เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก

-

เขียนโดย MissMaitree

วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 14.43 น.

  1 บท
  2 วิจารณ์
  3,092 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 15.02 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก




...ตอนเด็กๆใครเคยถูกเพื่อนแบนหรือไม่คุยด้วยบ้างคงมีหลายคนที่พบกับประสบการณ์แย่ๆแบบนี้แต่เป็นเพียงอดีตที่นึกเมื่อไหร่ก็ขำทุกที




....ย้อนกลับไปช่วง ม.ต้นตอนนั้นทุกคนจะต้องมีกลุ่มแก๊ง …โอ้ยๆรักกันมากเลยแหล่ะ แบบไปไหนต้องไปด้วยกันไม่มีคนหนึ่งไม่ได้นะ รอกันตลอดเวลา ทำงานกลุ่มก็ต้องทำด้วยกัน




เรากับเพื่อนกลุ่มนี้ก็จะมีกันอยู่ 4 คน ผู้หญิงหมดเลย ไม่รู้จับกลุ่มกันได้ยังไง เราจะเป็นคนที่ค่อนข้างรักเรียน (ไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ)จะตั้งใจมากกว่า 3 คน ซึ่ง 3 คนนี้จะชอบเล่นสนุกมากกว่า ชอบชวนโดดเรียนนี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกเพื่อนแบน (อันนี้เราเดาเอาเพราะเราไม่รู้สาเหตุจริงๆ เหมือนนางเอกถูกกลั่นแกล้ง อิอิ)




 
...อยู่มาวันหนึ่งเรา 4 คนนัดกันไปทำงานกลุ่มที่โรงเรียน เพราะต้องช่วยกันระดมความคิด พอมารวมตัวกันก็ทำงานปกติ เล่นบ้างทำบ้าง จู่ๆ เรางงมากว่าทำไมเพื่อนทั้ง 3 คนแปลกไปเราคุยด้วยก็จะทำเฉยๆ คุยกันแค่ 3 คน ไม่สนใจเราเลย (แต่ก่อนเราจะเป็นคนเชยๆไม่ค่อยแต่งตัวเหมือนทอมๆนิดๆ บ้านก็ฐานะไม่ได้ร่ำรวยอะไร ปานกลาง ส่วนเพื่อนทั้ง 3 คนพ่อแม่รับราชการ ก็จะมีฐานะนิดนึง) พอเรารู้ตัวว่าเพื่อนไม่อยากคุยด้วยเราเลยถามตรง แต่ไม่ได้คำตอบ กลับกลายเป็นเงียบไป เฮฮากันอยู่ 3 คน(เราน่าสงสารป่ะ ฮือๆ) คือเราไม่ได้ผิดอะไร เราคิดย้อนดูทุกอย่างแล้วยังไม่มีช่วงไหนเลยที่เราทำอะไรผิดพลาดไป ถึงทำผิดก็คงไม่ใช่ทั้ง 3 คนนะได้แต่งงเป็นไก่ตาแตก แต่ด้วยความที่เราเป็นคนแคร์เพื่อนมาก เราเลยเสียใจจนจุกพูดไม่ออก และก็ไม่บอกใครด้วย เราก็ทำตัวห่างออกมา (ไม่คุยก็ไม่ต้องคุยวะ อย่ามายุ่งกับกูนะ คิดในใจ 55)จนเพื่อนในห้องบางคนดูออกก็อย่างว่าเด็กๆชอบอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพื่อนๆก็เลยถามเราเป็นอะไร เราเลยบอกว่ามัน 3 คน ไม่คุยด้วย ไม่รู้เราทำอะไรผิด ถามก็ไม่ตอบ   เพื่อนคนอื่นเลยชวนไปกินข้าวด้วย ทำงานด้วย นั่งเรียนด้วย (แอร๊ย เราแอบดีใจนะที่อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ชั่วร้ายอะไร)
... หึหึ นางเอกอย่างเราจะยอมถูกกลั่นแกล้งฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกนะ
 
...เราก็ใช้ชีวิตปกติ เข้าเรียน ทำงานกลุ่ม พักกินข้าว เล่นกับเพื่อนๆกลุ่มใหม่ สนุกสนานเฮฮาทุกวัน กลับบ้านก็เรียนเสริม เราก็ไม่สนใจใคร เรียนเสร็จกลับบ้านกินข้าว นอน ตื่นไปเรียน แบบนี้เรื่อยๆ
 
... อยู่มาวันหนึ่งเราก็ได้ยินเพื่อนกลุ่มนั้น ใส่ร้ายเรา ว่าเรานิสัยไม่ดีบ้าง ขี้งก (ก็บ้านกูไม่รวยนิ จะให้กูฟุ่มเฟือยได้ไง เชอะ!) จริงๆถามว่าเราเป็นแบบนั้นมั้ย เราไม่ได้งกขนาดนั้นหรอก เรียกประหยัดดีกว่า เราว่าเราไม่ได้เข้าข้างตัวเอง หากเราเป็นเพื่อนกันจริงๆเราควรจะคุยกัน ไม่มีใครดีหรือเลว 100% แต่ว่าอันนี้ไม่ใช่แล้ว เป็นการใส่ร้ายเพื่อให้ตัวเองดูดี เรื่องที่ไม่คุยกับเราเพราะอะไร แต่จริงๆไม่ควรจะรวมหัวกันไง ไม่รักกันจริงนี่หว่า แล้วเราจะอยู่เฉยได้ไง เราบอกว่าใครทำอะไรก็รู้อยู่แก่ใจนะ แล้วแต่เลย อย่าหวังว่าจะมองหน้า เกลียดมาก (แค่ตอนนั้นนะ)
... เวลาผ่านไปค่อนข้างนาน ก็มาถึงตอนจบ เย้ๆๆ จะจบแล้ว เล่าซะนานเลย อิอิ ใช่ป่ะ
 
...วันนั้น จำได้ว่าเข้าเรียนวิชาหนึ่งแต่คุณครูติดธุระ ไม่ได้สอน (สบายเลยเรา) ก็นั่งเล่นกับเพื่อน บ้างคุยกัน บ้างก็เล่นกันเสียงดัง จู่ๆเพื่อน 3 คนนั้นก็ให้เพื่อนในห้องมาเรียกเรา บอกว่ามีเรื่องจะเคลียร์ (โอ้โห คิดในใจพวกมึงมีอำนาจอะไรมาเรียกกูออกไป กูไม่ไปหรอก อยากคุยมาหาเองดิวะ) บอกเพื่อนไปว่า ไม่ไปหรอก ไม่อยากคุย ไม่ได้กลัวนะ ไร้สาระ เพื่อนคงออกไปบอก แล้วนางเพื่อน 1 ใน 3 คนนั้นเดินมา บอกว่า ขอคุยด้วยหน่อย จะได้จบๆค้างๆคาๆแบบนี้อึดอัด (เฮ้ย! นี่กูเป็นคนสร้างเรื่องป่าววะ กูผิดมั้ยเนี่ย กูรู้เรื่องไรด้วย) เราบอกเพื่อนไปว่า ได้ จะได้จบๆเลิกคบจริงๆจังๆไปเลย รำคาญว่ะ!
 
... เราเดินออกไป เห็นภาพ 2 ใน 3 คนนั้น นั่งตรงที่นั่งบริเวณระเบียงหน้าชั้นเรียน นั่งแบบ   มาเฟียร์ แคะเล็บ ทำเป็นเหมือนแบบจะสั่งสอนอะไรเรา ประมาณนั้นเลย อีกคนก็ยืนมองมาที่เรา เริ่มต้นการสนทนา
(ขอสมมติชื่อนะ ง่ายต่อการเล่าเรื่อง เอาเป็นว่า ด.ญ. ก ข ค ง ล่ะกันเนอะ ด.ญ.ก นี่จะเหมือนหัวหน้าแก๊ง จริงๆก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นนะ แต่มันทำตัวเก๋า ว่างั้น หล่อนเป็นลูกครูใน รร ส่วน ข กับ ค ก็ลูกน้อง และ เราเป็น ง นะ เป็นไส้ติ่ง เหอะๆ)
 
ด.ญ.ก บอกให้เพื่อน 2 คนถามเรา
“ง เป็นไร ทำไมไม่คุยกับพวกเรา มีเรื่องอะไรหรอ” ด.ญ.ค (เสียงแบบกวนตีนเล็กน้อย)
“(เงิบไปเลย กูเนี่ยหรอไม่คุยกับพวกมึง มันน่านัก) เราเนี่ยหรอ ไม่คุย ไม่มั้ง เหอะๆเราควรถามกลับนะว่าพวกแกเป็นไรกัน เราทำไรผิดวะ ไม่บอกกันดีๆล่ะ ขี้เกียจพูดว่ะ” เราตอบกลับไป
“เอ้า ใครไม่พูด ก็พูดนิ ง นั่นแหล่ะที่ไม่พูดก่อน ตีตัวออกห่างพวกเราไป” ด.ญ.ข พูดกับเรา
“เฮ้ยๆ (เริ่มหัวเสีย) คิดดีๆนะ วันนั้นอ่ะ ทำเป็นเฉยใส่ เหมือนเราไม่มีตัวตน แทนที่จะคิดได้แล้ว ขอโทษนะเว้ย ถ้ารู้ตัวว่าผิดกัน แต่อันนี้แม่งโยนอีก (ยืนกำหมัด ตอนนั้นเราตัวโต เป็นนักกีฬา)” เราเริ่มโมโหแล้ว
“ไม่ใช่ล่ะ ไม่เคยอ่ะ” ด.ญ.ข กับ ค แก้ตัวพร้อมกัน
“งั้นก็แล้วแต่เลย เอาเป็นว่าจบแค่นี้ เลิกคุย ถ้าจะเรียกมาคุยแบบนี้ ไม่อยากมีเพื่อนแบบนี้ว่ะ อยู่แบบไม่มีพวกแกก็สบายใจดีอ่ะ แม่งว่าเราไว้เยอะนะ ไม่ชอบว่ะ อย่ามายุ่งอีกนะ (ขึ้นเลยๆ)” เราเริ่มพูดด้วยความรำคาญ
“เฮ้ย ง อย่าเพิ่งอารมณ์เสียดิ เรียกมาคุยดีๆนะเนี่ย ไม่ได้จะอะไรเลย แค่งงว่าเป็นไร เอางี้ล่ะกัน เอาเป็นว่าเรากลับมาคบกันเหมือนเดิมนะ ยังไงก็เพื่อนกัน ช่างมัน อะไรที่ผ่านมา ขอให้ลืมได้ป่ะ ง เราให้แกกลับมาอยุ่ในกลุ่ม (ทำเสียงแบบเก๋าๆประมาณจะจบเรื่องเป็นนางเอกว่างั้น เหอะๆ ง่ายไปมั้ยล่ะ)” ด.ญ.ก หัวหน้าทีมเอ่ยปากบ้างแล้ว
“ไม่รู้เหมือนกันนะ ไม่รับปาก เพราะความรู้สึกมันเสียไปแล้วว่ะ ก็คงเป็นได้แค่เพื่อน คุยได้เหมือนเดิม ไม่คิดมาก แต่จะให้เข้ากลุ่มมั้ย ขอคิดก่อนล่ะกัน แค่นี้นะ” เราพูดพร้อมเดินเข้าห้องเรียนแบบเฉยชา
...ต่อจากวันนั้น ทั้ง 3 คนก็ทำเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น ชวนกินข้าว ชวนคุย มานั่งด้วย เราก็เฉยๆลืมๆไปบ้าง เพราะเพื่อนยังไงก็คือเพื่อน แต่เจ็บแล้วจำ ไม่อยากจะสนิทให้มันมากนักเดี๋ยวมีปัญหากันอีก อยู่ๆเพื่อนสองคนที่เราสมมติให้ชื่อ ข กับ ค ก็แอบเล่าให้เราฟัง
“จริงๆที่เราไม่คุยกับ ง เพราะว่า ก มันบอกว่าไม่ต้องคุยด้วย เราก็ไม่รู้เพราะอะไร” ข พูด
“ขอโทษด้วยนะ ไม่น่าเชื่อ ก เลย มันบอกไม่ให้คุย ไม่รู้เพราะอะไร” ค พูดเสริม
“ช่างเหอะ” เราพูดด้วยความโมโหและรำคาญ แต่ไม่อยากพูดไรต่อ
 
...จากวันนั้น เราและเพื่อนอีก 3 คนก็ห่างกันไป แต่เรากลับสนิทกับเพื่อน ค ซึ่งนิสัยจะคล้ายๆกัน ไปไหนไปกันตลอด แต่สุดท้ายก็ห่างกันเพราะย้ายโรงเรียนจนถึงวันนี้
 
...ประสบการณ์ครั้งนี้ดูเหมือนจะไร้สาระ แต่สำหรับเด็กวัยรุ่นสำคัญมาก เพราะคำว่าเพื่อนมีค่ามาก ณ ตอนนั้น ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เพราะวัยนั้นกำลังต้องการความเข้าใจควบคู่กับการเรียน บางครั้งผู้ใหญ่ก็มักจะบอกว่าคบเพื่อนดีเราก็จะดีไปด้วย แต่ถ้าเราคบเพื่อนแย่เราก็จะแย่ไปด้วย ดั่งเช่นสุภาษิตที่ว่า “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล”   จริงๆแล้วทั้งหมดขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของตัวเราที่จะเลือกให้เราเป็นแบบไหนต่างหาก
 
 
เล่าโดย..นางสาวไมตรี 20 ตุลาคม 2557
 
 
 
 



 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา