นักสืบชิดชัยกับคดีฆาตกรรมปริศนา

7.7

เขียนโดย miracle

วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 01.07 น.

  10 chapter
  18 วิจารณ์
  21.44K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) กำเนิดนักสืบคิด ตอนที่ 3: เพื่อนยามยาก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ


“ตู๊ด.... ตู๊ด.....” เสียงในสายโทรศัพท์ขณะที่ผมกำลังต่อสายหาหนุ่ย


“ฮัลโล ไอ้ชิด! แกอยู่ไหนวะ ตอนนี้ทีวีทุกช่องกำลังประโคมข่าวแกอยู่เลย แกไม่ได้เป็นคนทำใช่ไหมวะ?!” หนุ่ยไม่รอแม้กระทั่งเสียงตอบสนองจากผม


“เฮ้ย! เราไม่ได้ทำนะเว้ย นายก็รู้ว่าเรารักเมย์มากแค่ไหน แล้วไอ้ฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมแบบนั้นถ้าไม่มีใจโหดอำมหิต ไม่มีใครทำได้ลงหรอก อีกอย่างนายก็รู้ว่าเราไม่ได้ทำ”  ผมโต้ตอบทันควัน


“แล้วตอนนี้แกอยู่ไหนวะ เรานึกว่าแกจะโดนตำรวจจับไปซะแล้ว เพราะตอนนี้เห็นข่าวด่วนบอกว่าออกหมายจับแกไปทั่วแล้ว” สิ่งที่หนุ่ยพูดเป็นไปตามที่ผมคาด


“ตอนนี้เราอยู่ที่ไชน่าทาวน์ กำลังแอบอยู่ที่ลานจอดรถ ฝั่งมาร์เก็ตซิตี้(Market city) (มาร์เก็ตซิตี้เป็นศูนย์การค้าย่านไชน่าทาวน์) เราไม่ได้ทำจริงๆนะเว้ย แกต้องเชื่อเรานะ มันมีคนที่กำลังจ้องจะทำให้เราเป็นแพะรับบาปในคดีที่เกิดขึ้นนี้อยู่ ตอนนี้แกอยู่ที่ไหนวะหนุ่ย” ผมตื่นกลัวขึ้นมากะทันหัน กลัวว่าเพื่อนที่ผมเชื่อใจที่สุด จะไม่เข้าใจและกลัวผมไปอีกคน


“ตอนนี้เราอยู่แถวเซอรี่ฮิลล์(Surry Hills) (เซอรี่ฮิลส์เป็นบริเวณที่อยู่ไม่ไกลจากไชน่าทาวน์นัก)  อีกไม่เกินสิบห้านาทีถึง รออยู่ที่นั่นนะอย่าไปไหน” หนุ่ยให้ความหวังที่เหลืออันน้อยนิดกับผม


“เออ! รีบมาเลยนะ นายมาถึง เดี๋ยวเราจะเล่าเรื่องทุกๆอย่างให้ฟัง แล้วนายก็จะเข้าใจเอง รีบมานะเว้ย ลานจอดรถฝั่งมาร์เก็ตซิตี้ ชั้นสี่ ช่องB2”  ผมเตือนสติหนุ่ยอีกครั้ง ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงไซเลน ผ่านไปผ่านมา นั่นทำให้ผมใจสั่นและกลัว บริเวณลานจอดรถนั้นเงียบสนิทจนผมได้ยินเสียงหัวใจของผมเต้นราวกลับจะทะลัก ออกมาภายนอก ในใจก็คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี ให้ผ่านพ้นคืนวันที่เหมือนฝันร้ายแบบนี้


“ไอ้ชิด ไอ้ชิดโว้ย”  หนุ่ยกระซิบเรียกผม จากท้ายรถฮอนด้าซิตี้ ที่ผมแอบอยู่


“เราอยู่นี่ นี่ ตรงนี้”  ผมค่อยๆคลานออกไปโบกมือเป็นสัญญาณให้หนุ่ย


“รีบมาขึ้นรถเร็ว เดี๋ยวเราจะพานายไปพักกับก้อย”  หนุ่ยพูดเสร็จก็เดินไปเปิดประตูรถบีเอ็มซีรี่สามเปิดประทุนสีฟ้า แสดงให้เห็นถึงความรวยของหนุ่ยได้เป็นอย่างดี แล้วก็กวักมือเรียกผมเป็นสัญญาณว่าปลอดภัย ผมจึงรีบวิ่งตรงไปยังที่นั่งด้านหลังคนขับแล้วก็ซุกตัวอยู่ที่วางเท้าด้าน หลัง เรียบร้อยแล้วหนุ่ยก็ขับรถออกไปอย่างช้าๆ


“ทำไมเราต้องไปหาก้อยด้วยวะ เราไม่ค่อยสนิทกับเค้าเท่าไรนักนะ”


ผมถามหนุ่ยด้วยความสงสัย เพราะก้อยเป็นเพื่อนผู้หญิงไทยในอีกหลายๆคนที่หนุ่ยเคยแนะนำให้ผมรู้จัก เวลาที่เราไปเที่ยวกลางคืนกัน


อาจจะสงสัยว่าทำไมอายุสิบสี่ย่างเข้า สิบห้าอย่างผมถึงไปเที่ยวสถานที่แบบนั้นได้ นั่นก็เพราะว่าที่ซิดนีย์นั้นส่วนใหญ่ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ จะไม่ค่อยตรวจบัตรประจำตัวหรือพาสปอร์ต และที่ที่เราไปเที่ยวกันนั้นก็มีแต่เด็กนักเรียนต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ ก้อยเป็นผู้หญิงที่ผมรู้จักเป็นคนแรกๆเลยตั้งแต่ผมย้ายมาอยู่ที่โรงเรียน มัธยมนี้ ก้อยเป็นผู้หญิงที่จัดว่าหน้าตาดีคนหนึ่งผมสีดำยาวถึงเอว ดวงตาโตมีประกาย ปากเล็ก จมูกไม่โด่งนัก ผิวสีนวลหน้าตาคม ทุกอย่างจัดว่าโอเค เสียอย่างเดียว ปากจัดไปหน่อยเท่านั้นเอง โดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับผม มักจะทะเลาะกันเป็นประจำ หนุ่ยเคยแอบมากระซิบบอกกับผม เมื่อตอนที่ผมพบก้อยเป็นครั้งสุดท้ายราวๆสองสามอาทิตย์ก่อนว่าก้อยชอบผมมาก แต่นั่นผมไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไรนัก


“เอาน่าตอนนี้ที่บ้านเรามันไม่สะดวก แล้วอีกอย่างถ้านายมาบ้านเราตำรวจก็ต้องมาอยู่ดี อยู่กับก้อยก่อนนั่นแหล่ะปลอดภัยที่สุดแล้ว”  หนุ่ยยังยืนยันที่จะให้ผมไปพักกับก้อย


“แล้วสตูดิโอของนายที่อยู่ แถวเรดเฟิร์น(Redfern)ล่ะ (เรดเฟิร์นก็เป็นเมืองเล็กๆไม่ไกลจากไชน่าทาวน์เท่าใดนัก แต่เป็นที่ค่อนข้างอันตราย คนต่างชาติมักโดนทำร้ายหรือวิ่งราวเสมอ)”  ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าหนุ่ยยังมีสตูดิโอที่ใช้พักผ่อนเวลาต้องการความเป็น ส่วนตัวอยู่ด้วย


“ไม่ได้หรอก ตอนนี้กำลังซ่อมอยู่ วันก่อนท่อน้ำตัน น้ำไม่ไหล อาบน้ำไม่ได้เลย อยู่กับก้อยนั่นแหล่ะ” หนุ่ยยังยืนยันคำเดิม


“แล้วทำไมนายถึงไปพัวพันคดีฆาตกรรมฆ่า โหดแฟนตัวเองแบบนี้ได้วะ ไปมีเรื่องกับใครมารึเปล่า เพราะถึงขนาดเอาแกมาเป็นแพะรับบาปแบบนี้มันน่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย” หนุ่ยถามผมด้วยความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง


ผมก็คิดเช่นนั้น แต่ยังไม่รู้เลยว่าผมเคยไปทำอะไรใครจนต้องการเอาผมถึงตายแบบนี้ที่ไหน ผมก็เลยตอบหนุ่ยอย่างเซ็งๆว่า “ถ้าเรารู้ว่ามันเป็นใคร เราคงไม่มาเดือดร้อนนาย และหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้หรอกนะ”


เมื่อหนุ่ยขับรถมาได้สักพักก็จอดข้าง ทาง เป็นที่ไหนนั้นผมไม่ทราบเพราะผมแอบอยู่ข้างหลังตลอด เสียงประตูรถเปิด และมีผู้หญิงคนหนึ่งก้าวขึ้นมาบนรถ


“ไปฆ่าคนตายมา ยังมีหน้ามาหาให้ฉันช่วยอีกนะ” เสียงที่คุ้นเคย ใช่แล้วเป็นก้อยนั่นเอง รับก้อยเสร็จหนุ่ยก็ออกรถ


“เอาน่าช่วยมันหน่อยนะ คนอย่างมันฆ่าใครเค้าไม่ได้หรอก” หนุ่ยแก้ตัวให้ผม


“ฉันก็รู้ว่า คนอย่างชิดผู้รักความยุติธรรมจะไปฆ่าใครเค้าได้  ฉันก็แค่แกล้งพูดไปยังงั้นเอง อยากเห็นหน้ามันตอนโดนเสียดสีน่ะ”  ก้อยพูดเสร็จก็เหลือบมามองผม และยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก พร้อมๆกับยักคิ้วเล็กน้อยให้ผม


“เออ ได้ทีแล้วนี่ คราวนี้มันคราวซวยของผม พี่ก้อยจะไปรู้อะไร ลองมาเจอแบบผมบ้างสิ แล้วจะรู้ว่านรกแห่งการถูกตามล่ามันเป็นแบบไหน”  ผมตอบด้วยน้ำเสียงกระทบกระทั่งเล็กน้อยแต่ก็ดีใจที่ตอนนี้มีคนถึงสองคนที่ พร้อมจะช่วยเหลือผม ที่ผมเรียกก้อยว่าพี่นั้นเพราะเธอแก่กว่าผมสามปี


ในที่สุดหนุ่ยก็พาผมมาถึงคิงส์ครอ ส(kings cross) ซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผับบาร์ ผู้หญิง เสียงเพลงและแสงสี ถ้าจะให้เปรียบก็คงจะเหมือนกับพัทยาบ้านเรานั่นเอง กลางวันสงบเงียบ กลางคืนกลับพลุกพล่าน ผมจัดการสวมหมวกกับแว่นกันแดดที่เตรียมไว้ให้เรียบร้อย รอหนุ่ยจอดรถเสร็จผมก็ค่อยๆลงจากรถ ผมดูนาฬิกาเวลาตอนนี้คือสามทุ่มยี่สิบนาที ที่นี่เริ่มเต็มไปด้วยผู้คน นั่นทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจและผ่อนคลายลงไปบ้าง จากที่จอดรถมาไม่ไกลจะมีตรอกเล็กๆข้างผับแห่งหนึ่ง เราสามคนเดินเข้าไปในตรอก ตรอกนั้นค่อนข้างแคบ ชื้นและมืด เดินไปสักหน่อยก็จะถึงตึกสีออกน้ำตาลๆหลังหนึ่ง ก้อยพาผมและหนุ่ยอ้อมไปเข้าประตูทางด้านหลัง เพราะต้องระวังไม่ให้มีใครสังเกตเห็นผม เดินมาถึงประตูหลัง ก้อยก็พูดกับผมและหนุ่ยว่า


“ถึงแล้วบ้านฉัน เดินขึ้นไปชั้นสามนี่ก็ถึงแล้ว ภายนอกอาจดูไม่ดี แต่ข้างในยังโอเคอยู่นะ ทำไงได้ก็ฉันต้องประหยัดนี่”


ก้อยก็เหมือนกับนักศึกษาอีกหลายๆคนที่ ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เพราะที่ออสเตรเลียโดยเฉพาะที่ซิดนีย์นั้นค่าครองชีพค่อนข้างสูง ส่วนตัวผมพ่อแม่มีอันจะกินบ้าง เลยไม่ได้ลำบากเรื่องที่พักและเรื่องค่ากินค่าอยู่เท่าไรนัก อีกอย่างหนึ่งคือที่ออสเตรเลียมีกฎหมายที่ว่าถ้าอายุไม่ถึงสิบแปดจะต้องอยู่ ในความดูแลของผู้ปกครอง ดังนั้นเด็กต่างชาติที่อายุไม่ถึงสิบแปดปีจะต้องอยู่โฮมสเตย์ ส่วนก้อยอายุสิบแปดพอดีจึงสามารถอยู่ที่อพาตเม้นท์หรือห้องเช่าได้


เดินขึ้นมาถึงชั้นสามจะมีทางแยกสองทาง ตามลำดับหมายเลข ห้องก้อยอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ ห้องหมายเลข 308 ก้อยเปิดประตูไม้เก่าๆสีขาว แล้วก็เชิญเราสองคนเข้าไปในห้อง แล้วก้อยก็พูดขึ้นว่า


“ทำตัวตามสบายเลยนะทั้งสองคน ที่นี่อาจจะเล็กไปสักหน่อย แต่ก็พออยู่ได้นะ ห้องน้ำ ตู้เย็น มีครบหมดทุกอย่าง”


ผมมองดูรอบๆห้อง ห้องของก้อยมีขนาดเท่าๆกับสตูดิโอห้องหนึ่ง กะประมาณได้5X5เมตรซึ่งไม่ใหญ่และก็ไม่เล็กจนเกินไปสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่กำแพงด้านซ้ายมือฝั่งติดกับหน้าต่างมีฟูกสองอันวางอยู่ ทางขวามีครัวเล็กๆ เตาแก๊สแบบพกพา และตู้เย็นค่อนข้างเก่าสองชั้นสีขาววางอยู่ข้างทางเข้าห้องน้ำ


“หิวแล้วล่ะสิ ไอ้ชิด” หนุ่ยถามผม


ใช่ ตั้งแต่ตอนเช้าที่ผมได้ฟังข่าวการตายของเมย์ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ผมนั่งลงที่พื้นห้อง แล้วก็ตอบหนุ่ยไปด้วยใบหน้าที่อิดโรย


“หิวสิ หิวมากด้วย ตอนนี้รู้ปลอดภัยขึ้นเยอะ ชักอยากกินอะไรอร่อยๆเผ็ดๆ ซะแล้วสิ”


“งั้นเดี๋ยวเรากับก้อยจะออกไปซื้ออาหาร ไทยที่ร้านใกล้ๆแถวนี้มาให้ อย่าออกไปไหนล่ะ อยู่ในนี้ปลอดภัยแน่นอนแล้วเราจะรีบกลับมา”  หนุ่ยพูดเสร็จก็เดินไปรอก้อยที่ประตู


“คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเองไปก่อนนะ อาจจะเล็กไปหน่อย แต่ก็อบอุ่นเละปลอดภัยนะ ถ้าหิวน้ำก็เปิดตู้เย็นดูเอาล่ะกัน แล้วก้อย่าเผลอไปกินเบียร์ของฉันเข้าล่ะ ฮ่าๆ” ก้อยพูดเสริมแล้วก็เดินไปหาหนุ่ยที่หน้าประตู ขณะที่หนุ่ยเปิดประตูและกำลังจะออกไป ผมก็พูดด้วยความตื้นตันใจว่า


“ขอบคุณพี่ก้อยและหนุ่ยมากนะ ถ้าไม่ได้พี่ก้อยกับนาย เราคงถูกซ้อมให้รับสารภาพ และอาจจะต้องนอนรอความตายในคุกก็ได้”


“เราคนไทยด้วยกัน ก็ต้องช่วยเหลือกันสิ แล้วอีกอย่างนายก็เป็นเพื่อนรักเราด้วย เพื่อนกันต้องไม่ทิ้งกันอยู่แล้วจริงไหม เชื่อมั่นสิว่าเราจะต้องผ่านมันไปให้ได้ ถ้านายไม่ได้ฆ่าเมย์จริงๆ เดี๋ยวตำรวจเค้าก็ต้องจับคนร้ายได้แน่นอน ตอนนี้นายแค่อยู่เฉยๆรอฟังข่าวก็พอ” พูดเสร็จหนุ่ยก็ปิดประตู


คำพูดของหนุ่ยทำให้ผมซึ้งใจเป็นอย่าง ยิ่ง ผมเปิดกระเป๋าและหยิบซองจดหมายที่ไอ้ฆาตกรชั่วใจโหดนั่นนำมาวางไว้ที่ห้องผม กลับมาดูอีกครั้ง ผมพลิกไปพลิกมา ดมกลิ่น ส่องไฟดู อ่านข้อความซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ยังไม่เข้าใจความหมายของมันอยู่ดี ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมมันจะต้องฆ่าเมย์แล้วให้ผมเป็นแพะรับบาปแทน มันด้วย ผมครุ่นคิดถึงคนที่ผมเคยทะเลาะและมีปัญหาด้วย ก็ไม่เห็นจะมีใครเข้าข่ายเลยสักคน หรือจะเป็นแฟนเก่าเมย์แต่เมย์ก็บอกแล้วว่าผมเป็นแฟนคนแรก เค้าคงจะไม่โกหกผมหรอก คิดไปซักพักผมก็หมดแรง เลยลุกจากที่ไปยืนที่ริมหน้าต่างมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน พระจันทร์ที่งดงาม ท่ามกลางความมืดมิด ภายใต้แสงสี สว่างไสวยามราตรีของคิงส์ครอส และเสียงดนตรีจากผับต่างๆที่แผ่วเบา ทำให้ใจผมสงบขึ้นเล็กน้อย พรุ่งนี้ค่อยคิดใหม่อีกทีละกัน มันต้องมีทางออกแน่นอน ผมพยายามคิดในแง่ดี ดวงตาก็ยังคงมองลอดหน้าตาไปยังพระจันทร์ดวงนั้น 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา