เล่ห์กลรักเงาอสูร

-

เขียนโดย RATH

วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 00.57 น.

  30 chapter
  12 วิจารณ์
  41.68K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ 1 แรงแค้น_2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก


 
-ต่อจากบทก่อนหน้า-

บทที่ 1  แรงแค้น_2

 
หลังจากคุยโทรศัพท์กับดิเรก เมฆฤธี เพื่อนสนิทจบลง ธเนศรู้สึกอ่อนล้าทั้งกายทั้งใจจึงก้าวเดินตรงไปล้มตัวลงนอนนิ่งๆ ที่โซฟาในห้องทำงานของเขาเอง ความคิดและเวลามักจะก้าวเดินไปเคียงข้างกันเสมอ ภายหลังจากปิดเปลือกตานอนนิ่งๆ ไปได้สักพัก คิดอะไรเล่นไปเพลินๆ ไปได้ไม่นาน ธเนศก็ยกข้อมือขึ้นมาจับจ้องมองเวลาในนาฬิกา มันเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น หรือว่าเขาอาจจะเผลอนอนหลับไปอันเนื่องมาจากที่ไม่ได้หลับนอนเต็มอิ่มมาหลายวัน เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อของเขาดังขึ้น คนโทรมาคือบิดาของเขาเอง
“มีอะไรครับคุณพ่อ” แน่นอนว่าเวลานี้เขาไม่ต้องการอยากจะคุยหรือสนทนาอะไรกับบิดาของเขาเลยเพราะเขารู้ดีว่ามีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ที่บิดาของเขากำลังให้ความสนใจและติดตามความคืบหน้าจากเขาอยู่ตลอดเวลา มันคือเรื่องเกี่ยวกับราคาหุ้นของบริษัทที่มีราคาพุ่งขึ้นสูงมากกว่าราคาของความเป็นจริง หากเขายังแก้ปัญหาไม่ได้หรือหาสาเหตุของต้นต่อของผู้ประสงค์ร้ายในการปั่นหุ้นไม่ได้บริษัทของเขาก็คงถึงกาลต้องล้มสะลายอย่างแน่นอน
“ยังจะมีอะไรให้ถามอีกรึไง” เขาและบิดาจะพูดคุยกันในฐานะเจ้านายและลูกน้องเช่นนี้อยู่เสมอ แม้เขาจะพยายามพูดคุยกับบิดาในฐานะของบิดาและลูกชาย แต่ก็ไม่เคยเป็นผลสำเร็จบิดาจะคอยออกคำสั่งเขา ดั่งเช่นเจ้านายกับลูกน้องอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง จนเขาไม่คิดอยากจะสนทนากับบิดาอีก เช่นในเวลานี้ที่เขากำลังคิดอะไรไม่ออก เขาจึงไม่คิดอยากจะเริ่มต้นพุดคุยสิ่งใดกับบิดาอีกเลย
“มันจะเรียบร้อยดีครับพ่อ ผมกำลังเร่งมือจัดการกับปัญหาอยู่” มันไม่ใช่ปัญหาที่จะจัดการให้ได้เพียงแค่นาทีสองนาทีหรือวันสองวัน ทุกคนต่างก็รับรู้กันเป็นอย่างดี แต่บิดาของเขาก็จะคอยมาเร่งรัดเขาอยู่ตลอดเวลา การพูดโกหกกับบิดาก็ถือเป็นทางออกที่ดีในเวลาเช่นนี้เช่นกัน
“ฉันอยากจะรู้ผลของการเจรจามันเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงของบิดาคือต้องการบีบให้เขาตอบคำถามให้จงได้ บิดาของเขาอยากจะรับฟังคำตอบแบบไหนกันล่ะ เขายินดีที่จะจัดการให้
“ล้มเหลวไม่เป็นท่าเลยครับพ่อ” มันคือคำตอบแรกที่แวบเข้ามาอยู่ภายในหัวสมองของเขา แต่คำตอบที่เขาจัดให้กับบิดาก็คือ
“ไม่มีปัญหาครับพ่อ การเจรจาเรียบร้อยดีทุกอย่าง” แน่นอนว่ามันจะเรียบร้อยเป็นอย่างดีในวันพรุ่งนี้ เขาจะตอบรับข้อเสนอของมินตรา แม้เธอจะเรียกร้องมากกว่าการเข้ามาร่วมบริหารกิจการบริษัทของเขาก็ตาม เขาก็ยินดีและยินยอมจะรับข้อเสนอร้อยแปดพันเก้าของเธอ ในเวลานี้เขาเหนื่อยล้าเต็มที ที่จะเล่นเกมส์อะไรกับใครอีกอื่นอีกแล้ว ปัญหาของวันนี้มันจะยุติลงและจะไม่มีการปั่นหุ้นอีกต่อไป ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของวันข้างหน้า เขาเองก็อยากจะรับรู้เหมือนกันว่ามินตรา ต้องการอยากจะทำสิ่งใดหรือต้องการอยากจะได้อะไรจากตระกูลเกียรติภูมินต์ของเขากันแน่ ในวันนี้หากเธอคิดจะทำลายบริษัทของเขา เธอก็สามารถจะทำมันได้อย่างง่ายๆ ทำไมยังรอคอยยืดเวลาให้กับพวกเขาอยู่อีก เธอต้องการสิ่งใดกันแน่  เขาหยุดความคิดภายในหัวสมองลงแล้วรอรับฟังสิ่งที่บิดาของเขาพูดต่อไป
“ดีมากเนด ลูกพ่อ” น้ำเสียงดั่งเจ้านายกับลูกน้องเริ่มจืดจางหายไป เขาเองก็รู้สึกผ่อนคลายเพิ่มมากขึ้น ที่ได้รับฟังน้ำเสียงแสดงความห่วงใยจากบิดาของเขา ที่ไม่ใช่จากเจ้านายของเขาอีกต่อไป
“วันนี้ ลูกจะกลับมานอนที่บ้านไหม”
“กลับครับ” มันเป็นคำตอบในความคิดของเขาเองเช่นเดิม เขายังไม่ต้องการอยากจะกลับไปพบปะเจอะเจอหน้าบิดาในเวลานี้ เขาใช้บริษัทเป็นเสมือนบ้านพัก มาร่วมหนึ่งเดือนเต็ม กิน นอน ทำงาน วนเวียนอยู่เช่นนี้มาโดยตลอด
“ผมยังมีงานให้ต้องสะสางอีกหน่อยครับพ่อ เสร็จแล้วผมถึงจะกลับ” ตาบใดที่บริษัทยังไม่พ้นวิกฤตเขาเองก็คงต้องใช้ชีวิต อยู่ในบริษัทให้เป็นเสมือนบ้านหรือห้องนอนไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียว
“พ่อเข้าใจแล้ว ดูแลรักษาสุขภาพหน่อยนะลูก” น้ำเสียงแสดงความห่วงใยระหว่างบิดาและลูกชาย แต่หากบิดาของเขารับรู้ว่าเขายังแก้ไขปัญหาไม่ได้เลย คำพูดแสดงความห่วงใยเช่นนี้เขายังจะคงได้ยินได้ฟังมันอยู่อีกไหมนะ
“แค่นี้ก่อนนะครับพ่อ ผมจะทำงานต่อแล้ว” เขากดปุ่มวางสายทันที เพราะเขารู้สึกสับสนในคำพูดแสดงความห่วงใยของบิดา เขารู้สึกลำบากใจมากเกินกว่าจะรับได้ไหวอีกต่อไปแล้ว บิดารักและห่วงใยเขาแน่นอนเขารับรู้ได้เป็นอย่างดี แต่ระหว่างเขาและบิดาพวกเราสองคนต่างโกหกหลอกลวงกันมากจนเกินไป จนเวลานี้เขาจึงยังไม่ต้องการอยากจะสู่หน้าบิดา หรือรับฟังเหตุผลอะไรของกันและกันอีกต่อไป
ในช่วงอายุ 8 หรือ 9 ปี ของชีวิตในวัยเด็กของเขา มันคือช่วงวัยของการจดจำและคิดอ่านหาเหตุผลได้ด้วยตัวเอง ในยามนั้นบิดาคือทุกสิ่งทุกอย่างของเขา บิดาคือแม่แบบที่เขาควรจะต้องจดจำเอาไว้เป็นเยื่องอย่าง แต่มันคือเรื่องโกหกบิดาไม่ได้มีอะไรดีอย่างที่เขาคิดเอาไว้ เขายังจดจำภาพเหตุการณ์ในวันนั้นได้เป็นอย่างดี เขายังจดจำใบหน้าของผู้หญิงสาวสวยกับลูกสาวตัวเล็กๆ ในวัยอายุเพียง 3 หรือ 4 ขวบ ที่ร้องเรียกเขาว่าพี่ชายได้ดี แม้วันเวลาจะผ่านไปแล้วร่วมยี่สิบกว่าปี แต่เขาก็ยังคงจดจำน้ำเสียงใสๆ ร้องเรียกชื่อของเขาว่าพี่ชายได้อย่างไม่เคยลืมเลือน แต่ยามนี้เด็กหญิงตัวน้อยคงอาจจะลืมเลือนเขาไปอย่างสนิทใจแล้วก็ได้ หรืออาจจะไม่เคยจดจำเขาได้เลยด้วยซ้ำ
“พี่-ชาย-ค่ะ เล่น-กับ-หนู” เด็กหญิงตัวน้อยพยายามเปล่งคำพูดออกมาเป็นประโยคสั้นๆได้แต่ละคำมันช่างยากเย็นยิ่งนัก แต่เธอก็พยายามจะชวนเขาเล่นด้วย เขาอุ้มเธอไว้ในวงแขนแล้วหอมแก้มนุ่มๆ ของเธออย่างรักใคร่อย่างเช่นที่พี่ชายหลงรักน้องสาว ในเวลานั้นเขามีน้องสาวให้อุ้มและหอมแก้มนุ่มๆ อยู่สองคน คนแรกคือวรนุช น้องสาวแท้ๆ ของเขา ส่วนอีกคนเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิทของบิดาของเขา ในวันนี้เขาจดจำชื่อจริงๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยไม่ได้เสียแล้วอาจจะเป็นเพราะเขาจะเรียกเด็กหญิงนั้นว่า...กระต่าย โดยไม่ได้สนชื่อจริง นามสกุลจริงๆ ของเด็กหญิงที่เขาอุ้มหรือหอมแก้มนั้นก็เป็นไปได้ และแน่นอนว่าเด็กหญิงตัวน้อยมีนามสกุลว่า ตรีเตชะมร เขาจดจำได้เพราะบิดาของเธอมีนาสกุลเดียวกัน
“ฉันบอกนายแล้วว่า ฉันกับกานดาเราเป็นแค่เพื่อนกัน นายเชื่อฉันบ้างสิ มาวิณ” แน่นอนว่าบิดาของเขากำลังพูดโกหกแม้แต่เขาเอง ที่เป็นแค่เด็กชายอายุ แปด เก้าขวบยังสามารถจะแยกแยะได้ว่าอะไรคือเพื่อนรักอะไรคือชู้รักและเพื่อนที่สนิทกันอย่างมาวิณหรือจะไม่สามารถจะคาดเดาหรือรับรู้ความจริงในข้อนี้ได้
“ฉันจับได้ คาหนังคาเขาว่านายกับเมียฉันแอบเป็นชู้กัน นายยังจะโกหกฉันอีกหรือไง” เสียงทะเลาะกันระหว่างบิดาของเขาและเพื่อนรักโดยที่เขาเองแอบยืนจับจ้องมองอยู่ที่มุมหนึ่งของประตูที่เปิดเอาไว้แคบๆ แล้วอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยๆ เอาไว้ในอ้อมแขน
“นายเข้าใจผิดไปใหญ่โตแล้วมาวิณ ฉันกับกานดาเราแค่นัดพบกันธรรมดาๆ เท่านั้น”
“มาวิณค่ะ ดาขอรับรองได้ค่ะ ดากับคุณยุทธ เรานัดพบพูดคุยกันเรื่องงาน เรื่องธุรกิจเท่านั้น” เสียงหญิงสาวสวยหรือเสียงของมารดาของเด็กหญิงตัวน้อยที่เขากำลังอุ้มอยู่พูดแก้ตัวขึ้น
“ฉันไม่เชื่อเธอกับไอ้ยุทธมันอีกแล้ว วันนี้เรามาตกลงกันให้มันรู้เรื่อง ธุรกิจอะไรก็ตามระหว่างเมียของฉันกับนาย กำลังทำร่วมกันอยู่ฉันขอให้ล้มเลิกมันทั้งหมดซะ” มันคือการออกคำสั่งเสียงดังฟังชัดและต้องการให้มันเป็นไปตามน้ำเสียงที่ตะโกนออกคำสั่งไปนั้นในทันที
“ไม่ได้นะค่ะ มาวิณ หากล้มเลิกดาคงต้องหมดตัวแน่ๆ เลยค่ะ” กานดาร้องตะโกนขึ้นอย่างร้อนรนใจและรู้สึกมีความเกรงกลัวสามีอยู่ในน้ำเสียงนั้นด้วย
“มันหมายความว่ายังไง ดา” เสียงตะโกนข่มขู่ภรรยาส่งเสียงดังสะท้อนก้องกังวานอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กว่าครึ่งนาทีกว่าๆ กว่าที่น้ำเสียงจะเริ่มจืดจางหายไป ภรรยารู้สึกจะรนรานเพราะความกลัวสามีอย่างจับจิตจับใจปรากฏบนบนหน้า
“คุณยุทธ ชวนดาเล่นหุ้นค่ะ มาวิณ ดาเลยลองเล่นดูนิดๆ หน่อยๆ แต่ช่วงแรกๆ ดาก็ได้เงินมาแยะนะค่ะ แต่...” ภรรยาไม่กล้าจะพูดประโยคต่อไป แต่บิดาของเขากับพูดต่อประโยคให้จนจบ
“แต่ฉันกับกานดาเราขาดทุนไปค่อนข้างแยะพอสมควร” คนรับฟังต้องการตัวเลขที่แน่นอนไม่ใช่เป็นเพียงแค่การกะค่าประมาณเอา เสียงตะโกนดังก้องกังวานออกมาอีกครั้ง
“พอสมควร มันเท่าไร มันเท่าไร” แน่นอนว่าใครก็ได้ทั้งบิดาของเขาเองหรือคุณกานดาภรรยาของคุณมาวิณต้องรีบให้คำตอบที่แน่นอนออกมา สุดท้ายคุณกานดาก็เป็นคนตอบคำถาม
“ดาเอาโฉนดที่ดิน บ้าน รถ และ..” มาวิณหน้าซีดไม่อยากจะฟังคำตอบต่อไป แต่หยุดภรรยาเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว
“หุ้นในบริษัท” มาวิณรับรู้ว่ามันคืออะไร มันหมายความว่าเขากำลังจะหมดตัวแล้วอย่างไรกันล่ะ โดยไม่รอภรรยาพูดอะไรต่อไปอีก มาวิณตรงปรี่เข้าหาบิดาของเขาด้วยกำปั้นขนาดใหญ่ที่อัดแน่นไว้ด้วยความโกรธ แค้น มาวิณยื้อกำปั้นอย่างกับหนังยางเป็นวงกลมแล้วอัดเข้าเต็มใบหน้าของบิดาของเขา หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง จนนับไม่ถ้วน ด้วยเสียงตะโกนและน้ำตาไหลนองเต็มหน้าของมาวิณอย่างรู้สึกเศร้าเสียใจที่ถูกเพื่อนรักทรยศ
“แกไอ้ยุทธแกหลอกให้เมียฉันเอาเงินไปเล่นหุ้นโดยไม่บอกกล่าวฉันสักคำ ไอ้เพื่อนทรยศ แกไอ้ชั่ว แกมันไอ้สารเลว แกแอบเป็นชู้กับเมียของฉันยังไม่พอ แล้วยังเอาเงินของฉันมาเล่นหุ้นอีก ก็ต้องตายไอ้ยุทธแกต้องตาย ฉันจะฆ่าแก” บิดาเขาปล่อยให้มาวิณต่อยซ้ำๆ กันหลายครั้งหรือทำร้ายร่างกายได้ตามแต่ที่เพื่อนจะต้องการหรือ บิดาของเขาก็อาจจะพร้อมยอมตายในมือของเพื่อนรักจริงๆ ในวันนั้นเขาเองก็ไม่สามารถจะคิดอ่านความนัยอะไรจากใครออกได้อย่างจริงๆ ถึงความสัมพันธ์ของบิดาของเขาและของมาวิณ
“ฉันขอโทษมาวิณ ฉันผิดไปแล้วยกโทษให้ฉันเถอะนะเพื่อน แล้วฉันจะหาเงินมาคืนให้นาย” บิดาของเขาเอื้อมมือไปเช็ดหยาดหยดคราบน้ำตาที่ไหลรินให้กับเพื่อนรักด้วยความสำนึกผิด แต่มาวิณกลับหมดสิ้นความรู้สึกไปเสียแล้วจิตใจของมาวิณถูกกักขังอยู่ในห้องปิดตายไม่สามารถจะรับรู้สิ่งใดได้อีกต่อไป ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
“มาวิณตื่น มาวิณตื่น ฟังฉัน ฉันกับเมียนายเราไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ ตื่นสิมาวิณ” แม้บิดาของเขาจะตะโกนเรียกเพื่อนรักอีกสักร้อย อีกสักพันครั้งมาวิณ ก็ไม่คิดจะเปิดหัวใจออกมารับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้อีกต่อไปแล้ว มาวิณกักขังตัวเองเอาไว้ภายในห้องปิดตายที่ไม่มีใครจะหาลูกกุญแจมาเปิดออกได้อีกต่อไป จนเวลาหนึ่งปีต่อมามาวิณเปิดประตูที่กักขังหัวใจตัวเองออกมา พร้อมกับความรู้สึกที่ยังคงเจ็บปวดอยู่ มันเป็นเพียงแค่ระยะเวลาเพียงสั้นๆ แล้วมาวิณก็ปิดสวิตช์ปลิดชีวิตของตัวเองไปอย่างถาวรตลอดกาล
.......................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา