Stop หยุดหัวใจนายเย็นชา

9.6

เขียนโดย NannyCandy

วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.18 น.

  43 chapter
  860 วิจารณ์
  60.56K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 19.34 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

37) - Please... - ( ได้โปรด... )

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

- Please... -

( ได้โปรด... )

 

[ บันทึกพิเศษ : โทโมะ ]

 

 

ซ่า...ซ่า...ซ่า...

 

 

“โถ่...แก้วลูก”

 

 

 

        นั่น คือเสียงของลุงวิชัยพ่อของแก้วเองแหละครับ นี่ก็ผ่านเวลามาจนเย็นกระทั่งฝนตก ผมก็ยังคงเฝ้าแก้วตั้งแต่ที่หมอจัดการย้ายห้องมาอยู่ห้องพิเศษ ซึ่งผมเป็นคนจัดการให้เองทั้งหมดเลย  ใช่! ผมยอมจ่ายเพื่อให้แก้วได้นอนในห้องดีๆที่ไม่ใช่ห้องแคบๆแบบหดหู่ๆ เพราะแค่เธอไม่ตื่นและใช้เครื่องช่วยหายใจครอบจมูกอยู่

 

 

            ซึ่งผมเห็นแค่นั้นผมก็ทรมานมากพอแล้ว...

 

 

       และหลังจากที่จัดการอะไรเสร็จพวกเพื่อนๆผมก็มากันที่โรงพยาบาลแห่งนี้ พร้อมกับฟางที่แลดูใจเย็นขึ้นบ้างแล้ว ซึ่งฟางนั้นเธอมาก่อนหน้าพ่อของแก้วสักพักแต่ผมก็เล่าอาการของแก้วให้ฟาง ฟัง

 

 

 

       ตอนที่ผมบอกว่าแก้วอาจจะเป็นหอบนั้นฟางแลดูโกรธมากที่พวกพิมพ์นั้นทำ ให้แก้วเป็นแบบนี้ แต่ผมกับเธอก็ตกลงกันแล้วว่าจะยังไม่จัดการอะไรกับพิมพ์เพราะว่าจะรอแก้ว ตื่นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยคิดดูอีกทีว่าแก้วจะเอาเรื่องมั้ย ที่ผมทำแบบนี้เพราะว่าผมไม่อยากคิดเองทำเองถ้ายังไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมจะทำแก้วนั้นจะเห็นด้วยหรือไม่น่ะสิ

 

 

 

       แต่เอาตรงๆนะ...ผมก็รู้แหละว่าแก้วคงจะปล่อยเรื่องนี้ไปให้มันจบๆ

 

 

 

       เพราะเธอคงไม่อยากให้พ่อของเธอเป็นห่วงที่ได้รู้ว่าลูกสาวของตัวเองมีคนคอย จ้องจะปองร้าย และนั่นแหละที่มันจะทำให้เกิดความไม่สบายใจตามมาและเรื่องก็จะไม่มีวันจบ เพราะคนอย่างพิมพ์น่ะผมดูแล้ว...เธอคงไม่คิดที่จะกลับตัวกลับใจหรอก

 

 

 

           และเธอจะต้องเสียทุกอย่าง!

 

 

“แล้วเมื่อไหร่พี่แก้วจะตื่นเหรอครับเพ่อ?”พิชชี่ที่ยืนจับมือกับลุงวิชัยเอ่ยอย่างไร้เดียงสาเพราะลุงวิชัยแค่บอกพิชชี่ว่าแก้วแค่ไม่สบาย

 

 

 

“เดี๋ยวพี่เขาก็ตื่นแล้วไม่ต้องห่วงหรอกน่า”ลุงวิชัยก้มหน้าลงไปบอกกับพิชชี่

 

 

 

        ซึ่ง ผมนั้นรู้ดีว่านั่นมันเป็นคำพูดที่พยายามจะทำให้มันดูสบายใจขึ้นถึงแม้ว่า ภายใจในของลุงวิชัยอาจจะไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่พูดกับพิชชี่ก็ตามที

 

 

 

“...”

 

 

 

“โทโมะ...”

 

 

 

“ครับ?”ผมที่ยืนอยู่กับพวกเพื่อนๆแล้วก็ฟางเอ่ยขึ้นเมื่อลุงวิชัยหันมาหาผม

 

 

 

“ขอบใจนะที่ช่วยแก้วเอาไว้”ลุงวิชัยพูดแล้วยิ้มบางๆมาให้ผม

 

 

 

            ซึ่งผมก็เข้าใจในหัวอกของคนเป็นพ่อนะว่าท่านน่ะรักลูกของตัวเองมากมายแค่ไหน แล้วยิ่งถ้าลูกของตัวเองเจอเรื่องแบบนี้ถ้าผมเป็นลุงวิชัย...ผมเองก็คงขวัญ เสียเอามากๆเลยเพราะกลัวว่าลูกของตัวเองจะเป็นอะไรไป

 

 

 

“ครับ...”ผมตอบรับก่อนที่สายตาของตัวเองจะมองไปยังร่างของแก้วที่ยังหมดสติอยู่บนเตียงคนไข้

 

 

 

           แต่ทว่า...พอผมเห็นภาพนั้นอีกครั้งทั้งๆที่ผมพยายามจะไม่มองแล้ว แต่มันก็...

 

 

 

“อ้าว ไปไหนวะ?”เพื่อนๆผมที่อยู่ตรงนี้ก็คงงงๆกันที่เห็นว่าผมนั้นเดินออกมาจากห้องคนไข้อย่างกะทันหัน

 

 

 

       เพราะอะไรน่ะเหรอ...ก็เพราะว่าผมกำลังร้องไห้อีกแล้วน่ะสิครับ

 

 

 

      ผมเห็นภาพแก้วเป็นแบบนั้นก่อนวันเกิดของตัวเองนี่ผมแบบ...โคตรกลัว เลยว่ะ กลัวว่าพอถึงวันพรุ่งนี้แล้วเธอจะยังไม่ตื่นขึ้นมา ใช่! พรุ่งนี้ไม่ตื่นแต่วันอื่นก็คงจะตื่นขึ้นมาแล้วจะกลัวจะเสียใจอะไรขนาดนั้นล่ะ?

 

 

 

       คือ...ความ รู้สึกของผมนะ ถ้าแก้วไม่ตื่นในวันพรุ่งนี้มันคงจะเป็นปีที่เป็นวันเกิดที่ไม่น่าจดจำเอา เสียเลย เพราะว่าสิ่งที่ผมอยากจะได้ก็คือ...

 

 

 

“เฮ้ย...โอเคปล่าววะ...”ไอ้จองเบเดินตามผมออกมาแล้วมานั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆผม

 

 

 

          อ้อ! ผม ลืมบอกไปว่าไอ้จองเบมันพูดถึงเรื่องที่เห็นว่ามีคนมารับคลอรีนด้วย ซึ่งในความคิดมันมันก็คิดว่าคนๆนี้รึปล่าวที่เป็นสาเหตุให้คลอรีนบอกเลิกมัน แต่มันบอกว่ามันยังไม่เห็นหน้า แล้วก็ไม่รู้ว่าจะใช่อย่างที่มันคิดมั้ย แต่ผมว่านะ...ถ้าคลอรีนเลิกกับมันแล้วคบคนใหม่

 

 

 

          ไอ้จองเบมันคงจะ...โกรธมากน่าดู

 

 

 

         แต่คลอรีนไม่น่าจะใช่คนแบบนั้นนี่นา? หรือว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นอันนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ

 

 

 

“ไม่ค่อยว่ะ”ผมตอบไอ้จองเบเสียงเบาแล้วก้มหน้าลง 

 

 

 

“เอาน่า ใจเย็นๆไม่ต้องเครียด”ไอ้จองเบพูดปลอบ

 

 

 

          และในตอนนั้นนั่นเองที่พวกเพื่อนๆของผมที่เหลือเดินตาม กันออกมาพร้อมกันกับฟางพอดี...

 

 

 

แอ๊ด...

 

 

“เฮ้ย ไอ้โทโมะจะให้พวกฉันอยู่เป็นเพื่อนมั้ยวะ ”เสียงของเขื่อนเอ่ยถามเมื่อมันเดินมาหยุดอยู่ตรงที่ผมนั่งผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมองพวกมันแล้วยิ้มๆบางๆก่อนจะส่ายหน้าเป็นทำนองว่า‘ไม่ต้องหรอกว่ะ’

 

 

 

“เดี๋ยวฉันไปส่งมันที่บ้านเอง”ไอ้จองเบที่นั่งอยู่ข้างๆผมเอ่ย

 

 

 

“เออๆ แล้วถ้ามีอะไรก็โทรหาได้เลยนะเว้ย”เคนตะเอ่ยแล้วจากนั้นพวกเพื่อนผมก็พยักหน้าก่อนจะค่อยๆพากันเดินไป

 

 

 

             แต่...

 

 

 

“ฟาง”

 

 

 

“ฮะ?”ฟางหยุดเดินทันทีที่ผมเรียกเธอเอาไว้

 

 

 

“แล้วเธอกลับยังไงอ่ะ”ผมถาม

 

 

 

            เผื่อว่า...ไอ้คนแถวนี้มันจะมีน้ำใจไปส่งฟางที่บ้านบ้าง ( ดราม่าอยู่แต่ขอชงสักนิดเถอะ = =;;; )

 

 

“ก็กลับเองไง ฉันเอามอเตอร์ไซค์มา O_O”

 

 

 

            ง่าว!! =[]=!!!

 

 

 

      เออว่ะ ก็...ลืมไปเลยว่าฟางขับมอเตอร์ไซค์มาโรงเรียนทุกวันนี่หว่า โห่ อดชงต่อเลย เซ็งๆๆๆๆ = =;;;

 

 

 

“อ้อ อืม งั้นกลับดีๆนะ ”เมื่อผมบอกฟางจึงพยักหน้าก่อนจะเดินไปแต่ก็ยังมิวายทิ้งท้ายเอาไว้ให้ผมด้วย

 

“โทโมะ! พรุ่งนี้อย่าลืมมาทำหน้าที่ดูแลเพื่อนของฉันด้วยล่ะ”ฟางบอกแบบนั้นผมก็ยิ้มให้ตอบกลับไป

 

 

 

“โทโมะเขาไม่ลืมหรอกครับฟาง ผมว่านะคืนนี้เขาอาจจะไม่กลับบ้านด้วยซ้ำ ^^” เขื่อนเอ่ยแซวผมแล้วฉีกยิ้มพลางเดินเอาแขนไปโอบไหล่ฟางอย่างหยอกล้อกัน

 

 

 

       ก็น่าแปลกที่ฟางก็เล่นด้วยเหมือนกันจนกระทั่ง...

 

 

 

“เล่นกันอยู่ได้ กลับบ้านได้แล้วไอเขื่อน ><!”

 

 

 

       คงไม่ต้องให้ผมบอกหรอกนะว่าเสียงขัดแบบนี้คือเสียงของใครถ้าไม่ใช่ไอ้ป๊อปปี้น่ะ = =;;;

 

 

 

“ยุ่งอะไรด้วย” ฟางทำพูดเสียงดังก่อนจะเดินไปเลย

 

 

 

“หน๋อยยัย...!”

 

 

 

“อย่าทะเลาะกันพลีส! ><!”เคนตะห้ามป๊อปปี้เอาไว้ได้ทันเมื่อเห็นว่าไอ้ป๊อปปี้มันกำลังจะเดินตามไปตอกกลับฟางที่เดินขึ้นลิฟท์ไปแล้ว

 

 

 

       และ ไม่นานนักที่พวกเพื่อนๆผมเดินออกไปจากตรงนี้กันหมด ส่วนลุงวิชัยก็คงจะดูเฝ้าแก้วอยู่ ผมเองก็ยังคงนั่งอยู่กับไอ้จองเบข้างนอกห้อง 

 

 

 

      อยากรู้จัง...ว่าถ้าตอนนี้ผมนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวผมจะคิดอะไรไปถึงไหนแล้ว

 

 

          เพราะในกลุ่มเคติคของเราน่ะผมจะสนิทก็ไอ้จองเบมากที่สุดเหมือน เป็นพี่น้องกันเลยแหละครับ ถึงตอนนั้นที่ผมโกรธมันจนไปต่อยหน้ามันเรื่องคลอรีนยอมรับว่าโกรธ แต่พอได้ฟังเหตุผลของมันผมก็เข้าใจแล้วล่ะนี่สินะที่เขาเรียกว่า ‘มิตรภาพความเป็นเพื่อน’

 

 

 

“ไอ้โมะ...”

 

 

 

“ฮึ? ว่า”เมื่อไอ้จองเบเรียกผม ผมก็หันไปก็เห็นว่ามันกำลังมองมาที่ผมอยู่ในตอนนี้

 

 

 

“ฉันขอถามอะไรหน่อยดิ”

 

 

 

“อืม”ผมพยักหน้า

 

 

 

“ทำไมแกถึงเดินออกมาจากห้องแบบนั้นวะ”

 

 

 

“...”ผมนิ่งไปพักนึงเมื่อไอ้จองเบถามขึ้นมาแบบนั้น แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะบอกมันไปนั่นแหละเพราะว่ามันก็ต้องเข้าใจผมแน่นอนอยู่แล้ว “คือ...ฉัน...”

 

 

 

“...”

 

 

 

“...คือฉันเห็นแก้วเป็นแบบนี้แล้วฉันอยากร้องไห้ว่ะ”พูดไปแล้วก็เม้นริมฝีปากเข้าหากันเพราะเริ่มรู้สึกว่าตอนนี้น้ำตามันเริ่มคลอเบ้า “รู้ ป่ะ ว่ายิ่งฉันเห็นแก้วใส่เครื่องช่วยหายใจครอบจมูกกับปากอยู่มันรู้สึกเหมือน กับว่าอาการของแก้วมันหนักเกินกว่าที่เธอจะตื่นขึ้นมาทันวันเกิดฉันว่ะ”

 

 

 

“เออจริงสินะ พรุ่งนี้วันเกิดแกนี่หว่า”ไอ้จองเบเอ่ยออกมาเหมือนเพิ่งนึกได้

 

 

 

“โคตรกลัวเลยอ่ะ  แม่ง...”ผมพูดอย่างตัดพ้อก่อนจะก้มหน้าลงแล้วถอนหายใจ “แล้วแกรู้ป่ะว่าวันเกิดปีนี้ฉันจะทำอะไรให้ตัวเอง...”

 

 

 

“อะไรวะ...”

 

 

 

“ฉันจะขอคบแก้ว”ผมพูดอย่างไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองไอ้จองเบตรงๆอีกครั้ง “นั่นแหละคือของขวัญที่ฉันอยากมอบให้ตัวเองเป็นชิ้นแรก...”

 

 

 

       ใช่ครับ...

 

 

 

       นั่นแหละคือสิ่งที่ผมอยากได้จริงๆ เพราะผมอยากจะขอคบแก้วให้มันชัดเจนแจ่มแจ้งกันไปเลยว่าเธอจะคบกับผมมั้ยถ้า หากว่าผมขอ เพราะมันผ่านอะไรมาขนาดนี้แล้วเราสองคนก็ต่างรู้ใจของตัวเองมากขึ้น

 

 

 

“...”

 

 

 

“และมันจะเป็นของขวัญที่ฉันจะรักษามันไปตลอดชีวิตของฉัน...”คำพูดนั้นของผมเอ่ยออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงลงอาบแก้มจนผมต้องรีบเอามือขึ้นมาเช็ด “แต่...ถ้าพรุ่งนี้แก้วไม่ตื่นฉันก็คงจะ...”

 

 

 

“เข้าใจนะเว้ยว่าวันเกิดเรา 1 ปีมีครั้งเดียวแล้วเราก็อยากจะทำให้มันดีแต่ไม่เป็นไรหรอกไอ้โทโมะ...”ไอ้จองเบเอามือมาตบบ่าผมเบาๆ “ถึงพรุ่งนี้แก้วอาจจะยังไม่ตื่นขึ้นมา แต่ฉันขอบอกอะไรแกอย่าง...”

 

 

 

“...”

 

 

 

“ไม่ใช่แค่วันเกิดแกที่เป็นวันสำคัญหรอก เพราะถ้าแกมีคนที่แกรักมากๆอยู่ในหัวใจของแกแล้ว ทุกๆวันของแกจะเป็น‘วันสำคัญ’ เสมอ...เพราะยังไงซะ แก้วเขาก็ต้องฟื้นขึ้นมาไม่พรุ่งนี้ก็วันต่อไป แกเชื่อฉันดิ”ไอ้จองเบยิ้มบางๆมาให้ผม ผมก็ยิ้มบางๆกลับไปให้มันเช่นเดียวกัน

 

 

 

“ขอบใจว่ะ”ผมเอามือตัวเองไปแตะทับมือไอ้จองเบที่แตะอยู่บ่าของผมเพื่อเป็นการบอกขอบคุณอีกครั้ง

 

 

 

            ก็คงถูกอย่างที่ไอ้จองเบมันพูดนะ...

 

 

 

            ถ้า...พรุ่งนี้แก้วยังไม่ตื่นขึ้นมาก็...ไม่เป็นไรหรอก...วันต่อไปยังมีนี่? ใช่มั้ย?

 

 

      แต่ถึงจะคิดแบบนั้นผมก็หวังนะว่าอยากจะให้เธอตื่นขึ้นมาทันอยู่ดีนั่นแหละถ้าพระเจ้าไม่กลั่นแกล้งกันน่ะ

 

 

 

1 ทุ่มของวันนั้น

 

 

 

บ้านผมเอง

 

 

 

แอ๊ด...

 

 

 

“โทโมะ  เห็นลุงวิชัยบอกพ่อว่าแก้วอยู่โรงพยาบาลเหรอลูก?”เสียงของพ่อเอ่ยถามเมื่อผมเปิดประตูเข้ามาในบ้านพอดี

 

 

 

       ก็หลังจากที่ลุงแทนบอกว่าให้ผมกลับมาก่อนก็ได้ เพราะลุงวิชัยจะอยู่ดูแก้วที่โรงพยาบาลก่อน ตอนแรกลุงวิชัยจะฝากพิชชี่มากับผมแต่พิชชี่จะขออยู่เฝ้าแก้วกับลุงวิชัยด้วยผม เลยกลับมาแค่ผมกับไอ้จองเบสองคน ส่วนไอ้จองเบตอนนี้มันมาส่งผมเสร็จก็บอกว่าจะไปที่สนามแข่งต่อเพราะว่ามันไม่ ได้ไปดูแลที่นั่นมาสักพักแล้วล่ะ

 

 

 

“ครับพ่อ พอดีเกิดอุบัติเหตุที่โรงเรียนน่ะครับ”ผมบอกพ่อแล้วเดินเอากระเป๋าเป้ไปวางไว้ตรงโต๊ะกินข้าวแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำปล่าวมากระดกดื่ม

 

 

 

“แล้วนี่แก้วเป็นอะไรมากรึปล่าวลูก”แม่ผมที่กำลังนั่งถักหมวกไหมพรมอยู่ตรงโต๊ะทานข้าวเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

 

 

 

“...หมอบอกว่าปลอดภัยแล้วครับ เหลือแค่รอเธอฟื้น”

 

 

 

“พรุ่งก็วันเกิดลูกแล้วด้วยน่ะสิ”พ่อผมเอ่ยเพราะรู้ไงว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอาเสียเลย “แล้วโทโมะ...ลูกโอเคนะ”

 

 

 

“ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกพ่อ แต่ก็โอเคกว่าตอนที่เกิดเรื่องนิดนึง”

 

 

 

 “เห็นลุงวิชัยบอกพ่อว่าแก้วไปติดอยู่ในโรงขยะแล้วเกือบโดนไฟไหม้ เฮ้อไม่น่าเลย”

 

 

 

“ช่างเรื่องบ้าๆนั่นเถอะครับ ตอนนี้ผมสนแค่ว่าแก้วปลอดภัยดีก็โอเคแล้วพ่อ”หลังจากพูดจบผมก็เดินขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองทันทีเพราะว่าไม่อยากจะพูดถึงมันอีก

 

 

 

แอ๊ด...ปึง...

 

 

 

“เฮ้อ...”เสียงถอนหายใจของผมได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ปิดประตูห้องนอนของตัวเองแล้ว

 

 

 

       แล้วความเงียบงันภายในห้องนี้ก็เกิดขึ้นก่อนที่ปลายเท้าของผมจะเดินไปหยุด อยู่ตรงประตูกระจก หลังจากนั้นมือของตัวเองก็เลื่อนเปิดไปมันพร้อมกับมองไปยังห้องนอนของแก้ว ที่ปกติผมจะเห็นเธออยู่ตรงนั้น แต่ตอนนี้ไม่แล้วเพราะว่าเธออยู่ที่โรงพยาบาล

 

 

 

      ไม่นานที่ผมยืนดูห้องนอนของแก้วอยู่แบบนั้น ผมก็พาตัวเองไปนั่งลงกับพื้นระเบียงเย็นๆหนาวๆ ขณะที่ฝนกำลังตกลงมาแต่ไม่หนักมาก แต่ก็ยังดีที่ตรงระเบียงมีหลังคาช่วยกันฝนไว้ได้ จะมีก็แต่ละอองฝนเท่านั้นที่กระทบใส่ตัวผมแค่นั้น

 

 

 

“ว่าแล้วต้องมานั่งกอดเข่าอยู่แน่ๆ”

 

 

 

“อ้าวพ่อตามขึ้นมาตอนไหนอ่ะ”ผมเงยหน้าขึ้นไปมองพ่อที่กำลังก้มมองผมที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่เงียบๆสักพักแล้ว

 

 

 

“ก็เมื่อกี๊แหละ”พ่อผมเอ่ยแล้วยิ้มให้ผมหน่อยๆก่อนจะเดินออกมานั่งลงข้างๆผม

 

 

 

ซ่า...ซ่า...ซ่า...

 

 

 

“...”

 

 

 

“...”

 

 

 

“โทโมะ...พ่อรู้นะ...” หลังจากที่ผมกับพ่อนั่งด้วยกันเงียบๆมาสักพักพ่อผมก็เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางเสียงของสายฝนที่กำลังตกลงมาอยู่หน่อยๆ

 

 

 

“รู้อะไรพ่อ”ผมถามแต่ก็ไม่ได้มองไปที่พ่อหรอก

 

 

 

       เพราะรู้ไงว่าพ่อผมหมายถึงอะไร แต่แค่ถามไปงั้นแหละ

 

 

 

       พ่อผมน่ะเป็นถึงระดับอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยเชียวนะ ทำไมท่านจะดูไม่ออกว่าผมกำลังรู้สึกอะไรอยู่ล่ะจริงมั้ย?

 

 

 

“รู้ว่าพ่อหมายถึงอะไรแล้วยังจะถามอีกนะ”

 

 

 

       นั่นไง! ว่าแล้วเขาต้องรู้ทันผม  ><!

 

 

 

“พ่อหมายถึงเรื่องของ...แก้ว?”

 

 

 

“แล้วจะมีเรื่องไหนอีกนอกจากเรื่องนี้เล่า”พ่อผมขำออกมาหน่อยๆก่อนจะเอามือมาแตะที่บ่าของผม “แม่เขาน่ะบอกให้พ่อขึ้นมาดูลูกหน่อย เขาเป็นห่วงลูกนะ พ่อเองก็เหมือนกัน...”เมื่อพ่อพูดผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมองพ่อนิ่งๆ

 

 

 

“ผม...”

 

 

 

“โชคชะตาน่ะ มันมักจะเล่นตลกกับเราเสมอแหละ”พ่อผมพูดแล้วละสายตาออกจากผมก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่เริ่มเปิดออกให้เห็นแสงจันทร์บางแล้วแต่ฝนก็ยังอ่อยๆอยู่ “สมัยตอนที่พ่อคบกับแม่น่ะ แม่เขาก็เคยป่วยไม่สบายจนนอนหลับหมดสติไปหลายวันเลยล่ะ”

 

 

 

“จริงเหรอครับ”

 

 

 

“อื้ม พ่อน่ะ...ไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลทุกวันเลยรู้มั้ยลูก  พอแม่ของลูกตื่นขึ้นมาพ่อดีใจจนน้ำตาไหลเลยแหละ”

 

 

 

“...”

 

 

 

“ผู้ชาย น่ะนะถึงจะเป็นคนที่รักศักดิ์ศรีมากแค่ไหน แต่ถ้าคนที่เขารักนั้นเป็นอะไร ศักดิ์ศรีของน้ำตาลูกผู้ชายมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป...เพราะผู้ชายคนไหนที่ ร้องไห้เพราะใครคนหนึ่งแสดงว่าคนๆนั้นสำคัญสำหรับชีวิตของเขามาก และพ่อเห็นนะว่าตาของลูกออกบวมๆ”

 

 

 

       โห...สังเกตยันดวงตาเลยนะพ่อ

 

 

 

          แหม่อุตส่าห์ทำเป็นว่า ‘ผมโอเค’ แล้วเชียว แต่พ่อก็ยังจับได้อยู่ดี

 

 

 

“...”

 

 

 

“ร้องไห้มาใช่มั้ย?”

 

 

 

“...ครับ”ผมตอบแบบไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด

 

 

 

“ดีแล้ว”พ่อผมบอกแล้วหันมายิ้มให้บางๆ “ร้องออกมาน่ะดีกว่าทำเก๊กว่าตัวเองไม่เป็นอะไร แบบนั้นน่ะไม่ได้เรียกว่า ‘น่าอาย’ สำหรับผู้ชายหรอก แต่มันเรียกว่า‘กล้าหาญ’...”

 

 

 

“แต่...ผมก็หลอกพ่อกับแม่นี่นาว่าผมไม่ได้เป็นอะไร แบบนั้นน่ะกล้าหาญตรงไหนถ้าผมกล้าหาญจริงๆผมคงจะร้องไห้ให้พ่อกับแม่เห็นแล้วน่ะสิ”

 

 

“พ่อไม่ได้หมายความอย่างงั้น...”คำพูดของพ่อทำเอาผมชะงักไป แล้ว...ที่พ่อพูดมันหมายความว่าอย่างไหนกันล่ะ? “...มัน ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าตอนที่ลูกร้องไห้จะมีคนเห็นรึปล่าว แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าลูกได้เสียน้ำตาให้กับคนที่ลูกรักอย่างไม่ปิดบังความ รู้สึกนั่นแหละเขาเรียกว่ากล้าหาญ”

 

 

 

“...”

 

 

 

“และ ถ้าหนูแก้วเขาเห็นลูกร้องไห้เพราะเธอ เธอจะยิ่งรักลูกมากขึ้นเพราะว่าน้ำตาของผู้ชายคือสิ่งที่มหัศจรรย์สำหรับ ผู้หญิง  เพราะลูกร้องไห้ที่เห็นเขาเจ็บ ร้องไห้ที่เห็นเขาเป็นแบบนี้ มันก็บ่งบอกชัดเจนแล้วว่าลูก...รักเขา”

 

 

 

“...”

 

 

“แต่ ความรักน่ะ อย่าไปยึดติดกับมันมากนักจนทำให้ลูกรู้สึกกังวลอยู่ตลอดเวลาอย่างเช่นตอนนี้ ที่พ่อเห็นความกังวลความหม่นหมองในดวงตาของลูกที่มันยังอยากจะมี ‘ความหวัง’...ซึ่งอันนี้ลูกก็ต้องยอมรับมันว่าถ้าพรุ่งนี้แก้วยังไม่ฟื้นในวันเกิดของลูก ลูกก็ไม่ต้องเสียใจหรอก...”

 

 

 

“อัน นี้ผมก็ทำใจไว้แล้วแหละครับ เพราะหมอบอกว่าถ้าร่างกายเธออ่อนแอเธอจะฟื้นตัวช้า แล้วผมก็คิดว่า...พรุ่งนี้เธอคงอาจจะยังไม่ตื่นขึ้นมาหรอกครับ...”ผมพูดแล้วถอนหายใจออกมาเพราะว่าทำใจเอาไว้แล้ว

 

 

 

“แต่ก็ไม่แน่นะ...”

 

 

 

“???”ผมเลิกคิ้วขึ้นเมื่อพ่อเอ่ยขึ้นมาแบบนั้น

 

 

 

          ‘ก็ไม่แน่นะ’ ความหมายของมันคือ...

 

 

 

“ก็อย่างที่พ่อบอกนั่นแหละว่า‘โชคชะตาชอบเล่นตลก’ กับเราบางที...แก้วอาจจะตื่นขึ้นมาทันก็ได้ใครจะรู้กันล่ะ”

 

 

 

“แต่บางครั้งโชคชะตาก็ใจร้าย...”

 

 

 

“ไม่หรอก”พ่อผมเอ่ยขึ้นขัด “เพราะถ้าโชคชะตาใจร้ายจริงๆ ลูกคงไม่ได้มาเจอกับแก้วตั้งแต่แรกหรอก”

 

 

 

“นี่พ่อกำลังหมายถึง...”

 

 

 

“ก็ลองคิดดูสิว่าถ้าวันนั้นลุงวิชัยไม่ย้ายบ้านมาอยู่ข้างๆบ้านเราลูกกับแก้วจะได้เจอกันรึปล่าวล่ะ”

 

 

 

        เมื่อพ่อผมเอ่ยบอกแบบนั้นผมก็คิดตามทันที...

 

 

 

       ก็จริงสินะ...ถ้าวันนั้นลุงวิชัยไม่ย้ายมาที่นี่ผมจะได้เจอแก้วมั้ย แล้วถ้าตอนนั้นที่ผมไม่ได้เจอกับเธอที่สวนสาธารณะซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่ เราสบตากันตั้งแต่แรกเจอเลย

 

 

 

 

       แล้วถ้าวันนั้นผมไม่เจอเธอ...แล้วตอนนี้ผมจะทำอะไรอยู่กันนะ?

 

 

 

“นั่นสินะครับ”ผมเอ่ยแล้วก้มหน้ายิ้มกับตัวเองบางๆ

 

 

 

“ก็น่าแปลกนะ จากคนข้างบ้านคนหนึ่งก็ทำให้ลูกของพ่อเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้”

 

 

 

“ครับ...ผมเปลี่ยนจริงๆ”

 

 

 

         มันก็จริงอย่างที่ผมพูดใช่มั้ยล่ะ?

 

 

 

         ก็ ตามหลักแล้วอย่างที่บอกผมไม่ได้เป็นคนแบบนี้เลยด้วยซ้ำ แทบไม่พูดเลยด้วย แต่ว่าปีนี้นี่พูดเยอะที่สุดเท่าที่เคยพูดมาทั้งกับพ่อกับแม่ ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าตั้งแต่ที่แก้วเข้ามาในชีวิตผมวันนั้นผมก็ค่อยๆ เปิดโลกมากขึ้นเรื่อยๆ และรับรู้ชีวิตมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวที่ไม่ใช่การ‘จมปลัก’

 

 

 

         เพราะว่าไอ้แบบนั้นน่ะ...มันแลดูหดหู่สำหรับชีวิตของผมจนเกินไป

 

 

 

        แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้วล่ะครับ เพราะผมนั้นรู้ใจตัวเองแล้ว และไม่เคยคิดเปลี่ยนใจไปมองหรือรักผู้หญิงคนไหนได้อีกนอกจากแก้ว ก็ไม่รู้สินะว่าทำไมผู้หญิงที่แทบไม่ได้โดดเด่นอะไรเลยกลับกลายเป็นคนที่คอย ดึงดูดให้ผมอยากเข้าหาได้มากขนาดนี้ทั้งๆที่ถ้าเทียบกับผู้หญิงคนอื่นนั้น แก้วนี่เธอเป็นผู้หญิงที่ธรรมดาๆและบ้านๆมากๆ ไม่รู้โลก ซื่อบื้อๆหน่อยๆ

 

 

 

 

        แต่เชื่อมั้ยว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถที่จะทำให้ผมหยุดรักเธอหรอก...

 

 

 

        เพราะผมไม่ได้ต้องการผู้หญิงที่เลิศเลอไปทุกอย่าง ไม่ได้ต้องการผู้หญิงสวยๆที่เป็นที่ต้องตาต้องใจของใครๆหลายๆคน ไม่ได้ต้องการผู้หญิงที่ภายนอกถึงแม้คนส่วนใหญ่จะคิดแบบนั้นก็ตาม...แต่ผม ไม่!  ใครจะทำไมก็ผมรักของผมนิครับ

 

 

 

“เปลี่ยนเพราะรู้ว่ารักเขาน่ะสิ ^^”

 

 

 

“แล้วพ่อล่ะเปลี่ยนตัวเองเพราะรักแม่รึปล่าว”ผมถามกลับ

 

 

 

“เอา ตามจริงนะพ่อไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย แต่นิสัยของพ่อลึกๆมันเป็นแบบนี้อยู่แล้วเพียงแต่มันยังไม่พร้อมเปิดเผยออก มาจนมาเจอแม่ของลูกเนี่ยแหละที่พ่อเป็นตัวของตัวเองที่สุด”

 

 

 

“...”

 

 

 

“โทโมะ...พ่อจะบอกให้นะ โลกนี้มันไม่มีอะไรที่สมหวังดั่งใจไปเสียหมดหรอก เห็นพ่อกับแม่แลดูรักกันแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยทะเลาะกันนะมีหลายครั้งที่พ่อกับแม่น่ะทะเลาะกันหนักๆจนแม่ของลูกร้องไห้ แต่เชื่อมั้ย?”

 

 

 

“...?”

 

 

 

“ว่าพ่อกับแม่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยคิดที่จะเลิกรักกันเลย...”

 

 

 

“...”

 

 

 

“แล้วลูกน่ะ ถ้ารักหนูแก้วก็อย่าทำให้เขาร้องไห้นะ มันบาป...”

 

 

 

“ไม่มีทางหรอกพ่อ ถึงก่อนหน้านี้จะเคยก็เถอะ”ผมบอกกับพ่อแล้วเค้นหัวเราะเบาๆ “ผม ขอสัญญาเลยว่าถ้าแก้วตื่นมาเมื่อไหร่ผมจะขอเป็นคนดูแลเธอและจะไม่ทำให้เธอ ร้องไห้อีก เพราะผมรู้แล้วว่าแก้วน่ะร้องไห้เพราะผมมามากแค่ไหน และต่อไปนี้...มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”

 

 

“งั้นก็ขอให้มันเป็นดั่งที่ลูกหวังก็แล้วกัน”

 

 

“ความหวังของผมน่ะ...คือผมอยากให้แก้วตื่นมาทันวันเกิดของผมจังเลยอ่ะพ่อ ถ้าโชคชะตาไม่ใจร้ายกับผมจนเกินไปน่ะนะ”

 

 

“รักจริงหวังแต่งแบบนี้โชคชะตาใจร้ายกับลูกไม่ลงหรอกเชื่อพ่อสิ^^”

 

 

“ก็ขอให้คำพูดพ่อเป็นจริงก็แล้วกัน”ผมยิ้มให้พ่อก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่กำลังทอแสงส่องลงมา

 

 

           ก้อนเมฆที่เคยจับตัวเป็นก้อนเริ่มคลายออกจนท้องฟ้าแลดูน่ามองมากถึงฝนจะตก อยู่  วันนี้ทั้งคำพูดของพ่อแล้วก็ไอ้จองเบมันเป็นกำลังใจให้ผมมากๆ มันทำให้ผมสบายใจขึ้นและไม่ท้อ ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไงผมก็จะรับมันเอาไว้ให้ได้ ถ้าวันเกิดของผมผ่านไปแบบที่ไม่มีแก้วตื่นมาแฮปปี้เบิร์ดเดย์ในวันนั้นก็ไม่เป็นไร

 

 

       แต่ในใจก็แอบหวังนะ...

 

 

       ได้โปรด...ขอให้คำขอของผมเป็นจริงได้มั้ยนะ?

 

 

       ผม อยากขอโชคชะตาในใจดังๆว่าถ้าพรุ่งนี้ผมไปเฝ้าแก้วที่โรงพยาบาลขอให้เธอฟื้น ขึ้นมาเจอหน้าผมทีเถอะ แค่ลืมตามองผมก็ยังดีกว่าหลับไหลอยู่แบบนั้น

 

 

      แต่คุณคิดว่า...คำขอของผมมันจะเป็นจริงมั้ยครับ?  

 

 

     ‘ บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเสมอไป...สิ่งที่คิดอาจไม่เป็นจริง  

หรืออาจจะเป็นจริงขึ้นมาก็ได้ใครจะรู้...

แต่เพียงแค่ขอให้เราเชื่อมั่นในคำขอของตัวเราเอง...ไม่ว่าผลลับจะออกมาเป็นอย่างไร

โชคชะตาเท่านั้นที่รู้...

 

_________________________________________________________อัพแล้วจ้าเม้นกันหน่อย แก้วใจจะตื่นไหมนะพรุ่งนี้^^

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา