Angel's quest Part II Staff of angel

9.3

เขียนโดย imppreal

วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 13.45 น.

  12 ตอน
  15 วิจารณ์
  21.48K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) Staff of angel ไคท์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Angel Fantasy

บทที่ 2 ไคท์

              

                 

     

              “ตายซะ”

                           เงาๆหนึ่งพุ่งจากความมืดใต้ซากปรักหักพังของห้องโถมเข้าหาวายุ แต่เขาก็สามารถกระโดดหลบคมมีดบางๆได้หวุดหวิด เขาหงายหลังกระแทกกับพื้นอย่างจัง เขาอยู่ในสภาวะที่ตกใจสุดขีดเกินกว่าที่จะต่อสู้กลับไป ซักครู่เขาเริ่มได้สติ แต่เงานั่นไม่รอช้า มันพุ่งเข้ามาอีก

                      “แกเป็นใครวะ”

                           วายุกระโดดหลบอีกครั้งพร้อมเตะเจ้าเงานั้น มันโซเซแทบล้มแต่ไม่ล้มทำให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ต่ำลง เผยให้รู้ว่าเงานี้เป็นแค่คนสวมชุดผ้าคลุมปิดบังใบหน้าและร่างกาย ดูจากท่าทางการเคลื่อนไหว วายุก็รู้ได้ทันทีว่าบุคคลผู้นี้เป็นผู้ชาย ความสูงก็คงจะพอๆกับเขา แต่ดูจากท่าทางชายคนนั้นคงจะเจนสนามมากกว่าเขาเสียอีก

                      “ชั้นถามว่าแกเป็นใครวะ!”

                            วายุถามอย่างเคืองๆเพราะจากการที่ไม่ได้คำตอบกลับมา เขาไม่ค่อยจะพอใจในสถานการณ์เท่าไหร่ เหมือนกับว่าทั้งชีวิตคงจะขึ้นอยู่กับทักษะของเขาแล้ว

                      “แกจะรู้ไปทำไม”

                           คมดาบบางเบาแทรกผ่านอากาศอีกครั้ง แต่ก็พลาดเช่นเคย วายุเตรียมตัวหลบอยู่แล้ว เขาจึงสามารถรักษาชีวิตไว้ได้นานขึ้น ชายคนนั้นได้พูดเก่าจะฟัน เขาคิดว่าเขาสามารถจัดการวายุได้โดยที่ไม่ต้องให้วายุรู้ชื่อ เพราะมันไม่มีประโยชน์ แต่การคำนวณเขาผิดพลาด กลายเป็นว่าวายุสามารถมีเวลาที่จะเย้ยเยาะเขาอีกซักพัก

                       “แกจะรู้ไปทำไม เมื่ออีกเดี๋ยวเดียว แกคงได้ไปเฝ้ายมทูตแล้ว”

               “งั้นแกคงเป็นพวกดาร์กสินะ”

               “แกว่าชั้นเป็นดาร์กรึ ตาย!!!!”
                           สำแสงสีขาวระเบิดออกจากคมดาบของชายคนนั้น มันพุ่งเข้าหาวายุในความเร็วสูง แต่วายุยังสามารถหลบได้อีก ชายคนนั้นจึงคลั่งเข้าไปอีก

                      “เร็วจริงนะแก งั้นเจอนี่ พวกดาร์กจะได้รับรู้!!”

               “แกพูดเรื่องอะไรวะ!ชั้นไม่ใช่ดาร์กนะเว้ย”

               “อย่าพูดอีกเลยเปล่าประโยชน์ พวกแกมันจอมหลอกลวง สมควรตายซะ แสงพิโรธ!!!!!!!!!”

               “อะไรวะ!”
                สิ้นเสียงอุทานของวายุ แสงสีขาวอีกระลอบระเบิดออกจากคมดาบของชายปริศนา มันมีลักษณะใหญ่โตกว่าแสงที่แล้วๆมาหลายสิบเท่า มันสว่างจนแทบจะไม่เห็นร่างของวายุเลย

 ตูมมม!!!!!

               แรงระเบิดทำให้ปูนผนังวิหารที่ยังคงลักษณะดีอยู่หลุดออกมาเป็นแผ่นๆ ฝุ่นควันคลุ้งไปทั่วบริเวณ เสียงระเบิดที่ดังสนั่นภายในวิหารแต่มันไม่สามารถส่งเสียงสู่ภายนอกได้ พวกครูแร็กทิวจึงไม่ได้ยินมัน

                        “เสร็จไปหนึ่งสินะ”

               ชายคนนั้นพูดด้วยความโล่งใจ เขายืนมองซากผนังเพดานวิหารที่ถล่มลงมากลบจุดที่วายุเคยยืนอยู่ เขาแน่ใจว่าพลังชีวิตวายุคงดับไปแล้ว แต่ถ้าไม่ก็คงดับในไม่ช้านี้ ชายปริศนาเตรียมหันหน้าที่จะเดินจากไป เขาหันมองซากปรักหักพังอีกรอบเชิงขออโหสิสิ่งที่ได้ทำลงไป

                         “อย่าเพิ่งดีใจไป แกสรุปเองว่าจบ แต่ชั้นยังไม่อนุญาตให้จบเลยนี่”

               ชายปริศนาหยุดกึก เขาหันไปทางซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาเห็นแสงสีฟ้าจางๆเปล่งออกจากกองซากปรักหักพังทับถม สีหน้าเขาดูไม่ดีนัก

                         “อะไรกันวะเนี่ย”

                “แกพูดผิดไปสามข้อ”

               ชายคนนั้นเตรียมตัวที่จะรับการโจมตีของวายุ เขายังไม่แน่ใจว่าวายุจะบุกมาไม้ไหน แต่เขาก็ต้องมุ่งความสนใจไปที่กองซากนั้นแหละ

                         “ข้อแรก แกมาหาเรื่องผิดคนแล้ว!”
                 เกิดแรงระเบิดจากกองซากปรักหักพัง วายุพุ่งออกมาพร้อมกับพลังเปลวไฟสีฟ้า ส่วนชายปริศนายกดาบขึ้นหมายจะฟันโต้ตอบ แต่สายไป วายุต่อยท้องเขาจนกระเด็นถอยหลัง

                         “อะไรวะ เร็วมาก!”

                “ข้อสอง ชั้นไม่ใช่พวกดาร์ก!”

                 วายุต่อยเขาอีกครั้งด้วยความเร็วของเปลวไฟสีฟ้า ชายปริศนากระเด็นตัวลอยขึ้นด้านบนแต่ยังไม่ถึงพื้น

                         “และข้อสาม ชั้นคือวายุ เนตรอัคคี!!!!!”

                 วายุกระโดดขึ้นด้านบน เขารวดเร็วกว่าแรงโน้มถ่วงที่จะดูดชายปริศนาให้ตกลงบนพื้น วายุให้แรงถีบของเพดานวิหารก่อนที่จะพุ่งมาต่อยหน้าท้องชายปริศนากรเด็นไปไกลหลายสิบเมตร ก่อนที่วายุจะลงมาจอดบนพื้นอย่างสง่างาม

                          ชายปริศนากระแทกพื้นไปเป็นทาง ผ้าคลุมหลุดจากการโดนต่อยครั้งล่าสุด เผยให้รู้ว่าเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มวัยเดียวกับวายุ แม้หุ่นของชายคนนี้จะอ้วนกว่าไม่มาก ชายคนนี้ยังคงมึน แต่เขารู้สึกว่าวายุจะลดความแรงในการโจมตีให้เขา ไม่งั้นเขาคงตายไปแล้ว แต่ยังไงเขาก็รู้สึกขำที่วายุคิดผิดในเรื่องนี้ ทำให้เขามีโอกาสเอาคืนได้แม้มันจะยาก

                          “แกรู้ไหมว่าแกคิดผิด เจ้าราลุ”

                  ชายปริศนายกมือเช็ดปากที่อาบเลือดของเขาเอง ซึ่งมันไหลออกมาตั้งแต่การต่อยครั้งแรก

                          “ชั้นชื่อ วายุ เฟ้ย เรียกให้ถูกๆ”

                 “ทำไมชั้นต้องเรียกให้ถูกด้วย อีกเดี๋ยวแกก็ตายแล้ว”

                 “ปากดีจังนะ ดูสภาพตัวเองสิวะ ยังลุกไหวก็บุญแล้วนะเนี่ย”

                 “แกตายซะเถอะ พูดมาก ชั้นจะเอาจริงแล้ว”

                  ชายคนเดิมตั้งท่าราวกับจะรวบรวมพลังไว้ที่ดาบของตน มันมีปฏิกิริยาทันทีโดยการเปล่งแสงสีขาวจากใบมีดเหล็กทั้งเล่ม ดูราวกับชายคนนั้นถือหลอดไฟเรืองแสงสีขาวอยู่อย่างไงอย่างงั้น

                           “งั้นก็ได้ บลูลองใช้วิชาที่เพิ่งฝึกดูนะ”

                  “ได้เจ้าค่ะ คุณพี่ แหมๆกว่าจะพูดกันนี้นานนะเจ้าค่ะ แล้วจะให้ใช้เลยไหมเจ้าค่ะ บลูรออยู่นะเจ้าค่ะ”

                   เสียงของบลูที่ดังออกมาจากแหวนทำให้เขาเสียอารมณ์อย่างแรง ทำไมทันต้องมาพูดล้อเล่นกับเขาเวลานี้ด้วย

                  “ก็ได้เจ้าค่ะ ไม่เห็นต้องโมโหเลยนี่”

                  “เร็วสิ บลู ชั้นจะตายเพราะแกนี่แหละ”

                  “เจ้าค่ะ”

                   บลูเริ่มปล่อยพลัง แสงสีฟ้าจากมือข้างซ้ายบินว่อนมายังด้านขวา ทำให้ด้านขวามีออร่าเปลวไฟสีฟ้าแรงกล้าขึ้นพร้อมกับพลังที่บลูให้สมทบ มันยิ่งทำให้พลังหมัดสีฟ้ายิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก

                            “เอาล่ะนะ”

                  “พร้อมอยู่แล้ว หมัดเปลวไฟสีฟ้า”

                   ทั้งสองพุ่งเข้าหากันด้วยความเร็วปกติ(ตอนนี้วายุใช้การเคบื่อนที่ความเร็วสูงไม่ได้เพราะพลังโดนเอามารวมที่หมัดหมด) และปล่อยอาวุธเด็ดของแต่ละคนใส่ฝายตรงข้าม หมัดของวายุประทะกับดาบของชายปริศนาเกิดแสงสีฟ้าปนขาววาบไปทั่วตามด้วยความกดดันที่วิหารรับไม่ไหวเลยต้องพุ่งออกด้านนอก

                            “อะไรกันนี่”

                   ครูแร็กทิวรู้สึกได้ เขารีบวิ่งไปทางเข้าวิหาร ตามที่แรงกดดันพลังที่เขาสัมผัสได้ล้นออกมาจากที่นั่น

                             “ย้ากกกก!!!!”

                   วายุและชายปริศนาอุทานพร้อมกัน เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับการกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง วายุสลบไปเพราะเวลาของเปลวไฟสีฟ้าหมดลงไปแล้ว แต่ชายปริศนายังคงมีสติแต่อ่อนแรงเพราะการต่อสู้ เขาพยุงตัวให้ลุกขึ้น ก่อนที่จะเห็นหญิงชราอยู่ตรงหน้าโดยที่เขารู้ดีว่าเป็นใคร

                              “ท่านยาย”

                    “เธอทำอะไรเขา ไคท์”

                    ผีหญิงชราต่อว่าเขาทันทีเมื่อสิ้นเสียงเรียกของเขา เธอไม่พอใจมากที่ใครมาขัดขวางการทำงานของวายุ โดยเฉพาะเมื่อคๆนั้นเป็นหลานชายของเธอเอง

                              “มันเป็นพวกดาร์กครับท่านยาย ผมจะฆ่ามันเพราะมันจำทำลายวิหารอีก”

                   “โธ่...ไคท์  คนๆนี้ไม่ใช่พวกสกปรกนั่น เขาเป็นอัศวินตามคำทำนายของข้า เจ้าทำอะไรลงไปนี่”

                      เด็กชายที่หญิงชราเรียกว่าไคท์ ตกใจสุดขีด เขาไม่นึกไม่ฝันว่าเขาจะทำสิ่งที่น่ายิ่งนักต่ออัศวินผู้ที่จะกอบกู้แผ่นดินไพริเวนเดอร์ในอนาคต

                              “เอาเหอะๆ เพราะผลกระทบจากการเปลวไฟสีฟ้า เขาคงสลบไปไม่นานหรอก เจ้าจงรีบพาเขาไปหาเพื่อนๆของเขาด้านนอกเถอะ และจงร่วมเดินทางไปกับพวกเขาด้วย ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อการนี้”

                    “เป็นเกียรตินักครับท่านยาย”

                      ไคท์พูดอย่างซึ่งใจ แต่ผีหญิงชราก็ไม่รู้สึกอะไร เธอจางหายไปในที่สุด ปล่อยให้ไคท์รับภาระแบกวายุไปหาพวกเพื่อนๆของเขาที่อยู่ด้านนอกซึ่งครูแร็กทิวเข้ามาพอดี

                              “นั่น เขาเป็นอะไร”

                      ครูแร็กทิวอุทานเมื่อเห็นร่างอันปวกเปียกของวายุ เขารีบตรงไปชิงตัววายุจากมือของไคท์ทันที เพราะครูแร็กทิวคิดว่าไคท์น่าจะเป็นคนทำให้วายุเป็นอย่างี้ซึ่งมันถูกต้อง

                              “เขาสลบจาการใช้เปลวฟ้า”

                      ไคท์พูดอย่างสั่นๆโดยไม่รู้ว่าตนพูดผิด ที่จริงเขาต้องพูดว่าเปลวไฟสีฟ้าต่างหาก

                    “แล้วทำไมเขาต้องใช้เปลวไฟสีฟ้าด้วย!”

                       ครูแร็กทิวโกรธจัด เขากำลังจะชกหน้าไคท์อยู่แล้วถ้าครูอลิซไม่เข้าไปห้ามไว้ก่อน

                              “เอาน่า ยังไงซะเขาก็พาวายุมาหาเรา”

                    “แต่อลิซ....”

                    “ชั้นขอล่ะ แร็ก”

                       ครูแร็กทิวยอมแพ้ แต่ก็ยังไม่ยอมไว้ใจไคท์เท่าไหร่เพราะไคท์ปิดใจเขาไว้ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ครูแร็กทิวไม่ชอบเอาเสียเลยเพราะอ่านใจคยที่อยากอ่านไม่ได้

                                   ไคท์ให้เวลาบอกความจริงทั้งหมดกับครูทั้งสองอยู่นานจนจีน่า เจ้าของบริษัทตู้โดยสารเริ่มจะเบื่อการรอคอย เธอเริ่มอยู่ไม่สุข แต่เมื่อเห็นพวกลูกค้าเดินกลับมาอาการนั้นก็หายไป

                                  “แหมๆปล่อยให้นานอยู่นานนะค่ะ แล้วนั่นพาใครมาอีกอย่างนี้คงจะต้องเพิ่มค่าโดยสาร แล้วนั่น ทำไมเจ้าหนูนั่นหลับไปซะอย่างงั้น ครั้งก่อนก็เกิดเรื่อง ครั้งนี้มีอะไรอีกละค่ะ โหย ช่างก่อเรื่องจริงๆเลยเจ้าหนูนี่”

                       “เงียบไปเหอะ ยัยหน้าเลือด เราเครียดอยู่นะไม่มีเวลาเล่นหรอกย่ะ”

                       “งั้นก็ได้ ดิชั้นจะไปเตรียมเครื่องนะคะ”

                        จีน่ารีบสาวเท้าไปหาลูกน้องเธอโดยไม่ขออนุญาต เธอรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของครูอลิซเท่าไหร่นักเหมือนว่าเธออยากจะบังคับตู้โดยสารให้ทิ้งครูอลิซไว้ที่นี่

                                    “เอาล่ะ แสดงว่าเธอรู้จักกับผียายแก่ ว้าย!”

                        ครูอลิซอุทานด้วยความตกใจเมือตู้โดยสารทะยานขึ้นโดยไม่มีสัญญาณบอก(จีน่าคิดว่าเธอยังไม่เข้าไปในตู้โดยสารแต่คณะลูกค้าของเธอทั้งหมดเข้าประจำที่เรียบร้อยหมดแล้ว แต่เธอยังพอใจที่จะได้ยินเสียงของครูอลิซโวยวายเมื่อตู้โยสารทิ้งเธอ แต่จีน่ากลับผิดหวังเมื่อไม่มีเสียงนั้น)

                        “ใช่ครับ”

                        “แล้วผียายแก่บอกอะไรเธอบ้าง”

                        “นี่ อย่าเรียกท่านยายว่า ยายแก่นะ”

                        “แล้วจะให้เรียกว่าอะไรย่ะ”

                        “ท่านยายชื่อ แองลี่ ครับ”

                        “ได้ๆ ยายแองลี่ของเธอบอกอะไรเธอบ้าง”

                        “ท่านยายบอกว่าถ้าพวกคุณจะไปหาคทากับอัศวินละก็ ให้ไปห่าทานไลล่าครับ”

                        ครูอลิซขมุกคิ้ว เธอคิดหาชื่อคนรู้จักที่ชื่อไลล่า แต่เธอคิดไม่ออกเลยซักคน เธอรู้ว่าไลล่าที่เอ่ยคงจะเป็นเผ่าไลท์ที่ซ่อนตัวภายสิ่งภายนอกเหมือนเผ่าดาร์กที่คนเชื่อว่าพวกรี้สูญพันธ์ไปแล้ว

                                     “งั้นเจ้าคงเป็นพวกไลท์ใช่ไหม”

                         “ใช่ ข้าเป็นชาวเผ่าไลท์ชื่อ ไคท์”

                         “ไลล่าที่เธอว่า อยู่ที่ไหน เป็นเผ่าไลท์ด้วยละสิ”

                         “ใช่ ท่านไลล่า เป็นเผ่าไลท์ ท่านยายแองลี่บอกว่า ท่านไลล่าและเพื่อนๆพาคทาหนีไปทางหลังวิหาร แล้วยายบอกว่า หลังจากนั้นยายก็ไม่รู้อะไร แต่ใบ้เอาไว้”

                         “ตกลงยายของเธอรู้หรือไม่รู้กันแน่เนี่ย”

                         “ผมก็ไม่รู้ เอาว่า ท่านยายใบ้ไว้ว่า ฝนตกหนักแม้แดดออก ล้อมรอบด้วยฝนปลายทั้งสี่”

                        “ใบ้บ้าสิ ฝนกลางฝน ท่านยายเธอคิดได้อย่างไรนะ”

                          ครูแร็กทิวเอาบ้างเพราะว่าการเงียบฟังมาตั้งนานมันไม่ทันให้เขารู้สึกกระจ่างแม้แต่นิดเดียว

                                    “ผมก็ไม่รู้ครับ ท่านยายบอกไว้แบบนี้”

                        “เอาเป็นว่าปริศนานี้เราคงต้องแก้กันอีกนาน เอาไว้ให้วายุตื่นก่อนเหอะแร็ก นี่เธอจะพาพวกเราไปไหน”

                        “ชั้นตกลงไว้กับจีน่าว่ามาที่วิหารแล้วจะกลับโรงเรียนทันทีเลย”

                        “เธอคิดไว้ไงเนี่ย เอาเหอะๆ ชั้นเบื่อปากยัยจีน่านั่นเต็มทนแล้ว กลับก็กลับ”

                        “เห็นไหมอลิซ ในที่สุดชั้นก็ทำสิ่งที่ถูกต้อง”

                           ครูแร็กทิวหัวเราะชอบใจ ส่วนเอลที่คอยดูแลวายุมาตลอดทางก็เริ่มจะหลับบ้างแล้ว เธอยังคงประคองศีรษะเขาอยู่เพื่อไม่ให้ตกลงจากที่นั่ง

 

 

                                        ในที่สุดตู้โดยสารก็เคลื่อนที่มาถึงจุดหมายปลายทางนั่นก็คือสถาบันสอนผู้วิเศษณ์ประจำดีเช่โน่ ที่ครูแร็กทิวตั้งเป้าหมายเอาไว้ ส่วนทางด้านวายุเองก็ยังไม่รู้สึกตัว เขายังนอนหลับสนิทชนิดสลบอยู่เคียงข้างเอล เมื่อตู้โดนสารลงจอดที่ลานกว้างของสถาบัน บรรดาพวกนักเรียนที่ไร้เดียงสากรูเข้ามายังตู้โดยสาร บางคนตื่นเต้นว่าจะมีการไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่า บางคนอยากรู้อยากเห็นพยายามมองไปยังหน้าต่างกระจกซึ่งมองภายนอกไม่มีทางเห็นคนด้านใน แต่คนภายในสามารถมองคนภายนอกชัดแจ๋ว นั่นเป็นข้อเสียเปรียบของนักเรียนกลุ่มนี้ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ จึงเริ่มท้อกลับไปยังจุดเดิมที่จากมา

                                    “ทำไมดีค่ะครูอลิซ วายุไม่ยอมตื่นเลย”

                              เอลกัดฟันพูด เธอพยายามยกวายุให้อยู่บนที่นั่ง เนื่องจากแรงกระแทกที่ตู้โดยสารลงจอดทำให้วายุตกจากที่นั่งแต่เขายังไม่รู้สึกอะไร

                                    “ดูเหมือนวายุจะใช้พลังไปมาก เขาคงต้องงีบซักวันสองวัน”

                        “อาจจะจริงนะ เจ้าแฟร์รี่เองคงจะเป็นแบบเดียวกันน่ะสิ”

                              ครูอลิซพิจารณาจากแหวนที่วายุใส่ มันไม่มีปฎิกิริยาที่บ่งบอกว่าบลูยังคงเพลิดเพลินสนุกสนานในแหวนสีฟ้า มองดูหมองไปจนน่าหดหู่

                                    “เพราะเธอครเดียวเลยไคท์”

                        “ผมขอโทษครับ”

                              ไคท์ไม่กล้าสบตาครูแร็กทิวเพราะละอายในความโง่เง่าของตนเอง เขาเหมือนกับชีวิตจะสิ้นไปยังไงอย่างงั้นเพราะชาวเผ่าถือเรื่องที่ทำแล้วส่งผลเสียร้ายแรงมาก โดยเฉพาะการขัดขวางบัญชาซึ่งยายของเขาได้ทำนายตามคำที่เทพเจ้าบอกมาแล้ว เขาเองยังจะลบลู่ ไคท์กลัวเรื่องนี้มาก

                        “ไม่เป็นไรหรอกไคท์ อย่างน้อยเราก็ได้ข้อมูลเด็ดๆมานะ”

                             ครูอลิซยิ้มให้ ถึงเธอจะโกรธไคท์อยู่บ้างแต่ไม่ถึงขนาดจะทำร้ายกันเหมือนกับครูแร็กทิวเพื่อนเธอ มันทำให้ไคท์รู้สึกดีกับครูอลิซคนนี้ขึ้นมา

                                    “ครูๆขา แล้วพาพวกเรามาทำไมหรอคะ”

                            เบลล่าพูดขึ้นบ้าง ในที่สุดเธอทนไม่ไหวกับบทเงียบที่ได้แสดงมาหลายชั่วโมง ดูเหมือน(คนแต่งจะลืม)บทบาทของพวกเธอคงไม่เด่นพอที่คนจะสนใจเท่าไหร่

                                      “เอ่อใช่ พามาไมนะ”

                         “อ้าว!”

                            เบลล่ากับเจนนี่อุทานพร้อมกัน เธอเหมือนจะล้มทั้งยืนเพราะครูทั้งสองลืมเธอไปแล้ว

                                      “นี่ถ้าพวกหนูมาช้า ครูคงทิ้งไปแล้วใช่ไหมค่ะ”

                         “คงงั้นมั่ง  ล้อเล่นน่ะ ครูไม่ลืมหรอก อย่างน้อยเอลก็ต้องบอกมั่งสิถ้าครูลืม”

                         “ครูจำได้แต่ยัยเอลสิคะ พวกหนูมันตัวประกอบนิ(มันก็จริง)”

                         “จะโกรธทำไมหรอค่ะ เบลล่าเจน พวกหนูมาเป็นเพื่อนก็ดีแล้วนี่ อ่างน้อยเอลได้ไม่เหงา”

                         “ครั้งหน้าหนูไม่เอาแล้วนะค่ะ”

                         “หนูด้วย”

                         “เดี๋ยวสิ เบล เจน”

                            เสียงเอลดังขัดทันทีที่เสียงของเจนนี่และเบลล่าชี้คำขาด พวกเธอรูสึกเบื่อหน่ายกับการที่ไม่รู้อะไร ยกเว้นเอลที่รู้ทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับภารกิจ(นางเอกนี่ ไม่รู้ก็บ้า)

                                      “อย่าห้ามเลย เอล พวกนี้คงไม่ไหวแล้ว”

                           เสียงวายุดังขึ้น ทั้งหมดหันมาทางเดียวกัน เขาฟื้นแล้วแต่ยังอ่อนแรงอยู่มาก เพราะการใช้พลังเปลวไฟสีฟ้านับว่าสาหัสใช้ได้บวกกับการใช้ท่าไม้ตายที่เพิ่งได้รัการฝึกไม่กี่ครั้ง เขาจึงหมดพลังไปเป็นสองเท่า จากเหนื่อยแทบลุกไม่ไหวกลายเป็นสลบเชิงไม่ลุก

                                       “วายุ!”

                          “ไงเอล ครูอลิซ ครูแร็กทิว เบล เจน และ เฮ้ย!!!!”

                           วายุอุทานขึ้นเมื่อเห็นไคท์อยู่รวมกลุ่มอยู่ด้วย เขาตกที่นั่งอีกครั้ง เอลรีบไปช่วยเขาทันที เธอประคัประคองให้เขายืนขึ้นแม้จะต้องให้เขาค้ำไหล่เธอก็เหอะ

                                       “พามาทำไมเนี่ย มันจะฆ่าโผ้ม!!”

                          “เดี๋ยวสิวายุ นายนี่ไม่ได้จะฆ่านาย”

                          “ขอโทษครับ”

                           ไคท์เดินเข้ามาหาวายุ เขาเดินในท่าทางที่เจอกับวายุครั้งแรก(ตอนที่จะฆากัน) วายุเองยังกลัวๆอยู่เขากระซิบบอกเอลก่อนจะตั้งท่าเตรียมชก

             ป๊อก!!!

                           วายุล้มลงตามแรงเคาะ ทุกคนอึ้งไปกับสถานการณ์ ไคท์เองก็คิดว่าเมื่อครู่เขาได้ทำอะไรลงไปไหม แต่ที่จริงเอลเองจะเป็นคนทำ เธอเคาะกะโหลกวายุด้วยไม้เท้าประจำตัว มันทำให้เขาสลบอีกครั้งหลังจากตื่นได้ไม่นาน

                                       “แบบนี้สิดี ที่นี้เราจะลงจากตู้โดยสารนี้ได้หรือยังค่ะ เบื่อจะแย่อยู่แล้วนะเนี่ย”

                          “ใช่ ลืมไปเลย”

                           ครูแร็กทิวเดินแบกวายุออกมาเป็นคนแรกที่ออกมาจากตู้โดยสาร ตามมาคือครูอลิซ เอล เบลล่า เจนนี่และไคท์ตามลำดับ พวกนักเรียนต่างมองกันเป็นตาเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต่างซุบซิบเรื่องที่วายุนอนสภาพบนบ่าของครูใหญ่ และเด็กชายแปลกหน้า(ผมของไคท์มีสีเงินเหมือนชาวเผ่าไลท์ทั่วไป) คณะเดินทางทั้งหมดมุ่งไปยังห้องทำงานครูใหญ่ เพื่อหารือกันเรื่องปริศนาคทา และการหาวิธีที่จะให้วายุสามารถใช้พลังเปลวไฟสีฟ้าได้อย่างเต็มที่

 

 

 

                                        ครูใหญ่แร็กทิวแบกวายุไปที่นอนในหอนอนชาย เขาสั่งให้ราฟและเพื่อนๆดูแลวายุโดยบอกว่าเจอศึกหนักมา โดยความเป็นนักเรียนเด็กๆทั้งหมดจึงไม่อาจปฎิเสธได้ จากนั้นครูแร็กทิวก็ตรงมายังห้องทำงานครูใหญ่ทันที ส่วนทางด้านเอล พวกเพื่อนๆของเธอต่างกลับมายังเตียงของตน และยังยืนยันคำเดิมว่าจะไม่ขอติดตามไปอีกแล้ว ถ้าจะให้ไปทำภารกิจอะไรอีก เอลเองก็ไม่อาจสั่งเพื่อนๆได้จึงต้องยอมแพ้แต่เธอก็ยังขอช่วยวายุอีกแรง

                                         ภายในห้องครูใหญ่ ไคท์และครูอลิซนั่งรออยู่แล้ว ทั้งสองเสียเวลาไปไม่นานครูแร็กทิวก็มาถึง เขาพยักหน้าให้ครูอลิซเชิงว่า เข้าใจกัน แต่ไคท์เองก็เข้าใจความหมายด้วย

                                       “ท่านอัศวิน ราลุ ได้ที่ของท่านแล้วใช่ไหมครับ”

                          “ไคท์   เขาชื่อ วายุ ไม่ใช่ ราลุ”

                          “ขอโทษครับ”

                          “นี่พูดอย่างอื่นไม่เป็นเลยรึ เป็นแต่ ขอโทษอย่างเดียวหรือไง”

                          “ขอโทษครับ”

                         “อีกแล้วไง”

                         “ขออภัยครับ”

                         “ก็ได้ๆ ชั้นยอมแพ้ เอาละ แร็ก เรามาช่วยกันหาความหมายเรื่องปริศนากัน ไหนเธอช่วยบอกอีกทีสิ”

                         ไคท์พูดถึงปริศนาก็ผีแองลี่ให้ไว้อีกรอบ ครั้งนี้รูอลิซจดมันไว้ในกระดาษสมุดพกของเธอ แล้วก็ถอดมันออกทีละคำ ส่วนครูแร็กทิวก็ช่วยอีกแรง แต่จนแล้วจนรอดทั้งสองก็ไม่อาจถอดคำใบ้นั่นได้

                                     “ฝนในฝน มันอะไรกันเนี่ย ฝนในฝนแม้แดดออก”

                        “แร็ก เธอจะทำให้มันยิ่งซับซ้อนนะ เงียบไปเหอะ”

                        “ผมว่า ฝนในฝนนี่คงเป็น เวลาฝนตกหรือเปล่าครับ”

                        “คงงั้น แต่ว่า ฝนตกหนัก แม้แดดออก มันเป็นไปได้หรอ”

                        “สำนวนฝนตกแดดออกไง เคยได้ยินไหม”

                        “ไร้สาระน่ะ”

                          ครูอลิซส่ายหน้า เธอพยายามคิดถึงคำใบ้ต่อว่าสถานที่ที่มีฝนตกหนักแม้แดดออกและล้อมรอบด้วยฝนที่เบากว่า แต่เธอไม่รู้คำว่าทั้งสี่ เพราะเวลาฝนตกไม่มีใครมานั่งนับเม็ดฝนอยู่ หรือต่อให้ฝนที่ว่ามีเพียงสี่เม็ดและมีสีแปลกๆ ยังไงก็ดูไม่ทันอยู่ดี

                                      “ยายของเธอมีคำใบ้ให้ไว้แค่นี้หรอ”

                         “ยังมีอีกครับ ยายบอกว่า ถ้าอยากเจอคำใบ้ที่ชัดเจนขึ้น ให้หาของสิ่งหนึ่ง ผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ยายบอกว่า แสงแรกอรุณ อัญมณีจะส่องแสง”

                         “ทำไมไม่รีบบอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ”

                         “ทำไมหรอแร็ก”

                          ครูอลิซถามอย่างสงสัย เธอเองยังไม่ทันคิดคำตอบของคำใบ้ แต่ครูแร็กทิวชิงพูดก่อนซะงั้น ซึ่งจะเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมากสำหรับเธอ

                                      “ชั้นเคยได้ยินนะ เธอว่าแสงแรกอรุณ อัญมณีจะส่องแสงใช่ไหม”

                         “ใช่ครับ”

                         “ศิลานางฟ้าไง”

                        “ใช่แล้ว เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ศิลานางฟ้าจะส่องแสง ชั้นเคยได้ยินแม่เล่าตั้งแต่ยังเด็ก มันเป็นแค่นิทานไม่ใช่รึ แร็ก”

                        “เปล่า อลิซ มันมีอยู่จริง รุ่งอรุณสิบปีก่อน นักสำรวจชาวซัมม่อนได้ขี่*ไวท์ฮอค บินผ่านป่าใหญ่ เขาเล่าว่าเห็นแสงสีขาวบริสุทธิ์เหมือนสีเพชรเปร่งประกายอยู่กลางป่า เขาว่ามันเป็นวิหารเล็กๆแต่เขาเองก็ไม่สนใจมัน เขาเลยบินจากไป”

*ไวท์ฮอคคือสัตว์วิเศษณ์ลักษณธคล้ายดาร์กฮอคของเดสโฟร แต่มีปีกต่างจากดาร์กฮอคคือ ปีกของดาร์กฮอคจะคล้ายกับปีกค้างคาว แต่ปีกของไวท์ฮอคจะคล้ายกับปีกหงค์ และไวท์ฮอคยังมีสีขาวโพลนหิมะอีกด้วย

                                    “แต่นิทานของแม่ชั้นบอกว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กหนุ่มเผ่าเมจคนหนึ่ง เขาได้แอบไปฝึกคาถาในป่า และมีนางฟ้าตนหนึ่งแอบมองเขาด้วยความรักใคร่ จนเด็กหนุ่มรู้ว่าโดนแอบมอง นางฟ้าเมื่อรู้ตัวหนีเข้าป่าลึก เด็กหนุ่มคนนั้นตามจนจับตัวนางฟ้าได้ เขาหลงรักนางฟ้าเข้าทันที จากนั้นเป็นต้นมาเด็กหนุ่มคนนั้นก็ได้อาศัยอยู่ในป่ากับนางฟ้าตนนั้น และเมื่อเวลาผ่านไป เด็กหนุ่มเริ่มกลายเป็นชายชรา ส่วนนางฟ้าเองยังสาวไม่เปลี่ยนแปลง จนถึงเวลาที่ชายชราจะตาย นางฟ้าได้ให้พรเขาสามอย่าง ชายชราจึงขอข้อแรกให้เขาไม่มีวันตาย ข้อต่อมาให้เขาสามารถมองดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ทุกเช้า และข้อสุดท้ายให้เขาได้อยู่กับนางฟ้าตลอดไป เมื่อนางฟ้าได้ยินเช่นนั้นจึงร้องไห้แล้วท่องคาถา แต่คาถาเกิดผิดพลาด เธอเสกให้เขาเป็นก้อนหิน นางฟ้ารู้สึกเสียใจมากแต่เธอก็รู้ว่าสิ่งที่เขาขอเป็นจริงแล้วสองประการ และพรข้อสาม เธอเสกให้ตัวเองหลอมรวมกับหินชายชรา จนกลายเป็นศิลานางฟ้า และจากนั้นมาทุกๆเช้าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ศิลานางฟ้าก็จะเปล่งแสงรับวันใหม่ เหมือนกับนางฟ้าและชายผู้เป็นที่รักในหินก้อนนั้นได้มีความสุขกันตลอดมา”

                         “ซึ้งกินใจจัง แต่อลิซเรามีข้อมูลแค่นี้ เราคงไม่รู้หรอกว่าศิลานั่นอยู่ในป่าไหน ไพริเวนเดอร์ออกจะกว้างนะแม่คุณ”

                         “ที่จริงนะครับ ผมเองก็เคยอ่านนิทานนี้ มันเป็นบทท่องจำสำหรับเด็กเผ่าไลท์อย่างผม แม้จะผ่านไปหลายปี ผมยังจำหนังสือได้นะครับ แต่จำชื่อพระเอกไม่ได้”

                         “หืม เธอว่า เรื่องนี้มีชื่อพระเอกด้วยหรอ”

                         “ครับ มีชื่อนางเอกด้วย”

                        “แล้วชื่อพระเอกนางเอกชื่ออะไร บอกได้ไหม”

                        “บอกไม่ได้หรอกครับ ผมจำไม่ได้แล้ว แต่รูอลิซเป็นครูบรรณารักษ์ใช่ไหมครับ”

                        “มันก็ใช่”

                        “งั้นครูพอรู้จักหนังสือชื่อ นิทานเรื่องชายหนุ่มกับนางฟ้า ไหมครับ ที่ทำสำหรับเด็กเผาไลท์ครับ”

                        “จริงด้วย นึกแล้วไงว่ามันคุ้นๆเหทือนเคยเจอในหอสมุด”

                        “งั้นเราไปช่วยหากันเถอะ เผื่อว่ามันจะช่วยได้บ้าง”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา