Angel's quest Part II Staff of angel

9.3

เขียนโดย imppreal

วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 13.45 น.

  12 ตอน
  15 วิจารณ์
  21.80K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) Staff of angel เหตุเกิดที่ป่าหมอก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Angel Fantasy

การต่อสู้ในป่าหมอก

 

 

 

                        “แค่หมอกหนาอย่างเดียวก็ไม่บ่นหรอกนะ แต่นี่มันมีกิ่งไม้เตี้ยๆนี่สิ เจ็บดีจัง อูย”

               วายุลูบหน้าผากตัวเองที่มีรอยฟกช้ำเพราะการเดินชนกิ่งไม้ที่ยื่นลงมาบนพื้นดิน  มันการเป็นชนครั้งที่ห้านับตั้งแต่เริ่มเดินทางเข้าป่าหมอก มันเต็มไปด้วยต้นสนน้อยใหญ่ซึ่งนานๆจะมีต้นไม้ประเภทอื่นให้เห็น พวกเขาเดินทางออกมาได้ชั่วโมงกว่าแล้วแต่ยังไม่เห็นปลายทางซักที ขาของวายุเองก็เริ่มล้า เพราะวันนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืด เดินทางไปดีชาเน่ ต่อสู้กับพวกชายฉกรรจ์แล้วยังต้องรีบหลบหนีมายังหมู่บ้านเล็กๆก่อนจะต้องทิ้งม้าแล้วเดินเข้าป่าหมอก มันเป็นวันที่โหดร้ายกว่าการเข้าค่ายพักแรมของลูกเสือเนตรนารี เพราะแทบจะไม่มีเวลาพักเลยในวันนี้

                     ไคท์หยุดเดินและทำสัญญาณมือให้คนอื่นหยุดตาม เขาส่องสายตามองไปรอบๆก่อนจะโยนคบเพลิงในถือไว้ในมือไปยังพุ่มไม้เตี้ยๆด้านขวามือ

      กิ๊ฟฟฟฟๆๆ !!!!!

                      เจ้าของเสียงร้องกระโจนออกมาจากพุ่งไม้ที่กำลังลุกไหม้ มันมีลักษณะคล้ายกับลิงยืนสองขาเหมือนคนและยังสวมชุดเก่าๆขาดๆแต่ในมือถืออาวุธ ไคท์นับจำนวนพวกมันได้ 5 ตัว ก่อนที่เขาจะสะดุ้งกับเสียงร้องของพวกมันที่เหลือรอบๆด้าน

                      “ก๊อปลิน!วิ่ง!!!ครับ!!!”

              ไคท์กระชากแขนเอลและวายุให้วิ่งผ่าวงล้อมของก๊อปลิน  พวกมันไม่ยอมปล่อยเหยื่อไปง่ายๆต่างพากันวิ่งไล่ตามเหยื่อเคราะห์ร้ายที่นานๆจะหลงเข้ามา ไคท์ตะโกนให้วายุและเอลเตรียมอาวุธให้พร้อมเพราะบางทีอาจจำเป็นต้องสังหารก๊อปลินพวกนี้ถ้าจนมุมจริงๆ ไคท์วิ่งแหวกหมู่ไม้ที่ไม่น่าจะมีมาก่อนไปเรื่อยๆ เขารู้ทันทีเลยว่าเป็นเวทมนตร์ของหมอผีก๊อปลิน ซึ่งเป็นความคิดที่ถูกต้อง หมอผีก๊อปลินยืนมองพวกเขาอยู่บนเนินพร้อมกับร่ายคาถากรีดขวางใส่พวกเขา มันคือพุ่มไม้ที่จะชะลอความเร็วของทั้งสามได้เป็นอย่างดี

                     “เร่งอีกครับ! ก๊อปลินจะตามมาทันแล้วครับ!”

              ไคท์หันมองพวกก๊อปลินที่กำลังไล่ตามหลังมา เขาแน่ใจว่าเห็นพวกมันหยุดไล่ในขณะที่พวกเขายังวิ่งหนีกันอยู่ แล้วไคท์ก็รู้สึกอีกว่าเขาไม่มีพื้นดินให้เหยียบอีกตอไปพร้อมกับเอลและวายุที่กำลังหวีดร้องลั่นเมื่อก้าวตกลงมาในเหว

ตูม!!

                    วายุพยายามประคองตัวให้ลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ เขาคว้าแขนเอลได้และพาไปด้วย วายุลากเอลขึ้นตลิ่งอีกฟาก ไคท์ขึ้นมาทีหลังพร้อมกับดาบของวายุที่เขาทำหล่น ไคท์ส่งดาบคืนให้วายุก่อนกระซิบเบาๆว่า “ขอโทษ”

            “ไม่เป็นไรหรอกไคท์ อย่างน้อยเราก็รอดมาได้นี่ แม้จะเปียกไปซักหน่อย”

                     ไคท์พยักหน้าก่อนที่จะกระโดดหลบหอกสั้นๆจะพุ่งมาจากที่พวกเขาหล่นลงมา พวกก๊อปลินนั่นเอง

                  “มันยังไม่เลิกตามอีกหรือเนี่ย”

             เอลกัดฟันก่อนที่จะมองหมอผีก๊อปลินที่ยืนองพวกเขาอย่างแค้นเคือง “เรารีบไปก่อนดีกว่ะครับ ก่อนที่หอกอีกหลายเล่มจะบินมาทางนี้”

            พวกเขาเห็นด้วยก่อนที่จะเดินจากไป เงาใหญ่ๆด้านล่างก็ปรากฏขึ้นและมุ่งหน้ามาทางพวกเขา มันคล้ายกับเงาของมนุษย์ร่างใหญ่แต่มีเสียงที่น่ากลัวและขยะแขยงไปในตัว

                 “ตัวอะไรอีกวะนั่น”

                   วายุมองเงานั่นที่ไม่ได้มาแค่ตัวเดียว แต่เขานับได้หกเงาหรือมากกว่านั้น มันค่อยๆเคลื่อนที่มาใกล้ และเสียงครางของพวกมันก็ดังชัดเจน

                   “ทีนี้แหละครับ เราหลีกเลี่ยงทางใช้ดาบไม่ได้แล้ว พวกนี้เป็นออค พวกมันน่ากลัวกว่าก๊อปลินครับ ดุร้ายกว่า และป่าเถื่อนกว่า”

                  “นี่ไคท์ ชั้นจะโกรธที่นายบรรยายนั่นแหละ มันมาแล้ว!”

            พวกออคเร่งฝีเท้ามายังมนุษย์ทั้งสาม ซึ่งพวกมนุษย์ก็พร้อมรับมือไว้แล้ว พวกออคก็มีขวานใหญ่ๆประจำตัวเช่นกัน ไคท์บอกว่าแค่หลบขวานนั่นให้ได้ก็พอ

                  ออคตัวแรกที่สิ้นในเพราะฝีมือไคท์ที่แหวกท้องมันด้วยดาบประจำตัว ออคเคราะห์ร้ายค่อยๆล้มคว่ำหน้าและสิ้นใจในที่สุด มันเป็นต้นเหตุให้ออคที่เหลือยิ่งคลุ้งคลั่งเข้าไปอีก มันคำรามเสียงดังคล้ายกับเสียงเรอของมนุษย์สันดานเสียบางคน

                 ออคคคค!!!!!!!!!!!

           “อี๋ ขยะแขยงชิบเป๋งเลยว่ะ”

                     สิ้นเสียงของวายุ ออคอีกตัวก็พุ่งเข้าใส่ เขารีบหลบทันทีและหลบขวานเล่นใหญ่ได้หวุดหวิด วายุเตะเจ้าออคตัวนั้นแต่มันไม่สะท้านบ้างเลย

                 ออคคคคคคคคคคคคคคคคคคค!!!

           เสียงดังจากในป่าหมอก พวกออคมาสมทบเพิ่ม คราวนี้ไคท์มีสีหน้าวิตก เขารีบปลิดชีวิตออคคู่ต่อสู้แล้วรีบพุ่งมาช่วยเอลก่อนจะไปหาวายุ

               “คราวนี้ต้องวิ่งอีกรอบครับ ไม่ไวจริงๆ มันเยอะมาก ย้ากก!”

         คำหลังเขาตั้งใจให้ออคเคราะห์ร้ายรายล่าสุดที่ลงไปกองกับเพื่อนออคของมันแล้วตอนนี้ “วิ่ง!?”

         “ใช่ครับ ไม่ต้องถามแล้วครับ วิ่งเลย!”

         ไคท์กระชากแขนเอลและวายุอีกรอบก่อนที่จะวิ่งออกจากการต่อสู้กับพวกออคป่าเถื่อน พวกมันก็วิ่งตามเหมือนกับพวกก๊อปลิน แต่ที่ยังโชคดีที่ออคไม่มีหมอผีหรือพ่อมดที่มีเวทมนตร์ พวกเขาจึงวิ่งหนีออคได้แต่ไม่ง่ายนัก เพราะออคมีกำลังเยอะกว่ามนุษย์ผู้ชายที่แข็งแรงหลายเท่า และการก้าวเท้าแต่ละก้าวของมันก็เท่ากับการก้าวเท้าของคนธรรมดา 2 ก้าว

              “นั่นอะไรน่ะ”

                วายุเอ่ยขึ้นเมื่อเงาหลายเงาปรากฏขึ้นอีกตรงหน้า มันคล้ายกับเงาของแมวตัวใหญ่แต่มีเสียงคล้ายการพูดคุยของมนุษย์ดังขึ้นและบางเสียงก็คำรามเหมือนเสือ เงาหน้าใหญ่ตรงเข้ามายังพวกเขาที่กำลังหนีพวกออคที่ไล่หลังอยู่ วายุใจหล่นวูบเมื่อคิดว่าโดนดักหน้าเสียแล้วเช่นเดียวกับไคท์และเอล เงาด้านหน้าค่อยๆมองเห็นชัดเจนขึ้น มันคล้ายกับเสือขาวและบางเงาก็เป็นคล้ายมนุษย์แต่ผิวซีดกว่า

              “พวกเอลฟ์”

          ไคท์อุทานขึ้นอย่างดีใจ พวกเอลฟ์ที่เพิ่งปรากฏเคลื่อนที่เข้ามาใกล้พวกเขา เจ้าเสือขาวหลายตัวที่วิ่งนำหน้าก็กระโจนข้ามพวกเขาไปหาพวกออค วินาทีนั้นเองในป่าหมอกที่มีหมอกหนาทึบ เสือขาวที่กระโจนไปหาพวกออคก็กลับกลายเป็นร่างของมนุษย์ที่มีใบหูแหลมยาวในชุดนักล่าประจำเผ่า(ไม่สวมเสื้อสวมแต่กางเกงและมีอาวุธมีด ดาบที่ซ่อนไว้ด้วย)เมื่อทันทีที่เอลฟ์พวกนั้นแตะตัวออคร้ายได้ เจ้าออคจะล้มลงและสิ้นใจทันที พวกเอลฟ์ที่วิ่งตามหลังพวกเสือขาวมาก็วิ่งหลบพวกวายุ มันจึงกลายเป็นสงครามย่อมๆในป่าหมอกระหว่างพวกออคกับพวกเอลฟ์ที่มีผู้ชมจากภายนอกเป็นมนุษย์ 3 คน เสียงกรีดร้องและคำรามดังไปทั่ว เอลฟ์สาวผู้หนึ่งเดินตรงมาหาผู้ชมการต่อสู้นี้ นางยิ้มให้เพื่อแสดงไมตรีก่อนและพาพวกเขาเดินออกมาจากการนองเลือด

              เธฮมีผิวสีเผือกเหมือนชาวเอลฟ์ทั่วๆไปแต่การแต่งตัวของเธอมีระดับมากกว่าเหล่าผู้กล้าที่กระโจนเข้าหาฝูงออคร้าย เอลฟ์สาวนางนี้สวมชุดคลุมสีขาวขลิบทอง  ผมยาวดำสนิทผ่านการอบจากสมุนไพรที่มีราคาแพง เธอคงจะเป็นคนสำคัญของเอฟ์เผ่านี้แต่เธอก็ไม่หยิ่งเรื่องระดับของตน นางลดตัวลงมาคุยกับคนต่างถิ่นอย่างน่าชื่นชม

              “ข้ามีนามว่า นาเทร์รี่ ข้าเป็นลูกสาวของหัวหน้าเผ่า ยินดีต้อนรับผู้มาเยือนและต้องขออภัยกับความไม่สะดวกที่พวกเราไม่ได้ช่วยเหลือท่านก่อนหน้านี้”

           นางเอลฟ์โค้งคำนับในท่วงท่าที่อ่อนช้อยสวยงามทันทีเมื่อเธอพาพวกผู้มาเยือนออกพ้นจากรัศมีที่ได้ยินเสียงกรีดร้องขอพวกออค “ต่อไปนี้ข้าจะพาพวกท่านเข้าพบบิดาข้า ท่านคงจะดีใจมากที่จะได้พบคนภายนอก ขอท่านจงวางใจเถิด พวกเราไม่เหมือนกับสัตว์ร้ายพวกนั้น”

         “หาไม่ คุณหนู พวกเราเห็นแล้วว่าพวกท่านพยายามที่จะปกป้องผู้คนที่ต้องเดินทางผ่านป่าหมอก” ไคท์ตอบรับอย่างสุภาพ มันทำให้นาเทร์รี่หยุดค้างเมื่อเธอสบตาไคท์ เธอยิ้มให้เขาแล้วหันหลังกลับพร้อมกับออกเดินนำพวกเขาไปยังเผ่าของเธอ

                หลายนาทีต่อมา นาเทร์รี่พาพวกเขามาถึงที่ตั้งของหมู่บ้านขนาดใหญ่กลางป่าหมอก บ้านทั้งหมดสร้างขึ้นบนต้นไม้ใหญ่ มีสะพานไม้พาดเชื่อมต่อกันระหว่างบ้านและเชื่อมต่อมายังลานวงกลมขนาดใหญ่ที่ห้อยไว้สำหรับประชุมเผ่าหรือประกาศอะไรบางอย่าง มีชาวเอลฟ์อาศัยอยู่หลายครัวเรือน แต่พวกเขามองเห็นชาวเอลฟ์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นเพราะกลางวันชาวเอลฟ์ส่วนใหญ่จะออกจากบ้านไปหาของป่าประทังชีวิตจึงมีเพียงเอลฟ์เวรยามเฝ้าหมู่บ้านเท่านั้น วายุสังเกตเห็นเด็กๆเผ่าเอลฟ์ที่เล่นกันอย่างสนุกสนานในบ้านต้นไม้ เขายิ้มโดยไม่รู้ตัวเพราะความตื่นเต้นที่ไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อน

            แกร้วววววว!!!!

                เอลร้องกรี๊ดเมื่อเสียงดังจากด้านบน มันเป็นนกเหวี่ยวสีน้ำตาลเข้มที่มีเอลฟ์หนุ่มผู้หนึ่งขี่อยู่บนหลัง นาเทร์รี่รีบปลอบใจเธอทันทีและบอกว่า เจ้าสิ่งนั้นเป็นพาหนะของชาวเอลฟ์

               “บราวน์ฮอก สินะเจ้าเนี่ย”

           นาเทร์รี่พยักหน้าให้เอล เธอนำพวกเขาเดินขึ้นยังสะพานไม้มันเลี้ยวไปมาเมื่อเจอต้นไม้ขวาง ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นบ้านต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งสามารถจุคนได้เป็นร้อยคน

              “นั่นแหละ บ้านข้า บิดาข้าอยู่ในนั้น งั้นข้าจะพาพวกท่านไปหาบิดาของข้า พวกท่านพร้อมใช่ไหม”

         “อืม พวกเราพร้อมแล้วครับ”

         นาเทร์รี่ยิ้มให้ไคท์อีกครั้ง เธอเดินไปหยุดที่หน้าประตูบ้านต้นไม้ของเธอ เธอเคาะประตูก่อนจะบอกว่าเธอมาแล้ว นาเทร์รี่เปิดประตูและเชิญพวกเขาเข้าไป

             “โอ้ววว อะไรกันนี่ ขอต้อนรับผู้มาเยือน พวกท่านคงเหนื่อยกันมาก เชิญนั่งก่อน มีนอาร์ ไปเอาน้ำให้แขกหน่อยสิ”

         เอลฟ์ชายวัยทองพูดอย่างยินดีเมื่อเขาเห็นว่านาเทร์รี่พาผู้มาเยือนจากต่างถิ่นมาที่นี่ ซึ่งเหตุการณ์นี้มันไม่ได้เกิดขึ้นมานานหลายสิบปีแล้ว

             ฝ่ายผู้มาเยือนซึ่งตอนนี้กำลังประหลาดใจกับภายบ้านต้นไม้ของนาเทร์รี่ มันกว้างขวางเหมือนห้องโถม สามารถจุคนได้มากกว่าร้อยเสียอีก แล้วยังมีหน้าต่างสำหรับให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามา มันสว่างไสว อบอุ่นและลมพัดเย็นสบาย ไม่มีกลิ่นของต้นไม้แฉะ แต่มีกลิ่นหอมคลุ้งของดอกไม้นานาชนิดที่มีนอาร์หรือคนใช้เป็นเอลฟ์สาวที่เป็นผู้จัดมันในทุกๆเช้า มีโซฟารับแขกต้องอยู่ใจกลางห้องซึ่งผู้เป็นพ่อของนาเทร์รี่นั่งอยู่ที่โซฟาของเจ้าบ้านอยู่แล้ว

              วายุนั่งลงระหว่างไคท์กับเอลที่โซฟารับแขก พวกเขาไม่กล้าสบตาพ่อของนาเทร์รี่ที่มีใบหน้าของชายใจดีคนหนึ่ง เพราะความเกรงใจของพวกเขา มันทำให้พ่อของนาเทรี่ถอนหายใจเบาๆ

              “ไม่ต้องกลัวหรอก เอลฟ์อย่างเราไม่เหมือนกับออคพวกนั้น เอ่อ ข้าชื่อ อลัน ข้าเป็นหัวหน้าเผ่านี้ เผ่าไนท์ลีฟ ยินดีต้อนรับพวกเจ้านะ”

         “สวัสดีครับ ท่านอลัน พวกเรามาจากดีชาโน่ เป็นนักท่องเที่ยวครับ อันที่จริงเรามาตามหาของไม่ทราบว่าท่านพอจะรู้เบาะแสของมันไหม”

         “ถ้าข้าบอกเจ้าได้ ข้าจะบอก มันคืออะไรหรือ”

         อลันยิ้มให้ทั้งสามเหมือนกับลูกสาวของตนที่ยิ้มให้พวกเขาในเวลาที่พวกเขาพูดกับเธอ มันเป็นนิสัยของผู้เป็นพ่อที่ถ่ายทอดให้ผู้เป็นลูกอย่างเห็นได้ชัด

             “พวกเรากำลังตามหาศิลานางฟ้า”

         วายุตอบอย่างภาคภูมิ มันทำให้อลันมองทั้งสามอย่างเคร่งเครียด เพราะสิ่งที่ผู้มาเยือนตอบนั้นมันตรงตัวจนเกินไป สิ่งที่เขาจะบอกใครไม่ได้ก็โดนถาม เช่นเดียวนาเทร์รี่ที่เกือบจะโต้แย้งเสียงดังแต่นางสามารถเก็บอาการเอาไว้ให้ผู้เป็นพ่อจัดการดีกว่า

             “ศิ ลา อา..พวกเจ้าต้องการมันไปทำไมหรือ แล้วถ้าได้มันแล้วพวกเจ้าจะทำอะไรกับมัน” อลันย้อนถาม เพราะเขาไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับใครง่ายๆแน่ วายุเห็นดังนั้นเขาจึงก้มลงหยิบสมุดบันทึกของดริกซ์ วอร์รี่ ที่ให้เขาเมื่อทั้งสามไปบ้านของดริกซ์ วอร์รี่ เขายิ่นมันให้อลัน ส่วนอลันเมื่อรับมันมาแล้วก็เปิดอ่านทันที อลันอ่านมันอย่างรวดเร็วในที่สุดก็ปิดมันลงแล้ววางไว้บนโต๊ะไม้ด้านหน้า

           “ดริกซ์ วอร์รี่ ส่งเจ้ามาหรือเนี่ย” อลันกุมขมับ “เขากับข้าเคยเป็นเพื่อนรักกัน ตอนนั้นเขาช่วยข้าไว้เมื่อเราโดนฝูงกระทิงบ้าไล่ตาม”

       “เจ้าเองสินะ ที่เป็นอัศวินที่ดริกซ์บอกในบันทึกเล่มนี้ อันที่จริงเจ้าไม่น่าบอกข้าก่อนก็ได้ บางทีข้าอาจจะเป็นพวกผีมืดนั้น (อลันพูดถึงเผ่าดาร์ก) เจ้าคงโดนฆ่าไปแล้ว คราวหลังต้องดูให้ดีเสียก่อน ตอนนี้พวกผีมืดนั่นมันเต็มไปหมด”

             นาเทร์รี่เดินเข้ามาหาอลัน เธอกระซิบบางสิ่งให้เขาฟัง ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างเห็นด้วยกับที่นาเทร์รี่กระซิบบอก เขายืนขึ้น (ซึ่งพวกวายุยืนด้วย)

        “นาเทร์รี่บอกว่านางจะให้พวกเจ้าพักที่นี่ในคืนนี้ เพราะในป่ามันมืดและอันตรายมากยิ่งเป็นที่นี่ก็แล้วใหญ่ พวกเจ้าตกลงไหม”

        ทั้งสามยิ้มด้วยความดีใจ มันทำให้หัวหน้าเผ่าเอลฟ์เผ่าไนท์ลีฟพลอยยิ้มไปด้วย

            “งั้นเวลาทุ่มครึ่ง เราจะมีงานเลี้ยงไว้สำหรับท่านทั้งสามแต่ อัศวิน เจ้าอย่าเที่ยวบอกใครต่อใครว่าเป็นใครมาจากไหน ไม่งั้นมันคงไม่ดีแน่”

        “ครับ แต่ผมชื่อ วายุ เนตรอัคคี และนี่ไคท์ ส่วนนี่คือ เอล ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

        “แน่นอน เอาล่ะ นาเทร์รี่ พาพวกเขาไปที่พัก แล้วอย่าลืมนะ ทุ่มครึ่งเรามีนัดกันที่ลานกว้าง นาเทร์รี่จะไปรับ แต่งตัวกันให้เสร็จด้วยล่ะ”

        “ครับ/ค่ะ”

       จากนั้นนาเทร์รี่ก็พาพวกผู้มาเยือนไปยังที่พักสำหรับแขกสำคัญ

 

     รถยนต์สีเทาคนหนึ่งจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง มันเขียนไว้หน้าบ้านว่า “เนตรอัคคี” มีชายหญิงคู่หนึ่งลงจากรถ ทั้งคู่แต่งงานกันได้ประมาณเกือบ 20 ปีแล้วแต่ภรรยายังสาวสวยอยู่ สามีของหล่อนกดกริ่งหน้าบ้านหลายครั้งจนต้องใช้กุญแจสำรองเปิดประตูบ้านเอง

       “ไม่ได้ล็อคไว้”

     ชายคนนั้นอุทานพร้อมกับนึกโกรธคนเฝ้าบ้าน เขาเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับภรรยา ภายในบ้านยังเปิดไฟส่องสว่าง ชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังไม่ได้ล้างมีกลิ่นเหม็นออกมาแล้ว ภายในบ้านเหมือนกับขาดคนดูแลอย่างไรอย่างนั้น

       “เน่าเฟะ”

      หญิงผู้เป็นภรรยาอุทานอย่างขยะแขยง เมื่อต้องใช้มือหยิบชามบะหมี่แล้วเทลงท่อน้ำทิ้ง ‘วายุทำอะไรอยู่เนี่ย”

    “แปลกจริงนะ แกไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แค่กินไม่ล้างได้แค่วันเดียวเอง ถ้าปล่อยให้เน่าแบบนี้คงเป็นเดือนๆ”

      “เอาเหอะภา เดี๋ยวผมลองขึ้นไปดูด้านบน ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างอยู่บนนู้นนะ”

    “เอาสิค่ะ นิด ถ้าวายุกลับมาน่าดู”

     สามีของภาชื่อ “นิด”ก้าวขึ้นบันไดบ้าน เขามองเห็นประตูห้องของวายุที่เงื้อมอยู่เลยตัดสินใจเปิดมันดู

      “วายุ!!!!!!”

    นิดอุทานเสียงดังลั่นจนภาต้องวิ่งขึ้นมาดู เธอก็กรี๊ดด้วยความตกใจเมื่อเห็นสภาพลูกชายที่นอนอยู่บนพื้น ร่างกายของเขาผอมซูบโทรม เพราะวายุนอนตรงนี้ที่นี่มาได้เดือนกว่าแล้ว เขาไม่ได้ทำอะไรแค่หายใจเลยใช้พลังงานไปไม่มาก แต่ร่างกานก็อ่อนแอใกล้จะสิ้นใจ

    “เจ้าชายนิทรา”

     เสียงหมอยืนยันเกี่ยวกับอาการของวายุ หลังจากที่พ่อแม่เขาได้พาเขามาส่งโรงพยาบาล นิด เนตรอัคคีนั่งคอตกด้วยความสิ้นหวังส่วน วิรภา เนตรอัคคี เธอกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ จึงเอ่อล้นออกมาจากเบ้าบวมๆ

       “คุณหมอค่ะ ลูกดิฉันมีสิทธิ์หายไหมค่ะ”

       วิรภายังดื้อรั้นไม่ยอมรับความจริง เธอหวังเพียงแต่ว่า เธอจะมีทางช่วยลูกชายให้พ้นจากสภาพนี้ มันคงจะดีไม่น้อยถ้าวายุสามารถกลับมามีชีวิตปกติไม่ต้องพึ่งอาหารสายยางและน้ำเกลือ “มีไหมค่ะ!”

      “เอ่อ..”ส่วนตัวคุณหมอเจ้าของไข้ก็จนปัญญา เขาพิจารณาอาการอย่างนี้ มันยากที่จะตอบกับญาติของผู้ป่วย โรคนี้มีน้อยคนมากที่จะหายขาดบางรายต้องเป็นตลอดชีวิต

     “อันนี้หมอก็ไม่แน่ใจนะครับ เพราะมีโอกาสหายขาดนั้นน้อยมาก แต่ถ้าโชคดีลูกชายของคุณอาจฟื้นขึ้นมาก็ได้นะครับ”

     “ไม่มีทางรักษาเลยหรอค่ะ เท่าไหร่ก็ยอมค่ะ”

      วิรภาถึงกับยอมจ่ายในราคาสูงๆเพื่อให้ลูกชายของหล่อนได้กลับมา ซึ่งคุณหมอเจ้าของไข้เองก็กลั้นความเศร้าเมื่อเห็นสามีภรรยาคู่นี้

         “ไม่ครับ ต้องอาศัยโชคอย่างเดียวครับ ขอให้คุณแม่ทำใจดีๆนะครับ ลูกคุณต้องหายขาดได้แน่นอน”

       วิรภากล่าวขอบคุณคุณหมอเจ้าของไข้ ก่อนที่เขาจะเดินจากไปทั้งๆที่เขาเองยังไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน วายุจะฟื้นขึ้นมา เขาเองก็ต้องหลอกญาติของผู้ป่วยถ้าเจอกับโรคที่เครื่องมือแพทย์สมัยใหม่ไม่รักษาให้หายขาดได้ มันเป็นการผิดศิลธรรมที่จำเป็นที่สุดของเหล่าแพทย์พยาบาล เพื่อให้เหล่าญาติของผู้ป่วยสบายใจแค่นั้นเอง

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา