Just a Dream…หรือแค่ฝันไป

9.4

เขียนโดย koala

วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.59 น.

  13 chapter
  116 วิจารณ์
  30.47K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2556 00.09 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

12) ความในใจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

อุ๊ย...เสียงสาวสวยในชุดเดรสสีแดงหลังจากเดินชนกับชายหนุ่มที่เดินสวนมาอย่างไม่ตั้งใจ

 

“ขอโทษค่ะ”  คำกล่าวที่ตามมาอย่างอัตโนมัติก่อนที่จะหันมามองหน้าชายหนุ่มอย่างชัดๆ
และก็ต้องตกใจเมื่อเขาเป็นคนที่คุ้นเคยดี
“อ้าว  พี่จงเบ  สวัสดีค่ะ  มาทำไรที่นี่คะเนี่ย”  สาวสวยถามหนุ่มหน้าตี๋ตามมารยาท

 

“อ้อ  พี่มาธุระนิดหน่อยน่ะ  แล้วเรามาทำอะไรเนี่ย”  หนุ่มแว่นยิ้มบางๆให้คนถาม

 

“มาทานข้าวค่ะ  พอดีวันนี้จินนี่นัดพี่เขื่อนไว้  พี่จงเบมาทานด้วยกันไหมคะ”  สาวชุดแดงเอ่ยชวนบ้าง

 

สีหน้าชายหนุ่มสลดลงไปเล็กน้อยก่อนจะรีบเปลี่ยนอารมณ์ก่อนคนถามจะจับอารมณ์ได้
“ไม่เป็นไรครับ  ขอบคุณมาก  พอดีมีคนเขารอพี่ทานด้วยอยู่แล้วล่ะ”  เขาฝืนยิ้มพร้อมตอบไปตามมารยาท

 

“ใครหรอ  จินรู้จักหรือเปล่าคะ”  คนสวยถามด้วยเสียงใคร่รู้แต่ชายหนุ่มกลับนิ่งเงียบ
“ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอกก็ได้”  คนถามแกล้งงอน

 

“ปะ..ปะ..เปล่านะ  ไม่ใช่อย่างนั้น”  หนุ่มหน้าตี๋รีบตอบอย่างตะกุกตะกัก

 

“ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ  ถ้าพี่อยากบอกเมื่อไหร่ไว้ค่อยบอกจินก็ได้”
สาวสวยคนเดิมยิ้มอย่างเห็นใจคนพูดก่อนจะขอปลีกตัวไปหาแฟนหนุ่มที่กำลังรอเธอรับประทานอาหารอยู่
“งั้นเดี๋ยวจินนี่ขอตัวก่อนนะคะ  เดี๋ยวพี่เขื่อนจะรอ”

 

“เชิญเลยครับ  เดินดีๆล่ะ  อย่ามัวแต่ดูมือถือไม่ยอมดูทางระวังเดี๋ยวโดนใครมาฉุดไม่รู้นะ”
ชายหนุ่มเตือนด้วยความห่วงใยพร้อมยิ้มขำๆ  แต่หญิงสาวกลับรู้สึกว่าแววตาที่อ่อนโยนภายใต้แว่นตากรอบหนานั้นกลับมีร่องรอยแห่งความเจ็บปวดซ่อนอยู่  แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น

 

 


บนโต๊ะดินเนอร์สุดหรู  อาหารถูกนำมาวางเสิร์ฟอย่างพร้อมสรรพ  สาวสวยในชุดแดงเข้ารูปเดินกลับมานั่งประจำตำแหน่งของตนเองพร้อมส่งยิ้มหวานให้คนตรงหน้า  ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเสนอให้เริ่มลงมือรับประทานอาหารไปพร้อมตักอาหารวางไว้ในจานของแฟนสาวอย่างเอาใจ


“เมื่อกี้ที่ลงรูปนี่อารมณ์ไหนคะเนี่ย”  สาวสวยเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัยระหว่างที่ทั้งคู่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศและรสชาติของอาหาร

 

“ก็ไม่อารมณ์ไหนนี่  เห็นว่ามันสวยดีแค่นั้นเอง  ทำไมหรอครับ”  ท่าทางของคนที่นั่งตรงข้ามดูตกใจเล็กน้อยก่อนจะพยายามแก้ตัว

 

“ไม่มีอะไรค่ะ  ทานกันเถอะค่ะ”  สาวสวยพยายามยิ้มบางๆอย่างไร้เดียงสาก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานอาหารต่อ

 

เธอพยายามไม่คิดอะไรมากกับการกระทำของคนตรงหน้า
แต่กลับจากต่างประเทศคราวนี้ดูแฟนหนุ่มของเธอดูมีลับลมคมในชอบกล

ฝ่ายคนที่ถูกตั้งคำถามรู้สึกร้อนรุ่มหายใจไม่อิ่มเหมือนนักโทษที่ถูกไต่สวนและเริ่มสับสนในความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของตัวเอง

 

 

 

 

 

 

แสงแดดอ่อนๆเล็ดลอดผ่านม่านสีครีมของห้องที่ภายในตกแต่งตามสไตล์โมเดิร์นของอพาร์ทเมนต์หรูกลางกรุงลอนดอน

 

เจ้าของห้องค่อยๆเปิดเปลือกตารับแสงตะวันของวันใหม่ที่ล่วงเลยเวลาเช้ามานานพอควรก่อนจะชันกายขึ้นช้าๆพร้อมมองไปรอบๆห้องด้วยสายตาเบื่อหน่ายกับกองหนังสือที่วางระเกะระกะกระจายอยู่ทั่วห้อง

 

วันนี้เป็นวันหยุดวันสุดท้ายก่อนจะสอบปิดภาคเรียนเทอมสุดท้ายของเธอ  ความจริงแล้วเธอน่าจะดีใจที่ใกล้จะสำเร็จการศึกษาและความฝันในการสร้างแบรนด์ของตัวเองก็อยู่แค่เอื้อม  แต่ความรู้สึกเบื่อหน่ายและหดหู่กลับมีอิทธิพลกับจิตใจของเธอมากกว่า

 

การตกหลุมรักคนที่มีเจ้าของหัวใจอยู่แล้วมันคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก  หลายต่อหลายครั้งที่เธอพยายามหาคำตอบและทางออกให้กับหัวใจตัวเอง  แต่กลับกลายเป็นความรู้สึกผิดเริ่มเข้ามาแทนที่  เธอรู้สึกอับอายเกินกว่าจะบอกเล่าความเห็นแก่ตัวให้ใครฟังแม้แต่เพื่อนสนิทสุดที่รักอย่างฟางและแก้ว  จึงได้แต่ทำใจและหวังว่าสักวันเธอคงลืมเขาได้เองเพราะเธอกับเขาก็พบเจอกันเพียงไม่กี่วัน  แม้เรื่องราวของวันก่อนยังทำให้เธอค้างคาใจอยู่บ้าง  แต่มันก็โทษใครไม่ได้เพราะเป็นเธอที่หนีออกมาเองโดยไม่รับฟัง  เลือกที่จะไม่เผชิญหน้า  ทั้งที่ความจริงถ้าหยุดฟังมันอาจจะทำให้การตัดสินใจง่ายขึ้นกว่าเดิม

 


นั่นสิ  แล้วทำไมเรายังหวังอะไรลมๆแล้งๆอยู่นะ  ร่างบางนึกสมเพชตัวเองพลันสลัดความคิดเพ้อฝันที่เข้ามาในหัวของเธอแทบทุกวันหลังจากงานแต่งงานทิ้งก่อนจะลุกขึ้นไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัว

 

 

หลังจากทำภารกิจเรียบร้อยร่างบางก็ออกมาซื้อของกักตุนในซูเปอร์มาร์เกตเพื่อจะเตรียมสำหรับเป็นศึกใหญ่ในคืนนี้...
กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะคะ

 


“Good morning, Madam”  เสียงพนักงานต้อนรับหนุ่มเอ่ยทักทายสาวเอเชียร่างโปร่งที่เพิ่งกลับเข้าที่พักพร้อมบอกว่ามีคนส่งโปสการ์ดมาให้เธอ

 

คนถูกเรียกเกิดอาการสงสัยว่าใครกันที่จะส่งโปสการ์ดมาถึงเธอ  เพราะแทบจะไม่มีใครรู้ที่อยู่ของเธอในอังกฤษเลยนอกจากเพื่อนบางคนและคนในครอบครัวของเธอ

 


โปสการ์ดใบนั้นเป็นภาพริมแม่น้ำเจ้าพระยาและสะพานพระรามที่8ในยามค่ำคืน
มือเรียวพลิกอ่านข้อความในโปสการ์ดก่อนจะเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย

 

 

ถ่ายโดยช่างภาพมือสมัครเล่น  ฝากมืออาชีพแนะนำหน่อยนะครับ

ปล.วันนั้นเรายังคุยกันไม่จบเลย  ไม่สบายใจอะไรก็บอกกันได้นะ

อ้อ เช็คอินสตาแกรมบ้างนะน้องสาว

 

                                           คิดถึงเสมอ
                                           พี่เขื่อน

 

 

หลังจากอ่านข้อความในโปสการ์ดจบ  ร่างโปร่งก็รีบหยิบมือถือขึ้นมาดูก่อนกดเข้าแอพพลิเคชันที่เธอไม่ได้เข้าไปดูมาร่วมอาทิตย์  ก่อนจะพบข้อความของเจ้าของโปสการ์ด


http://www.youtube.com/watch?v=O9CbQyL9AiA


เธอจึงกดเข้าไปดูตามลิงค์นั้นก่อนจะเผลอยิ้มออกมาอีกครั้ง

 

 

 

 

 


“นี่คุณ  ผมเป็นเจ้านายคุณนะไม่ใช่เด็กยกของ”  หนุ่มหน้าหวานโวยสาวร่างสูงที่บอกให้เขายกของเก่าในบ้านที่ไม่ได้ใช้ต่อออกไปวางไว้นอกบ้าน

 

“อ้าวก็ฉันจะได้รู้ไงว่าคุณจะเก็บของชิ้นไหนไว้บ้าง  เผื่อโยนทิ้งโยนขว้างคุณไม่ด่าฉันแย่เหรอ”  สถาปนิกสาวเถียงทันควัน

 

“ก็ของที่ผมจะเก็บน่ะ  ผมให้คนแยกไปไว้ตรงนู้นแล้ว”  เขาชี้มือไปยังมุมหนึ่งของบ้านที่มีของวางไว้อยู่จำนวนหนึ่ง

 

“ก็ฉันไม่รู้นี่นา  แล้วคุณทำไมไม่บอกเล่า”  คนถูกจ้างได้แต่แก้เก้อ  ส่วนชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าและถอนหายใจอ่อนๆ

 

“สรุปนี่เป็นความผิดผมที่ไม่รายงานให้คุณงั้นสิ”

 

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ  ถ้าคุณบอกฉันก่อนจะได้ให้คนงานมาช่วยไง  งั้นเชิญคุณไปพักเถอะค่ะ
ถ้าคุณไม่พอใจตรงไหนก็มาบอกฉันละกัน  ขอโทษที่รบกวนเวลาอันมีค่าของคุณ”  ร่างโปร่งเอ่ยอย่างรู้สึกผิดปนประชด

 

“ไม่เป็นไรหรอกคุณ  เวลาของผมมีค่าแต่ถ้าเพื่อบ้านหลังนี้  ผมยินดี”  นายจ้างหน้าหวานตอบอย่างขรึมๆ

 

“ดูคุณจะรักบ้านหลังนี้เสียเหลือเกินนะ”  สาวร่างสูงถามด้วยความใคร่รู้

 

ชายหนุ่มได้ฟังแล้วนิ่งไปสักพักก่อนจะเริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง
“บ้านหลังนี้เป็นบ้านของคุณพ่อผม  และผมก็อยู่ที่นี่ตั้งแต่เล็กจนโต  ก่อนที่พ่อผมท่านจะเสีย
ตอนนั้นคุณแม่เสียใจมาก  คุณลุงกลัวว่าคุณแม่ยังทำใจไม่ได้  ก็เลยให้พวกเราย้ายไปอยู่กับท่าน
บ้านนี้เลยไม่ค่อยมีคนมาดูแล”

 

“แต่คุณก็มาที่นี่บ่อยไม่ใช่เหรอคะ  ดูจากข้าวของที่ยังเหลืออยู่”  คนฟังถามต่อ

 

คนเล่ายิ้มน้อยๆด้วยความชื่นชมในความช่างสังเกตของคนถามก่อนจะเล่าต่อ
“คุณนี่ช่างสังเกตดีนะ  ถูกแล้วผมมาที่นี่บ่อยพอควรเลยล่ะ  เพราะที่นี่คือบ้าน
ถึงแม้ว่ามันจะไม่หรูหราไฮโซอย่างที่ที่ผมอยู่ตอนนี้  แต่มันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่า”

 

“ฉันเข้าใจนะ  ต่อให้อยู่ไกลแค่ไหนที่ที่ทำให้เราอุ่นใจและสุขใจที่สุดก็คือบ้านของเรานั่นแหละ”  คนฟังเสริมขึ้น

 

“ใช่  คุณรู้ไหมคุณเป็นหนึ่งในไม่กี่คนนะที่ผมยอมให้เข้าบ้านของผมน่ะ”  หนุ่มผู้มีโลกส่วนตัวสูงเอ่ยอย่างยิ้มๆ

 

ก็แหงสิ  ถ้านายไม่ให้ฉันเข้าบ้านแล้วฉันจะทำงานได้ไงละคะ  อีตานี่บ้าหรือเปล่า...สาวร่างสูงคิดในใจ

“เป็นเกียรติของฉันมากเลยสินะที่ได้เข้าบ้านคุณเนี่ย”  เธอเอ่ยประชด

 

“แน่นอนสิครับ  เพราะคนที่มาบ้านหลังนี้ได้ก็มีแต่เฉพาะคนที่ผมไว้ใจและ...คนที่ผมรัก”
คำพูดสุดท้ายที่หลุดจากปากของชายหนุ่มดูจะแหบพร่าลงไปเล็กน้อย

 

“คนที่รักนี่คนไหนเหรอคะ  เผื่อฉันจะได้ฝากเนื้อฝากตัวซะหน่อย”  ลูกจ้างสาวถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
คนเล่าได้แต่นิ่งเงียบก่อนเสหน้ามองออกไปยังหน้าต่างเพื่อเก็บกลั้นความรู้สึกบางอย่างออกมา

 

“เออ  ถ้าฉันถามอะไรผิดไป  ฉันขอโทษด้วยนะคะ”  สาวร่างสูงเริ่มรู้สึกผิด

 

“คุณไม่ได้ถามอะไรผิดหรอกครับ”  เขาหันมาตอบหน้านิ่งก่อนจะพูดต่อ  “เธอไม่อยู่แล้วล่ะ”

 

“พวกคุณเลิกกัน”  สาวร่างสูงถามด้วยความสงสัย

 

คนที่หน้านิ่งเมื่อครู่ฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนเล่าเรื่องต่อ  “เปล่าครับ  เราไม่ได้เลิกกัน  เธอเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน”

 

“ฉันเสียใจด้วยนะคะ”  คนที่ตั้งคำถามเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดปนสงสาร

 

“ไม่เป็นไรครับ”  ชายหนุ่มฝืนยิ้มแกนๆอีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

“ผมว่าเรามาเข้าเรื่องของเรากันต่อดีกว่านะ  ผมจ้างคุณมาทำงานนะ  ไม่ได้มาซักชีวประวัติผมน่ะ”
คนที่ดูเหมือนจะเพิ่งเศร้าเริ่มแขวะกลบเกลื่อนอาการ

 

“ค่ะ  เจ้านาย  เดี๋ยวฉันจะทำงานให้คุ้มค่าแรงทุกบาททุกสตางค์ของคุณเลย”
คนถูกแขวะสวนกลับทันควันก่อนจะขอตัวไปทำงานต่อ  ทิ้งให้คนที่ถูกซักประวัติเมื่อครู่ได้แต่ยืนยิ้มน้อยๆ  พลางคิดในใจ

 

 

ไม่เคยมีใครที่เพิ่งจะรู้จักแล้วเราจะเล่าเรื่องส่วนตัวได้มากขนาดนี้  ทำไมนะเราถึงกล้าเล่าให้เธอฟัง...

 


ฝ่ายสาวร่างโปร่งที่เพิ่งขอตัวกลับมาทำงานของตัวเองได้แต่ลอบถอนหายใจอ่อนๆออกมา

ภารกิจในการช่วยเพื่อนสาวของเธอตามหาความจริงนี่ช่างซับซ้อนนัก  แต่เธอก็อดแปลกใจไม่น้อยที่หนุ่มหน้าหวานผู้ที่ดูจะมีโลกส่วนตัวสูงกลับเล่าเรื่องราวหลายเรื่องของเขาออกมาอย่างง่ายดายเหลือเกิน

และที่น่าแปลกใจอีกอย่างคือ  เธอเชื่อเรื่องราวที่เขาเล่าให้ฟังว่ามันเป็นความจริงไม่ได้มีการเสริมแต่งให้ตัวเองดูดีแต่อย่างใด

 

 

 

 

 


ภายในอุโบสถของวัด  สาวหน้าหวานก้มลงกราบพระภิกษุสูงอายุรูปหนึ่งด้วยความเคารพ

 


“โยมมีเรื่องทุกข์ใจมาใช่ไหม”  หลวงพ่อถามขึ้นโดยไม่ได้มีการบอกกล่าวจากหญิงสาวมาก่อน

 

เธอพยักหน้าพร้อมตอบกลับอย่างประหลาดใจ  “ค่ะ”

 

“เรื่องหนุ่มที่มาด้วยนั่นใช่ไหม”  หลวงพ่อมองไปอีกข้างที่มีแต่ความว่างเปล่าสร้างความแปลกใจให้กับคนฟัง

 

“หลวงพ่อเห็นผมหรือครับ”  หนุ่มล่องหนกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้น

 

หลวงพ่อไม่ตอบเพียงแต่ยิ้มและพยักหน้าให้

“โยมเหลือเวลาไม่มากแล้วนะ”  หลวงพ่อกล่าวต่อแต่กลับทำให้หัวใจของคนที่นั่งฟังกลับห่อเหี่ยวลงไปทันใด

 

“นี่แหละค่ะหลวงพ่อ  ที่พวกเราอยากมาขอความช่วยเหลือ”  สาวหน้าหวานคนเดิมกล่าวขึ้นอย่างร้อนใจ

 

“ถ้าจะขอต่ออายุน่ะ  อาตมาทำไม่ได้หรอกนะโยม”  หลวงพ่อเอ่ยปฏิเสธคำขอร้อง

“ทุกอย่างมันย่อมเป็นไปตามกรรม  อาตมาว่าโยมมาทำจิตให้เป็นปกติ  และมีสติกับสิ่งที่ทำอยู่ดีกว่า”
หนุ่มสาวทั้งสองได้แต่นั่งฟังคำเทศนาของหลวงพ่อต่อด้วยความเคารพ

 

“ผมคงไม่มีโอกาสกลับเข้าร่างแล้วใช่ไหมครับหลวงพ่อ”  หนุ่มล่องหนถามตรงๆ

 

“อาตมาตอบไม่ได้หรอกนะ  ทุกอย่างเป็นเรื่องที่กำหนดไว้แล้ว”  หลวงพ่อตอบด้วยเสียงเรียบตามเคย

“คนเราอาจจะไม่ได้สมหวังในทุกสิ่งหรอกนะโยม  ความผิดหวังจะทำให้เรารู้จักคิดไตร่ตรองมากขึ้น
เป็นบทเรียนไม่ให้เราทำผิดซ้ำๆ  และเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราได้รับมากยิ่งขึ้น”

 

 

ท่านยังคงเทศนาต่อไป  หนุ่มสาวทั้งสองนั่งฟังอย่างตั้งใจ
ก่อนกลับท่านได้มอบสายสิญจน์และพระเครื่องชื่อดังของวัดให้ 1 องค์เพื่อให้ทั้งสองนำไปบูชา

 

 

 


“ป๊อปคิดว่าป๊อปทำใจได้แล้วล่ะฟาง”  ชายหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเดินกลับมาขึ้นรถ

 

“หมายความว่า...”  สาวหน้าหวานเอ่ยช้าๆ

 

“ใช่  ป๊อปไม่กลัวแล้วล่ะ  อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด  จะตายก็ตาย”  แววตาของชายหนุ่มดูสดใสแม้คำพูดนั้นอาจจะทำร้ายตัวเองและคนฟังไม่น้อย  ก่อนจะเปลี่ยนบทให้กำลังใจตัวเองบ้าง

“ตอนนี้ป๊อปแค่อยากทำวันนี้และวันต่อๆไปที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด  และป๊อปขอเพียงได้ทำในสิ่งที่ป๊อปอยากทำแค่นี้ป๊อปก็พอใจแล้ว”  สร้างรอยเปื้อนยิ้นน้อยๆบนใบหน้าสาวที่เดินมาเคียงข้าง  เธอรู้สึกดีใจที่คนข้างายเธอช่างมีกำลังใจที่เข้มแข็งยิ่งนัก

 


“แล้วป๊อปอยากทำอะไร”  สาวร่างเล็กถามอย่างสงสัย

 


“อย่างแรก...”  ชายหนุ่มก้าวล้ำหน้าคนตัวเล็กก่อนจะหันหลังกลับมา
เขาหยุดยืนนิ่งพร้อมส่งสายตาแทนความรู้สึกในหัวใจให้แก่คนตรงหน้า

“ฟางอยากรู้ไหมล่ะ”  ร่างหนาพูดพร้อมส่งยิ้มให้คนตรงหน้าก่อนที่เธอจะพยักหน้าหวานๆของเธออย่างงงๆ

 

“ป๊อปไม่รู้หรอกนะว่าสิ่งที่จะพูดไปต่อจากนี้มันจะถูกใจฟางหรือเปล่า  ถ้าไม่ถูกใจป๊อปก็ขอโทษไว้ล่วงหน้าแล้วกัน”
เขาเว้นจังหวะพูดเล็กน้อย  “ป๊อปอยากขอบคุณฟางที่เป็นทุกๆอย่างให้กับป๊อป”

 

“ฟางไม่ได้เป็นขนาดนั้นหรอก  ป๊อปไม่ต้องยอขนาดนั้นก็ได้”  หญิงสาวกล่าวอย่างเขินๆ

 

ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆก่อนเอ่ยต่อ
“ไม่  ฟางคือคนที่อยู่เคียงข้างป๊อปในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุด  คือกำลังใจสำคัญที่ทำให้ป๊อปลุกสู้กับเรื่องร้ายๆ  คือแสงแดดยามเช้าอันอบอุ่นที่ส่องแสงให้ความมืดมิดสลายไปจากหัวใจของป๊อป  ฟางรู้ไหมว่าตอนที่ป๊อปรู้ว่าเหลือเวลาอีกสิบวัน  สิ่งแรกที่ป๊อปคิดถึงคือป๊อปจะไม่ได้เจอหน้าฟาง  จะไม่ได้คุยกับฟาง  จะไม่มีโอกาสได้..บอก..รัก..ฟาง..”
เขากล่าวเน้นประโยคสุดท้ายพร้อมส่งสายตาหวานซึ้งบอกความในใจ

 

“ป๊อปก็ไม่ใช่คนเจ้าสำนวนอะไรนักหรอกนะ  คำพูดมันอาจจะไม่ได้สวยหรูเท่าไหร่  แต่ที่ป๊อปพูดมาทั้งหมดคือความจริงในหัวใจของผู้ชายคนหนึ่งที่มีให้กับผู้หญิงที่รัก  และคนคนนั้นก็คือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าป๊อปตรงนี้...ป๊อปรักฟางนะ”

 


หญิงสาวยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง  แต่ในหัวใจกลับเต้นดังโครมครามแทบไม่เป็นจังหวะ

 


“ฟางอาจจะไม่รู้สึกอย่างเดียวกับป๊อปก็ไม่เป็นไรหรอก  ป๊อปบอกแล้วไงว่าป๊อปทำในสิ่งที่อยากทำ”
เขาพูดพร้อมส่งยิ้มตาหยีมาให้เธอ  แม้ในใจอาจจะห่อเหี่ยวไปเล็กน้อย

 


หลังจากบอกความในใจเสร็จร่างหนาก็กลับหลังเดินมุ่งหน้าไปทางเดิมอีกครั้ง

 

 

“แล้วป๊อปไม่อยากรู้เหรอว่าฟางรู้สึกยังไง”
เสียงสาวหน้าหวานที่ยืนตกตะลึงอยู่เมื่อครู่เอ่ยขึ้นทำให้ร่างหนาต้องหยุดเดินและหันกลับมามองเธออีกครั้ง

 

“ตอนแรกฟางก็คิดอยู่นะว่าทำไมโลกใบนี้ช่างโหดร้ายแบบนี้  ทำไมต้องให้ฉันมาเจอกับอีตาผีล่องหนกวนประสาทที่ไหนก็ไม่รู้  แถมต้องมาช่วยตามสืบหาคดีพันล้านของนายนี่อีก  แต่ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกันถึงทำให้อยากช่วย  คงด้วยความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง  บางทีเรื่องบางเรื่องเหตุผลมันก็ใช้ไม่ได้เสมอไปหรอกใช่ไหม”  สาวหน้าหวานหยุดก้มมองลงพื้นเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ

 

“ไหนๆก็ตกกระไดพลอยโจรไปแล้วนี่  เลยลองดูสักตั้งจะเป็นไรไป  แต่ยิ่งค้นหาก็ยิ่งเจอเรื่องราวมากมาย  ยิ่งสงสาร  ยิ่งห่วงหาและก็...ยิ่งผูกพัน  ก็ไม่รู้หรอกนะว่าความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่  แต่พอรู้ตัวอีกทีฉันก็ดันตกหลุมรักอีตาผีล่องหนนี่ไปแล้ว”
สาวหน้าหวานพูดจบพร้อมกับยิ้มหวานที่ทำให้หัวใจของชายหนุ่มตรงหน้าลิงโลดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 


หนุ่มล่องหนที่ยืนหน้าเปื้อนยิ้มอย่างมีความสุขกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า
“ป๊อปดีใจนะที่ฟางก็รู้สึกเหมือนกับป๊อป  แม้เวลาหลังจากนี้มันจะไม่นานนัก
แต่ขอให้ฟางรู้ไว้ว่าหัวใจของป๊อปจะเป็นของฟางตลอดไป”
คำสัญญาจากวิญญาณหนุ่มรูปหล่อสร้างรอยยิ้มให้กับหญิงสาวอันเป็นที่รักของเขาอีกครั้ง

 

 

ชายหนุ่มมองขึ้นไปบนฟ้าสีครามอย่างมีความสุข  นานแล้วที่เขาไม่ได้มองท้องฟ้าสวยงามแบบนี้
แม้โชคชะตาจะเล่นตลกกับชีวิตของเขา  แม้ชิวิตของเขาอาจจะต้องดับสิ้น
แต่อย่างน้อยโลกใบนี้ก็ไม่โหดร้ายเกินไปที่ทำให้เขารู้จักคำว่า...”รัก”

 

 

 

 

 

=======================================================
มาต่อแบบงงๆเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วดองไว้นานเกิน 555  ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมานะคะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา