Angel's quest Part II Staff of angel

9.3

เขียนโดย imppreal

วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 13.45 น.

  12 ตอน
  15 วิจารณ์
  21.46K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) Staff of angel การหนีจากสถาบัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Angel Fantasy

บทที่3

 

 

 

                       วายุนอนขดตัวในผ้าห่ม อากาศยามเช้านี้มันเย็นจับใจ เขารู้สึกถึงบรรยากาศเดิมๆที่เขาเคยเจอ มันเหมือนกับวันหยุดไม่มีผิด ซึ่งเขาได้อยู่บ้าน ได้นอนตื่นให้สายเหมือนกับความต้องการในตอนนี้ แต่ในเมื่อเขาได้นอนเต็มอิ่มแล้ว เขาก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับต่อได้อีก มันบังคับให้เขาต้องลุกขึ้นทำกิจวัตรที่เขาเองแทบไม่เคยคิดถึงมัน

                                  วายุทักทายบลูโดยไม่ปดปล่อยมันออกมา อัญมณีสีฟ้าที่แหวนส่องแสงรับนั่นแปลว่าบลูทักทายเขากลับ เขายิ้มโดยไม่รู้ตัว วายุเปลี่ยนชุดโดยแค่ถือมันไว้ในมือแล้วมองไปยังกระจกตู้ประจำเตียง ผ้าชุดเก่าก็พับกองอยู่ในตู้แล้ว และอีกอย่างเขาไม่ต้องทำความสะอาดรางกายเลยเพราะเสื้อผ้าแต่ละตัวในตู้จะมีคาถาสะอาดสะอ้านเสกไว้

                                 วายุเดินผ่านพวกเด็กชายที่ตื่นแล้วบางส่วนออกมาจากหอนอนแล้วลงบันไดที่เชื่อมต่อระหว่างหอนอนกับห้องรับแขก เป็นครั้งแรกที่ครูอลิซไม่มารอรับเขาเหมือนทุกครั้ง ซึ่งปกติวายุจะได้รอยยิ้มของเธอทุกเช้าเสมอ

                                 เช้าวันนี้เงียบเหงาที่สุด ทุกอย่างเหมือนกับยังไม่พร้อมตื่นมาต้อรับเขา อากาศหนาวกว่าปกติมาก แถมอีกอย่างหมอกที่ลงจัดทำให้ข้างทางแทบมองไม่เห็นทาง ไม่มีเสียงสัตว์ส่งเสียงทักทายกันทุกเช้าตรู่ ทำให้เป็นเช้าที่ไม่มีใครอยากจะตื่นขึ้นมาเพื่อรับมัน

                                 “หน้าหนาวแฮะ”

                      วายุบ่นให้ตัวเอง ไอสีขาวพุ่งออกจากปาก เขานิดสนุกจึงลองเล่นกับมันดู เขาพูดเบาๆแต่ลากเสียงยาวๆ ไอที่ปล่อยออกมามีอย่างต่อเนื่องจนหมดในตอนที่วายุต้องหายใจ เขาทำอีกหลายรอบในระหว่างทางที่เดินมาหอสมุด เขาพบว่าหอสมุดยังล็อคอยู่ซึ่งมันแตกต่างจากทุกทีที่มานี่ในเวลานี้

                                 “บางทีครูอลิซยังไม่ตื่นมั่ง”

                      วายุบอกบลู มันประพริบตอบเชิงเห็นด้วยอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงหาที่นั่งเพื่อนั่งรอครูอลิซ โดยเจอที่เหมาะๆที่ลานกว้าง เขาไม่เห็นวี่แววครูและนักเรียนคนไหน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมัน แค่คิดว่าพวกนั้นยังไม่อยากเจอหมอกจัดๆอากาศหนาวๆตอนนี้ วายุไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาจ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา

                                 “ท่านอัศวิน สบายดีไหมครับ”

                      วายุตกใจ เขาหันเห็นไคท์ยืนอยู่ด้านหลัง เขาเตรียมจะต่อสู้เพราะครั้งสุดท้ายที่เขาเจอไคท์ ทั้งคู่กะจะเอาชีวิตกัน แต่ครั้งนี้เขาเจอไคท์ในสภาพชุดนอนทั้งคู่ เขาจึงได้เปรียบอยู่บ้าง

                                  “ท่านไม่ต้องกลัวหรอก ผมไม่คิดจะสู้กับท่านอีกแล้ว”

                      “เชื่อก็บ้า”

                      “ผมเป็นชาวเผ่าไลท์ พูดคำไหนก็คำนั้น แล้วท่านเป็นอัศวินตามคำทำนาย ผมจะกำจัดท่านทำไม”

                      วายุถอนใจ แต่ยังไม่ถอนสายตาจากไคท์ เพราะเขายังระแวงไคท์อยู่ทุกกริยาท่าทางของไคท์ เนื่องจากทั้งคู่ยังคงเป็นศัตรูในความคิดวายุ

                                “ตอนนั้นผมนึกว่าท่านจะทำลายวิหารอีก ผมจึงไม่อาจเชื่อใครได้ง่ายหรอกครับ”

                     “ไม่ว่าหรอก ก็นายได้อยู่ที่นี่แล้ว แน่นอนว่าครแร็กคงอนุมัติ”

                     “ถูกต้องครับ เอ่อ..ท่านอัศวิน ผมนั่งด้วยได้ไหม”

                     “ตามสบาย นายเรียกชั้นว่า วายุ ก็พอ”

                     “ครับ ท่านวายุ”

                     “วายุ ต่างหากเล่า”

                       วายุดุไคท์จนเขาเรียกชื่อตนจนถูก จึงอนุญาตให้นั่ง ทั้งคู่ได้สนทนาในเรื่องที่มาของไคท์และไคท์ได้บอกสิ่งที่เขาพูดกับครูอลิซให้วายุฟัง เขาบอกวายุว่าครูอลิซอยู่ในห้องครูใหญ่จนเกือบเช้าเพื่อแก้ปริศนาของยายเขา เป็นเหตุให้ครูอลิซมาเปิดหอสมุดในเช้านี้ไม่ได้

                               “กะแล้ว ครูอลิซยังไม่ตื่น”

                    “เห็นว่าเธอจะมาตอนบ่ายๆนะครับ”

                    “คงงั้นมั่ง แต่ว่าทำไมพวกนักเรียนไม่ออกมาบ้าง”

                       วายุมองไปรอบๆ พวกเขาคุยกันไปตั้งนานแล้วแต่ยังไม่เห็นวี่แววของบุคคลอื่นเลย มันเป็นของแน่นอนที่พวกเขายังอยู่ในหอพัก

                                “วันพรุ่งนี้เป็นวันเริ่มต้องฤดูหนาวนี่ครับ พวกนักเรียนคงต้องเตรียมตัวกลับบ้าน คงจะเป็นวันปิดเทอมหน้าหนาว”

                     “โรงเรียนชั้นมีแต่ปิดเทอมหน้าร้อน ที่นี่มีปิเทอมหน้าหนาวด้วยหรอ”

                     “ครับ ที่นี่ต่างจากที่นี่คุณจากมานะครับ เพราะอากาศร้อนมันไม่ค่อยจะโผล่ครับ แต่พอหนาวก็หนาวสุดขีดเลย คิดว่าอากาศธรรมดาก็ดีสุดแล้ว”

                      “อากาศธรรมดา ชั้นไม่เข้าใจ เหมือนเมื่อวานยังอุ่นๆอยู่เลย แบนี้หรอ”

                     “ใช่ครับอากาศอุ่นๆแบบนั้นแหละ แต่ว่าที่นี่จะมีปรากฎการณ์อะไรมันไม่ยักจะมีเค้ามาให้เห็นครับ ฝนจะตกก็ตกเลย แบบนั้นครับ”

                     “ว่าทำไมตอนที่ชั้นมาที่นี่ครั้งแรกฝนมันตก แล้วจู่ๆก็หยุดไปกะทันหันซะงั้น”

                     “ครับ นั่นแหละสภาพอากาศที่นี่มันไม่แน่นอน”

                         วายุเริ่มเข้าใจสิ่งที่ไคท์อธิบาย เขาลองจินตนาการดูว่า ถ้าเขายืนอยู่กลางทะเลทรายที่ร้อนสุดโหด แล้วจู่ๆฝนเม็ดท่าหัวคนตกลงมาโดนหลังเขาหัก และเขารู้สึกว่าความคิดมันออกจะเว่อร์

                                 “งั้นแสดงว่าพรุ่งนี้คงไม่หนาวแบบนี้สิ”

                      “ไม่หรอกครับ นี่เข้าหน้าหนาว ยังไงก็หนาวครับ ถึงสภาพอากาศจะไม่แน่นอนยังไง แต่ฤดูกาลมันแน่นนอนที่สุดครับ”

                      “แล้วที่นี่มีหิมะตกไหมไคท์”

                      “คิดว่า อาจจะเป็นพรุ่งนี้ครับ แต่คุณไม่มีเวลาเล่นมันหรอกครับ”

                      “อ้าวทำไมล่ะ หิมะตกทั้งที”

                      “พรุ่งนี้พวกเราจะต้องหนีไปจากที่นี่ครับ เพราะถ้าขืนให้พวกครูๆแก้ปัญหาต่อไปคงจะไม่ทันการครับ”

                      “ไม่ได้นะไคท์ เราจะสู้พวกนั้นไหมหรอ แล้วสองคนเนี่ยนะ”

