i'm not&you don't [Yaoi NC18+] END หนังสือถามได้คะ

9.2

เขียนโดย Pierre

วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 02.28 น.

  49 chapter
  69 วิจารณ์
  251.99K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559 22.56 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

35) 29 - Torture

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

29 - Torture

 

หลังจากที่เมื่อคืนขึ้นชกกับไอ้เหี้ยพอสที่นอนอยู่ข้างๆ เล่นเอาร่างกายผมระบมไปหมด อดไปเรียน นอนซมหยอดข้าวต้มอยู่ที่หอ มีพยาบาลสุดหล่อดีกรีเดือนมหาลัยเป็นผู้ดูแล บอกให้มันไปเรียนก็ไม่ยอม ไล่ก็ไม่ไป ไม่รู้อะไรของมัน ป่วยแค่นี้ทำอย่างกูจะตายวันตายพรุ่ง

 

“เฮ้ย! ทำไรวะ” ชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาที่เพิ่งเสร็จภารกิจตากผ้าตรงระเบียงเปิดประตูเข้ามาในห้อง เจอผมที่กำลังยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าตู้เย็นก็รีบปรี่เข้ามาหา

 

ผมรู้นะว่ามันเป็นห่วง แต่บางทีก็เวอร์ไป แก้วน้ำจะหล่นแตกเพราะมึงนั่นแหละ

 

“กูหิวน้ำ” ผมตอบมันพร้อมกับรินน้ำ แต่มันรีบแย่งขวดน้ำไปจากมือผม แล้วรินใส่แก้วซะเอง ผมมองมันแบบค้อนๆ “กูไม่ได้เป็นง่อยนะสัด”

“แต่เวลานี้มึงเป็น!”

“...”

“ไปนอน เดี๋ยวกูเอาแก้วไปให้”

 

ครับ ไอ้เหี้ย

 

สุดท้ายผมก็ต้องคลานกลับขึ้นเตียง รอน้ำประเคนถึงที่ สบายมั้ยล่ะ? แหม แก้วน้ำธรรมดาไม่ได้ด้วยนะ มีหลอดดูดเพื่อความสะดวกอีก อะไรมันจะบริการดีขนาดน้านนนนนน

 

“เอาอะไรอีก?”

“หิวรึเปล่า?”

“อยากเช็ดตัวมั้ย?”

“จะดูทีวีช่องไร?”

 

มันป้วนเปี้ยนอยู่ในห้องผมทั้งวัน แต่ก็ดีอย่าง ผมไม่ต้องทำอะไรเลย สบายเป็นคุณชาย นอนชี้นิ้วสั่งใช้ไอ้คนที่สมควรเป็นคุณชายอย่างไม่เกรงใจ

 

คือผมไม่ได้เป็นอะไรมากเลยครับ แค่ตัวร้อนนิดๆหน่อยๆ(38.7องศาเซลเซียส) ปวดหัวเป็นพักๆ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ กินอะไรก็ฝืดคอ กลืนไม่ค่อยลง แล้วพอได้กินยาที่ไอ้เหี้ยพอสมันหามาให้ก็หลับปุ๋ย แต่มันดูแลซะผมรู้สึกผิด

 

“มึงไม่เห็นต้องโดดเรียนเลย ปี3แล้วนะเว้ย”

 

ผมโพล่งออกไป ผลที่ได้รับกลับมาก็คือสายตาดุๆที่มองกลับมา แต่ก็ไม่ยอมตอบอะไร ผมไม่อยากให้มันโดดอะ โตๆกันแล้ว แค่นี้ผมดูแลตัวเองได้น่า ไม่ใช่เด็กอนุบาลซะหน่อย

 

หรือมันจะอยากแก้ตัวเรื่องหมอน เรื่องไม่รู้วันเกิดผม และเรื่องที่เป็นคนทำให้ผมต้องนอนป่วยแบบนี้?

 

เอาเถอะ แบบนี้ก็สบายดีเหมือนกัน

 

แต่...เอ่อ...อันที่จริง...คือ....ผมยอมรับก็ได้....ว่า....ไม่อยากหายเร็วอ้ะ

 

เพราะถ้าหายเร็ว ผมก็จะต้องขึ้นชกกับมันอีก ใช่มะ? แต่ถ้าหายช้า ก็ยืดเวลาไปอีกนิด แถมไม่ต้องเจ็บตัวไปอีกหน่อย แต่จากที่มันดูแลผม มันก็อยากให้ผมหายเร็วๆนั่นแหละ คงจะเป็นห่วง(+หื่น)จริงๆ

 

ด้วยความที่มียาดี บุรุษพยาบาลสุดเพอร์เฟ็ค และตัวผมที่เอาแต่นอนเป็นง่อย ดังนั้นในวันถัดมา ผมจึงหายไข้เป็นปลิดทิ้ง แต่ยังมีอาการปวดแถวๆสะโพก เอว และบั้นท้ายนิดหน่อย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา

 

ปัญหาที่แท้จริงคือไอ้พวกเพื่อนชอบแซว

 

ผมเดินตรงไปยังห้องเรียน เตรียมใจไว้แล้วว่าต้องโดนพวกมันล้อแน่ๆ แต่ก็เริ่มชินซะแล้ว วันไหนไม่โดนล้อจะรู้สึกแปลกๆเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง

 

เปิดประตูเข้าไป พวกมันนั่งที่ประจำ ไอ้ทัชเห็นผมแล้ว

 

เอาละ เตรียมพร้อมรับฟังใน 3 2 1 ...

 

“ไอ้แกน เลิกเรียนแล้วมีคนรอมึงอยู่ใต้ตึกน่ะ”

 

อะอ้าว ไม่ได้จะแซวกูเหรอ?

 

“ใครว่ะ?” ผมถามกลับไป แต่ไอ้ทัชเพียงแค่ยักไหล่ น้ำเสียงที่มันบอกผมเมื่อกี้ก็นิ่ง ราบเรียบ ไม่ได้หวือหวาเหมือนตอนที่ไอ้เหี้ยพอสมันเข้ามานั่งเรียนด้วย

 

“แอบมีชู้เหรอมึง ระวังตายไม่รู้ตัว” ปากหมาๆจากไอ้แทนที่กำลังเล่นเกมในไอโฟน

 

แต่ผมไม่สน นั่งลงข้างไอ้ทัชแล้วถามมันว่า

 

“เอาดีๆสัด ใครมาหากู?”

“อะ เอาไปดูเองเหอะ กูก็ไม่รู้จริงๆวะ”

 

ไอ้ทัชยัดโอโฟนเคสน้ำตาลมาให้ผม ผมก้มลงดูอย่างงงๆ

 

หลังเลิกเรียนแคลเสร็จ บอกให้แกรนด์รอเจอพี่ใต้ตึก 

 

เบอร์ที่ส่งมาเป็นเบอร์ที่ไอ้ทัชไม่ได้เซฟไว้ แสดงว่าไอ้ทัชไม่ได้สนิทหรือรู้จักจริงๆ ผมส่งคืนให้มันในขณะที่สมองประมวลผลอย่างด่วนจี๋

 

“พี่พอสเหรอว่ะ?”

“ไม่มั้ง” ผมตอบ “เบอร์นี้กูไม่เคยเห็น”

“แล้วใครว่ะเนี่ย? ทำไมไม่ส่งข้อความหามึง จะส่งหากูทำซากอะไร” ไอ้ทัชมันคงอารมณ์เสียแหละครับ ไอ้คนส่งข้อความมาดันเห็นมันเป็นทางผ่าน

“แทนตัวเองว่าพี่ด้วย...หรือจะเป็นพี่รอย พี่โอ สายรหัสมึงอะ”

“กูเซฟเบอร์ไว้ครบทุกคน แล้วทำไมพี่เค้าจะต้องเจอมึงด้วยวะ?” มันว่าพร้อมขมวดคิ้ว

“เสือกรู้ด้วยว่ากูเรียนวิชาอะไร ที่ไหน” แอบน่ากลัวนิดๆแหะ “หรือว่าจะเป็นรุ่นพี่สาวสวยที่แอบชอบกูแต่ไม่กล้ามาขอเบอร์กูตรงๆ เลยไปขอเบอร์มึงแทนไง 55555+”

“เพ้อเจ้อ..หน้าอย่างมึงถ้าเป็นผู้ชายก็ว่าไปอย่าง”

“สัด”

“ช่างแม่งเหอะ เดี๋ยวเลิกเรียนก็รู้เอง”

 

นั่นสินะ

แล้วสรุปใครกัน?

 

 

 

 

ผมลงจากตึกมาพร้อมกับไอ้ทัช บอกให้ไอ้แทน กิ๊ง ส้มโอ เมฆ กลับไปกันก่อนได้เลย เพราะผมกับทัชอ้างว่ามีธุระต่อ แต่อันที่จริงแล้วไม่ได้ไปไหนมารอดูคนที่นัดเจอผมต่างหาก

 

เวลา16.12 น.

 

เวลาเลิกเรียนส่วนใหญ่ของพวกภาคปกติ คนเยอะแยะยั้วเยี้ยเต็มไปหมด เดินกันให้ควั่ก แล้วแบบนี้จะหาเจอมั้ยว่ะเนี่ย? สายตาผมกับไอ้ทัชสอดส่องคนที่คาดว่าจะรู้จักในฝูงชน แต่บังเอิญผมมันสูงมาตรฐานชายไทย เลยได้แต่มองไหล่คน ไม่ก็ต้องเขย่งเอา (อนาถจริง)

 

มองซ้ายมองขวา หาตามซอก ส่องตามมุม ก็ยังไม่เจอคนที่นัดผม เลยตัดสินใจเดินไปนั่งที่โต๊ะดีกว่า ยืนหาแบบนี้นานๆมันเมื่อย

 

“มึงไม่ไปไหนต่อเหรอวะ?” ผมถามคนที่นั่งตรงข้าม แอบเกรงใจมันเหมือนกัน

“เดี๋ยวทิวาลงมา แล้วไปดูหนังกันต่อ”

“อะหะ” คือมึงไม่ได้เป็นคนดีขนาดที่มานั่งรอเป็นเพื่อนกูสินะ ประโยคนี้ผมได้แต่คิดในใจ

“ทิวาเลิกเรียนละ .. เอางี้ เดี๋ยวกูส่งข้อความกลับไปให้ว่ามึงนั่งรออยู่ตรงนี้ กูไปก่อนนะ” ไอ้ทัชลุกขึ้น “บอกกูด้วยว่าใครบังอาจใช้กูเป็นทางผ่าน” มันบอกก่อนจะเดินหันหลังไปหาทิวาที่กำลังลงบันไดมา

 

แล้วทั้งคู่ก็เดินควงแขนกันออกไป...

 

อิจฉาโว๊ยยยยยยยยยยยย

 

อะไร? ไม่ต้องมามองผมแบบนั้น...หะ? อะไรนะ? เฮียพอส? ไอ้เหี้ยพอสอะนะ? ให้ผมไปควงแขนมัน?...รอให้4Gเข้าประเทศไทยก่อนเถอะครับคุณ

 

ผมนั่งเล่นเกมในไอโฟนไปเรื่อย กะว่าจะรอไอ้คนที่นัดเจอผมสักพัก หากเกิน20นาทีแล้วผมจะไม่รอมัน เป็นคนนัดซะเปล่า ชื่อเสียงเรียงนามก็ไม่บอก ดันมาสายไม่ตรงตามนัด ถ้ามันมาเมื่อไหร่ผมจะด่าให้เสียหมาเลย

 

เริ่มหงุดหงิดนิดๆ ผมเคลียร์ด่านสเตจแรกจบหมดแล้ว ก็ยังไม่มีคนไหนเข้ามาทักผม

 

ยอมรับว่าเห็นแก่ตัว คนอื่นรอผมได้ แต่ผมรอคนอื่นไม่ได้ เวลามีนัดอะไรผมมักจะไปเลทสัก15นาทีเสมอ เหตุผลเพราะถ้าผมไปถึงแล้วคนยังไม่ครบจะออกอาการทันที

 

ตอนนี้ 16.30 น.

 

อีก5นาทีถ้าไอ้คนนัดไม่มา ผมจะกลับหอ

 

แต่แล้วผมก็รู้สึกได้ว่ามีคนนั่งลงตรงข้ามผม ที่ที่ไอ้ทัชเคยนั่ง ผมค่อยๆเงยหน้ามอง

 

เฮ้ยยยย!!!

 

ผมเบิกตากว้าง ตะลึงกับคนที่นั่งลงโดยไม่ขออนุญาต แต่ผมก็รีบเก็บอาการนั้น ปรับสีหน้าเป็นเคร่งเครียดเพราะคนตรงหน้าเป็นบุคคลที่ผมคาดไม่ถึง

 

ไอ้ความหงุดหงิดที่มีอยู่แล้วยิ่งเพิ่มขึ้นสูง

 

“มีอะไร?” ผมเอ่ยปากถามทันที ไม่อยากให้คนตรงข้ามนั่งนานๆ เพราะตอนนี้สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่โต๊ะผมแล้ว ชายร่างสูง เสื้อนักศึกษา ไร้เนคไทด์ กางเกงยีนขาเดฟ ไม่บ่งบอกว่าสถาบันไหน ตัดผมสั้นเกรียนทั่วทั้งหัว ใส่แว่นสีชา ขาแว่นสลักแบรนด์เนมชื่อดัง แต่แม่งหล่อเหลือร้าย เจาะหูรู้เบอเริ้ม ชายคนนี้กำลังเป็นที่สนใจของสาวๆในคณะผม แต่ในขณะเดียวกัน นักศึกษาชายหลายคนที่เดินไปมาก็สนใจเช่นกัน

 

แต่สายตาเหมือนอยากจะเอาฝ่าเท้ามารุมกระทืบไอ้คนตรงข้ามนี้ซะมากกว่า

 

ซึ่งผมภาวนาให้เป็นแบบนั้น

 

“เลิกกับไอ้พอสรึยัง?”

 

เหอะๆๆๆ ถ่อมาถึงถิ่นแต่เสือกถามคำถามยั่วโมโห

 

“คิดว่าไงล่ะ?” ผมตอนกวนตีนกลับไป ไม่รู้ว่าไอ้พี่ฮาร์ทมีสีหน้ายังไงเพราะแว่นใหญ่ที่บดบังไปกว่าครึ่ง แต่ถ้าให้เดาก็คงอยากจะฆ่าผมตรงนี้เลยละมั้ง

 

“ถ้ามึงไม่เลิก กูก็จะทำให้พวกมึงเลิกกันเอง!!” พูดจบไอ้พี่ฮาร์ทมันก็ลุกขึ้นแล้วเดินมาฝั่งผมฉุดให้ผมลุกขึ้นทันที

 

“ปล่อยกู!!” ผมพยายามยื้อนั่งลงเหมือนเดิม แต่แรงแม่งเยอะมาก บวกกับคนอื่นๆที่เริ่มมองมาอย่างสงสัย ผมเลยต้องจำใจลุกขึ้นเดินตามมันไปอย่างช่วยไม่ได้

 

“เห้ย ไอ้แกรนด์ จะไป...” เสียงตะโกนเรียกผม ทำให้ไอ้คนที่กำลังลากผมหยุดเดิน หันกลับไปมอง

 

คนที่ช่วยชีวิตผมไว้คือพี่วอร์มนั่นเอง ข้างๆเป็นพี่รอยกับพี่โกเม่ 3คนนั้นเหมือนเดินผ่านมาเห็นผมพอดีเลยตะโกนเรียก แต่ก็ทำหน้างงว่าไอ้สกินเฮดนี่มันเป็นใคร

 

ผมถือโอกาสนั้นสะบัดแขนหลุดจากการจับกุม แต่ก็ยังไม่ไวพอ เพราะคีมเหล็กนั่นคว้าผมไว้ได้ทัน ไอ้พี่ฮาร์ทก้มลงมากระซิบเสียงเหี้ยมใส่หู

 

“ถ้าไม่อยากตายก็พูดดีๆนะไอ้สัด”

 

พี่วอร์มเดินเข้ามาแล้ว แรงบีบที่แขนยิ่งกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ผมพยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ

 

“หวัดดีพี่” ผมยกมือไหว้ ทำให้คนข้างๆต้องปล่อยแขนผม ไม่อย่างนั้นอาจถูกสงสัยเอาได้

“เออ จะไปไหนวะ?..แล้วนี่..ใคร?” พี่วอร์มพูดเสียงโหดเหมือนเดิม ปรายตาไปยังพี่ฮาร์ทที่ยังยืนล้วงกระเป๋าจ้องพี่วอร์มเขม็ง

“รุ่นพี่สอนพิเศษ” เสียงตอบมาจากคนที่ยืนซ้อนด้านหลังผม

“ห๊ะ?” เสียงผมกับพี่วอร์มดังขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แต่แรงบิดที่หลังทำให้ผมต้องรีบเปลี่ยนอากัปกิริยาอีกครั้ง

“อะ..อ๋อ...ใช่ นี่รุ่นพี่สอนภาษาอังกฤษผมเอง” พี่รหัสทำหน้างงๆ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ซักถามอะไร ไอ้พี่ฮาร์ทมันก็พูดว่าขอตัวแล้วดึงผมไปด้วยทันที

 

“ไอ้แกรนด์มันเรียนอิ๊งเทอม2ไม่ใช่เหรอว่ะ?” พี่รอยที่เป็นผู้สังเกตการณ์ถามอย่างงงๆ

“เพิ่งรู้ว่าน้องรหัสมึงขยันจนต้องจ้างรุ่นพี่มาสอนพิเศษ” พี่โกเม่มองตามหลังรุ่นน้องกับรุ่นพี่ที่ไม่คุ้นด้วยสายตาเปล่งประกาย “รุ่นพี่นั่น...ไม่เคยเห็น แต่หล่อดีวะ ตรงสเป๊คกูเลย”

 

ส่วนคนเป็นพี่รหัสนั้นได้แต่ยืนนิ่ง ในสมองกำลังครุ่นคิดบางอย่าง...

 

 

 

ตลอดทางผมพยายามนิ่งๆ ไม่อยากโวยวายอะไรมากเพราะคนเยอะ ไอ้พี่ฮาร์ทมันก็คงรู้ดีว่าผมไม่อยากขายหน้า ถึงได้ใช้โอกาสนี้บีบข้อศอกผมจะเจ็บระบมไปหมด มันลากผมมายังรถสปอร์ตคันเดิม ยัดตัวผมเข้าไปนั่ง ปิดประตูเสียงดังอย่างไม่กลัวว่ามันจะหลุดออกมา

 

แต่หน้าอย่างผมมีเหรอจะเข้าไปนั่งง่ายๆ?

 

ในเมื่อมันยัดผมเข้าไปในรถได้ ผมก็มีมือมีตีนออกมาได้เหมือนกันละน่า

 

“หยุดเลยไอ้สัด!” คนที่กำลังอ้อมไปฝั่งคนขับตะโกนด่าผมทันที แต่ผมไม่สนแล้ว

 

ขอกูหนีก่อนเถอะ

 

แต่ไอ้พี่ฮาร์ทมันไวมากครับ เพียงแค่ไม่กี่วิมันก็เข้าถึงตัวผมได้อย่างรวดเร็ว สายตาหลังกรอบแว่นจ้องผมแบบที่ไม่ต้องมองทะลุก็รู้สึกได้

 

“เหอะ! ผัวเยอะดีนี่มึง จะวิ่งกลับไปหาไอ้คนเมื่อกี้ล่ะสิ”

“เออ!!! ปล่อยกูได้รึยัง”

 

ในเมื่อแม่งอยากจะยัดเยียดให้ ก็รับแม่งเต็มๆเนี่ยล่ะ

 

“ไม่! แต่ว่างๆก็ไปตรวจเลือดบ้างนะ เผื่อเป็นเลือดบวกแล้วกูจะจองที่ในวัดพระบาทน้ำพุให้”

“สัดเอ๊ยยย ไหนว่าเกลียดเกย์ไงวะ ปล่อยกูสักที!” ผมย้ำสิ่งที่มันเคยพูด แต่ไอ้คนพูดก็เหมือนกลืนน้ำลายตัวเอง ไม่สนว่าเคยพ่นอะไรออกมา

“คิดว่ากูพิศวาสอยากจับมึงนักเหรอ?”

“ก็ปล่อยสิวะไอ้เหี้ย”

“ปล่อยก็โง่สิวะ เดี๋ยวมึงก็หนีอีก”

“แม่ง...เออๆ ปล่อยกูก่อน กูไม่หนี แต่กูเจ็บ”

 

สิ้นคำ มันก็ปล่อยแขนผมอย่างแรง ผมสะบัดแขนให้คลายอาการปวดนิดหน่อย ผมกับมันยืนอยู่ข้างรถสปอร์ตสีเหลืองแสบตา สร้างความเด่นจนคนรอบข้างเริ่มหันมามอง

 

“มีไรก็พูดกันตรงนี้” ไม่อยากเสี่ยงขึ้นรถมัน ผมยังรักตัวกลัวตายอยู่ อยากจะเคลียร์ให้มันจบๆโดยที่ไม่ต้องลากไปมาให้เสียเวลา

 

ไอ้พี่ฮาร์ทนิ่งไปสักพักก่อนจะขยับปาก

 

“กูบอกให้มึงเลิกกับไอ้พอส” คราวนี้ไอ้พี่ฮาร์ทไม่ได้ตะคอกหรือขู่เสียงดังเหมือนอย่างเคย ผมแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ยังคงความระแวงไว้

“เหอะ ถึงกูเลิกกับพี่พอสไป ก็ไม่ได้ช่วยให้คนชื่อหมอนกลับมาคบกับพี่พอสเหมือนเดิมหรอกนะ” ผมพูดจี้จุดตรงๆ และดูเหมือนจะจี้ได้ถูกจุดซะด้วย “อีกอย่างมึงรักคนชื่อหมอนไม่ใช่เหรอ? มึงก็กลับไปง้อสิวะ...อ้อ...หรืออยากทำตัวเป็นพระรองที่แสนดีช่วยให้นางเอกกับพระเอกสมหวัง เหอะๆ” ผมทำเสียงล้อก่อนจะปิดท้ายด้วยความสมเพช ไอ้พี่ฮาร์ทมันหันไปมองทางอื่นคล้ายกับไม่อยากรับรู้เรื่องนี้

 

จะว่าสงสารก็สงสาร แต่เสือกร้ายกับกูก่อนทำไมล่ะ? พูดดีๆมาเตือนกูดีๆแต่แรกก็จบแล้ว

 

“บอกไว้ก่อนนะ ตราบใดที่พี่พอสยังรักกูอยู่ กูก็จะไม่มีวันเลิก ต่อให้มึงหรือคนชื่อหมอนมาตรอมใจตายตรงหน้าก็ตาม” คนฟังหันหน้ากลับมามองผมอีกครั้ง

“ไอ้พอสเห็นมึงเป็นแค่ของเล่น” อีกครั้งที่มันใช้น้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่มีอะไรให้เดือดร้อน แต่ผมยอมให้มันทำป่าเถื่อนเสียงดังใส่ดีกว่านิ่งสงบแบบนี้

 

เพราะมันแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พูดนั้นจริงจัง...จนน่าหวั่นกลัว

 

แต่ผมจะมาหวั่นไหวเพราะคำพูดแค่นี้ไม่ได้ ผมเชื่อในสิ่งที่เห็นมากกว่าสิ่งที่ได้ยินจากปากคนอื่น ไอ้พี่ฮาร์ทมันอาจจะแสดงละครปั้นเรื่องมาหลอกผมอยู่ เพื่อตัวเองใครๆก็สามารถเป็นได้ทั้งนั้น ไม่สนหรอกว่าวิธีการมันจะเลวร้ายสักแค่ไหน

 

“มึงรู้จักไอ้พอสดีแค่ไหน?” คนข้างตัวหันกลับมาถาม

 

เป็นคำถามที่ผมไม่อยากตอบ

 

“เหอะๆ มึงก็สถานะเดียวกับกูนั่นแหละ โง่แล้วอวดฉลาด” จากตอนแรกที่ผมควรสมเพชมันแต่ตอนนี้กลับโดนมันดูถูก

 

สถานะเดียวกับไอ้พี่ฮาร์ทงั้นเหรอ?

ตกลงยังไงกันแน่?

 

“มึงคงไม่รู้สินะ งั้นเดี๋ยวกูจะช่วยให้มึงตาสว่างเอง...ขึ้นรถ”

“กูบอกแล้วว่าไม่”

“ตามใจ อยากหูหนวกตาบอดตลอดไปก็เชิญ”

 

ไอ้พี่ฮาร์ทไม่ดึงดันผม เดินอ้อมไปฝั่งคนขับเหมือนเดิม

 

เอาไงดีวะ?

แต่คราวที่แล้วมันก็พาไปส่งหอดีนี่หว่า ไม่ได้ทำอะไรให้ต้องเจ็บตัวเหมือนในห้องน้ำอีก

 

ขณะที่ผมกำลังตัดสินใจนั้นเจ้าของรถก็เปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่

 

สุดท้าย...ผมก็เลือกที่จะเปิดประตูและแทรกตัวเข้าไปนั่งด้วยความสมัครใจ

 

“หึ ไหนว่าไม่ไง?” พี่ฮาร์ททักทันทีที่ผมหย่อนก้นลงบนเบาะ

“จะพากูไปไหน?” ผมไม่ตอบแต่ถามกลับ ตอนนี้คนขับสตาร์ทรถและออกตัวอย่างช้าๆ

“โรงแรม”

“ห๊ะ! ไอ้สัด!! จอดเลย!!!”

 

เหี้ยเอ๊ยยยย ไม่น่าหลวมตัวเชื่อคำพูดพล่อยๆของแม่งเลยจริงๆ

 

“หุบปากซักทีเหอะ โวยวายอยู่ได้ กูยังพูดไม่จบ” ไอ้พี่ฮาร์ทบอกอย่างรำคาญในขณะที่ผมก็ยังพยายามที่จะลงจากรถให้ได้

“เชี่ย ก็มึงจะพากูไปโรงแรม!”

“โรงแรมที่เป็นสถานที่จัดงานหมั้นของไอ้พอสอะจะไปมั้ย!?”

 

...

งานหมั้น?

 

“งานหมั้นของไอ้พอสกับหมอน” มันย้ำโดยที่ผมไม่ต้องถามซ้ำ “ถึงจะจัดปีหน้า แต่ครอบครัวของไอ้พอสกับหมอนก็ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้ว รอให้หมอนกลับมาจากสวิสแค่นั้นแหละ”

 

ตัวผมชาวาบ มือเย็นเฉียบ สมองเริ่มคิดไปต่างๆนานา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังโกหกตัวเองว่าคนข้างๆมันแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อที่จะให้ผมไม่เชื่อมั่นในตัวบุคคลที่กำลังพูดถึง

 

ผมก้มลงมองแหวนโดยไม่รู้ตัว

 

“หมั้นไว้ก่อนนะครับ”

 

คำพูดของคนที่มอบแหวนนี้ให้ลอยเข้ามาในหู

 

“ก็ช่วงนั้นเอ็งไปสวิส พอกลับมาข่าวก็เงียบไปแล้ว ลืมๆกันไปเลยไม่มีใครบอกเอ็ง”

 

คำพูดจากรุ่นพี่สโมในตอนที่ผมกับไอ้เหี้ยพอสติดอยู่ในตึกแล้วเจอลุงภารโรงก็ดังต่อเข้ามา

 

แต่...มันอาจจะบังเอิญก็ได้

ผมพยายามเข้าข้างตัวเอง

 

“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่มึง”

 

อย่า...อย่าพูดแบบนี้

มันจะดีกว่าถ้าหากพี่ฮาร์ทก่นด่าผมว่าโง่ เกย์ไร้สมอง โดนหลอกบอกรัก ทั้งๆที่คนๆนั้นเค้ามีคู่หมั้น มีเป้าหมายที่จะต้องแต่งงานไว้แล้ว

 

จะโกหกกูทั้งทีทำไมต้องเอาเรื่องหมั้นของครอบครัวมาหลอกด้วย...โกหกเรื่องอื่นไม่ได้เหรอไง...

 

เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง...แม้ใจจะเทไปทางฝั่งเชื่อมากกว่าแล้วก็ตาม

 

ต้องถาม...ต้องคุยให้รู้เรื่อง

 

ทั้งๆที่คิดว่าคืนก่อนเคลียร์ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผมดันชะล่าใจเอง นึกว่ามันเล่าหมดทุกอย่าง  สารภาพจนหมดเปลือก เลยไม่อยากเซ้าซี้อะไรมาก

 

“แล้วยังติดต่อกับหมอนอยู่รึเปล่า?” 

 “จะรู้ไปทำไม?” 

“กูบอกแล้วนะว่าไม่ชอบให้ตอบคำถามด้วยคำถาม” 

“ครับ ขอโทษครับ” 

“ตอบสิวะ” 

“ก็...มีโทรคุยกันบ้าง” 

 

ผมน่าจะรู้นะ...ว่าไอ้พวกที่ตอบคำถามด้วยคำถาม มักจะมีอะไรผิดบังหรือไม่ก็อยากเลี่ยงเสมอ เหมือนที่ผมปิดบังมันเรื่องพี่ฮาร์ทจะเอาผมในห้องน้ำไง

 

ไม่...ผมจะตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องคุย ต้องโทรถามให้รู้เรื่อง!

 

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ล้วงประเป๋าเสื้อเพื่อหยิบโทรศัพท์ จู่ๆรถก็เบรคจนหลังเด้งขึ้นมา

 

เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดด!!

 

“เชี่ยเอ๊ย!!” พี่ฮาร์ทสบถลั่น คงไม่ใช่เพราะกลัวรถเป็นรอยหรอก แต่เพราะรถที่พุ่งตัดเข้ามาขวางอย่างไม่กลัวเกรงซะมากกว่า

 

ไม่ใช่บีเอ็มสีดำที่คุ้นตาเท่านั้น ร่างสูงที่กำลังก้าวลงจากรถก็คุ้นตาเช่นกัน ชุดนักศึกษาที่ผมรีบให้แบบลวกๆเมื่อเช้า กางเกงยีนส์แบรนด์ดังแต่ไม่ได้ซักมา3วัน...ทั้งหมดนั่นต่อให้หันหลังผมก็รู้ว่าคือใคร

 

คงไม่ต้องโทรแล้วละมั้ง...ในเมื่อมาหาถึงที่

 

ใบหน้าที่เรียกเสียงกรี๊ดเหล่าสาวแท้สาวเทียมกำลังบึ้งตึง ไม่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์หรือลักยิ้มบุ๋มที่ข้างแก้ม ช่วงขายาวก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวรถและกระชากผมลงทันใด

 

“โอ๊ย”

 

วันนี้กูโดนกระชากกี่รอบแล้ววะเนี่ย?

 

“กูบอกแล้วไงว่าอย่าเจอมัน!!” ไอ้เหี้ยพอสตะคอกใส่ผม แรงบีบที่แขนนั่นบ่งบอกได้ดีว่ามันโกรธมากแค่ไหน ทำเอาไอ้ที่พี่ฮาร์ทมันลากผมเมื่อกี้กลายเป็นเด็กจูงมือไปเลย

 

แต่เวลานี้ผมไม่รู้สึกเจ็บอะไรแล้ว...เพราะความรู้สึกทั้งหมดนั่นถูกกลบเกลื่อนด้วยความเสียใจที่รอการยืนยันบางอย่าง

 

“ปล่อย” รู้สึกว่าจะใช้คำนี้เปลืองเหมือนกัน ผมพยายามขืนตัวไม่ขึ้นรถบีเอ็มที่เปิดประตูค้างไว้ ไม่รู้ว่าสายตาผมมันแสดงความเสียใจ เจ็บปวด สงสัย อยากรู้ หรือความหวังออกไปบ้างรึเปล่า เพราะคนที่จ้องมองกลับมาถึงกับชะงักไป

 

ไอ้เหี้ยพอสปล่อยผมแต่โดยดี และหันไปจัดการกับคนที่ทำให้ผมได้รู้ความจริง

 

“ไอ้เหี้ยฮาร์ท มึงทำอะไรแกรนด์!!!” อดีตเพื่อนสนิทคว้าคอเสื้อหมายจะต่อยให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำไม่ลง ส่วนอีกฝ่ายก็ยิ้มเยาะ ท่าทางสบายๆยั่วโมโห

“กูช่วยมึงนะไอ้พอส”

“ไม่ยักรู้ว่ากูขอความช่วยเหลือจากมึงเมื่อไหร่”

“เวลาถึงงานหมั้นจะได้บอกน้องแกรนด์เค้าง่ายๆไง”

 

คนที่กำลังกำคอเสื้อถึงกับนิ่งอึ้งไป

 

“มึง...ว่าอะไรนะ?”

“กูก็แค่ช่วงสงเคราะห์ กะว่าจะพาน้องแกรนด์เค้าไปดูสถานที่จัดงานหมั้นมึง...”

“ไอ้เหี้ย!!!!!!”

 

พลั่ก!!

 

หมัดที่ค้างไว้เมื่อสักครู่ชกเข้าเต็มๆโดยไม่สนว่านี่คือกลางถนนและเริ่มมีคนยืนมองเหตุการณ์นี้ แต่ไอ้เหี้ยพอสมันเข้าไปดึงตัวพี่ฮาร์ทที่ล้มลงพิงประตูรถตัวเองขึ้นมาแล้วซัดอีกหมัดเข้าจังๆ ฝ่ายที่โดนอัดเข้าไป2หมัดก็ใช่ว่าจะยอมง่ายๆ ลุกขึ้นมาปัดป้องแล้วเหมือนกัน

 

กลายเป็นมวยคู่เอกกลางท้องถนน

 

“หยุด!!”

 

ปล่อยให้ชกกันจนสาแก่ใจแล้วค่อยตะโกนคำนี้ ผมยืนมองทั้งคู่ที่แยกห่างออกจากกันแล้ว คงเพิ่งนึกได้ละมั้งว่านี่กลางถนน แต่ยังดีที่อยู่ในเขตมหาวิทยาลัย รถเลยไม่เยอะเท่าไหร่ แต่คนมุงดูเนี่ยสิที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

 

เหอะๆ ก็คนมีเรื่องดันเป็นขวัญใจสาวๆที่รู้จักกันไปทั้งมหาลัย คู่ชกก็หล่อใช่เล่น รถยุโรปหรูที่จอดค้างเติ่งกีดขวางทางจราจรนั่นก็สะดุดมิใช่น้อย ส่วนผมเหรอ? ก็ได้แต่ยืนมองรอให้แม่งชกเสร็จยังไงล่ะ ยืมมือให้เหี้ยพอสเอาคืนพี่ฮาร์ทแล้วก็ยืมมือพี่ฮาร์ทเอาคืนไอ้เหี้ยพอส..ผมไม่ผิดใช่มั้ย?

 

“ขึ้นรถ” เสียงเจ้าของบีเอ็มสั่งผม

“อ้าว ไม่อยากไปดูสถานที่จัดงานแล้วเหรอ?”

“หุบปาก!” ไอ้เหี้ยพอสหันไปด่าคนที่กำลังเช็ดมุมปากตัวเองก่อนจะหันมามองผมแล้วสั่งอีกครั้ง “ขึ้นรถ”

 

แต่ผมยืนนิ่งและเอ่ยถามช้าๆ

 

“มึง...จะหมั้นกับคนชื่อหมอนจริงรึเปล่า?” เสียงผมเบามาก

 

ใจหนึ่งก็อยากรู้คำตอบ แต่อีกใจก็กลัวคำตอบจนไม่อยากรู้เช่นกัน

 

ผมไม่รู้ว่าคนถูกถามมีสีหน้ายังไง เพราะตอนนี้ผมก้มหน้า มองปลายเท้าตนเอง กลัวที่จะสบตา แต่ประสาทหูเปิดรับฟังคำตอบ

 

“อืม”

 

คำตอบที่แผ่วเบาไม่แพ้กัน

 

แต่มันกลับดังชัดในความคิดผม

 

“แกรนด์....ขึ้นรถก่อน...กลับไปคุยกันที่ห้อง” มันบอกผมแบบนั้น แต่ผมเลือกที่จะก้าวห่างจากมัน ผมเงยขึ้นมอง สีหน้ามันเจ็บปวดที่จะต้องพูดความจริง

 

แล้วทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก

ทำไมต้องให้รู้จากปากคนอื่น

นี่ถ้าพี่ฮาร์ทไม่มาบอกกูก็ต้องทนโง่เป็นควายไปตลอดจนถึงงานหมั้นมึงใช่มั้ย?

 

อยากจะโพล่งถามออกไป แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน

 

“กลับไปคุยกันก่อนนะ...ขอร้องล่ะ” น้ำเสียงที่อ้อนวอนให้ผมกลับไปหาแต่ผมทำไม่ได้

 

อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้

 

ผมหันหลังและวิ่งทันที โบกมือเรียกแท็กซี่ ปิดประตูอย่างรวดเร็ว เสียงทุบกระจกตบตัวรถทำให้โชเฟอร์หันมามองอย่างสงสัย

 

“ไปเลยครับพี่”

ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีคนคนนี้

 

ผมพิงตัวลงกับเบาะอย่างอ่อนแรง

 

ขอบคุณที่น้ำตายังไม่ไหล

 

 

 

ผมเลือกที่จะมาฝังตัวอยู่ที่คอนโดไอ้ทัชเพราะถ้ากลับหอคนที่ไม่อยากเจอมันต้องไปดักรอแน่ๆ ถ้ากลับบ้าน มะม๊าก็จะต้องถามและเป็นห่วง ผมไม่อยากให้ท่านต้องคิดมาก ดังนั้นคอนโดเพื่อนสนิทที่ไม่เคยถามเซ้าซี้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

 

ผมมาถึงช้าเพราะต้องเสียเวลาวนโน่นนี่หลายรอบ เนื่องจากบีเอ็มสีดำขับตามมาอย่างไม่ให้คลาดสายตา กว่าจะสลัดหลุดมิเตอร์ก็พุ่งไปหลายร้อยบาท

 

“กูขอมาอยู่ด้วยสักพัก...อย่าบอกใครนะ”

“ทะเลาะกับพี่พอส?”

“ไว้กูพร้อมแล้วจะเล่าให้ฟัง”

 

ผมอาบน้ำเข้านอนได้ยังไงก็ไม่รู้ โทรศัพท์ก็ปิดตั้งแต่อยู่ในแท็กซี่แล้ว นั่งบนโซฟาสายตาเลื่อนลอย ทีวีที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ช่วยเรียกความสนใจจากผมได้เลยสักนิด

 

“แกรนด์ พี่พอสโทรมา”

“...”

“กูบอกว่าไม่รู้แล้วกันนะ”

 

รู้ว่าไอ้ทัชไม่อยากโกหก แต่ก็เพื่อความสบายใจของผม มันเลยต้องจำใจตอบแบบนั้นไป มันพยายามชวนผมคุยเรื่องอื่น ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องเกมส์ เรื่องหนัง เรื่องไร้สาระ เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำให้เพื่อนได้ แต่สุดท้ายผมก็วกกลับมาคิดเรื่องเดิมๆอยู่ดี

 

หมั้น...

 

คนเราจะหมั้นพร้อมกับทีเดียวสองคนไม่ได้หรอกนะ แหวนสวมเข้าได้ก็ถอดออกได้ มันก็เหมือนกับการหมั้นที่หมั้นแล้วก็ถอนหมั้นได้เหมือนกัน

 

แต่ในกรณีนี้...ผมคงต้องเป็นฝ่ายถอนหมั้นเองใช่มั้ย?

แหวนที่สลักสัญลักษณ์อินฟินิตี้บนนิ้วนางเป็นเครื่องประดับชิ้นเดียวที่ผมใส่ติดตัวมาตลอด ไม่เคยถอด แม้ว่าแหวนที่วาดด้วยปากกาบนนิ้วใครอีกคนนั้นจะจางหายไปแล้วก็ตาม

 

ขอเพียงแค่ได้ใส่แหวนต่อไปอีกสักนิด...

 

 

 

2-3วันต่อมาผมตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้ไอ้ทัชฟัง มันบอกให้ผมกลับไปคุยดีๆอีกครั้ง เผื่อจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ก็ได้ แต่ผมยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้า ผมหลบเลี่ยงมันตลอดที่มหาลัย มันทั้งตามหา ตะโกนเรียก โทรเข้ามาเป็นร้อยๆสายจนทำคนอื่นปั่นป่วนไปหมด

 

“แกรนด์ มึงไปคุยกับพี่พอสเถอะ กูเห็นแล้วสงสารพี่เค้า”

 

แล้วมึงไม่สงสารกูเหรอส้ม..?

 

“ไอ้แกน กินข้าวบ้างเถอะ อย่างกับซากศพเดินได้เลยมึง”

 

มันกินไม่ลงว่ะแทน กูกินไม่ลงจริงๆ

 

ผมเป็นแบบนี้ตลอดทั้งสัปดาห์ ตื่นนอน ไปเรียน กินข้าว กลับคอนโดไอ้ทัช นอน โดยที่ไม่รู้ว่าทำอะไรลงไปบ้าง ใจมันนึกถึงอีกคนที่เคยอยู่ด้วยกันตลอดเวลา อยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก

 

ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นแบบนี้

 

แค่คนคนเดียว

 

“พี่พอสไม่ต่างจากมึงเลยนะแกรนด์...เผลอๆจะหนักกว่ามึงด้วยซ้ำ” ไอ้ทัชมันบอกผมแบบนี้

 

ผมอยากไปหา อยากคุย อยากนอนกอด อยากยิ้ม อยากกวนตีน อยากหัวเราะ อยากได้ยินเสียง อยากรู้ว่ามันเป็นไงบ้างถ้าไม่มีผม

 

เวลาเจอกันที่ม.ผมจะเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงตลอด ไม่อยากเห็นสายตาที่ทั้งเจ็บปวด เสียใจและเรียกร้องให้ผมกลับไปหา จนหลังๆมานี้ ผมไม่ค่อยเจอมันแล้ว

 

รู้แค่ว่ามันแข่งบาสแพ้...

สมัครเข้าร่วมค่ายอาสาทุกอย่างจนไม่ว่างตลอดทั้งเดือนยาวไปจนถึงปิดเทอม...

มันคุยกับคนชื่อหมอนเรื่องชุด เรื่องแหวน เรื่องของหมั้นรึยัง พ่อแม่มันว่ายังไงบ้าง?...

ใกล้สอบไฟนอลแล้ว หวังว่ามันจะได้Aหลายตัวนะ...

 

เกรงใจไอ้ทัช อาศัยอยู่กับมันมา2สัปดาห์แล้ว ค่าน้ำค่าไฟจะช่วยออกมันก็เสือกไม่รับ มันบอกแค่ว่าให้ผมกลับมาเป็นเหมือนเดิม กลับไปคุยดีๆกับพี่พอสก็พอแล้ว แค่นั้นที่มันต้องการ ผมได้แต่พยักหน้าและบอกมันว่าจะพยายาม ผมกลับมานอนที่หอเหมือนเดิม แต่ไม่เหมือนเดิมที่คนข้างกายหายไป ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างถูกยกออกไปจนหมด เหมือนตอนแรกที่ผมยังอยู่คนเดียว

 

ไม่มีใคร...

 

เปิดประตูห้องเข้ามาสิ่งแรกที่เจอคือความมืดมิด เงียบงัน และกุญแจสำรองที่วางไว้บนพื้น คาดว่าอีกฝ่ายที่ผมเคยมอบไว้ให้คงจงใจสอดใต้ประตูทิ้งเอาไว้

 

ไม่มีโน้ต ไม่มีอะไรทั้งนั้น

 

ผมเดินมาทิ้งตัวนอนคว่ำ แขนและมือยื่นออกไปนอกเตียง

 

สิ่งที่อดกลั้นมานานกำลังไหลออกมาช้าๆ

 

แกร๊งงง

 

แหวนที่ไม่เคยถอด บัดนี้ได้ร่วงหล่นสู้พื้นกระเบื้องเพราะนิ้วที่ผอมลง

 

ราวกับตอกย้ำความทรมานนี้...

 

“หมั้นไว้ก่อนนะครับ” 

“พี่รักแกรนด์นะครับ” 

“พี่อาจไม่ใช่คนดีถึงขนาดจะพูดว่ารักแกรนด์ตลอดไปหรอกนะ...คำว่าตลอดไปของใครหลายๆคนอาจจะยังไม่พ้นปี แต่เรื่อยๆของพี่คนนี้คือมีตลอดไป” 

“ครับ...แต่ทำไมพี่ถึงรักแกรนด์มากขึ้นทุกวันเลย...รักมาก....รักมากจริงๆ....รักจนกลัว กลัวว่าแกรนด์จะหายจากพี่ไป...ทีหลังอย่าพูดอะไรที่มันเป็นลางไม่ดีรู้มั้ย?”

“พี่รักแกรนด์”

 

คำพูดเหล่านั้นยังติดหู ทุกๆการเคลื่อนไหวยังอยู่ในความทรงจำ มองไปทางไหนก็เจอแต่ภาพคนคนนั้นวนเวียนอยู่รอบห้อง เสียงสะอึกสะอื้นยิ่งกว่าขาดใจดังก้องไปทั่ว

 

ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม เหงื่อออกโทรมกายก็ไม่สนใจ ขอแค่ได้ร้อง...เผื่อมันจะช่วยบรรเทาความทรมานนี้ได้...สักนิดก็ยังดี

 

ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีใครเลย

 

 

 

 

 

 

 Talk

กลับมาแล้วค่า

เปิดเทอมวันแรก ฮ่าๆๆๆ

เอามาม่าไปชามโตๆเล๊ยยยย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา