[Saint Omega]For you or me ?

7.0

เขียนโดย MeiaR

วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.59 น.

  15 บท
  2 วิจารณ์
  19.76K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558 22.58 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

6) ความรู้สึกที่ไม่ควรมี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 6 ความรู้สึกที่ไม่ควรมี

            “เฮ้! ขนมาทางนี้เลย”เสียงตะโกนสั่งการของคนงานดังไปทั่วบริเวณพื้นที่ซ่อมแซมซึ่งก็มีเหตุการณ์คล้ายๆกันทั่วแซงค์ทัวรี่หลังจบศึกซึ่งพวกเซนต์หลายคนที่ไม่ได้ออกเดินทางไปที่ไหนหรือรักษาตัวอยู่ต่างออกแรงช่วยด้วยเหมือนกันซึ่งก็เป็นเรื่องยกเว้นใครคนหนึ่งที่กำลังเข็นรถขนหินอยู่แต่ก็โดนเพื่อนสนิทสั่งให้หยุด

            “โคกะใครให้นายมาช่วยงานเล่า!”โซมะโวยวายเสียงดังแต่บริเวณนี้ก็มีเสียงตะโกนดังอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วจึงไม่มีใครสนใจ คนถูกเตือนชักสีหน้าไม่พอใจนิดหน่อยที่โดนทำเหมือนเป็นคนป่วยสาหัสใกล้ตาย

                “ฉันสบายดีน่า”ที่สำคัญเขาอยากช่วยให้แซงค์ทัวรี่อันแสนสำคัญของคุณซาโอริกลับมาเหมือนเดิมเร็วขึ้นสักนิดก็ยังดีทั้งที่คุณหมอยอมอนุญาตแล้วแต่กลับโดนโซมะมาห้ามโคกะย่อมไม่พอใจตามประสาคนดื้อรั้น โซมะหรี่ตามองเพื่อนหัวดื้อที่ไม่ยอมเชื่อที่เขาบอกแม้แต่นิดเดียวแล้วก็โวยกลับไป

                “แล้วเมื่อวันก่อนใครหน้าไหนกันที่มาสลบอยู่แถวนี้ลำบากให้ไลโอเน็ตผู้แสนดีคนนี้ต้องแบกกลับไปส่งที่ห้องมิทราบ”ได้ยินโซมะพูดแบบนี้คนหัวดื้อก็ถึงกับสะอึกเหมือนกัน คราวนี้จะบอกว่าไม่ได้ฝืนก็กลายเป็นพูดไม่ออกไปเลยได้แต่ตวัดสายตาขุ่นเคืองกลับไปยังเพื่อนสนิทที่ยืนกอดอกพร้อมรอยยิ้มแห่งชัยชนะอยู่ข้างๆ

                “ชิ รู้แล้วน่าเดี๋ยวช่วยตรงนี้เสร็จฉันไปพักก็ได้”โคกะยอมอ่อนข้อให้ซึ่งความจริงโซมะอยากให้โคกะกลับไปพักที่ห้องมากกว่าแต่ก็รู้นิสัยเพื่อนตัวเองดีจึงยอมถอยให้เช่นกัน

                “เฮ้อ....ช่างน่าสงสารเอเดนจริงๆ”เด็กหนุ่มธาตุไฟพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินไปกลับทำงานต่อทิ้งให้โคกะยืนงุนงงอยู่เพียงลำพังกับคำพูดนั้น

                “แล้วมันเกี่ยวกับเอเดนตรงไหนกัน”ดวงหน้าหวานส่อแววอารมณ์เสียทันทีเมื่อได้ยินชื่อคนที่ตัวเองเกลียด แต่แล้วใจของเขากับพาลไปคิดถึงเหตุการณ์เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนขึ้นมา

                เขาจดจำได้ถึงความอบอุ่นของอ้อมกอดที่รัดเขาแน่นในยามที่เอเดนใช้ร่างกายตัวเองรับการโจมตีแทนเขาพร้อมกันนั้นโคกะก็ยังหวนระลึกถึงวันต่อมาที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในวงแขนของอีกฝ่าย พอลองนึกดูเขาถึงได้เข้าใจว่าตนเองเผลอหลับไปแต่เขาก็ไม่คิดเลยว่าเอเดนจะยอมให้เขานอนอยู่เคียงข้างทั้งยังวางแขนบนเอวของเขาคล้ายกับจะกอดเอาไว้อีกด้วย

                เหตุการณ์นั้นทำให้โคกะทำอะไรไม่ถูกได้แต่นอนนิ่งๆอยู่แบบนั้นซึ่งก็ทำให้เขาได้มองใบหน้าของเอเดนตรงๆในระยะใกล้ ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับว่าเอเดนเป็นหนุ่มรูปงามคนหนึ่งแม้จะสูญเสียสีสันของเส้นผมไปเพราะเรื่องของอาเรียแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความดูดีของชายหนุ่มลดลงเลย

                ใบหน้าคมกับดวงตาสีมรกตและลักษณะภายนอกที่ดูหยิ่งทะนงตนราวกับเจ้าชายต่างก็เป็นสิ่งที่ทำให้เอเดนดูน่าเกรงขามและเย็นชาจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้ คงจะมีเพียงยามที่มองไปยังอาเรียเท่านั้นที่เอเดนจะเผยสีหน้าอ่อนโยนออกมาให้ได้เห็นในขณะที่ทุกครั้งเมื่อเขาถูกเอเดนมองเขากลับไม่อาจอ่านความรู้สึกใดๆได้เลย

                หากว่าอาเรียยังคงมีชีวิตอยู่ชายหนุ่มจะมองเขาด้วยสายตาแบบไหนกันนะ....

                เมื่อความคิดนี้แว่บผ่านเข้ามาโคกะก็รู้สึกอยากจะชกหน้าตัวเองสักหมัดเพื่อเรียกสติ แต่ในตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงหนึ่งดังออกมาจากริมฝีปากคู่นั้น

                “อาเรีย...”ชื่อของเธอที่จากไปซึ่งยังคงฝังลึกอยู่ในใจของเขาทั้งสองคน โคกะรู้สึกผิดและโทษตัวเองมาตลอดที่ไม่สามารถปกป้องเธอได้แล้วเอเดนล่ะจะรู้สึกอย่างไรที่ไม่ได้รับแม้กระทั่งโอกาสที่จะปกป้องเธอ เขารู้แค่ว่าน้ำเสียงของเอเดนที่ลอดผ่านออกมานั้นฟังดูเจ็บปวดอย่างที่สุด

                ใบหน้าที่เคยนิ่งสงบเริ่มปรากฏเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นมา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันคล้ายกับคนกำลังฝันร้าย ท่าทางทุกข์ทรมาณของเอเดนที่ได้เห็นทำให้เขารู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ โดยไม่รู้ตัวโคกะค่อยๆยกมือขึ้นวางลงบนแก้มของชายหนุ่มแผ่วเบาคล้ายกับว่าจะช่วยดึงชายหนุ่มออกจากฝันร้าย การกระทำนี้ช่วยให้สีหน้าของเอเดนดูดีขึ้นเล็กน้อยเด็กหนุ่มจึงยังคงทาบฝ่ามือบนใบหน้าของชายหนุ่มต่อไปจนกระทั่งอีกฝ่ายลืมตาตื่น วินาทีที่แก้วตาสีมรกตปรากฏขึ้นหลังม่านตาโคกะถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองทำอะไรลงไป

                ทางด้านเอเดนก็มีสีหน้างุนงงเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงปล่อยมือที่โอบเอวโคกะอยู่แล้วยกขึ้นวางทาบทับมือที่วางอยู่บนแก้มตนเองเหมือนกับจะพิสูจน์ให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้กำลังฝันอยู่แล้วจากนั้นเอเดนถึงได้ปล่อยมือ โคกะค่อยๆชักมือกลับด้วยสีหน้าที่ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ทางด้านเอเดนก็ไร้ซึ่งคำพูดใดๆทั้งสองคนต่างก็จับจ้องกันอยู่แบบนั้นอยู่เนิ่นนาน คนที่เริ่มขยับตัวก่อนคือเอเดน ร่างสูงขยับกายลุกขึ้นจากเตียงแล้วหยิบเสื้อแขนยาวที่แขวนอยู่ตรงหัวเตียงมาสวม

                “เอเดนนายจะไปไหน”โคกะเอ่ยถามเมื่อเห็นเอเดนเดินไปที่ประตู ร่างสูงไม่ได้หันกลับมามีแต่เพียงเสียงที่คล้ายกับเสียงคำรามตอบกลับมา

                “ไม่ต้องมายุ่งกับผม!”แล้วเอเดนก็เดินออกไปทันที โคกะมองตามคนที่เดินออกไปด้วยความไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว

                หลังจากวันนั้นตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาเอเดนก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขาแม้แต่คำเดียว ไม่มีทั้งท่าทางหยามเหยียดหรือคำดูถูกใดๆ เอเดนทำเหมือนกับว่าบนโลกนี้ไม่มีคนชื่อโคกะอีกต่อไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้โคกะคงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่อีกฝ่ายจะเลิกยุ่งกับเขาสักทีแต่เขากลับไม่อาจลืมสีหน้าเจ็บปวดในยามหลับของชายหนุ่มไปได้เลย

            โคกะสะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปก่อนจะรู้ตัวว่าเดินมาถึงที่ทิ้งหินแล้วจึงจัดการเทเศษหินในรถเข็นลงเสร็จเด็กหนุ่มก็ปล่อยมือจากรถเข็น ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองท้องฟ้าสีครามที่ส่องแสงเจิดจ้าออกมาท่าทางคล้ายกับเหม่อลอยความจริงเขาควรจะหันไปช่วยขนเศษหินต่อแต่ความรู้สึกนึกคิดที่มีอยู่ตอนนี้ก็รบกวนเขาจนน่ารำคาญ

                เขาจะไปเห็นใจเอเดนทำไมในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่เคยรักษาน้ำใจเขาเลย ความเจ็บปวดที่เคยได้รับมาหลายต่อหลายครั้งยังคงฝังลึกอยู่ในกายและพร้อมที่จะย้อนกลับมาซ้ำเติมเขาทุกเวลาตามที่เอเดนต้องการ เพราะงั้นกับแค่การทำดีครั้งเพียงครั้งเดียวมีหรือจะชดเชยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาได้

                เพียงแค่คิดความเกลียดชังก็เหมือนกับจะเข้าครอบงำเขาอีกครั้ง ภาพความทรงจำอันโหดร้ายผุดขึ้นมาเพื่อกล่าวย้ำถึงการกระทำที่แสนหยาบช้าของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มกำมือแน่นอย่างนึกเจ็บใจที่ตนเองไม่อาจตอบโต้ชายหนุ่มได้แม้แต่นิดเดียว เขาอยากจะทำอะไรสักอย่างที่จะทำให้เอเดนต้องเจ็บปวดกลับคืนไปบ้างแต่ก็เหมือนกับจะไม่มีวิธีใดๆเลยในการทำร้ายเอเดน

                โอไรอ้อน เอเดนชายหนุ่มผู้ที่ไม่มีเหลืออีกแล้ว ไม่ว่าจะครอบครัว อาจารย์หรือกระทั่งคนที่รัก สิ่งที่เอเดนเหลืออยู่ก็คงจะมีเพียงความแค้นกับความเกลียดที่มีต่อเขาเท่านั้น คงเพราะแบบนั้นชายหนุ่มถึงได้พยายามทำร้ายเขาถึงขนาดนี้มันช่างเป็นความทุ่มเทที่น่าหัวเราะจริงๆแต่ในฐานะของผู้ถูกกระทำโคกะก็ไม่มีทางหัวเราะออกมาได้

                “ทำไมฉันถึงต้องคิดถึงเรื่องของนายมากขนาดนี้ด้วย”ไม่ว่าจะเป็นความเกลียดชังหรือกระทั่งความรู้สึกที่คล้ายกับความสงสารเห็นใจต่างก็ไม่ยอมให้เขาคิดถึงเรื่องอื่นนอกจากเรื่องของเอเดนสองความรู้สึกที่ตรงข้ามกันซึ่งก่อเกิดในใจเขากำลังจะทำให้เขาเป็นบ้าเพราะตอนนี้ใบหน้าอันเย็นชากับใบหน้าเจ็บปวดของเอเดนต่างก็ปรากฏขึ้นแทบทุกครั้งที่หลับตาลงไม่ว่าเขาจะนึกเกลียดชังมากเท่าไรก็ตาม

                “บ้าที่สุด”เด็กหนุ่มสบถกับตัวเองก่อนจะยกเท้าเตะเศษหินชิ้นเล็กๆข้างเท้าไปข้างหน้า เศษหินที่ถูกเตะกลิ้งกระดอนไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วก็หยุดลงแต่ความว้าวุ่นที่อยู่ในใจของเขากลับไม่มีท่าว่าจะหยุดลงเลย

 

            หลังจากทำงานหนักสิ่งที่ตามมาย่อมต้องเป็นอาหารกลางวันชุดใหญ่เพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปในช่วงเช้า แม้จะไม่ใช่มื้อที่หรูหราแต่ก็เป็นมื้อที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเมื่อทุกคนต่างก็มาร่วมล้อมวงกินอาหารอย่างสนุกสนาน บรรยากาศอันครื้นเครงทำให้โคกะถึงกับลืมเรื่องร้ายๆที่เคยเกิดขึ้นแล้วร่วมหัวเราะไปกับทุกคนได้เลย

                ทว่าช่วงเวลาแสนสนุกสนานของโคกะกลับไม่ยาวนานเมื่อมีการปรากฏตัวของใครคนหนึ่ง ตอนแรกโคกะยังไม่ได้รู้สึกถึงตัวตนของผู้มาใหม่แต่เพราะรอบข้างเริ่มเงียบเสียงลงเด็กหนุ่มถึงได้ลองมองหาต้นเหตุที่ทำให้ทุกอย่างเงียบเสียงลงแล้วปลายสายตาเขาก็ไปสะดุดเข้ากับร่างของบุคคลผู้นั้นเข้า

                ร่างสูงโปร่งในชุดแขนยาวสีขาวเดินเข้ามาท่ามกลางความเงียบ ทุกย่างก้าวทำให้เส้นผมที่กลายเป็นสีออกเงินของชายหนุ่มขยับสะท้อนกับแสงอาทิตย์จนดูคล้ายกับมีรัศมีอันสูงศักดิ์ซึ่งไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้ ใบหน้าหล่อเหลาไร้อารมณ์ใดๆผิดกับแววตาที่คมกริบจนทำให้ไม่มีใครสักคนกล้าพอที่จะสบตาหรือเอ่ยปากพูดอะไรสักคำหนึ่ง

                เอเดนใช้นัยน์ตาสีมรกตคู่นั้นจับจ้องตรงมายังโคกะที่นั่งอยู่ราวกับว่าที่ตรงนี้มีเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่อยู่ในครรลองสายตา ร่างบางวางอาหารในมือลงแล้วลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่ตลอดหลายวันที่ผ่านมามองข้ามเขาด้วยสายตาที่แสนพยศและดื้อรั้นเหมือนเช่นทุกครั้ง

                “มีอะไร”เพกาซัส โคกะเป็นคนเริ่มเอ่ยปากพูดก่อนท่ามกลางความเงียบ

                “นายต้องมากับผมเดี๋ยวนี้”น้ำเสียงเย็นเยียบที่ไม่ได้ยินมาทั้งสัปดาห์ทำให้โคกะเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาลึกๆในใจแต่ก็ยังทำใจกล้าตอบกลับไป

                “แล้วทำไมฉันต้องไปกับนายด้วย”พอโคกะพูดประโยคนี้ออกไปก็คล้ายกับได้ยินเสียงใครหลายคนสูดลมหายใจดังเฮือก สีหน้าของเอเดนทอแววเคร่งเครียดมากกว่าเดิมจนน่ากลัว ร่างสูงยืนเงียบแล้วจ้องคนตัวเล็กกว่าคล้ายกับกำลังอดทนเพื่อให้โคกะเปลี่ยนคำตอบ แต่โคกะก็ไม่มีวันยอมเปลี่ยนคำพูดของตัวเองทั้งยังจ้องกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว

                ในเวลานั้นเหมือนกับทั้งโลกมีเพียงเขาสองคนที่ยืนจับจ้องมองกันไม่วางตาราวกับกำลังรอให้ใครเป็นฝ่ายแพ้หมดความอดทนก่อนกัน สุดท้ายแล้วกลับเป็นเอเดนที่หมดความอดทนก่อนชายหนุ่มจัดการคว้าข้อมือบางเอาไว้แล้วออกแรงดึงแบบที่ควรเรียกว่ากระชากให้โคกะตามมาอย่างไม่สนเสียงโวยวายตามหลังเลยแม้แต่นิดเดียว

                “ปล่อยนะ!”โคกะร้องโวยวายพร้อมกับพยายามยื้อเอาไว้สุดชีวิตแต่พอไม่ได้ผลเด็กหนุ่มจึงคิดจะสายตาขอความช่วยเหลือไปยังเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ด้วยท่าทางไม่รู้ว่าจะเข้าไปแทรกตรงไหนดี แต่ยังไม่ทันที่จะได้ส่งเสียงเรียกเอเดนก็ดึงโคกะเข้ามาใกล้แล้วก้มลงกระซิบข้างหู

                “ถ้าไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าผมทำอะไรนายไว้บ้างก็เงียบซะ”ทันทีที่ได้ยินคำขู่เขาก็รู้สึกเหมือนโดนแช่แข็งให้หยุดนิ่ง โคกะกัดริมฝีปากก่อนจะยอมให้เอเดนลากไปแต่โดยดีและไม่ได้หันกลับมามองสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของโซมะเลยแม้แต่นิดเดียว

                ตลอดทางที่เดินมาเอเดนไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่คำเดียว ชายหนุ่มทำเพียงแค่กำรอบข้อมือของโคกะแน่นจนเจ็บเพื่อบังคับให้เดินตามมาด้วยกัน เอเดนลากเขามาในที่ลับตาคนซึ่งมีต้นไม้ล้อมรอบพอสมควรแล้วจึงยอมปล่อยข้อมือที่จับเอาไว้ โคกะลูบข้อมือที่ถูกบีบมาตลอดทางพลางถาม

                “ตกลงว่านายมีเรื่องอะไรจะพูดรึไง”เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเขียวอย่างนึกโมโหที่อยู่ดีๆก็ถูกขัดจังหวะความสุขซ้ำยังโดนข่มขู่ให้ตามมาอีก

                “ต่อจากนี้นายห้ามไปอยู่กับคนอื่นอีก”คำพูดของเอเดนถึงกับทำให้โคกะพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ สีหน้างุนงงของโคกะทำให้เอเดนกล่าวซ้ำอีกครั้ง

                “ผมบอกว่านับตั้งแต่นี้นายห้ามอยู่กับคนอื่นนอกจากผมเท่านั้น”แล้วทุกอย่างก็ตกลงสู่ความเงียบทันทีแต่ก็เพียงแค่ไม่นานเท่านั้นเมื่อโคกะตั้งสติได้เด็กหนุ่มก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

                “นายพูดอะไรของนาย นี่มันหมายความว่ายังไง”เขาถามเพราะไม่เข้าใจ หากฟังดูเผินๆคำพูดของเอเดนก็ฟังดูคล้ายกับกำลังหึงหวงแต่เขาสองคนก็ไม่ใช่คนรักกันและยิ่งไม่เป็นเป็นแม้แต่มิตร ต่อให้มีความสัมพันธ์ทางกายแต่นั่นก็เพราะถูกบังคับเท่านั้น  เขาเป็นคนที่เอเดนเกลียดและโกรธแค้นที่สุดและมันก็เป็นความรู้สึกเดียวกับเขาในตอนนี้

                “ผมเห็นนายยิ้มแล้วก็หัวเราะอย่างมีความสุข...ผมไม่ต้องการนายที่ยิ้มออกมาแบบนั้น”คำพูดอันแสนเห็นแก่ตัวกับใบหน้าเรียบเฉยไม่เคยเปลี่ยนกำลังทำให้ความโกรธของเด็กหนุ่มปะทุขึ้นมา

                ในขณะที่เขาไม่สามารถสลัดความรู้สึกที่ขัดแย้งในใจออกไปได้เอเดนกลับยังเหมือนเดิม ชายหนุ่มยังคงต้องการให้เขาเจ็บปวดต่อไป มันทำให้เขารู้สึกเจ็บใจที่เหมือนกับโดนปั่นหัวไม่มีผิด ทำไมถึงมีแต่ตัวเขาที่เปลี่ยนไปมันไม่ยุติธรรมเลย

                “ทำไมกัน....ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับฉันด้วย!”ตะโกนออกมาอย่างเหลืออดกับความรู้สึกบ้าๆที่วนเวียนอยู่ในหัวซึ่งกำลังบดขยี้ให้เขาแตกสลายไปอย่างช้าๆ

                “การที่ฉันช่วยอาเรียมันเป็นสิ่งที่ผิดมากขนาดนั้นเลยรึไงกัน! นายคิดว่าฉันไม่เจ็บปวดรึไงที่ปกป้องเธอไม่ได้!”เมื่อพูดจบสีหน้าของเอเดนก็ดูย่ำแย่ขึ้นมาในทันทีทำให้โคกะเพิ่งรู้ตัวว่าได้เผลอพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดออกไป ร่างสูงก้าวเท้าเข้ามาหาด้วยแววตาที่เห็นชัดถึงโทสะ เอเดนในเวลานี้ดูน่ากลัวกว่าครั้งใดๆจนโคกะถึงกับถอยหลังไปหลายก้าวจนกระทั่งแผ่นหลังชิดกับต้นไม้ เมื่อไม่มีทางให้ถอยต่อโคกะก็ตั้งใจจะหนีไปอีกทางแต่ก็ไม่ไวพอที่จะหนีเงื้อมมือของเอเดนที่กดลงมาบนลำคอ

                “อึ้ก!”โคกะทนไม่ให้ตัวเองร้องออกมาเมื่อลำคอโดนกดเข้ากับต้นไม้ด้านหลัง มือแกร่งที่กำอยู่รอบคอออกแรงบีบเพื่อตัดลมหายใจของเด็กหนุ่มจนแทบหมดสิ้น ใบหน้าคมก้มลงมาชิดใกล้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ

                “อย่าพูดถึงเธออีก”ลำคอที่โดนบีบทำให้ปอดสูญเสียลมหายใจ คนตัวเล็กกว่าได้แต่ดิ้นรนอย่างแทบจะไร้ค่าเพราะไม่อาจสู้เรี่ยวแรงของคนตัวใหญ่กว่าอย่างเอเดนได้ พอเห็นสีหน้าทุกข์ทรมาณของโคกะเอเดนถึงได้ยอมปล่อยมือที่บีบลำคอไว้แล้วเปลี่ยนมาวางทาบบนต้นไม้เหนือหัวไหล่ของโคกะด้วยท่าทางเหมือนกับจะกักขังไว้ไม่ให้หนี

                “นายต้องทำตามที่ผมพูดถ้ายังไม่อยากตาย”เอเดนพูดเช่นนั้นขณะที่โคกะไอสลับกับสูดลมหายใจที่ขาดห้วงไปเข้าปอดแต่ก็ยังได้ยินทุกคำพูดของชายหนุ่มอย่างชัดเจน เมื่อลมหายใจกลับสู่ภาวะปกติโคกะก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองคนที่เพิ่งเอ่ยคำข่มขู่ใส่เขาอีกครั้ง

                “การทำร้ายฉันคงทำให้นายมีความสุขมากสินะ”โคกะพูดลอยๆเพราะแค่อยากพูดอะไรตอกกลับไปบ้างซึ่งเอเดนก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไรแต่แล้วมันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด ดวงตาของเอเดนเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากที่เคยพูดจาข่มขู่เขาเม้มเข้าหากันแน่นแล้วก็ก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาของโคกะแม้จะเป็นเพียงไม่กี่วินาทีแต่เขากลับรู้สึกว่าได้เห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของชายหนุ่ม

                “.....นายไม่เข้าใจหรอก”เสียงของเอเดนทั้งแผ่วเบาและติดจะสั่นพร่าจนโคกะไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยินได้

                “นอกจากการทำร้ายนายโดยไม่ปล่อยให้นายตายผมก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...”คราวนี้กลับเป็นโคกะเสียเองที่ต้องเบิกตากว้างกับคำพูดของเอเดน เขาเคยคิดว่าเอเดนคงจะมีความสุขที่ได้ทำร้ายเขาและคงแอบยิ้มเยาะที่ได้เห็นเขาทุกข์ทรมาณแต่แล้วทุกอย่างมันกลับไมได้เป็นไปตามที่เขาคิดเลย

            เอเดนที่เคยทำทุกวิธีเพื่อให้เขาเจ็บปวดในตอนนี้กลับพูดเหมือนกับว่ากำลังเป็นฝ่ายเจ็บปวดเสียเอง โคกะสังเกตเห็นว่าหัวไหล่ของชายหนุ่มสั่นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น เพราะเอเดนก้มหน้าอยู่เขาจึงไม่อาจรู้ได้ว่าตอนนี้ใบหน้าของเอเดนยังคงเย็นชาเหมือนทุกครั้งหรือไม่

                “เอเดน”เขาเอ่ยเรียกด้วยความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ

                “นายไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของผมหรอก”เอเดนเงยหน้าขึ้นมาสบตากับโคกะ แม้สีหน้าจะกลับมานิ่งเฉยแล้วแต่แววตาของชายหนุ่มก็ไม่ได้กลับไปดูเย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้ โคกะไม่รู้และไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของเอเดนได้จริงๆและยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นเมื่อเอเดนยกมือขึ้นมาจับปลายคางของเขาเอาไว้

                “เพกาซัส....”ยินเสียงเอ่ยเรียกแต่ก็เหมือนกลายเป็นสิ่งที่ห่างไกลออกไปทุกทียามเมื่อใบหน้าคมค่อยๆโน้มลงมาหาช้าๆ วงหน้าหล่อเหลาที่ใกล้เข้ามาทุกทีทำให้หัวใจของโคกะเต้นแรงขึ้นอย่างไม่อาจห้ามได้ เพราะว่าเอเดนไม่ได้หลับตาดวงตาของเขาทั้งสองจึงประสานกันและมันคงจะเป็นเช่นนั้นต่อไป แต่ทว่า....

                “ไม่!”ก่อนที่ริมฝีปากของเอเดนจะประกบลงมาโคกะก็ร้องปฏิเสธทั้งยังผลักชายหนุ่มออกไปอย่างรุนแรง อาจจะเพราะไม่ทันตั้งตัวเอเดนจึงเซไปตามแรงที่ถูกผลักโคกะจึงฉวยจังหวะนั้นวิ่งหนีไปทันทีกว่าจะรู้ตัวเอเดนก็ได้แต่มองแผ่นหลังของร่างบอบบางวิ่งหายไปจากสายตา

 

                โคกะไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งออกมาไกลแค่ไหนและไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายตามมารึเปล่าเพราะเขาเองก็ไม่กล้าพอที่จะหันกลับไปดู เด็กหนุ่มได้แต่ออกแรงวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อให้ตนหนีไปไกลจากเหตุกาณ์เมื่อครู่มากที่สุด แต่ภาพของเอเดนเมื่อครู่กลับยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่ยอมหายไป

                ใบหน้าของเอเดนที่ใกล้เขามาจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน แก้วตาสีมรกตนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกมากมายที่อธิบายไม่ได้ แม้มันจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีแต่กลับส่งผลให้หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกอก ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกกลัวจนต้องวิ่งหนีออกมา

                ร่างบางยังคงวิ่งต่อไปราวกับกำลังหนีจากภาพทุกอย่างที่ได้เห็นเมื่อครู่จนกระทั่งร่างกายเริ่มหมดแรงและหยุดลงพิงตัวกับต้นไม้ใหญ่ โคกะหอบหายใจกับการวิ่งสุดแรง มือข้างหนึ่งยกขึ้นวางบนอกซ้ายคล้ายกับจะกดบังคับให้หัวใจกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติให้เร็วที่สุด

                เมื่อกี้นี้เอเดนคิดจะทำอะไร....เด็กหนุ่มคิดขณะที่หอบหายใจสูดเอาออกซิเจนเข้าเต็มปอดแต่จนกระทั่งลมหายใจกลับมาเป็นปกติแล้วจังหวะหัวใจของเขากลับยังคงเต้นแรงและยิ่งเต้นแรงมากขึ้นไปอีกเมื่อเขาเผลอคิดไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้าหากเขาไม่ได้ผลักอีกฝ่ายแล้วหนีมาแบบนี้

                เขาคิดว่าตัวเองบ้ามากๆที่คิดแบบนี้ แต่ทั้งท่าทางและบรรยากาศทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กลับยืนยันถึงข้อสันนิษฐานของเขา เขากำลังคิดว่าเอเดนจะจูบเขา...

                พลันนั้นโคกะก็ยกมือขึ้นปิดริมฝีปากที่เกือบโดนสัมผัสเอาไว้แน่น เขาไม่แน่ใจว่าตนรู้อย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาตกใจและยิ่งตกใจหนักกว่าเดิมเมื่อพบว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกรังเกียจแฝงอยู่เลย แต่เพราะว่าไม่มีความรังเกียจเจือปนอยู่เขาถึงรู้สึกหวาดกลัวตัวเองขึ้นมา

                “นี่เรา...เรา....”เขาพูดไม่ออกว่าตนเองกลายเป็นแบบไหนไปกันแน่

            ทุกความรู้สึกถาโถมเข้ามาใส่เขาจนทำให้รู้สึกเหมือนดวงตามืดบอด โคกะไม่รู้ว่าตนเองควรหันหน้าไปหาใครดีในเมื่อตอนนี้ไม่มีใครอยู่เคียงข้างเขาเลย มันเป็นความรู้สึกโดดเดี่ยวที่แทบจะสิ้นหวังเมื่อเขาได้แต่กัดริมฝีปากอดทนให้ทุกอย่างมันผ่านไปเท่านั้น

                “ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ”เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทำให้โคกะสะดุ้งเฮือก เด็กหนุ่มรีบหันไปตามต้นเสียงและพบกับชายคนหนึ่งยืนอยู่ขายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลยาวซึ่งถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างง่ายๆ กำลังเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ

            “แอเรียส กิกิ...”โคกะเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย

                ชุดคล็อธสีทองปรากฏขึ้นตรงหน้าจนรู้สึกเหมือนสายตาพร่าเลือนไปเล็กน้อย ใบหน้าของผู้เอ่ยถามเจือแววสงสัยเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเอาแต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นและอดที่จะแปลกใจไม่ได้เมื่อพบว่าปลายหางตาของดวงตาคู่โตนั้นมีหยดน้ำใสๆเอ่อล้นออกมาเล็กน้อย

                “ร้องไห้อยู่งั้นเหรอเพกาซัส....”ว่าแล้วกิกิก็เดินเข้ามาหาโคกะพร้อมกับวางมือลงบนศีรษะของเด็กหนุ่มคล้ายกับผู้ใหญ่ปลอบเด็ก ในน้ำเสียงที่แฝงความเป็นห่วงเล็กน้อยนั้นมากพอที่จะทำลายความอดกลั้นของโคกะจนหมดสิ้น น้ำตาที่จากเพียงแค่เอ่อล้นออกมาเพียงเล็กน้อยกำลังไหลออกมาอย่างไม่อาจหยุดได้จนทำให้กิกิเป็นฝ่ายตกใจและยิ่งตกใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อร่างที่บอบบางกว่าโผเข้ากอดเขาแล้วร้องไห้ออกมาเสียงดังไม่ต่างกับเด็กตัวเล็กๆ

                แม้จะตกใจหรืองุนงงมากแค่ไหนแต่สุดท้ายกิกิก็ปล่อยให้โคกะร้องไห้ต่อไปจนกว่าจะเงียบไปเองโดยที่ระหว่างนั้นชายหนุ่มก็ยกมือตบหลังเบาๆพร้อมกับลูบศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นผมสีแดงไปมาหลายต่อหลายครั้งเพื่อปลอบโยนเพกาซัสที่บาดเจ็บไม่ว่าจะร่างกายหรือจิตใจก็ตาม

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา