Whirligig : #1 อาถรรพ์ผีคุณไสย(The sorcery)

-

เขียนโดย พหุกันต์

วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 13.18 น.

  11 ตอน
  2 วิจารณ์
  17.97K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) เศษเสี้ยวของปริศนา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
เศษเสี้ยวของปริศนา
 
 
          ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนแต่มีปริศนา  แต่มนุษย์เรากลับละโมบใคร่รู้คำตอบนั้น  แม้จะเสี่ยงอันตรายก็ตามเพื่อสนองความอยากในการไขปริศนาให้กระจ่าง ไฉนเลยมนุษย์เรากลับไม่รู้ว่าตนเองเป็นพวกที่มีปริศนาเยอะที่สุด เพราะ.......
                                           
มนุษย์นั้นแล  ยากแท้หยั่งถึง 
 
 
          เหตุการณ์ผ่านมาได้ 7 วัน หลังจากอาจารย์ศิริวรรณเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์  ทุกคนต่างตกใจในการจากไปของเธอ  บุคลากรและนักเรียนในโรงเรียนอรุณปัญญามางานงานศพของด้วยอาการเศร้าสร้อย  เว้นแต่เพทาย
          เขาเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง เพื่อปิดกั้นตัวเองจากบางอย่าง   สิ่งนั้น  ตามหลอกหลอนทุกคราที่เขาข่มตาหลับ มันไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาแต่มันเป็นความรู้สึก
          ความทรงจำหลอนกับอันตรายที่จะมาถึง  ทุกครั้งที่นอนความกลัวมากมายถาโถมเข้ามาจนจุกอก ภาพเหตุการณ์วันนั้นมันยิ่งแจ่มแจ้งคอยตอกย้ำว่า...มันคือเรื่องจริง
 
          “ฉันต้องไม่นอน  พอไม่นอนแล้วจะไม่ฝัน” เพทายมือสั่นตักผงกาแฟใส่แก้ว ซึ่งตอนนี้มันมีมากถึงครึ่งแก้วแล้ว เป็นปริมาณที่ส่งผลเสียต่อร่างกายมนุษย์โดยตรง เขาเลิ่กลั่กกดน้ำร้อนใส่แก้ว
 
          “เพทาย!? นั่นลูกจะทำอะไร” จิราแย่งถ้วยกาแฟจากมือลูกชาย
          “ไม่!! แม่!? ผมไม่อยากนอน ความฝันมันน่ากลัว!!!” เพทายพยายามแย่งแก้วจากมือมารดา
          “ลูกไม่ได้นอนมาหลายวันแล้วนะ” จิรามองเพทายอย่างกังวล หล่อนรู้สึกทรมานที่เห็นลูกชายเป็นแบบนี้ ตั้งแต่ตอนนั้นวันที่เพทายฟื้นขึ้นมา เขาหวาดผวาตัวสั่นกลัวไปหมดทุกอย่างแม้กระทั่งเสียงลม พอให้นอนพักผ่อน ก็ไม่ยอมนอนบอกว่ากลัวความฝัน
 
          “ผมไม่อยากฝันถึงมัน เหตุการณ์วันนั้น....” มือของเพทายกุมขมับทั้งสองข้าง ส่ายหน้า ร้องไห้เหมือนกับว่าไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว
 
          
ฝัน.......ฉันต้องไม่หลับ
 
แล้วฉันจะไม่ฝัน........ฝัน!!?
 
ในความฝันนั้น....ฉัน...กลัว
 
ช่วยด้วย............
 
 
          เวลานี้อาทิตย์อัสดงฉายแสงส่องผิวโลก  ทุกหนทุกแห่งถูกฉาบด้วยสีแดงเลือดของแสงนั้น  รุ่งอรุณลงจากรถเมล์เดินไปเรื่อยๆเพื่อกลับวัด  มีเหตการณ์เกิดขึ้นมากมายเมื่อได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนอรุณปัญญา  เขาไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อยเหมือนกับคุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้ไปเสียแล้ว   เหตุการณ์ที่อยู่ๆก็มีปริศนาเกิดขึ้น  แล้วเมื่อผ่านไปปมแต่ละปมก็ถูกคลายให้กระจ่างโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย  เพียงแค่เฝ้ามอง  เฝ้ามองว่าปมนั้นจะถูกไขออกเมื่อไร
 
 
“ ฮึๆ ทำให้ฉันสนุกมากกว่านี้สิ  ฉันรอดูอยู่นะ”
 
 
          หลังจากโรงเรียนเลิก  ธันวาขับรถมาที่บ้านเพทาย  เขาเดินลงจากรถยืนมองบ้านสองชั้นหลังหนึ่ง  ตัวบ้านเหมือนทาวเฮาส์ที่แบ่งขายทั่วไป เมื่อมองผ่านรั้วเข้าไปก็เห็นหย่อมที่ประดับไปด้วยกล้วยไม้นานาพันธุ์
 
          “อ้าว อาจารย์มาเยี่ยมเพทายเหรอครับ” อนันต์ถือสายยางรดน้ำต้นไม้ เงยหน้าอย่างเป็นมิตร
          “อ่อครับ  กล้วยไม้สวยจังเลยนะครับ ท่าทางจะดูแลอย่างดี” ธันวามองดูกล้วยไม้พวกนั้นอย่างทะนุถนอม
          “ครับ ปกติผมกับลูกชายพลัดกันดูแลบ่อยๆ แต่ตอนนี้....” แววตาอนันต์เสร้าลง เมื่อเอ่ยถึงลูกชาย
          “อ้าว!? อาจารย์ธันวาเข้ามานั่งในบ้านก่อนสิค่ะ” จิราเปิดประตูออกมาด้วยความแปลกใจ
 
          ธันวารู้จักกับพ่อแม่เพทายได้ ไม่ใช่ว่าเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างเดียว แต่เพราะพ่อแม่ของเพทายนั้นเป็นหมอทั้งคู่ พวกเขาจึงกว้างขวางเป็นที่รู้จักของคนในหมูบ้านและละแวกใกล้เคียง
 
          “ตอนนี้เพทายอาการเป็นยังไงบ้างครับ” ธันวานั่งลงบนโซฟาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
          “ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน ดื่มแต่กาแฟอย่างเดียวเลยครับ” อนันต์เงยมองห้องของเพทายแวบนึง
          “กาแฟ?? ทำไมต้องเป็นกาแฟด้วยล่ะครับ” ธันวาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
          “เขาบอกว่าไม่อยากหลับ จะได้ไม่ต้องฝัน” จิรากุมมือทั้งสองบนตัก อนันต์โอบภรรยาเพื่อให้กำลังใจ
          “เขาฝันถึงอะไรครับ ทำไมถึงกลัวจนไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน” ธันวาเงยมองห้องเพทายด้วยความกังวล
          “ไม่ทราบครับ เขาบอกซ้ำไปซ้ำ มาแค่ว่า ผมไม่อยากฝัน มันน่ากลัว”  อนันต์นึกถึงตอนที่เพทายดื่มกาแฟอย่างบ้าคลั่งทันทีที่เขาง่วง แทบจะกินแทนน้ำเปล่าเลยก็ว่าได้ ล่าสุดเขาเห็นลูกชายตัวเองเอาผงกาแฟจากขวดโหลกรอกใส่ปาก ราวกับว่ามันไม่ขม
 
          “ขอผมเข้าไปคุยกับเขาได้รึป่าวครับ” สีหน้าของธันวาบอกถึงความเป็นห่วง
          “เชิญครับ” อนันต์พยุงจิราขึ้นบันไดไปห้องเพทาย
 
 
               ก๊อกๆ
 
          “เพทาย เปิดประตูให้ครูหน่อย” ธันวาเคาะประตู
          “ครูครับ ครูเคยฝันร้ายมั้ยครับ” เสียงคำถามเพทายลอดผ่านประตู ธันวาชะงักมือเคาะแต่ไม่มีท่าทีว่าเจ้าของห้องจะเปิดประตู
          “เคยนะ แต่ฝันก็คือฝัน พอตื่นขึ้นมามันก็ไม่ใช่เรื่องจริง” ธันวาคงยืนอยู่หน้าประตู
          “หลังจากวันนั้นมา  มันยังคงหลอกหลอนผมอยู่เรื่อยๆฝัน  ทุกครั้งข่มตาหลับความมืดนั้นกำลังกลืนกินร่างผม  ความกลัวแล่นเข้ามาในหัวใจจนจุกอก เสียงที่เปล่งอย่างลำบากเหมือนสำลักอะไรอยู่ในปาก เมื่อผมหลับฝันเหมือนกับว่าตัวเองหลุดไปอีกโลกหนึ่งที่ไม่รู้จัก” เสียงเพทายสั่นเย็นจนคนฟังต้องขนลุกเกลียว
    
          ทันทีที่สิ้นเสียงเพทาย ประตูห้องก็เปิดออกเองอย่างช้าๆ เพทายนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง เขามีสภาพเหมือนซากศพ ขอบตาลึกดำจากขาดการพักผ่อนมาหลายวัน ร่างกายซูบผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
 
อย่างนี้เองสินะ ที่เขาเรียก
 
ขวัญหนี ดีฝ่อ
 
          “เพทาย!!!” จิราตกใจแทบลมจับ อนันต์รีบประคองภรรยา เขามองลูกชายตัวเองในห้องที่ไม่ต่างอะไรกับซากศพที่ยังหายใจด้วยความเวทนา
          “รีบพาเพทายไปโรงพยาบาลเถอะครับ” ธันวากับอนันต์พยุงเพทายขึ้นจากเตียงไปที่รถ โดยมีเสียงสะอื้นของจิราตามมาเป็นระยะๆ
 
 
 
 
          “จันทร์!!  เธอรู้รึป่าว  เมื่อวานนายเพทายเข้าโรงพยาบาลล่ะ” นันทภาเดินมาที่โต๊ะของจันทร์
          “อืม  ฉันว่าน่าเป็นห่วงเขาอยู่นะ” นาฎจันทร์นึกถึงวันนั้น  เพทายรู้ว่าอาจารย์ศิริวรรณรถคว่ำเสียชีวิต เขาร้องลั่นเหมือนคนเสียสติแล้วก็หงายท้องตึงไปเลย  ยิ่งกว่านั้นคือ บอกว่าตัวเองเจออาจารย์ศิริวรรณทั้งๆที่อาจารย์เสียชีวิตไปแล้ว
          “ฉันได้ข่าวมาล่ะ  อาจารย์ธันวาไม่เข้าสอนวันนี้”เจียระไนถือถุงขนมเตรียมแกะกิน
          “ก็แน่ล่ะ  เจอแบบนั้นใครไม่ช็อคก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว” นันทภาหยิบกินขนมในถุงขนมที่เจียระไนถือ
          “เจออะไร” กรเลิศเงยหน้ามอง หลังจากที่ก้มหน้าก้มตาท่องสูตรฟิสิกส์อยู่นาน
          “ก็เจอเพทายที่ผอมแห้งเหลือแต่หุ้มกระดูกนอนอยู่บนเตียงเขาไงล่ะ” นันทภานึกภาพตามอย่างพะอืดพะอม
          “เธอรู้ได้ไง” รุ่งอรุณกำลังหยิบพวกหนังสือเครื่องเขียนไว้บนโต๊ะ  เตรียมที่จะเรียน
          “ฉันได้ยินมาน่ะ เมื่อวานอาจารย์ธันวาไปเยี่ยมบ้านนายเพทาย ไปเจอสภาพเขาไม่ต่างกับผีตายซากอยู่ในห้องนอน คนในละแวกนั้นลือกัยให้แซ่ดเลย พอดีว่าบ้านฉันอยู่แถวนั้นด้วย” นันทภานั่งลงที่เก้าอี้ตัวเอง
          “งั้นวันเสาร์พรุ่งนี้ เราไปเยี่ยมเพทายที่โรงพยาบาลกันมั้ย” อมรเวทหยิบกินขนมในถุงขนมที่เจียระไนถือ
 
ทำไม!!? ชอบแย่งกันจัง
 
ขนมนี่ ฉันซื้อมาน้า~~~~~
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา