เล่ห์กลรักเงาอสูร

-

เขียนโดย RATH

วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 00.57 น.

  30 chapter
  12 วิจารณ์
  41.77K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

24) บทที่ 4 คุ้มเวียงผาหลวง_4

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก

 
เล่ห์กลรักเงาอสูร
 
บทที่ 4 คุ้มเวียงผาหลวง_4
 
            ริมลำธารน้ำตื้นๆ ความกว้างสองฝากฝั่งน่าจะประมาณยี่สิบเมตร ความลึกอย่างมากสุดก็ไม่น่าจะเกินหนึ่งเมตร หากกะระยะด้วยสายตาจากจุดเรือนเพาะชำกล้าไม้สักไปจนถึงริมฝั่งลำธารก็ไม่น่าจะเกิน 500 เมตร
            “นั้นมันใครอีกหว่ะ” นายยอดชายตะโกนถามลูกน้องอีกครั้ง
            “ไม่รู้ครับพี่ยอดแต่เหมือนว่า จะบาดเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว”
            “ให้คนไปช่วยพยุงพวกมันมาที่นี่ สงสัยว่าคงจะเป็นพวกเดียวกันกับอ้ายที่นอนสลบอยู่ตรงนั้น”
            “ครับพี่ยอด” ลักษณะของบุคคลนิรนามทั้งสี่คนที่เพิ่งก้าวเดินตรงเข้ามาจนถึงยังจุดที่ธเนศและมินตรากำลังยืนจับจ้องมองอยู่ ประกอบด้วยชายหนุ่มสามคน คนแรกตัวสูงที่สุดน่าจะเป็นชาวต่างชาติหากธเนศคาดเดาไม่ผิดน่าจะเป็นชาวอังกฤษ ส่วนชุดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่สวมใส่อยู่ของทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เป็นชุดที่ใช้สำหรับเดินป่า เริ่มตั้งแต่รองเท้า กางเกงขายาว เสื้อ ผ้าพันคอ หมวก แว่นตา มีดพก และอาวุธปืนมีทั้งอาวุธปืนสั้นและอาวุธปืนยาว ชายหนุ่มอีกสองคนน่าจะเป็นคนไทยความสูงของร่างกายน่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับธเนศ ส่วนคนสุดท้ายเป็นหญิงสาวอายุน่าจะมากกว่ามินตราอยู่สามหรือสี่ปี ทั้งสี่คนอยู่ในชุดเสื้อผ้าแบบเดียวกัน
            “พงษ์... พวกเราตามหานายซะทั่วเลย” หญิงสาวท่าทางตื่นกลัวอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรงก้าวเดินตรงเข้าไปยังชายหนุ่มที่กำลังนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ใต้ร่มไม้
            “เขาเป็นอะไร” เธอตะโกนถามอย่างไม่ได้เจอะจงให้ใครตอบเป็นพิเศษ แต่รำพันอาสาที่จะเป็นตัวแทนตอบคำถามให้
            “เป็นอะไรหรือ แหกตาดูซะ” รำพันชี้นิ้วไปที่รถที่พลิกคว่ำหงายท้องอยู่
            “เพราะพงษ์ข๊า ของเธอมันถึงได้เป็นแบบนั้น” หญิงสาวสภาพอ่อนแรงทั้งกายและจิตใจนิ่งรับฟังอย่างไม่กล้าจะตอบโต้สิ่งใด
            “ช่างมันเถอะครับ มันเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุใช้เวลาซ่อมแซมเครื่องยนต์อีกหน่อย ก็น่าจะกลับมาใช้งานได้อย่างเดิมแล้ว” ธเนศพูดปลอบใจหญิงสาวผู้กำลังหน้าซีดเซียวหมดสิ้นเรี่ยวแรงพละกำลัง
            “ช่วยเหลือเราหน่อยได้ไหมครับ เราต้องการเซรุ่มแก้พิษงู”
            “ใครโดนงูกัดมาอีกหรือครับ” นายยอดชายตั้งคำถามขึ้น
            “นายฝรั่งกับเจ้าหม่อนเมืองครับ” ธเนศจับจ้องมองตรงไปยังหนุ่มไทยหน้าตาดี ในสภาพบาดเจ็บ ธเนศคุ้นเคยสนิทสนมกับเจ้าหม่อนเมืองพอสมควร แม้จะไม่ได้สนิทสนมมากเท่าดิเรกน้องชายก็ตามที 
            “เจ้าหม่อนเมืองหรือค่ะ” รำพันตะโกนเสียงดังอย่างตกใจ
            “ใช่ครับ”
            “แ-ล้-วว-แล้ว-เจ้า-หม่อนเมืองมาทำอะไรอยู่ในป่าเขาแถบนี้กัน” รำพันตั้งคำถามอย่างตื่นตกใจมากกว่าที่จะต้องการคำตอบจริงๆ
            “เรื่องมันยาวเอาไว้ผมจะเล่าให้ฟังที่หลัง ตอนนี้ผมต้องการเซรุ่มแก้พิษงูครับ”
            “พวกเราใช้เข็มสุดท้ายไปแล้วครับ” นายยอดชายจับจ้องมองตรงไปยังชายหนุ่มที่นอนสลบไสลอยู่ใต้ร่มไม้
            “กับเขา”
            “แล้วมีที่ไหนพอที่จะหาได้อีกไหมครับ”
            “มีอยู่ที่คุ้มเวียงผาหลวงค่ะ” รำพันตอบคำถามแทนนายยอดชาย
            “กลับไปเอามาให้พวกเราหน่อยได้ไหมครับ พวกเราต้องการใช้มันจริงๆ”
            “ถ้าเพื่อนคุณไม่พังรถของเราทิ้ง ฉันก็คิดจะอาสากลับไปเอาให้คุณได้อยู่หรอกนะค่ะ”รำพันตอบคำถามอีกครั้งอย่างไม่คิดจะปิดบังและไม่คิดจะถนอมความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามเลย
            “แล้วนี้จะทำอย่างไรกันดีล่ะครับ พวกเขาต้องการเซรุ่มมากจริงๆ”
            “คงต้องปฐมพยาบาลเบื้องต้นกันไปก่อน” ธเนศแนะนำแนวทางแก้ไขปัญหา ในระหว่างที่ยังคิดอะไรไม่ออก
            “ผมจะลองไปหาสมุนไพรมาช่วยระงับอาการเจ็บปวดให้ก่อน รอสักครู่นะครับ” นายยอดชายและพรรคพวกกำลังจะเริ่มก้าวเดินเข้าไปในป่าเขาเพื่อค้นหาสมุนไพร
            “คุณต้องการเซรุ่มแก้พิษงูอะไรล่ะค่ะ” มินตราถามขึ้น ธเนศและทุกคนต่างจับจ้องมองมาที่มินตราเป็นตาเดียวกันอย่างนึกสงสัยในคำถามของเธอ
            “นี่ครับ” ชายหนุ่มยื่นกล้องถ่ายรูปส่งให้กับมินตรา มันมีรูปงูเห่าหลายสิบตัวอยู่ในรูปที่ถ่ายเก็บเอาไว้
            “พวกคุณนี้ขนาดอยู่ในช่วงภาวะเวลาอันตราย ยังอุตส่าห์มีกะจิตกะใจถ่ายรูปเก็บเอาไว้อีกนะค่ะ” มินตราหลุดคำพูดประชดประชันออกไป ทำให้ธเนศต้องใช้แววตาดุๆ หยุดคำพูดของมินตราเอาไว้ มินตรารับรู้ถึงแววตาดุร้ายของธเนศได้ดี จึงหยุดคำพูดอันประชดประชันของตัวเองเก็บเอาไว้ก่อน
            “ในข้าวของๆ ฉันมีกล่องรวมยาอยู่ด้วย ฉันคิดว่ามันน่าจะมีเซรุ่มติดมาด้วย แต่ไม่รู้ว่าจะมีเซรุ่มแก้พิษงูเห่าพวกนี้ติดมาด้วยหรือเปล่า” นายยอดชายวิ่งตรงไปยังเรือนพักของธเนศและตรงเข้าไปหยิบกล่องรวมยากลับมาพร้อมเปิดออกดูต่อหน้าของทุกคน
            “โอ้โฮ้!!...นี่ไม่ใช้น้อยๆ เลยนะครับ คุณเมไปเอาของพ่อเลี้ยงมาจนหมดคุ้มเลยหรือเปล่าครับ” มินตราไม่คิดจะตอบคำถามของนายยอดชาย มีแต่ธเนศเท่านั้นที่พอจะคาดเดานิสัยของมินตราได้ ซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อมินตราเกิดหมดสิ้นความอดทนกับเรื่องง่ายๆ อย่างเช่น การแบ่งเข็มฉีดยาแยกนำออกมาใช้ในปริมาณที่พอเหมาะและเก็บส่วนที่เหลือกลับคืนเอาไว้ตามเดิม
            “หากที่คุ้มเกิดมีใครโดนงูกัด คงพากันวิ่งวุ่นวายหาเซรุ่มกันให้ทั่วเลยสิครับ” นายยอดชายแสดงความสงสัยต่อไป
            “จริงด้วย” รำพันจับจ้องมองมินตราอย่างนึกสงสัย เพราะรำพันเริ่มสงสัยประวัติความเป็นมาของมินตราเข้าให้แล้ว เพราะแม้แต่บิดาของรำพันเองยามจำเป็นที่จะต้องใช้เซรุ่มแก้พิษงู ยังต้องทำบัญชีขอเบิกจ่ายเผื่อเหลือเผื่อขาด เก็บเอาไว้เพื่อเป็นสถิติก่อนลวงหน้า ถึงจะนำเซรุ่มออกมาใช้ได้ แต่นี้หญิงสาวแปลกหน้ากับขนเซรุ่มแก้พิษงูหลายชนิดใส่รถจี๊ปมาจนหมด ซึ้งคนงานหญิงธรรมดาไม่สามารถทำอย่างนั้นได้อย่างแน่นอน แล้วตกลงว่าหญิงสาวตรงหน้าของรำพันเป็นใครกัน รำพันได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ภายในจิตใจ
            “ผมขอขอบคุณมากนะครับ” ชายหนุ่มนิรนามผู้ไม่ค่อยจะได้รับบาดเจ็บอะไรมากมายนัก เมื่อเทียบกันกับคนอื่นๆ แล้ว เขาส่งรอยยิ้มแสดงความขอบคุณมินตราด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์
            “คุณไม่เห็นจำเป็นจะต้องมาขอบคุณฉันสักนิด” ชายหนุ่มนิรนามใบหน้าซีดลงไปเล็กน้อย แต่เมื่อมินตราจับจ้องมองแววตาดุๆ ของธเนศอีกครั้ง 
            “ฉันหมายถึงคนที่จะต้องขอบคุณฉัน คือสองคนที่โดนงูกัดนั้นต่างหาก” ชายหนุ่มนิรนามเริ่มคลีรอยยิ้มอย่างนึกขอบคุณมินตราโดยไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกอีกเลย แต่มินตรากับไม่ได้คิดจะสนใจรอยยิ้มขอบคุณของชายหนุ่มตรงเบื้องหน้าเลยแม้สักนิด เพราะสิ่งที่มินตรากำลังให้ความสนใจอยู่คือชายหนุ่มอีกคนที่ถูกงูกัดกำลังนั่งนิ่งๆ หมดสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ใต้ร่มไม้ต่างหาก              "ในยามเช้าตรู่ริมหน้าผาข้างสุสานของบิดา เธอเพิ่งจะบอกแก่ธเนศว่าจะทำลายทุกคนในคุ้มเวียงผาหมอกให้สิ้นซาก ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว แต่ในขณะนี้เวลามันเพิ่งผ่านไปแค่สี่หรือห้าชั่วโมง เธอกับกำลังช่วยช่วยเหลือชีวิตหนึ่งในคนของตระกูลคุ้มเวียงผาหมอกเอาไว้ มันช่างเป็นเรื่องบ้าบอชัดๆ"
            “กำลังคิดอะไรอยู่หรือเม...” ธเนศกระซิบอยู่ข้างใบหูอย่างได้ยินกันเพียงแค่สองคน
            “แล้วคุณว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ”
            “ผมคาดเดาคำตอบได้จากแววตาของคุณ”
            “แล้วคำตอบมันคืออะไร”
            “คุณไม่ใช่ ปีศาจร้ายจริงๆ หรอกมินตรา”
            “ฉันคงเป็นนางฟ้าซินะ”
            “คงงั้น... คุณจะปล่อยให้เจ้าหม่อนเมืองตายก็ได้ถ้าหากคุณต้องการ”
            “ความตายมันคงอาจจะสบายเกินไปหน่อยก็ได้ จริงไหม”
            “ก็อาจจะจริง แต่ผมคิดว่าคุณฆ่าใครไม่ได้จริงๆ หรอก แม้คุณอยากจะทำมากมายสักเท่าไรก็ตาม”
            “คุณก็รู้ว่าฉันเองยังไม่ได้คิดที่จะเริ่มต้นทำงานเลยนะค่ะ เมื่อไหร่ฉันเริ่มต้นวางแผนการร้ายๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้นติดตามมา คุณเองก็ต่างเคยประสบพบเจอะเจอมาแล้วและมันจะน่ากลัวกว่าที่คุณเคยพบเจอะเจอมาแล้วหลายร้อยเท่า” ธเนศนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด
            “ก็อาจจะจริง”
            “อุ๊ย..พี่ไม้กับคุณเมกำลังกระซิบกระซาบอะไรกันอยู่หรือค่ะ ให้รำพันได้ยินบ้างได้ไหมค่ะ”
            “ไม่มีอะไรหรอกรำพัน” ธเนศตอบคำถามแบบส่งๆ ไม่คิดจะสนใจความรู้สึกของรำพันมากมายนัก
            “พี่ไม้ข๊า...แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกับพวกเขาดีล่ะค่ะ” รำพันเปลี่ยนเรื่องพูดคุยทันที
            “ก็คงต้องหาที่พักให้กับพวกเขาไปก่อน หาน้ำ หาอาหาร หาเสื้อผ้าเท่าที่จะพอหาได้ จนกว่าจะมีกลุ่มคนออกมาติดตามสืบเสาะค้นหาตัวพวกเขา ไม่ในวันนี้ก็คงอาจจะเป็นวันพรุ่งนี้”
            “จริงด้วยค่ะ คนระดับเจ้าหม่อนเมือง ลูกชายคนโตของเจ้าหม่อนเมฆแห่งคุ้มเวียงผาหมอกหายสูญหายไปทั้งคน อย่างน้อยก็ต้องมีคนเฝ้าติดตามออกสืบเสาะค้นหาตัวอยู่อย่างแน่นอน ดีไม่ดีเร็วๆ นี้อาจจะมีคนแปลกหน้าโผล่มาเพิ่มขึ้นอีกก็ได้จริงไหมจ๊ะ พี่ไม้” ธเนศไม่รู้จะตอบคำถามของรำพันอย่างไรดี ได้แต่จับจ้องมองตรงไปยังกลุ่มคนแปลกหน้าทั้งห้าคน
            “พวกคุณมีชื่อว่าอะไรกันบ้างครับ หากไม่อยากจะเล่ารายละเอียดก็ไม่จำเป็นต้องเล่าก็ได้ครับ ผมขอทราบแค่ชื่อก็พอ” ชายหนุ่มนิรนามคนแรกเริ่มแนะนำตัว
            “ผมชื่อดลครับ ส่วนนั้น ชื่อนิดกับพงษ์ พวกเราเป็นทีมงานละครทีวี ติดตามเจ้าหม่อนเมืองกับคุณเจฟฟรี ออกมาหาโลเคชันถ่ายทำละครกัน บังเอิญว่าหลงป่าสาเหตุเป็นเพราะพากันวิ่งหนีงู เลยหลงทางกันไปคนละทิศคนละทาง ก็อย่างที่กำลังเห็นสภาพของพวกเราอยู่ในขณะนี้ล่ะครับ” เป็นการสรุปเรื่องราวได้ใจความสำคัญดี ธเนศสัมผัสความจริงได้จากการบอกเล่าของชายหนุ่มตรงเบื้องหน้า แต่ก็ยังคงนึกสงสัยในเหตุผลของเจ้าหม่อนเมืองและเจฟฟรีอยู่ ซึ่งทั้งสองบุรุษต่างชาติอาจจะมีจุดประสงค์อย่างอื่น มากกว่าการพาสองหนุ่มกับอีกหนึ่งหญิงสาวออกมาหาโลเคชันถ่ายทำละครเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และมันก็อาจจะต้องเกี่ยวข้องกับเหมืองเพชรเหมืองพลอยในเขตผืนแผ่นดินของพ่อเลี้ยงเกียงไกรอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
            “ละครทีวี...” เสียงรำพันหลุดปากตะโกนออกมาอย่างดีใจกึ่งตื่นตกใจ เหมือนรำพันกำลังจะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในทีมงานละครที่เพิ่งจะเข้ามาหลงป่าในครั้งนี้ด้วย
            “ใช่ ทีมงานละครของคุณโรสิลีดาราในดวงใจของรำพันหรือเปล่าค่ะ”
            “ครับ..” ดลตอบรำพันเพียงแค่คำสั้นๆ
            “แล้ว คุณโรสิลีจะติดตามมาด้วยใช่ไหมค่ะ”
            “ครับ..”
            “เมื่อไหร่ค่ะ”
            “ความจริงพวกเรา ทีมงานละครมากันพร้อมหมดทุกคนแล้วครับ เพียงแต่ยังหาสถานที่ที่จะถ่ายทำละครที่ถูกใจยังไม่ได้เท่านั้นเองครับ”
            “สถานที่”
            “ครับ สถานที่”
            “คุณดลอยากได้สถานที่แบบไหนกันล่ะค่ะ รำพันยินดีจะช่วยหาให้ ในคุ้มแห่งนี้หรืออาณาเขตรอบนอกในระยะทางห้ากิโลเมตร ไม่มีที่ไหนที่รำพันไม่เคยไป ในซอกลืบ ในโพล่งถ้ำ แม้ซอกจะเล็กจะน้อยสักแค่ไหน รำพันก็เคยไปสำรวจมาหมดแล้ว” คนฟังรู้สึกจะตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ
            “จริงหรือครับ” รำพันพยักหน้าประกอบคำพูด
            “จริงค่ะ”
            “อย่างนั้นพรุ่งนี้ คุณช่วยเป็นไกด์นำทางให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”
            “อุ๊ย!! ได้ค่ะ แต่อย่าให้นานจนถึงพรุ่งนี้เลยค่ะ วันนี้รำพันว่างสามารถที่จะให้ข้อมูลเบื้องต้นคราวๆ ไปก่อนได้นะค่ะ” รำพันก้าวเดินเข้าไปหาดล หนึ่งในทีมงานละครอย่างไม่คิดจะสนใจธเนศชายหนุ่มบ้านป่าเมืองเถื่อนอีกต่อไป และไม่คิดจะสนใจประวัติความเป็นมาอันต้องสงสัยของมินตราด้วยเช่นเดียวกัน
            “คุณดลบาดเจ็บตรงไหนบางค่ะ เดียวรำพันจะดูบาดแผลให้” ธเนศคลียิ้มแย้มอย่างรู้สึกและปลอดโปร่งขึ้น สุดท้ายธเนศก็รับรู้ได้เสียทีว่าจะกำจัดรำพันออกไปให้ห่างๆ จากอ้อมแขนของเขาได้อย่างไรกัน แต่สิ่งที่ธเนศกำลังรู้สึกกลัดกลุ้มใจอย่างใหม่ นั้นก็คือโรสิลีคู่หมั้นของเขานั้นเอง
            “ฉันรู้สึกว่าพวกเรากำลังถูกสวรรค์กลั่นแกล้งและทดสอบอยู่เลยนะค่ะคุณธเนศ” แววตาของปีศาจร้ายอันลึกลับของมินตรากลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อหันวงหน้าอันสะสวยและน่ากลัวของเธอมาพูดกับเขา
            “สวรรค์กลั่นแกล้งคุณคนเดียวต่างหาก ส่วนผมไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย”
            “หึ หึๆๆ..” มินตราหัวเราะอย่างน่ากลัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
            “แต่ฉันว่ามันน่าจะกลับกันเสียมากกว่านะค่ะ ฉันเองต่างหากที่ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย แต่คุณจะต้องรู้สึกแน่คุณธเนศ” มินตราจับจ้องมองตรงไปยังเจ้าหม่อนเมืองที่นั่งนิ่งๆ หมดสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ข้างร่มไม้ แล้วจึงหันวงหน้าอันสะสวยอันแอบแฝงความร้ายกาจ มุ่งตรงมาจับจ้องมองหน้าของเขาอย่างคาดเดาความรู้สึกไม่ได้อยู่เช่นเดิม
            “คุณกำลังจะทำอะไร มินตรา”
            “เมื่อตัวละครมากันจนครบเมื่อไหร่ คุณก็จะได้รับรู้เอง” เขารู้สึกเจ็บปวดในหัวใจและทุกข์ทรมาน เมื่อได้เห็นมินตรากำลังสวมบทบาทเป็นนางแม่มดใจร้ายอยู่เช่นนี้ เขาอยากจะจับจ้องมองเห็นมินตราเป็นดั่งเช่นเจ้าหญิงแสนสวยผู้กำลังสวมบทบาทเป็นนางฟ้าผู้ใจดีอยู่เสียมากกว่า
            “หยุดมันไม่ได้เลยหรือไงมินตรา หยุดความเครียดแค้นที่อยู่ภายในจิตใจของคุณ ” มินตรายังคงนิ่งเงียบ จนเขาเองสามารถที่จะคาดเคาคำตอบได้จากแววตาอันว่างเปล่าคู่นั้นจากเธอได้
            “ไม่ได้” มันคือคำตอบอย่างที่เขาได้คาดการเอาไว้จริงๆ
            “แต่ผมจะทำให้คุณหยุดคิดที่จะ ทำเรื่องเลวร้ายพวกนี้เสียที ทั้งหมดที่ผมกำลังคิดที่จะทำก็เพื่อตัวของคุณเองทั้งนั้น”
            “เพื่อตัวของฉันเองยังไงกัน คุณธเนศ”
            “จิตใจคุณกำลังถูกหันออกเป็นชิ้นๆ แล้วมินตรา มันคือการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันของสิ่งเลวร้าย ที่คุณกำลังคิดจะเริ่มทำมันอยู่ในขณะนี้” มินตรานิ่งเงียบไปอีกครั้ง
            “มันก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่พอจะยอมรับได้”
            “คุณจะจิตใจเย็นชาไร้ความรู้สึกไปถึงเมื่อไหร่กันมินตรา สำหรับคุณอาจจะพอรับได้ แต่สำหรับผม...”
            “ผมรับมันไม่ได้ ผมรับมันไม่ได้จริงๆ” คำตอบที่ธเนศไม่สามารถจะสารภาพมันออกมาต่อหน้าของมินตราได้ เพราะธเนศเองก็ไม่รู้ว่าสภาพจิตใจของตัวเขาเองกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่กันแน่
            “ช่างมันเถอะ”
            “ฉันจะกลับไปยังเรือนพัก ส่วนที่นี่คุณจัดการตามหน้าที่ของคุณไปคนเดียวแล้วกัน” มินตรามักจะก้าวเดินหลบหนีจากเขาไปเป็นประจำ และไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาต้องการอยากจะพูดคุยกับเธอด้วยเลย มินตราไร้ซึ่งมารยาทระหว่างคู่สนทนาอยู่เป็นประจำโดยเฉพาะสำหรับเขา วันหลังเขาจะลองก้าวเดินหลบหลีกหนีจากเธอไปบ้าง ในยามที่เธอต้องการอยากจะพูดคุยสิ่งใดกับเขา เธอจะได้รับรู้เสียบ้างว่า ความรู้สึกอันไร้มารยาทระหว่างจากคู่สนทนามันจะมีความรู้สึกเป็นเช่นไร
            “ผมมีเรือนพักว่างอยู่หลังหนึ่งพอดี เนื่องจากคนงานสองคนของเราได้หยุดพักในวันนี้ พวกคุณทั้งห้าคน คงจะต้องไปพักผ่อนรวมกันอยู่สักระยะหนึ่งก่อน” เขาจับจ้องมองตรงไปยังเจ้าหม่อนเมืองเป้าหมายแห่งการแก้แค้นของมินตรา หรือเป้าหมายการระบายอารมณ์ของมินตรา ขณะนี้เจ้าหม่อนเมืองได้กลับฟื้นคืนสติกลับมาบ้างแล้ว แต่ถึงจะอย่างไรมันก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้มากมายนัก เพราะในวันนี้เขาเองก็ไม่ใช่ นายธเนศ เกียรติภูมินตร์ อีกต่อไปแล้วเช่นกัน เขาเป็นได้แค่อ้ายไม้กรรมกรแบกหามในคุ้มเวียงผาหลวงเท่านั้น สิทธิพิเศษต่างๆ ของเจ้าหม่อนเมืองจึงไม่ได้แตกต่างจากเพื่อนๆ ร่วมกลุ่มชะตากรรมเดียวกันมากมายนัก
            “ผมจะให้คนงานหาน้ำ อาหาร และเสื้อผ้าชุดใหม่ไปให้พวกคุณได้เปลี่ยนในไม่ช้า” เขาพยักหน้าเป็นสัญญาณให้นายยอดชายและพรรคพวกช่วยพยุงคนเจ็บ ที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ไปยังเรือนพักที่ยังคงว่างอยู่
            “คุณดลข๊า ตามรำพันมานะค่ะ” ธเนศจับจ้องมองตามแผ่นหลังของทุกคน ที่เพิ่งก้าวเดินจากไป แล้วจึงหันหลังกลับก้าวเดินตรงไปยังเรือนพักของตัวเขาเอง และมินตราผู้มีแผนการอันเลวร้ายก็กำลังนั่งรอคอยเขาอยู่ที่นั้นด้วยแล้วเช่นเดียวกัน
.......................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา