เล่ห์กลรักเงาอสูร

-

เขียนโดย RATH

วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 00.57 น.

  30 chapter
  12 วิจารณ์
  41.60K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

25) บทที่ 4 คุ้มเวียงผาหลวง_5

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก


 
เล่ห์กลรักเงาอสูร
 
บทที่ 4 คุ้มเวียงผาหลวง_5
 
                “คุณกำลังทำอะไรอยู่” มินตรากำลังนั่งจัดเรียงและสำรวจข้าวของที่ คนงานนออกมาจากในรถจี๊ป มันถูกวางกองทิ้งรวมกันอยู่อย่างสะเปะสะปะจึงจำเป็นต้องนำเอามาแยกให้เป็นหมวดหมู่กันใหม่อีกครั้ง
            “ฉันว่างๆ ไม่มีอะไรทำเลยขนเสื้อผ้าเก่าๆ ของพ่อของฉันออกมาจากในตู้และไม่รู้ว่าจะเอามันไปทิ้งเอาไว้ที่ไหนดี และเห็นว่าพวกมันยังคงพอจะใช้ประโยชน์อะไรได้อยู่บ้าง เลยนึกถึงคนงานในคุ้มขึ้นมา คุณช่วยขนกล่องเสื้อผ้าพวกนี้ เอาไปแจกจ่ายให้กับคนงานด้วยก็แล้วกัน” ธเนศจับจ้องมองเสื้อผ้ามากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นชุดเสื้อผ้าของผู้ชายและล้วนแล้วแต่เป็นของดีมีราคา บางชิ้นติดป้ายแบรนด์เนมยี่ห้อดังจากต่างประเทศ แม้มันจะตกยุคตกสมัยตามกาลเวลาไปบ้างแล้วก็ตาม
            “ส่วนกล่องนี้ฉันเลือกเอาไว้ให้สำหรับคุณ” เธอจับจ้องมองเสื้อผ้าที่เขากำลังสวมใส่อยู่ขณะยกกล่องกระดาษเล็กๆ เลื่อนเอามาไว้ตรงเบื้องหน้าของเขา
            “ผมชอบเสื้อผ้าที่ผมสวมใส่อยู่ในตอนนี้”
            “แต่ฉันไม่ชอบมันสกปรก เหม็นเน่า ไร้รสนิยมมากๆ”
            “มินตรา...” เขาตะคอกเสียงดังและส่งแววตาดุร้ายกลับไปให้กับเธอ
            “ผมเป็นคนงานในคุ้มจะให้ใส่เสื้อผ้าดีๆ มีราคาอย่างนี้ได้ยังไงกัน”
            “อย่างนี้นะมันอย่างไหนไม่ทราบ หรือว่ามันล้าสมัย ตกยุคสมัยมาหลายสิบปีแล้ว จนไม่เหมาะสมกับผู้ชายยุคปีสองพันเช่นคุณ” สุดท้ายเขากับมินตราก็กำลังจะเริ่มต้นหาเรื่อง ให้ได้ทะเลาะกันอีกครั้งจนได้ แต่อย่างไรเสียมันจะต้องไม่ใช่ในวันนี้ เพราะตั้งแต่เช้ามาจนถึงเดียวนี้มีแต่เรื่องยุ่งยากยุ่งเหยิง ให้เขาได้จัดการแก้ไขปัญหาอย่างมากมายเพียงพออยู่แล้ว
            “ก็ได้ครับ ความจริงแล้วผมชอบเสื้อผ้าพวกนี้มาก แล้วผมจะสวมใส่มันตามที่คุณต้องการ คุณพอใจหรือยัง” มินตราไม่ได้สนใจจะรับฟังหรือสนใจจะตอบรับสิ่งใดจากเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเธอไม่ได้คิดจะมองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ
            “และข้าวของกล่องนี้ สำหรับแขกแปลกหน้าผู้ไม่ได้รับเชิญของคุณในวันนี้” มันเป็นกล่องกระดาษใบที่สามที่มีเสื้อผ้าอยู่ทั้งหมดห้าชุดสำหรับผู้ชายสี่คนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน
            “ของฝรั่งตัวโตนั้น อาจจะใส่ได้ไม่พอดีตัว แต่ฉันก็เลือกชุดเสื้อผ้าตัวที่ใหญ่ที่สุดไปให้แล้ว”
            “มินตราในเวลาปกติเธอจะสวย น่ารักและใจดี ผิดกับเวลาที่เธอสวมบทบาทเป็นนางแม่มดใจร้าย”
            “คุณจะยืนเหม่อคิดอะไรอยู่อีกรีบขนมันไปได้แล้ว ออ...สี่หรือห้าชั่วโมงต่อจากนี้ฉันไม่ต้องการอยากที่จะเห็นหน้าของคุณอีก อย่าได้กลับมาที่นี่จนกว่าจะห้าชั่วโมงผ่านไปแล้ว”
            “แต่นี่มันเป็นเรือนพักของผม”
            “แต่ตอนนี้มันเป็นของฉันแล้ว” เขาได้แต่ยอมพ่ายแพ้ต่อความตั้งใจจริงและความเอาแต่ใจของมินตรา เขายกกล่องกระดาษสองกล่องทับซ้อนกัน แล้วก้าวเดินตรงไปยังลานกว้างหน้าเรือนพักหลายสิบหลัง ที่ก่อสร้างเอาไว้อย่างไม่สม่ำเสมอกัน บางหลังสร้างไว้อยู่สูงเกือบถึงยอดไม้ ส่วนบางหลังสร้างเอาไว้อยู่เสียต่ำเตี้ยจนติดพื้นดินหรือหรือใต้ร่มเงาไม้
            “ยอดชาย” นายยอดชายกำลังก้าวเดินตรงมาหาเขาอย่างพอดิบพอดี
            “มีอะไรหรือครับพี่ไม้”
            “เอานี้สำหรับนาย เลือกเอาส่วนกล่องนี้ ยกเอาไปให้แขกแปลกหน้าผู้ไม่ได้รับเชิญของพวกเราในวันนี้ด้วย”
            “มันคืออะไรหรือพี่ไม้” ยอดชายสอบถามด้วยความสงสัยแม้จะจับจ้องมองเห็นอยู่แล้วว่ามันคือเสื้อผ้า
            “มีคนบริจาคมาให้นะ สภาพมันยังดีและดูเหมือนใหม่อยู่เลย ตัวไหนนายชอบก็เลือกมันเอาไปก่อน ส่วนตัวไหนเหมาะกับพรรคพวกของนายก็แบ่งๆ กันไป”
            “จริงหรือพี่ไม้” เขาได้แต่พยักหน้าเป็นคำตอบ
            “โอ้โฮ้ ข้าวของนอกแพงๆ ทั้งนั้นเลยผมขอหมดเลยได้ไหม”
            “เอาไปแบ่งให้เพื่อน ของนายคนละชุดเสียก่อนจะดีกว่า ที่เหลือนายจะเก็บเอาไว้ทั้งหมดเลยก็ได้”
            “จริงหรือพี่ไม้” เขาพยักหน้าเป็นคำตอบอีกครั้ง
            “ใครกันหว่ะ มันช่างใจดีขนาดนี้ เอาของแบรนด์เนมยี่ห้อดังจากเมืองนอกมาไล่แจกจ่ายคนงานในคุ้ม เอาไปวางขายเปิดท้ายคงได้หลายตังอยู่” นายยอดชายถือกล่องกระดาษใส่เสื้อผ้าแล้วกลับหลังหัน ก้าวเดินตรงไปยังเรือนพักของแขกแปลกหน้าผู้ไม่ได้รับเชิญใหม่อีกครั้ง
            “ออ...ยอดชายนายไปบอกที่โรงครัวให้จัดเตรียมอาหารเพิ่มให้แขกด้วย” โรงครัวยังเรือนเพาะชำกล้าไม้สัก ไม่ได้ใหญ่โตอย่างเช่นเดียวกันกับที่คุ้มเวียงผาหลวง อันเนื่องมาจากโรงครัวที่นี่ไม่ได้มีพ่อครัวหรือแม่ครัวอยู่ประจำอย่างเช่นที่คุ้ม คนงานทุกคนจึงต้องโชว์ฝีไม้ลายมือ หุงหาทำกินกันเอาเองไปตามยถากรรม
            “ครับพี่ไม้” นายยอดชายตะโกนเสียงดังตอบรับเสียงตะโกนของเขา โดยไม่คิดจะหันหลังกลับคืนมาจับจ้องมองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ นายยอดชายถึงแม้จะเป็นนักเลงขาใหญ่ประจำคุ้ม มีบริวารคอยติดตามมากมาย แต่นิสัยก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่แสดงออกมาให้กับใครๆ ได้เห็นกัน
            “ยอดชาย เย็นนี้นายจัดการเรื่องอาหารเย็นต่อไปได้เลยนะ” เขาตะโกนเสียงดังตามหลังไปอีกครั้ง
            “ครับพี่ไม้” ภายหลังจากจัดการเรื่องยุ่งยากต่างๆ จนเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องก้าวเดินตรงไปทำงานตามหน้าที่ของตัวเขาเองได้เสียที เขาเริ่มต้นเดินสำรวจตรวจสอบความเรียบร้อยภายในเรือนเพาะชำกล้าไม้สักเป็นที่แรก พวกกลุ่มคนงานหลายสิบคนต่างก็ยังคงทำงานกันตามหน้าที่ของตนเองอย่างเป็นปกติดี จนดวงอาทิตย์ได้เริ่มที่จะลาลับขอบฟ้าเวลาสี่หรือห้าชั่วโมงได้เริ่มเดินทางผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว นาฬิกาข้อมือของเขาบอกเวลา 18.00 นาฬิกาตรง คนงานเริ่มพากันเดินทางกลับไปยังเรือนพักของตนเอง เพื่อพักผ่อนจากความเหน็ดเหนื่อยของการทำงานมาทั้งวัน จนไม่หลงเหลือคนงานเลยแม้แต่คนเดียว
            “ส่วนตัวเขาเอง ก็ควรที่จะได้เวลาเลิกทำงานได้แล้วเช่นเดียวกัน เพราะมันถึงเวลาที่เขาควรจะกลับไปยังเรือนพักของตัวเอง อย่างที่มินตราได้ออกคำสั่งกับเขาเอาไว้แล้ว” แสงจากดวงอาทิตย์ยามเย็นเหลือเพียงครึ่งดวงสุดท้าย และกำลังจะเริ่มจืดจางหายไปจากผืนขอบฟ้าอันห่างไกลสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้าที่เคยสว่างไสวมาตลอดทั้งวัน กำลังจะเริ่มเปลี่ยนแปลงเฉดสีคล้ายกันกับสายรุ้งอย่างสวยงาม เขานั่งสงบนิ่งลงมองอย่างเหน็ดเหนื่อยและหมดสิ้นเรี่ยวแรงอยู่บนก้อนหินเรียบๆ จับจ้องมองตรงไปยังลำแสงสว่างสุดท้ายของวันและเวลาอันยุ่งเหยิงที่ได้ประสบพบเจอะเจอมาตลอดทั้งวัน จนลำแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่เหลือเพียงครึ่งดวงสุดท้าย ได้ลาลับหายไปจากผืนขอบฟ้าจนหมดสิ้น อาณาบริเวณรอบข้างเริ่มมืดมิด แต่ตัวของเขาเองกับยังไม่คิดที่จะลุกขึ้นแล้วก้าวเดินกลับคืนไปยังเรือนพักของตัวเขาเอง
            “คุณจะนั่งอยู่ที่นี่อีกนานไหมค่ะ คุณธเนศ” เสียงของมินตราดังแทรกออกมาจากทางเบื้องหลัง
            “ผมไม่มีที่ให้จะกลับ ครับ” มันคือคำตอบโกหกที่เขาต้องการอยากที่จะตอบมันออกไป อย่างต้องการอยากที่จะให้มินตราได้รู้สึกผิดบ้างสักเล็กน้อย
            “ฉันบอกว่าสี่หรือห้าชั่วโมงแล้วถึงค่อยกลับ ไม่ใช่บอกว่าไม่ให้คุณกลับ คุณกำลังเล่นบทพระเอกขี้ใจน้อยอยู่หรือเปล่าค่ะ คุณธเนศ”
            “พระเอกขี้ใจน้อยอย่างงั้นหรือมินตรา ใช่แบบนี้ไหม” เขาลุกออกจากก้อนหินที่นั่งอยู่ แล้วก้าวเดินตรงเข้าไปสวมกอดมินตราเอาไว้ในวงแขนอย่างรู้สึกโกรธที่ถูกเธอต่อว่า
            “อย่าดิ้น...” เขาออกคำสั่ง
            “ปล่อยฉัน” เธอยังคงดิ้นและผลักไสหน้าอกของเขาอยู่เช่นเดิม
            “ผมเริ่มรู้สึกหมดเรี่ยวแรงแล้วจริงๆ มินตรา...” เขาเริ่มคายวงแขนออกอย่างหลวมๆ มินตราเองก็เริ่มหยุดดิ้นรนเพื่อหลบหนีออกจากอ้อมแขนของเขาเช่นกัน
            “ผมกลัวที่จะทำความผิดเม ผมกลัวที่จะต้องเป็นเหมือนกับพ่อของผม ผมกลัวที่จะเริ่มรักใครอย่างหมดหัวใจอีกสักคน ผมกลัวว่าจะไม่มีวันได้สมหวังในความรัก ผมกลัวว่าการแก้แค้นของคุณจะประสบความสำเร็จในไม่ช้านี้” เขาคายอ้อมกอดออกจากร่างกายอันบอบบางของมินตรา อย่างกำลังรู้สึกสับสนอยู่ภายในหัวสมอง และความนึกคิดอันสับสนกำลังวิ่งวนเวียนไปมาอย่างไม่สามารถจะให้มันหยุดอยู่อย่างนิ่งๆ ได้เลยแม้จะสักพักหรือสักวินาทีเดียว
            “ผมขอโทษ” เขารู้สึกผิดที่เผลอปล่อยตัว เผลอใจ หลงลืมตัวเข้าไปสวมกอดมินตราเอาไว้ เขาเริ่มก้าวเดินผละหนี ออกไปให้ห่างจากมินตรา อันเกิดจากความหวาดกลัวภายในจิตใจ แต่มินตรากับยื่นฝามือเรียวเล็กออกมาจับท่อนแขนของเขา แล้วชุดดึงหยุดร่างกายอันใหญ่โตของเขาเอาไว้อีกครั้ง
            “ให้เวลาฉันอีกสักนิดธเนศ ฉันรู้ว่าไม่มีวันจะเกลียดชังผู้ชายเช่นคุณได้ และก็ไม่มีวันที่จะหลงรักกับคุณได้ด้วยเช่นเดียวกัน ฉันขอเวลาเพียงแค่จะลบเลือนความเกลียดชังที่อยู่ภายในจิตใจของฉันออกไปให้หมดสิ้นก็เท่านั้น เมื่อฉันเป็นปกติดีแล้ว ฉันจะปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระ ให้คุณได้ก้าวเดินหนีออกไปจากที่นี่ ฉันขอให้คำสัญญา”
            “ผมไม่อยากที่จะไป ที่ไหนอีกแล้ว” มันคือคำตอบที่เขาต้องการอยากที่จะพูดหรือตะโกนมันออกไป แต่ก็ยังไม่มีความกล้าหาญพอ
            “แต่อย่างน้อยในเวลานี้คุณแกล้งที่จะชอบฉันบ้างได้ไหม” ธเนศรู้สึกตื่นตกใจในสิ่งที่มินตรากำลังพูดขอร้องเขา ในเรื่องที่เขาเองก็กำลังรู้สึกสับสนอยู่ภายในหัวสมองและความรู้สึกนึกคิดของตัวเขาเอง
            “ให้เขาแกล้งทำเป็นชอบเธออย่างนั้นหรือ เขาอยากจะบ้าตายจริงๆ เพราะในขณะนี้ เขาเองกำลังรู้สึกสับสนและอาจจะจะตกหลุมรักเธอเข้าให้แล้ว เขาไม่มีทางจะแกล้งแสดงเป็นว่าชอบเธอได้อย่างแน่นอน” มันคืออีกหนึ่งความสับสน ที่ธเนศไม่มีความกล้าหาญพอที่จะสารภาพมันออกมาให้กับมินตราได้รับรู้ ได้ด้วยเช่นเดียวกัน
            “ผมทำไม่ได้”
            “อะไรนะ คุณบอกว่าทำไม่ได้อย่างนั้นหรือธเนศ” น้ำเสียงของมินตราแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เขาเริ่มได้โอกาสที่จะก้าวเดินผละหนีจากมินตรา อย่างเช่นที่เธอเคยแกล้งทำกับเขาอยู่บ่อยๆ
            “ธเนศ คุณหยุดเดินหนีฉันเดี๋ยวนี้นะ” เขาไม่คิดที่จะเชื่อฟังคำสั่งเธอ แล้วหยุดการก้าวเดินผละหนีตามคำสั่งของเธอ และไม่คิดจะสนใจน้ำเสียงตะโกนไล่หลังเขามาอย่างติดๆ ด้วยเช่นเดียวกัน 
            “แค่แกล้งทำเป็นว่าชอบฉันมันยากเย็นนักหรือไง ฉันไม่ได้บอกให้คุณมารักฉันซะหน่อย”
            “นั้นล่ะมันคือปัญหาของเขา เขาจะแกล้งแสดงว่ารัก คนที่เขาตกหลุมรักได้อย่างไรกัน”
            “คุณคิดจะทรมานผมไปถึงไหนกันมินตรา” เขาหยุดก้าวเดินเพื่อตั้งคำถามถามเธอ ในบรรยากาศอันมืดมิดรอบข้าง
            “ฉันไปทรมานอะไรคุณ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันไม่ทราบ”
            “คุณรับรู้อยู่แก่ใจดีเม...คุณคิดที่จะทรมานผม”
            “ก็ได้ ก็ได้...ถ้าคุณแกล้งที่จะชอบฉันไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ต้องทำมันแล้ว เชิญคุณคิดถึงแต่คู่หมั้นของคุณต่อไปก็แล้วกัน คุณนี้เป็นผู้ชายที่แปลกประหลาดจริงๆ ” เธอได้โอกาสก้าวเดินผละหนีจากเขาไปอีกครั้ง เมื่อเธอได้ต่อว่าเขาอย่างไร้ซึ่งเหตุผลจนเสร็จสิ้นลงไปแล้ว โดยที่เขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าได้ไปทำความผิดพลาดสิ่งใดกับเธอเอาไว้ เขาถึงได้โดนต่อว่าอยู่เป็นประจำเช่นนี้
            “มินตราคุณเองต่างหากที่แปลกประหลาด ไม่ใช่ผมเสียหน่อย” เขารีบก้าวเดินตรงเข้าไปยืนอยู่เคียงคู่กับมินตราได้อีกครั้ง แต่เขาและมินตราต่างก็หมดสิ้นโอกาสที่จะได้ตอบโต้คารมกันต่อไปได้อีก สาเหตุเป็นเพราะพวกเขาทั้งสองคน ต่างก็ก้าวเดินกลับคืนมาจนถึงหน้าลานกว้างของเรือนพักคนงานหลายสิบหลัง ตลอดจนแขกแปลกหน้าทั้งห้าคน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างกำลังจับจ้องมองเขากับมินตราอยู่อย่างนึกสนใจใคร่รู้
            “พี่ไม้รีบอาบน้ำแต่งตัวเร็วๆ ด้วยนะครับ จะได้มาทานข้าวพร้อมกัน” เขาพยักหน้าเป็นคำตอบรับส่งกลับคืนไปให้กับนายยอดชาย วันนี้นายยอดชายกับพรรคพวกได้แอบไปจับหมูป่ามาทำเป็นหมูหันได้อีกหลายตัว พรรคพวกสามสี่คนของนายยอดชาย ต่างก็กำลังช่วยกันหันหมูป่าอย่างสนุกสนาน ซึ่งหมูป่าที่จับมาได้ สามารถที่จะหันแล้วทำเป็นอาหารรับประทานกันจนอิ่มได้อย่างน้อยสิบถึงยี่สิบคน
            “หมูป่าแถวนี้มันมีเยอะมากหรือค่ะ ธเนศ”
            “ครับ ตอนกลางดึกๆ พวกมันจะชอบพากันออกมาทำลายพืชผักของชาวบ้านแถบนี้อยู่บ่อยๆ”
            “ฉันจะรอคุณอยู่ที่นี่ คุณกลับไปที่เรือนพักเพื่ออาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว” มินตราคิดที่จะตัดบทสนทนากับเขาอย่างดื้อๆ อย่างไร้ซึ่งเหตุผลอีกครั้ง
            “ไม่ได้...” เขาจับฝามือของมินตราเอาไว้แล้วชุดดึง ให้ก้าวเดินติดตามเขาไปด้วย อย่างไม่คิดที่จะปล่อยเธอเอาไว้เพียงลำพังคนเดียว
            “คุณคงกลัวว่าฉันจะไปทำลายจิตใจของใครเข้าอีกหรือไงกัน ธเนศ” เขาส่งแววตาเป็นคำตอบให้กับมินตาอันมันมีความหมายว่า
            “ใช่...”  มินตราเดินตัวปลิวติดตามธเนศไปติดๆ มันจึงยิ่งกลับกลายเป็นจุดสนใจของใครหลายๆ คน อย่างไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ และหนึ่งในกลุ่มคนที่กำลังให้สนใจธเนศและมินตราอยู่ด้วย ในขณะนี้ก็คือเจ้าหม่อนเมือง ผู้ที่ได้ฟื้นฟูพละกำลังกลับคืนมาจนเป็นปกติสมบูรณ์ดีอย่างคนธรรมดาทั่วไปอย่างดีแล้ว
-จบบทที่ 4-
 
............................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา