เล่ห์กลรักเงาอสูร

-

เขียนโดย RATH

วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 00.57 น.

  30 chapter
  12 วิจารณ์
  41.58K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

22) บทที่ 4 คุ้มเวียงผาหลวง_2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก

 

เล่ห์กลรักเงาอสูร
 
บทที่ 4 คุ้มเวียงผาหลวง_2
 
                ธเนศสัมผัสและรับรู้ได้จากความรู้สึก ระหว่างตัวเขาเองและของมินตราที่ไม่มีทางจะยุติเรื่องราวอะไร ระหว่างกันลงได้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เท่านี้แน่ แม้แต่ในขณะที่มินตราบอกแก่เขา ว่าเธออยากจะยุติเรื่องราวระหว่างเขาและเธอลงชั่วคราวก็ตาม มันก็เป็นเพียงแค่ลมปากอันแสนจะไพเราะ ที่เธอต้องการอยากจะหลอกล้อให้เขาได้ตายใจเล่นไปอย่างนั้นเอง
            “ฉันดีใจที่ระหว่างเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม อย่างเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วมาอีกครั้ง” ธเนศจดจำได้ว่าเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วตัวเขาเอง ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรที่น่าจะจดจำมากนักระหว่างเขาและมินตรา นอกจากความสัมพันธ์ในช่วงระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ได้ใช้เวลาอยู่เฝ้าไข้ของเธอเท่านั้น
            “คุณได้ดูรูปที่พวกเรา ถ่ายด้วยกันหรือยังค่ะ” แน่นอนว่าในช่วงเวลานั้นก็ด้วยเช่นเดียวกัน ที่มันทำให้เขารู้สึกสนิทสนมกับเธอมากยิ่งขึ้น
            “ยังเลยครับ”
            “แล้วคุณอยากจะดูมันไหมล่ะค่ะ”
            “ไม่ครับ” การรักษาความสมดุลของหัวใจตัวเขาเองเอาไว้ มันจะดีมากกว่าหากว่าเขาจะไม่คิดที่จะดูรูปภาพพวกนั้น
            “ตกลงค่ะ ถ้าคุณอยากจะดูมันเมื่อไหร่ ฉันก็ยินดีจะเอาไปให้คุณดู” เขาพยักหน้าเป็นคำตอบแบบส่งๆ ไป
            “เช้าวันนี้ ฉันขึ้นมาที่นี่นานมากแล้ว ฉันคงต้องขอตัวกลับลงไปก่อนแล้ว” มินตรากลับหลังหันเพื่อจะก้าวเดินหนีจากเขาไป เขาเผลอตัว อย่างหลงลืมจับฝามือของเธอเอาไว้อย่างเคยชิน จนมินตราต้องหยุดที่จะก้าวเดินต่อไป แล้วหันวงหน้ามาจับจ้องมองใบหน้าอันหนวดเครารกครึ้มของเขาอีกครั้ง
            “มีอะไรหรือหรือเปล่าค่ะ”
            “ไม่-มี!!” เขาปล่อยฝามือเธอในทันทีอย่างรู้สึกตื่นตกใจ เพราะไม่ได้ตั้งใจที่จะจับฝามือของเธอเอาไว้เลย เธอเอื้อมฝามือมาลูบแก้มอันเต็มไปด้วยหนวดเคราของเขาอย่างไม่คิดจะขออนุญาตเขาอยู่เช่นเดิมเหมือนอย่างที่เคยทำในทุกๆ ครั้งที่เธอต้องการอยากจะทำ
            “คุณควรโกนมันทิ้งไปสะนะคะ เวลานี้คุณเหมือนมหาโจรเข้าไปทุกทีแล้ว”
            “คุณไม่อยากเห็นผมตก และอยู่ในสภาพเช่นนี้หรอกหรือครับ” เธอส่ายหน้าแล้วยิ้มแย้มอย่างน่ารัก เหมือนอย่างที่เขาเคยเห็นมาก่อนเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว
            “ผมคิดว่าคุณจะรู้สึกดีใจและสุขใจเสียอีก ที่ได้เห็นผมเป็นเพียงแค่กรรมกรแบกหามอยู่ในคุ้มแห่งนี้”
            “คุณคิดไปเองต่างหาก”
            “แต่คุณต้องการอยากที่จะแก้แค้นผมและครอบครัวของผม” มินตราเงียบเสียงลง แล้วจึงพูดประโยคต่อไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
            “เราเสแสร้งทำเป็นว่าระหว่างพวกเราไม่มีอะไรเกิดขึ้นดีกว่าไหมค่ะ”
            “แต่เราก็ต่างก็รับรู้กันดี พวกเราเสแสร้งทำเป็นไม่รับรู้สิ่งใดไปตลอดเวลาไม่ได้หรอกจริงไหมครับ”
            “แต่ในวันนี้ ฉันเริ่มที่จะทำใจยอมรับอะไรได้บ้างแล้ว” มินตรากำลังโกหกหากเธอทำใจยอมรับสิ่งใดได้จริงๆ วันนี้เขาคงจะไม่ได้เห็นเธอยืนสงบนิ่งอยู่หน้าสุสานของบิดาเช่นนี้อย่างแน่นอน และเธอคงไม่ขอร้องให้เขาช่วยทำลายชีวิตของคนอื่น เพื่อระบายอารมณ์อันกำลังคุกรุ่นที่เธอกักเก็บมันเอาไว้ภายในจิตใจด้วยเช่นกัน
            “แล้วเรื่องที่เราตกลงกันไปเมื่อสักครู่นี้ จะทำอย่างไรต่อไปครับ”
            “ฉันจะคุยรายละเอียดกับคุณในภายหลัง” มินตราตอบคำถามด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นมั่นคง อย่างไม่คิดจะหลงลืมสิ่งที่เธอได้ตัดสินใจไปแล้วเลย เขาจึงนิ่งเงียบอย่างหมดสิ้นสิ่งที่จะพูดคุยกับเธออีกต่อไปแล้วเช่นกัน
            “วันนี้คุณจะไปที่ไหนค่ะ” เธอหันวงหน้ายิ้มแย้มมาสอบถามเขาอีกครั้ง
            “คุณจะตามผมไปด้วยหรือไง”
            “ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าคุณกำลังจะไปที่ไหน” เขาชี้นิ้วตรงลงไปยังผืนป่าไม้สักทองเบื้องล่าง และธารน้ำใสไหลเย็นเป็นประกายเบื้องล่าง
            “ผมต้องไปคุมคนงานแทนนายเที่ยงเพื่อเพาะพันธุ์กล้าไม้”
            “อย่างนั้น วันนี้ฉันจะไปช่วยคุณทำงานด้วยก็แล้วกัน”
            “ผมคิดว่าคุณน่าจะไปคิดวางแผนการ ทำเรื่องเลวร้ายอย่างอื่นของคุณจะดีกว่าไหมครับ” มินตราทำหน้าบึงตึงเมื่อเขาพูดประโยคอันแดกดัน เสียดแทง ตรงเข้าทิ่มแทงจุดใจดำของเธอเข้าตรงๆ
            “เรื่องเลวร้ายนั้นทำที่ไหนก็ไม่แตกต่างกันหรอกค่ะ” มันก็เป็นเรื่องจริงอย่างที่เธอพูด สิ่งชั่วร้ายจะเริ่มทำที่ไหนก็ไม่แตกต่างกันจริงๆ
            “ตกลงครับ ถ้ามันจะทำให้คุณคิดวางแผนการเลวร้ายอะไรได้เพิ่มมากขึ้น จะตามผมไปทำงานด้วยก็ได้” มินตราเอื้อมฝามือของเธอมาจับฝามือของเขาอีกครั้งเหมือนอย่างที่เขาเคยทำ พร้อมเริ่มก้าวเดินอย่างช้าๆ ตามแผ่นหลังของเขาอย่างระมัดระวัง เพราะชุดที่มินตราสวมใส่อยู่ค่อนข้างจะก้าวเดินได้ลำบากและช้ากว่าปกติ มินตราสวมใส่ผ้าซิ่นแบบทอด้วยมือเนื้อผ้าจะหนาอย่างเช่นหญิงสาวชาวบ้านทั่วๆ ไป ผ้าซิ่นที่เธอสวมใส่อยู่จะมีความยาวตั้งแต่เอวลงไปจนจรดถึงข้อเท้า ส่วนด้านบนตั้งแต่ลำคอลงมาจนถึงระหว่างเอว มินตราจะใช้ผ้าห่มผืนใหญ่เนื้อหนาอย่างเช่นเดียวกันกับผ้าซิ่นที่เธอกำลังใช้สวมใส่อยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจะจับจ้องมองเห็นเสื้อตัวในที่เธอใช้สวมใส่เอาไว้ภายในร่ายกายของเธอได้เลย ส่วนเส้นผมสีดำของเธอจะถูกเกล้าเป็นมวยไว้สูงกลางศีรษะ แล้วใช้ปิ่นเงินปักเอาไว้อย่างแน่นหนา แล้วเสียบดอกจำปาจำปาแทรกเอาไว้ระหว่างปิ่นสีเงินคู่นั้น การแต่งตัวของมินตราอาจจะดูเหมือนกับของหญิงสาวชาวบ้านโดยทั่วไป แต่มันก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาเองไม่เคยได้เห็น ได้เคยสัมผัสในลักษณะเช่นนี้ของมินตรามาก่อน เธอจึงดูสวยสดใสดูแปลกตากว่าครั้งไหนๆ
            “คุณอย่าเดินเร็วนักสิค่ะ ฉันก้าวเท้าไม่ทัน” และยิ่งเมื่อเธออารมณ์เสียเธอก็จะยิ่งสวยและน่ารักมากยิ่งขึ้น
            “คุณไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้ ขึ้นมาบนภูเขาสูงๆ นะครับ” เธอหน้าหงิกงอลงในทันทีที่โดนเขาต่อว่าคืนกลับไป
            “ฉันไม่ได้ปีนป่ายเขาขึ้นมานะค่ะ ฉันขับรถปีนป่ายมันขึ้นมา” ขณะพูดกับเขาเธอจับจ้องมองหนวดเคราบนใบหน้าของเขาอยู่โดยตลอดเวลา
            “ฉันดูออกนะค่ะ ว่าคุณกำลังยิ้มอยู่”  มันเป็นจริงอย่างที่เธอกำลังพูด
            “ผมไม่ได้กำลังยิ้มเสียหน่อย”
            “คุณยิ้ม” เขาจำเป็นต้องยอมรับและยอมพ่ายแพ้ต่อความตั้งใจจริงของเธอ
            “ก็ได้ผม กำลังยิ้ม”
            “คุณยิ้มเยอะฉัน คงคิดว่าฉันไม่ได้ความอยู่ล่ะสิ”
            “เปล่าผมเพียงแค่...” เขาหยุดสิ่งที่จะพูดต่อไป
            “คิดว่าคุณน่ารักและสวยมากอยู่ต่างหาก” เธอจับจ้องมองริมฝีปากเขาอย่างกำลังจะรอคอยสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อประโยคให้จบ
            “คิดว่าเราควรที่จะเดินกันให้เร็วกว่านี้อีกสักนิด” แววตาที่กำลังจับจ้องมองเขาอยู่เริ่มสลดลงเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิดหวังในบางสิ่ง
            “คุณคงไม่ได้กำลังจะแกล้งให้ฉันหกล้มอยู่หรอก ใช่ไหมค่ะ” เขาส่ายหน้าเป็นคำตอบและไม่กล้าที่จะยิ้มเยอะเธออีกต่อไป เขาจับจูงมือของเธอก้าวเดินต่อไปตามพื้นหญ้าสีเขียวที่ได้รับการตัดแต่งเอาไว้อย่างดี จนเรียบสม่ำเสมอกันอย่างเช่นในสนามตีกอล์ฟ แม้ชั้นดินของผืนหญ้าโดยรอบข้างจะลาดเอียงเป็นหลุมเป็นบ่ออยู่บ้าง แต่สุดท้ายเขาและมินตราก็ก้าวเดินมาจนถึงรถจี๊ปที่จอดทิ้งเอาไว้เคียงคู่กัน เขาเริ่มปล่อยมือที่เกาะกุมเธอออก
            “คุณจอดรถของคุณเอาไว้ที่นี่แหละ แล้วขับรถของฉันไป” เขาพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วพยุงมินตราขึ้นไปนั่งบนเบาะหน้ารถเคียงคู่ด้วยกันกับเขา แล้วจึงเดินอ้อมไปขึ้นนั่งยังฝั่งตรงข้ามของคนขับ เครื่องยนต์ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น และมันส่งเสียงเบากว่าคันที่เขาเพิ่งขับมาค่อนข้างมาก มันวิ่งได้อย่างเรียบเกาะติดถนนอย่างไม่คิดที่จะเกะกะเกเรออกนอกลู่นอกทางเลย จนสุดท้ายเขาก็ขับรถจี๊ปมาจนถึงจุดหมายปลายทาง มันคือโรงเรือนที่ปลูกสร้างเอาไว้ด้วยไม้สักหลายหลังทอดตัวยาวกว่าครึ่งกิโลเมตร และมันเป็นสถานที่ที่เขาจะต้องมาคอยคุมคนงานเพื่อเพาะปลูกต้นกล้าไม้สักทองในวันนี้อีกด้วย
.............................
           
“เจ้านายคนใหม่ของพวกเรามาแล้วโว้ย...” เสียงนายยอดชายนักเลงขาประจำโรงครัวร้องตะโกนบอกกล่าวกลุ่มเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ เมื่อรถจี๊ปที่เขาเพิ่งขับอยู่จอดสนิทลงตรงเบื้องหน้าของกลุ่มคนงาน เขาก้าวลงมาจากรถจี๊ปแล้วเดินอ้อมไปพยุงมินตราให้ลงมายืนนิ่งๆ อยู่เคียงคู่ด้วยกันกับเขา คนงานไม่ต่ำกว่าห้าสิบคนทั้งชายและหญิงต่างกำลังยืนจับจ้องมองมินตราอย่างเป็นตาเดียวกัน อย่างกำลังนึกสงสัยใคร่รู้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหนกันแน่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าจะเอ่ยปาก ตั้งคำถามยกเว้นแต่ลูกสาวของนายเที่ยงและนางนวลลออเท่านั้น
“พี่ไม้มากับใครหรือจ๊ะ” รำพันก้าวเดินตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่ประชิดติดกันกับเขาเกือบจะเรียกได้ว่าตัวติดกันเลยทีเดียว
“ฉันชื่อว่าเม เป็นคนงานคนใหม่” มินตราพูดความจริงเรื่องชื่อและพูดโกหกเรื่องที่ว่าเธอเป็นคนงานคนใหม่ ในจำนวนคนงานมากกว่าห้าสิบคน คงจะมีอยู่สักสิบกว่าคนที่หลงเชื่อคำโกหกของเธอ
“จริงหรือจ๊ะ พี่ไม้” เขาพยักหน้าเป็นคำตอบแบบส่งๆ ไป
“เธอสวยขนาดนี้ ทำไมถึงคิดจะมาทำงานขุดดินแบบนี้ละ” รำพันยังคงซักถามต่อไปอย่างคิดสงสัย เหมือนอย่างเช่นเดียวกันกับคนงานคนอื่นๆ ที่กำลังยืนจับจ้องมองและรอคอยฟังคำตอบอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
“หรือว่าพี่ไม้จะคิดนอกใจรำพัน” มินตรายิ้มแย้มและกำลังเริ่มจะหัวเราะชอบใจ แม้แต่คนงานหญิงและชาย ต่างก็กำลังเริ่มหลงเชื่อในสิ่งที่รำพันได้พูดจากล่าวหาเขาออกมา
“บอกมาสิคะ พี่ไม้คิดจะนอกใจรำพันใช่ไหม ค่ะ” รำพันจับแขนของเขาเขย่าอย่างต้องการคำตอบ
“เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะครับ แล้วผมจะไปนอกใจรำพันได้ยังไงกัน”
“แต่รำพันชอบพี่ไม้ใครๆ ก็รู้กันหมด” รำพันหันหน้าไปจับจ้องมองคนงานหญิงและชายที่กำลังจับจ้องมองอยู่ อย่างกำลังต้องการจะหากองกำลังเสริมเพื่อช่วยสนับสนุนคำพูดของเธอ
“จริงไหมจ๊ะพวกเรา ฉันมาก่อน จับจ้องเอาไว้ก่อนพี่ไม้ก็จะต้องเป็นของฉัน” คนงานหญิงทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ส่วนคนงานชายได้แต่จับจ้องมองมินตราจนไม่คิดอยากจะสนใจเขาและรำพันแม้แต่น้อย เพื่อยุติปัญญาอันไร้สาระของรำพัน เขาจำเป็นที่จะต้องให้คนงานทุกคนกลับไปทำงานประจำหน้าที่ของตัวเอง เพื่อเริ่มต้นทำงานกันต่อไปเสียที
“กลับไปทำงานตามหน้าที่ของตัวเองได้แล้วครับ” เขาตะโกนบอกกับคนงานทุกๆ คนที่กำลังต่างให้ความสนใจเขาและมินตราอยู่ ทุกคนเริ่มแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ ยกเว้นอยู่แต่เพียงสองคนเท่านั้น ที่ไม่คิดจะก้าวเดินหลบหลีกหนีไปทำอะไรที่ไหนต่อเลยแม้แต่เพียงก้าวเดียว
“วันนี้ผมขอฝึกงานให้กับคนงานใหม่นะครับ พี่ไม้” นายยอดชายนักเลงประจำโรงครัวในเวลาปรกติจะเรียกเขาว่าอ้ายไม้แต่ในวันนี้ กลับเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนพูดจาไพเราะมากยิ่งขึ้น เขาจับจ้องมองไปที่มินตราอีกครั้ง เธอยังคงยิ้มแย้มอย่างสดใสร่าเริงอยู่เช่นเดิม
“ไม่ต้องหรอกวันนี้ คนงานคนใหม่ของเรา แค่มาดูสถานที่ทำงานเท่านั้นยังไม่ได้คิดจะเริ่มทำงานจริงๆ” ยอดชายแสดงสีหน้าดีใจมากขึ้นกว่าเก่าเสียอีก
“อย่างนั้นดีเลยเดียวผม จะขอเป็นไกด์นำเที่ยวให้เอง มีที่ไหนบ้างที่นายยอดชายคนนี้ไม่เคยรู้จักมาก่อน” เขาหมดสิ้นคำที่จะพูดกับนายยอดชายอีกต่อไปจึงได้แต่พยักหน้าแบบส่งๆ ไปอีกครั้ง
“ตามใจถ้านายอยากจะเป็นไกด์นำเที่ยวก็ตามใจ”
“อย่างนั้น นายยอดชายขอเริ่มงานเลยแล้วกันนะครับ” เขาพยักหน้าอีกครั้ง นายยอดชายโค้งลำตัวแล้วทำมืออันเชิญให้มินตรา เริ่มออกก้าวเดินตามนายยอดชายไป ตัวเขาเองก่อนที่จะก้าวเดินตามมินตราและยอดชายไป จำเป็นที่จะต้องไปฝากงานเอาไว้กลับลูกน้อยที่รู้จักให้ช่วยดูแลไปก่อนสักพัก ก่อนที่จะเริ่มก้าวเดินติดตามมินตราและนายยอดชายไปด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนรำพันยังคงเกาะท่อนแขนของเขาเอาไว้จนแน่นอยู่เช่นเดิมเช่นกัน อย่างไม่คิดที่จะปล่อยออกเลย แม้เขาจะพยายามแกะออกหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายก็ต้องยอมพ่ายแพ้ต่อความตั้งใจจริงของรำพัน
“พี่ไม้รู้จักกับคุณเมมานานแล้วหรือจ๊ะ” เขาพยักหน้าแทนคำตอบ
“แล้วรู้จักกันมาก่อนรำพันอีกหรือจ๊ะ” เขาพยักหน้าอีกครั้ง ทำให้รำพันหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วพี่ไม้กับคุณเมไม่ได้เป็นคนรักกันเช่นไหมจ๊ะ” เขาพยักหน้าอีกครั้ง รำพันบีบแขนเขาอย่างรู้สึกดีใจจนดวงตาส่งประกายแวววาวอย่างเห็นได้ชัด
“พี่ไม้จ๊ะ พวกเราแยกกันไปเดินเล่นตรงริมลำธารด้านโน่นกันเถอะนะจ๊ะ วิวทิวทัศน์ของลำธารฝั่งตรงโน่นสวยงามมากเลยล่ะจ๊ะ” คำพูดของรำพันทำให้มินตราต้องหยุดก้าวเดินแล้วหันวงหน้ามาถาม
“จริงหรือจ๊ะ รำพัน”
“จริงครับ คุณเม” นายยอดชายเป็นคนตอบคำถามแทน
“อย่างนั้น พวกเราตรงไปยังจุดนั้น เป็นที่แรกกันก่อนดีกว่า”
“ผมว่ามันจะไกลเกินไปนะครับ” เขาบอกกับมินตราออกไปตรงๆ เพราะสถานที่ที่ทุกคนกำลังจะไปมันคือรอยต่อของอาณาเขตระหว่างคุ้มเวียงผาหลวงและคุ้มเวียงผาหมอกของเจ้าหม่อนเมฆ
“ไม่ไกลมากหรอกจ๊ะ พี่ไม้ เราเดินลัดไปทางนี้ใกล้นิดเดียวเอง” มินตราแย้มยิ้มอย่างเห็นด้วยกับรำพัน
“ครับไปทางนี้เราจะย่นระยะทางไปได้ครึ่งหนึ่งจริงๆ ครับ” ยอดชายสนับสนุนขึ้นมาอีกหนึ่งเสียง แล้วจะให้เขาทำอย่างไรได้นอกจากพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเท่านั้น การเดินทางลัดเลาะป่าไม้และโขดหินน้อยใหญ่ สุดท้ายพวกเขาก็มาจนถึงจุดหมายปลายทางที่เรียกได้ว่าเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุด มันคือหน้าผาอันสูงชันหากจับจ้องมองตรงลงไปสู่เบื้องล่างจะเห็นสายน้ำตกไหลลงสู่แอ่งน้ำขนาดใหญ่ ละอองน้ำสีขาวจะปลิวไสวไปทั่วอาณาเขตบริเวณทำให้บรรยากาศรอบข้างจะหนาวเย็นยะเยือกอยู่ตลอดเวลา ด้านล่างจะเป็นแอ่งน้ำทรงกลม และเส้นทางของสายน้ำไหลก็จะมุ่งตรงไปยังคุ้มเวียงผาหมอกของเจ้าหม่อนเมฆ
“สวยมากใช่ไหมจ๊ะ พี่ไม้ ดูตรงโน่นสิจ๊ะ” เขาจับจ้องมองตามนิ้วมือของรำพันที่กำลังชี้ตรงไปด้วยเช่นกันกับที่มินตราก็กำลังจับจ้องมองอยู่ ในทิศทางเดียวกันกับเขา
“ตรงนั้น พี่ไม้จะเห็นเป็นคุ้มขนาดใหญ่พวกเราเรียกมันว่าคุ้มเวียงผาหมอก มันสวยมากเลย แต่เจ้าของคุ้มไม่ค่อยจะตอนรับพวกเราสักเท่าไร” รำพันคงจะหมายถึงคนงานในคุ้มโดยทั่วไป แต่หากจะเป็นในระดับพ่อเลี้ยงของคุ้มเวียงผาหลวงแล้ว ใครบ้างจะคิดกล้าที่จะปฏิเสธเจ้าของคุ้มแห่งนี้ได้
“แล้วตรงโน่นเป็นอะไร” มินตราชี้นิ้วตรงไปยังจุดที่มีเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ หลายชนิดกำลังทำงานอยู่ไกลๆ
“ออ... มันเป็นเหมืองพลอยของเจ้าหม่อนเมืองนะครับ” ยอดชายเป็นคนตอบคำถาม
“แต่เท่าที่รู้ มันเป็นเพียงแค่เหมืองพลอยที่มีแต่ก้อนหินเท่านั้นครับ ไม่มีพลอยอยู่จริงๆหรอก”
“แต่สถานที่ที่น่าจะมีเพชรพลอยอยู่น่าจะเป็นตรงนั้นค่ะ” รำพันชี้นิ้วตรงไปยังหน้าผาที่เป็นสุสานบิดาของเธอตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่
“รู้ได้อย่างไรกันว่ามันมีเพชรหรือพลอยอยู่รำพัน” เธอถามขึ้นอย่างสงสัย
“ก็ชาวบ้านแถวนี้ ยามที่ไม่มีงานการอะไรจะทำกันก็จะพากันไปร่อนหาเพชร พลอยกันจนร่ำรวยกันไปหลายรายแล้วนะสิ”
“ครับ...ผมและกลุ่มเพื่อนก็เคยไปร่อนหากันมาแล้ว ได้กันมาคนละก้อนสองก้อน” ยอดชายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดีใจ
“แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าจะไปร่อนหาเพชรพลอยกันแล้วครับ”
“ทำไม” เธอถามอย่างสงสัยแม้จะพอรับรู้คำตอบอยู่ภายใจจิตใจบ้างแล้วก็ตาม
“ก็เจ้าหม่อนเมืองสิค่ะ พาคนมาล้อมรั้วเอาไว้ ไม่ให้กลุ่มชาวบ้านได้เข้าไป พวกชาวบ้านต่างก็เกรงกลัวอิทธิพล จึงไม่มีใครกล้าที่จะข้ามเขตล้อมรั้วนั้นเข้าไปค่ะ” รำพันเป็นคนตอบคำถาม มินตรานิ่งเงียบอย่างกำลังใช้ความคิด แล้วจึงหันหลังกลับมาเพื่อที่จะหาจุดนั่งพักชมวิวทิวทัศน์โดยรอบข้างต่อไป รำพัน ยอดชาย และตัวเขาเองก็ต่างกำลังจับจ้องมองหาจุดนั่งพักด้วยเช่นกันกับมินตรา แต่เสียงระเบิดป่าแตกก็ดังขึ้นติดต่อกันหลายครั้งฝูงนกหลายสิบฝูงบินผ่านหน้าผาสูงชันไปเป็นหลายร้อยตัว เขาและทุกคนสามารถที่จะรับรู้ได้ในทันทีว่ามันคือเสียงของอะไร
“ปัง ปัง ปัง” เสียงปืนดังขึ้นติดต่อกันสามนัดห่างจากจุดที่พวกเขาอยู่กันไม่มากนัก
“ว้าย!! พี่ไม้ข๊า... มันกำลังเกิดอะไรกันขึ้นค่ะ”
 
..........................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา