเลือดอุดตัน

ดังนั้น ความปลอดภัยขึ้นอยู่กับการเลือกสถานที่และแพทย์ที่มีความชำนาญ รวมถึงการใช้สารในปริมาณที่เหมาะสม
วิธีดูแลหลังฉีดวิตามินผิว
หลังจากฉีดวิตามินผิวเรียบร้อยแล้ว การดูแลตัวเองหลังการฉีดถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้อีกด้วย โดยการดูแลตัวเองหลังฉีดวิตามินผิวควรปฏิบัติตามดังนี้
พักผ่อนให้เพียงพอหลังฉีดวิตามินผิว
หลังจากที่ฉีดวิตามินผิวเสร็จแล้ว ควรให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวจากการได้รับสารต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการฉีดผ่านทางหลอดเลือดดำ ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรงหนัก เช่น การออกกำลังกายหนัก การยกของหนัก หรือกิจกรรมที่ต้องเผชิญแสงแดดจัดเป็นเวลานาน
ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณมาก
ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร ติดต่อกัน 3-5 วันหลังจากการฉีดวิตามินผิว เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถขับสารพิษหรือวิตามินส่วนเกินที่ไม่ได้ดูดซึมออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ น้ำยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูสุขภาพดี มีชีวิตชีวา และช่วยป้องกันอาการปวดศีรษะหรือเวียนหัวที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่
หลังฉีดวิตามินผิว ควรงดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงการสูบบุหรี่อย่างน้อย 48 ชั่วโมงขึ้นไป เพราะแอลกอฮอล์และบุหรี่จะไปลดประสิทธิภาพของสารวิตามินที่ฉีดเข้าไป ทั้งยังทำให้เกิดอนุมูลอิสระซึ่งอาจไปยับยั้งการทำงานของวิตามินและทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้ง่ายขึ้นด้วย
หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง
หลังจากที่ฉีดวิตามินผิวมาแล้ว ผิวของจะมีความอ่อนแอและไวต่อแสงแดดมากขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หากจำเป็นต้องออกแดด ควรสวมหมวกปีกกว้าง ใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนัง และทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ ขึ้นไปอย่างสม่ำเสมอทุกๆ 2-3 ชั่วโมง
ทาครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ
หลังฉีดวิตามินผิว ควรดูแลผิวภายนอกอย่างต่อเนลื่องด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน เช่น โลชั่นสูตรเพิ่มความชุ่มชื้น เซรั่มที่มีส่วนผสมของวิตามินอีและไฮยาลูรอนิก เพื่อให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น และช่วยให้สารวิตามินที่ฉีดเข้าไปทำงานได้อย่างเต็มที่
สังเกตอาการผิดปกติอย่างใกล้ชิด
ในช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังการฉีดวิตามิน ควรสังเกตอาการของตัวเองอย่างใกล้ชิด หากมีอาการผิดปกติ เช่น อาการคันมากผิดปกติ ผิวหนังบวมแดง อาการวิงเวียนศีรษะรุนแรง คลื่นไส้อาเจียน หรือมีอาการเหนื่อยผิดปกติ ควรรีบติดต่อแพทย์หรือสถานพยาบาลทันที
สรุป
การฉีดวิตามินผิวเป็นหนึ่งในทางเลือกของการดูแลผิวที่ได้ผลเร็ว แต่มีข้อดี ข้อเสีย และผลข้างเคียงที่ต้องระวัง ผู้ที่สนใจควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ปรึกษาแพทย์ และพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ออกมาตามที่คาดหวังเอาไว้