                      “ไม่ใช่สองคนครับ ยังมีเพื่อนสาวของคุณด้วยอีกคนไงครับ คนที่ชื่อ เอลน่ะ”

                      “นั่นยิ่งไม่ได้เลย ชั้นไม่อยากให้เอลตั้งเสี่ยงไปด้วย”

                      วายุนึกย้อนถึงเอล เขาเห็นภาพเธอทนฝ่ากลางหิมะไปหาคทาซึ่งยังแก้ปริศนาไม่ได้เลย พร้อมกับการที่เอลจะได้รับอันตรายจากพวกดาร์กอีก มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย

                               “เธอตกลงที่จะไปครับ ท่านยายบอกไว้อย่างงั้น เอางี้ครับ เราจะต้องทิ้งจดหมายไว้ให้ครูอลิซรู้ครับ แล้วไม่ต้องห่วงว่าพวกเขาจะขวางเราๆได้ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันปิดเทอมแล้ว”

                    “ปิดเทอมแล้วไง”

                    “นั่นแปลว่า เราจะมีโอกาสแอบออกจากที่นี่สูงเพราะการรักษาความปลอดภัยมันไม่แน่นหนาเหมือนเคย”

                    “แต่ชั้นยังไม่เห็นด้วยเรื่องเอลนะ”

                    “คุณปฎิเสธไม่ได้หรอกครับ เพราะเธอยืนยันว่าจะไปเอง แต่อย่างน้อยผมคิดว่าเราคงอุ่นใจกว่านะครับ เพราะฝีมือของเธอผมรู้หมดแล้วจากท่านยาย”

                    “ร้ายจริงๆนะคุณยายเนี่ย”

                    “เอาละครับ ผมว่าเราน่าหาอะไรลงท้องซักหน่อยนะ”

                    ไคท์พูดขึ้นพร้อมบิดขี้เกียจ เขาส่งสายตาให้วายุ ก่อนที่วายุจะเดินตามเขาไป ไคท์นำหน้าเขามาที่โรงอาหาร มีร้านค้าเปิดอยู่ค่อนข้างน้อยและร้านค้าส่วนใหญ่เป็นร้านขายเครื่องดื่มร้อนๆซะมากกว่า

                                พวกเขานั่งลงหน้าร้านขายเครื่องดื่มที่มีป้ายเขียนด้วยสีน้ำตาล และมีตารางเมนูปรากฏให้เห็นชัด

                               “เดี๋ยวชั้นเลี้ยงเองไคท์ แต่อย่าแพงมากนะ ชั้นเพิ่งได้เงินเดือนมาอิทตย์ก่อน ตอนนี้เหลือเยอะแล้ว”

                    “ไม่ต้องห่วงครับ เรื่องเงินผมก็มี เดี๋ยวผมเลี้ยงเองครับ แต่เงินที่ผมมีบอกเลยว่า คุณเลยไม่อั้น”

                    “งั้นหรอ ก็ได้ ชั้นจะเก็บส่วนของชั้นไว้ก็แล้วกันนะ”

                    “เชิญตามสบายครับ”

                    ทั้งคู่สั่งช็อคโกแลคร้อนของแต่ละคน แล้วตามด้วยเค้กเนยสองชิ้น ทั้งคู่คุยกันอย่างสนุกสนานระหว่างที่นั่งรอของที่สั่ง จนเกือบลืมว่าสั่งของไว้แล้ว(ทั้งคู่กำลังจะลุกขึ้น เจ้าของร้านร้องบอกทันทีว่าของเสร็จแล้ว)

                   

 

                      “เป็นอันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามอบหมายมันพังยับหมด ใช่ไหม”

                         เสียงกร้าวกราดเย็นชาตะคอกใส่อาทีน่า เธอสะดุ้งเพราะความกลัว โดยมีเดสโฟรยืนมองอยู่ด้านข้างของห้องโถม เจ้าของเสียงเป็นราชาของเผ่าดาร์กที่มีบังลังค์อยู่ที่นี่ ภายในถ้ำลับของดาร์ก

                                 “ท่านพ่อข้า....”

                      “เอาเป็นว่าเจ้าไม่ต้องพูด อาทีน่า ข้าผิดหวังในตัวเจ้านัก ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นลูก ไม่งั้นคงโดนประหารไปแล้ว!”

                          ฟลอริกซ์โกรธจนตัวสั่น เขารู้สึกผิดหวังในตัวลูกสาว และอีกอย่างเขาไม่เคยเห็นว่าลูกคนนี้จะมีประโยชน์อะไรเลย นอกจากเลี้ยงไว้ใช้งานและดูเล่นเท่านั้น

                                 “เสียแรงที่ข้าอยากให้เจ้าขึ้นเป็นราชินีของเผ่าเราต่อไปหลังจากข้าตาย ดังนั้นข้าขอปลดเจ้า ออกจากรัชทายาท อาทีน่า”

                         น้ำตาของอาทีน่าไหลพราก เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในที่ซึ่งมีแต่คนเกลียดชัง รู้สึกว่ากำลังถูกพรากเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเธอ อาทีน่าคุกเข่าร้องไห้ฟูมฟายโดยที่ฟลอริกซ์ไม่แยแสเลยซักนิด

                                 “ให้ข้าแก้ตัวได้ไหม ท่านพอ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอีก”

                      “แก้ตัวงั้นรึ เจ้าพูดอะไรออกมา! อย่างเจ้ารึ จะทำอะไรได้!”

                      “ท่านพ่อ ข้าจะนำตัวอัศวินนั่นมาหาท่าน ให้โอกาสข้า อีกซักครั้ง”

                      “เชอะ! เจ้าพูดเองนะว่าขอโอกาสข้าเป็นครั้งสุดท้าย!”

                      “ค่ะ ท่านพ่อ”

                           เสียงสั่นๆลอดจากหลอดเสียงของอาทีน่า เธอรู้ดีว่าถ้าพ่อของเธอพูดแบบนี้ เธอยังมีโอกาสแก้ตัว และเป็นการแก้ตัวครั้งสุดท้ายของเธออีกด้วย แต่ถาพลาดครั้งนี้เธอจะไม่มีหน้าจะมาหาท่านพ่อ ขืนมาก็โดนฆ่าแน่ นี่เป็นโอกาสเดียวที่เธอจะได้หนีเอาชีวิตรอด

                                  “ได้! ข้าจะให้โอกาสเจ้า แต่ถ้าพลาด เจ้าคงรู้นะว่าเป็นอย่างไร”

                      “ข้าทราบค่ะ ท่านพ่อ”

                      “งั้นก็ดี เจ้าไปได้ ไปทำสิ่งที่เจ้าสาบาน!”

                     อาทีน่าเดินออกไปจากห้องโถมโดยที่ฟลอริกซ์ยังมองตามหลัง เขาเรียกเดสโฟรเพื่อคุยธุระอะไรบางอย่าง ทั้งคู่พยักหน้าตกลงกัน ไม่ช้าเดสโฟรก็ตามอาทีน่าออกไปพร้อมกับทหารเผ่าดาร์กอีก7-8คนแต่สวมชุดคล้ายกับพวกนินจามากกว่า

                                “พ่อเจ้าส่งให้มาช่วย”

                     เดสโฟรแนะนำพวกมือสังหารเผ่าดาร์กที่ฟลอริกซ์ให้เป็นกำลังเสริมของอาทีน่า มันทำให้เธอพึงพอใจมากกับสถานการณ์แบบนี้ อย่างน้อยเธอก็มีกำลังเสริมด้วย ภารกิจของเธอคงจะง่ายขึ้นอีก

                                “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

                     เดสโฟรกล่าวทำให้อาทีน่าเผยยิ้มออกมาจนได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอหวังไว้อยู่แล้ว

                                “พวกเจ้าจงไปเตรียมพาหนะของพวกเจ้าแล้วไปพบข้าที่บนยอดเขา”

                     “รับทราบ!!!”

                      มือสังหารทั้งหมดแยกย้ายอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา ส่วนอาทีน่าและเดสโฟรต่างขึ้นขี่วินด์ดอน มันคลางรู้หน้าที่ก่อนพาคนสองคนบินขึ้นไปบนยอดเขาจุดนัดพบกับมือสังหาร ดาร์กฮอคร่อนถลาลมครู่หนึ่งก่อนจะลงจอดอย่างนุ่มนวล พวกมือสังหารไปรออยู่แล้วพร้อมพาหนะคล้ายนก7-8ตัว แต่นกพวกนี้ไม่มีปีกค้างคาวแบบดาร์กฮอค มันมีปีกเหมือนนกธรรมดานั่นแหละแต่ตัวใหญ่กว่า และยังมีสีดำทั้งตัว ถ้าเรียกว่า กายักษ์ ก็ไม่ผิด แต่พวกดาร์กเรียกมันว่า “ดาร์กฟลาย”

                     “พร้อมไหม พวกเจ้าจงรู้ไว้ว่า ภารกิจครั้งนี้คือการรอคอย ข้ารู้ว่าพวกมันก็คงจะเคลื่อนไหวแล้ว”

                     “ครับ ผม!!!”

                     “งั้นก็ออกตัว!!”
                      ดาร์กฮอคถลาขึ้นตามด้วยดาร์กฟลายฝูงหนึ่ง ทั้งหมดร่อนลงเขาอย่างรวดเร็วเป้าหมายก็คือการรอคอยพวกวายุ เผื่อว่าพวกเขาจะออกเดินทางตามหาคทาบ้างแล้ว ซึ่งเดสโฟรรู้ดีอยู่แล้วว่าอัศวินตามคำทำนายจะรู้ตำแหน่งที่ซ่อนของคทา ซึ่งขนาดนี้อัศวินที่ว่ากำลังสวาปามกับช็อคโกแลตร้อนถ้วยที่สอง

 

                                   

                   “คุณกินจุใช้ได้เลยนะครับ”

                     ไคท์พูดด้วยความชื่นชมที่วายุทานเค้กและช็อคโกแลตร้อนชุดที่สอง ทั้งๆที่ไคท์เองอิ่มแทบจะจุกไม่ไหวอยู่แล้ว

                            “มันอร่อยนี่ แล้วอากาศหนาวๆงี้ ได้กินของร้อนๆมันวิเศษไปเลย!”

                     เสียงของวายุทำให้เจ้าของร้านยิ้มแฉ่ง มั่นใจในฝีมือตนมากขึ้น ส่วนเจ้าตัวก็ไม่คิดอะไรมาก ยังคงตั้งหน้าตั้งตาบรรจงตักเค้กเข้าปาก โดยที่ไคท์นั่งกุมท้องอยู่ตรงข้าม

                            “คุณวายุครับ ผมว่าเราคงต้องไปตั้งแต่เช้านะครับ”

                     วายุสำลักช็อคโกแลตร้อนจนแทบจะป้วนออกมาแต่ก็ไม่ป้วน เขานึกทบทวนสิ่งที่ไคท์พูดเมื่อครู่ เขาก็ตกใจขึ้นทันที

                             “ว่าไงนะ! ทำไมเร็วจังล่ะ”

                   “ผมสังหรณ์ว่า เราคงจะไม่ได้แล้ว อันที่จริงถ้าเป็นไปได้ ผมอยากไปวันนี้เลยครับ”

                   “ไม่ไหวหรอกมั่ง ไปวันนี้มันเร็วไปมากเลยนะไคท์”

                   “อันนั้นผมรู้แต่ ผมสังหรณ์ไม่ดีเอาเสียเลยครับ”

                   “งั้นหรอ แล้วนายสังหรณ์ว่าอย่างไร บอกหน่อยสิ”

                    ไคท์ลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะจิบช็อคโกแลตร้อนก้นแก้วของเขาจนหมด ก่อนที่จะเลียปากที่ติดคราบช็อคโกแลคหวานๆ

                              “ผมสังหรณ์ว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวแล้วซิครับ”

                    “นายคิดไปเองล่ะมั่ง”

                    “สังหรณ์ของเผ่าเราแม่น80-90%ครับ บางครั้งมันก็พลาด แต่มีโอกาสน้อยมากครับ”

                    “งั้นนายสังหรณ์ว่ามันเริ่มเคลื่อนไหวแล้วรึ”

                    “ใช่ครับ”

                    “งั้นชั้นคงต้องไปเตรียมของแล้ว ชั้นเห็นด้วยกับนายที่จะแอบหนีไป แต่ยังไงซะยังไม่เห็นด้วยกับที่จะพาเอลไปอยู่ดีนั่นแหละ งั้นพรุ่งนี้เจอกัน”

                    “ครับ”

                      วายุรีบลุกออกจากเก้าอี้เพื่อกลับไปยังหอพัก เพื่อจะเตรียมของที่จำเป็นตามวิชาลูกเสือที่เคยเรียนมา เขาไม่ลืมคู่มือการใช้บลูที่แร็กทิวมอบให้ เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง โดยที่เขาเอาสัมภาระใส่ย่ามที่วางไว้ในตู้เสื้อผ้า วายุก็ออกจากหอนอนพบว่าเลยเที่ยงไปแล้ว เขาจึงมุ่งไปหอสมุดเพื่อพบกับครูอลิซ หมอกหนาในตอนเช้าหายไปหมดเหลือแต่แสงแดดอ่อนๆของฤดูหนาว

                                  วายุพบครูอลิซหมอบหลับที่โต๊ะบรรณารักษ์ เขาไม่อยากที่จะปลุกเธอ ปล่อยให้เธอนอนอย่างงั้นไป วายุค้นหาแผนที่ตามที่ไคท์สั่งมาในตอนที่นั่งจิบของร้อนเมื่อเช้า เขาเจอแผนที่ที่ไม่ละเอียดลออมากนักแต่ยังคงรู้ทางกลับ วายุไล่สายตาจากบนลงล่าง พบว่ามีเมืองใหญ่ๆอยู่หลายเมืองโดยมีเมืองดีเชโน่อยู่ใต้สุด ไพริออนอยู่กลาง ทิศเหนือมีเมืองชื่อซัมมอนเนียร์ ตะวันออกมีเมืองดรากอนน่า  ทิศตะวันตกมีเมืองเมเจียร์  และยังมีเมืองเล็กๆอยู่หลายเมืองที่วายุไม่สนใจเท่าไหร่ เขาได้แผนที่มาแล้วก็พบใส่กระเป๋าเสื้อกันหนาว จากนั้นก็จัดหนังสือตามหน้าที่ที่ครูอลิซมอบหมายให้จนค่ำ หลังจากที่เขาจัดของเรียบร้อย เขาถึงเขียนจดหมายถึงครูอลิซมีใจความว่า

 

 

ถึง ครูอลิซที่รัก

 

                     เนื่องจากกระผมมีความจำเป็นที่จะต้องขอลาไปทำภารกิจกับไคท์และเอลตามลำพัง ผมไม่อยากให้ครูอลิซเป็นห่วงเพราะว่าการไปของผมนั้นอันตรายอยู่แล้ว ผมไม่อยากให้ครูอลิซคอยขวางถ้าผมจะทำอะไรที่เสี่ยงเกินตัว สุดท้ายนี้ผมขอสัญญาว่าผมจะกลับมา แต่ถ้าผมไปได้กลับมามขอให้ครูอลิซหาทางเอาจดหมายนี้ไปส่งที่โลกของผมด้วย ผมแนะนำให้ขอความช่วยเหลือจากยายแองลี่ ผมขอขอบคุณครูอลิซที่ดูแลผมเป็นอย่างดีและจะไม่ลืมบุญคุณของครูอลิซเลย

                                       

                                                                            รักและเคารพอย่างสูง

                                                                                วายุ  เนตรอัคคี

  

                             

 

                             “ผมขอโทษครับครูอลิซ”

                      วายุล้มตัวลงนอน เขาข่มตาให้หลับเพื่อพรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า แต่เขาใช้เวลาตั้งนานกว่าจะหลับได้สนิท เขารู้สึกตัวอีกทีก็เป็นเช้ามืดของวันใหม่แล้ว เขาตื่นเพราะมีเสียงบางเสียงกระซิบเข้ามาในหู มันดังขึ้นเรื่อยๆจนทนนอนต่อไม่ไหว

                            “อะไรวะ”

                      วายุอุทานเบาๆเพราะไม่อยากให้คนอื่นตื่น เขารีบเปลี่ยนชุดและคว้าย่ามก่อนจะย่องออกจากหอนอนและลงบันไดอย่างเงียบและรวดเร็ว

                            “มาเร็วจังแฮะ”

                      วายุพูดเมื่อเห็นเอลและไคท์มารออยู่แล้ว เอลส่งยิ้มง่วงๆให้เขา ส่วนไคท์พยักหน้าให้ วายุยิ้มและพยักหน้าตอบทั้งสอง ในที่สุดเวลาของการทักทายก็หมดลง ไคท์เดินนำเขาไปยังประตูรั้วของสถาบันโดยไม่กลัวใครจะเห็น

                             “เดินกลางแจ้งเลยรึไคท์ เดี๋ยวคนก็เห็นหรอก”

                      ไคท์ยักไหล่เชิงปฎิเสธ เขารู้ดีว่าเวลานี้ไม่มีใครเพ่นพ่านออกมาด้านนอกหรอก เพราะเวลานี้ถ้าเทียบกับเวลาปกติคือ ตี3

                   “ไม่หรอกครับ นี่แค่ตีสามนะครับ ไม่มีใครเห็นหรอก”

                   “ใช่วายุ ชั้นเห็นด้วย แต่ว่าอย่าพูดกันให้มากนะ เพราะเวลานี้เสียงเราจะดังที่สุด”

                   “เห็นด้วยครับ”

                   “จ้า แม่เมจสาว”

                     เอลหยิกวายุที่เขาล้อเล่นกับเธอพร้อมกับส่งยิ้มให้เขา วายุหัวเราะเบาๆเพราะที่รู้ๆกัน ทั้งสองหยอกล้อกันเล่น ส่วนไคท์เอื้อมมือปลดล็อคกุญแจรั้วด้วยกุญแจผีที่เตรียมมา เขาให้ทั้งสองผ่านรั้วออกไปก่อน แล้วเขาก็เดินออกมาโดยที่ไม่ลืมล็อคกุญแจกลับคืน

                             “เราต้องขึ้นเหนือนะครับ ดำดับแรกเราต้องไปตามหาศิลานางฟ้า”

                   “เราไม่มีเบาะแสเลย แล้วจะรู้ได้ไง”

                    วายุพูดในขณะที่พวกเขาเดินออกห่างจากสถาบันผู้วิเศษเรื่อยๆไปตามถนนที่ไคท์นำทางดูเหมือนพวกเขาจะมุ่งออกจากประตูเมืองทางทิศเหนือ เวลานี้มีคนผ่านไปผ่านมาไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นหนุ่มสาวที่ชอบที่กลางคืน และพวกพ่อค้าแม่ค้าที่ต้องเตรียมของขายในตลาดดีเช่ใจกลางเมืองดีเชโน่

                                “เปล่าหรอกครับ ผมได้เอาหนังสือนิทานที่ครูอลิซหาเจอในหอสมุดมาด้วยครับ เมื่อคืนเราช่วยหากันไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย”

                     “แต่ทำไมนายถึงไม่ง่วงเลย”

                     “เผ่าเราไม่ง่วงครับ ง่วงไม่เป็น ผมเองก็ไม่เคยนอนเลยด้วยซ้ำ”

                     “จะว่าไปชั้นก็ได้ยินเสียงนายนะ ก่อนจะตื่น”

                     “ใช่วายุ ชั้นก็ได้ยิน”

                         เอลสมทบ เธอเองก็ได้ยินเสียงไคท์เรียกชื่อก่อนที่จะตื่น เมื่อลงมาแล้วก็เจอไคท์ยืนรออยู่ เหมือนกับวายุไม่มีผิด

                               “ผมใช้ถาคาเรียกครับ คนๆนั้นจะได้ยินเพียงคนเดียว แล้วคนที่โดนเรียกจะมาตามเสียงเรียกเองครับ”

                    “ว่าสิ ทำไมจู่ๆชั้นก็จัดกระเป๋าแทนที่จะนอนต่อ”

                          วายุเข้าใจแล้ว เขาได้ยินเสียงไคท์เรียกเพราะคาถาและยังมาตามเสียงเรียกอีก ถือว่าไคท์นี่ร้ายไม่เบาเลย

                              “โทษที ชั้นลืมเรื่องนิทานไปเลย ช่วยบอกหน่อยสิ ว่านิทานนั่นดียังไง แล้วทำไมเราต้องไปตามหาศิลานังฟ้านั่นด้วย”

                           เอลหัวเราะเธอชอบใจกับมุขของวายุ ส่วนไคท์ก็เริ่มบอกถึงความจำเป็นที่ต้องหาศิลานางฟ้าและเล่านิทานให้ทั้งคู่ฟัง วายุฟังนิทานจากไคท์เหมือนที่ครูอลิซเล่าในห้องครูใหญ่ตัวที่เขาไม่อยู่ด้วย(สลบเพราะเอล) พร้อมกับมองดูบรรยากาศรอบๆที่มีบ้านเล็กๆปลูกแน่นหนา และเริ่มจะมองเห็นกำแพงของเมืองดีเชโน่อยู่ไกลๆ เขาฟังมันอย่างตั้งใจและอินไปตามนิทานด้วย เขารู้สึกว่าอยากร้องไห้เมื่อถึงตอนจบของนิทาน และรู้ว่ากำแพงเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่าง เขาเริ่มจะมองสีของกำแพงออก กำแพงสีเขียวผสมแดงซึ่งเป็นสีของธงประจำเมืองที่นี่

                                  “แสดงว่า ชรากับนางฟ้าก็อยู่ด้วยกันมาจนถึงวันนี้สิ”

                            เอลซึ้งใจในนิทาน เธอประสานมือเชิงจะอธิษฐานแต่แววตาใสแจ๋วเพราะน้ำตาซึม ไคท์หัวเราะชอบใจส่วนวายุเองก็ซึ้งใจไปด้วย

                                  “ใช่ครับ แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรอกครับ”

                       “อ้าว แล้วอะไรล่ะ”

                       “นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงครับ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงแต่ว่าไม่มีใครรู้ว่าศิลาอยู่ไหน ถ้าเราไม่เจอศิลา คำใบ้ต่อไปก็จะไม่เจอครับ”

                       “แล้วนายรู้หรอ ศิลานังฟ้านั่น อยู่ที่ไหน”

                       “ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่รู้หรอก แต่หนังสือนิทานที่ครูอลิซพบนี้ เป็นเล่มดั้งเดิมของนิทานมันเป็นเล่มแรกที่นิทานนี้ได้จารึกเป็นตัวอักษร แล้วยังระบุชื่อพระเอกนางเอกของนิทานว้ชัดเจนด้วยครับ”

                       “สิ่งที่นายจะบอกคือ”

                       “เราต้องไปหาคนที่ชื่อ ดริกซ์  วอร์รี่ ผู้เขียนหนังสือนิทานเล่มนี้ครับ”

                       “นายรู้หรอว่าเจ้าดริกซี่อยู่ที่ไหน”

                          เอลถามตรงประเด็นที่วายุต้องการถาม ทั้งสองต้องการทราบรายละเอียดของภารกิจครั้งนี้ให้มากกว่านี้ เพราะไคท์กุมความรู้อยู่คนเดียว

                                   “แน่นอนครับ ดริกซ์ วอร์รี่ อาศัยอยู่ตัวคนเดียวที่เมืองดีชาเน่ที่อยู่เหนือดีเชโน่อยู่ไม่กี่ไมล์ครับ”

                       “แสดงว่าที่นายพาเราออกมาก่อนคือ..”

                       “เราต้องถึงดีชาเน่ก่อนเช้าครับ”

                          ไคท์ได้เช่าม้าจากคอกม้าที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อว่าบางทีนักเดินทางอาผ่านมาแถวนี้ตอนกลางคืน พวกเขาจะได้เช่าม้าได้แต่ในราคาที่ค่อนข้างจะแพงอยู่

                                        ม้าสามตัวที่ไคท์จูงมามีสีขาว น้ำตาล และสีเทา มันพร้อมที่จะออกเดินทางทุกเมื่อแต่ว่าวายุเองก็เคยขี่ม้ามาบ้างแต่นานมากแล้วเขาเหมือนจะลืมวิธีการขี่ไปเยอะพอควร แต่ยังจำวิธีการขึ้นม้าได้ ไคท์ให้เขาขี่ม้าสีเทา ส่วนเอลได้ม้าสีขาว ไคท์เองขี่สีน้ำตาลที่ชอบ

                                       “คุณวายุผมหวังว่าคงจำวิธีขี่ได้นะครับ”

                          “พอได้ แล้วังไงช่วยแนะนำหน่อยก็ดีนะ”

                          “ไม่เป็นไรไคท์เดี๋ยวชั้นช่วยเอง”

                           เอลบอกวิธีนั่งในท่าทางที่ถูกต้องและการบังคับทิศทางม้า การทรงตัวเมื่อม้าเร่งความเร็วและการบอกให้ม้าหยุดซึ่งวายุเองก็ทำได้ดีพอควรเมื่อเอลทดสอบ

                                       “ใช้ได้”

                          “งั้นเราไปกันเลยนะครับ”

                           ไคท์ส่งสัญญาณก่อนจะควบม้าไปตามถนนด้วยความเร็วปกติเพื่อให้วายุเรียนรู้วิธีการขี่ม้าด้วยตัวเอง แรกๆเขาก็มีทีท่าจะตกจากม้า แต่เมื่อเขาขี่ได้ซักพักก็เริ่มคล่องตัวอย่างรวดเร็ว

                                      “งั้นทีนี้ก็เอาจริงแล้วนะครับ เราต้องรีบ”

                         “ได้เลย”

                           ไคท์และเอลควบม้าเร็วขึ้นในเชิงม้าวิ่ง วายุเองก็ทำได้ดีเขาสามารถตามทั้งสองได้ทัน ไม่นานทั้งสามออกจากกำแพงของดีเชโน่ พวกเขาได้ทิ้งแสงไฟ สีเสียง และความปลอดภัยไว้ด้านหลัง มุ่งสู่ป่ารกทึบที่มีทางหลักพาไปยังเมืองต่างๆ ที่ชาวไพริเวนเดอร์เรียกกันว่า “ถนนหลัก” ไคท์รู้เส้นทางดีเขานำหน้าโดยไม่มีทีท่าว่าจะหลงทาง

                                         สองข้างทางเริ่มมีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นบดบังสายตา เงามืดมีอยู่รอบตัวแต่ไร้เสียงร้องของสัตว์ป่าเพราะว่าช่วงนี้เป็นต้นฤดูหนาว ป่าจึงเงียบสงัดวังเวง แต่วายุก็ยังคงกลัวปนตื่นเต้น เพราะเขาเองไม่ชอบเข้าป่าในเวลากลางคืนอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงกลางคืน กลางวันวายุก็ไม่กล้าเข้าป่าคนเดียว

                                       “อีกไม่นานฟ้าจะสางแล้วครับ”

                           ไคท์พูดเมื่อเส้นขอบฟ้าเริ่มมีแสงสว่างเล็กน้อย แม้จะอยู่ในป่ารกทึบ มันก็มีช่องโหว่ที่ต้นไม้ขึ้นบังไม่มิดอยู่บ้าง

                                        “มันก็ดีอีกแบบ แต่เราจะไปดีชาเน่ทันหรอ”

                          “ทันครับ พ้นป่าก็เป็นดีชาเน่แล้ว”

                          ไคท์พูดพร้อมเร่งความเร็วม้าของเขา ทั้งสองที่ตามอยู่ก็เร่งบ้าง แสงอาทิตย์สว่างมากขึ้นตรงขอบฟ้า ทั้งสามเริ่มได้เสียงของสังคมเมืองแม้จะอยู่ไกลออกไป และเมื่อพระอาทิตย์เผยให้เห็น ดีชาเน่ก็อยู่ตรงหน้าทั้งสามแล้ว

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา