ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

6.8

เขียนโดย shotaro

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.

  32 ตอน
  8 วิจารณ์
  32.15K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) คาบเรียนที่1 : บันได ยันต์ พี่ชาย และ ชมรม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

คาบเรียนที่1 : บันได ยันต์ พี่ชาย และ ชมรม

          “เมื่อหมดเวลาเรียนทุกคนจะเปลี่ยนเป็นที่ชุมนุมของผู้ที่สนใจพลังเหนือธรรมชาติซึ่งก็คือ ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ ยินดีต้อนรับนะ” รุ่นพี่สาวพูดกับเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มกว้าง

          “ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับเหรอครับ” เด็กหนุ่มยังปรับตัวได้ไม่ค่อยทันกับสถานการณ์เท่าไรนัก อาการปวดหัวก็เริ่มหนักขึ้นทุกขณะ

          “ใช่ แล้วจ้ะ และก็ไม่ต้องห่วงเรื่องของเธอนะ พวกเราเข้าใจความรู้สึกของเธอดี แล้วก็จะไม่มีการเปิดเผยความลับนี้ด้วยถ้าเธอไม่อนุญาตก่อน” อีฟพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทำให้ใจของเด็กหนุ่มเริ่มเย็นลงและผ่อนคลาย

            ไคยืนนิ่งอยู่กับที่พักหนึ่ง (‘นี่เราไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย’)

โตเดินเข้ามาใกล้รุ่นน้องที่กำลังยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ด้วยรอยยิ้ม ตบไหล่เบาๆ แล้วถาม “ว่าแต่นี่แก ดันมีพลังที่ขัดแย้งกับฉันสุดๆ เลยซะด้วยสิ แล้วไปได้มายังไงกันล่ะ”

          “ผมก็ไม่รู้ครับ” เด็กหนุ่มน้ำตาซึม "ผมจะทำยังไงดี ยิ่งกลัวๆ ผีอยู่ด้วยสิ"

          “มองเห็นวิญญาณครั้งแรกเมื่อไหร่ล่ะ น่าจะเห็นมาบ่อยแล้วนี่” โตหยิบสมุดบันทึกเล่มจิ๋วจากกระเป๋า กางเกงขึ้นมา หวังจะเตรียมจดเรื่องราวลึกลับจากเด็กหนุ่ม

           “5 นาทีที่แล้วครับหลังจากเข้ามาในห้องชมรม” เด็กหนุ่มตอบเสียงสั่นด้วยความกลัว พยายามไม่ให้ตนเองเหลือบไปมองวิญญาณที่นั่งอยู่โต๊ะบาร์มุมห้อง

          “5 นาทีที่แล้ว” โตอุทานลั่นห้อง "ก่อนหน้านี้แกไปทำอะไรไว้หรือเปล่า" เขาถามด้วยความสนใจจนดูกระตือรือร้นมากเกินกว่าปกติของคนทั่วไป

          “เอ..รู้สึก ว่าผมจะเผลอไปเหยียบกระดาษแผ่นหนึ่งตรงพื้นบันไดลื่นตกลงมานะครับ พอหยิบมาดูมันก็มีลวดลายแปลกๆ กับตัวอักษรที่อ่านไม่ออกเยอะเลย” อาการปวดหัวของเด็กหนุ่มเริ่มรุนแรงมากขึ้น เขาเอามือข้างขวากุมศีรษะขณะพูด

          “พี่ว่าเอ็งไปเจอ 13 ขั้นบันไดผีว่ะ” โตครุ่นคิดประกอบกับนำมือเกาคางตามสัญชาตญาณเช่นเคย

          “เอ่อ..พี่โตครับ 13 ขั้นบันไดน่ะ มันเป็นของคนญี่ปุ่นนะครับ ไม่สิว่าแต่ทำไมต้องเป็น 13 ขั้นบันไดด้วยวะ” โจแย้งอย่างมั่นใจว่ารุ่นพี่ต้องคิดผิดพลาดแน่นอน

          “แต่มันก็มีโอกาสเกิดขึ้นในไทยไม่ใช่หรือไง” โตแย้งกับคำพูดของรุ่นน้อง

          “ไม่มีทางเว้ย และผมก็ไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวกับบันไดนะพี่ ที่น่าสงสัยน่าจะเป็นตรงที่หมอนั่นไปเหยียบกระดาษอะไรเข้ามากกว่า ดูเหมือนจะเป็นยันต์ซะด้วย จะโดนของหรือเปล่าก็ไม่รู้” โจเถียงอย่างมีเหตุผล  

          “ผมลื่นล้มที่บันไดชั้น 6 ขณะจะขึ้นไปชั้น 7 ครับ เห็นที่หัวบันไดมีห้องพระอยู่ ผมสงสัยว่ายันต์อาจจะปลิวมาจากห้องพระก็ได้ เลยวางไว้ข้างประตูในจุดที่ลมจะไม่พัดไปโดนครับ มันจะได้ไม่ปลิว” ไคอธิบายเสริมขณะที่โตกับโจเถียงกัน

          เสียงเล็กๆ ดังแว่วมาจากด้านล่างของไค หลังจากที่เขาพูดเสร็จ “พี่ชายครับ” แทงค์ซึ่งเป็นเด็ก ม.ต้นตัวเล็กๆ   สูง 150 เซนติเมตร แววตาดูหม่นหมอง ใบหน้าดูเป็นคนเคร่งขรึมสมกับบุคลิก ไว้ผมรองทรงสูง เขาดึงชายเสื้อของไคเพื่อให้ก้มหน้าลงมามอง

          “ม..มีอะไรงั้นหรือ” เด็กหนุ่มเหงื่อตก

          “พี่ชายอย่ากลัวพี่ของผมเลยนะครับ ถึงเขาจะเป็นผีแต่พี่เขาเป็นคนดีนะครับ ถ้าพี่ชายมีพลังในการมองเห็นพี่ของผมจริงๆ ผมก็อยากให้พี่ชายช่วยติดต่อกับพี่ที่ตายไปแล้วทีครับ บอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วงผมแล้ว ” เด็กน้อยใช้มือปาดน้ำตาที่เหมือนจะไหลซึมออกมา แม้คำพูดของเเทงค์จะทำให้ไคสับสนไปบ้างระหว่างคำว่า 'พี่ชาย' กับ 'พี่' แต่ก็ยังพยายามจะเข้าใจ

          “อ..อืม” เด็กหนุ่มรับปากพลางคิดในใจ (‘ทำไมคนกลัวผีอย่างฉันถึงต้องมาคุยกับผีด้วยวะ’)

          “ขอบคุณครับ” เด็กน้อยยิ้มเหมือนได้ปลดปล่อยทุกข์ในใจ โดยหารู้ไม่ว่าทุกข์ทั้งหมดนั้นบัดนี้ได้ไปลงอยู่ที่ไคเพียงคนเดียว

โตที่ยืนกอดอกรอให้บทสนทนาระหว่าง 2 คนนั้นจบลงพูดขึ้น “ไคห้องพระน่ะมันอยู่ที่ชั้น 3 นะ และที่สำคัญที่สุดก็คือหัวบันไดชั้น 7 น่ะมันไม่มีห้องอื่นๆ เลย นี่นายหลงชั้นหรือเปล่า”

          “แต่พี่ครับพอผมฟื้นขึ้นมา ผมเห็นชัดๆ เลยนะครับว่าตรงหัวบันไดมันมีเลข 7 ตัวใหญ่บนผนัง ดังนั้นผมก็ต้องอยู่ตีนบันไดตรงชั้น 6 แถมหน้าประตูห้องที่อยู่ตรงหัวบันไดก็เขียนว่าห้องพระเด่นชัดเลยนะครับ” เด็กหนุ่มอึ้งกับเหตุการณ์ที่เขาพบเจออีกครั้ง

           “ใจเย็นๆ นะเดี๋ยวเราไปสำรวจกัน” อีฟใช้มือลูบหัวไค เธอยิ้มแบบอ่อนโยนราวกับจิตแพทย์ที่กำลังรักษาคนไข้

          “ค..ครับ” เด็กหนุ่มที่เพิ่งเจอเหตุการณ์ซวยซ้ำซ้อนบรมซวยในเย็นวันเดียว ราวกับต้องคำสาป พยักหน้าให้เธอหนึ่งครั้ง

          “โอเคงั้นเราไปกันเลย ฮิฮิฮิ” โตพูดพร้อมกับชูกำปั้นขึ้นข้างบน สายตาของเขาลุกโชนเป็นประกายสีทองแวววาวราวกับทองคำ ผู้ชายคนนี้ช่างดูแปลกประหลาดสมกับที่เป็นประธานชมรมเรื่องลึกลับอย่างคาดไม่ถึง 

          ทุกคนเดินออกจากห้องชมรมโดยมีวิญญาณพี่ชายของแทงค์ เป็นดั่งเงาปริศนาตามติดแผ่นหลัง เมื่อถึงหัวบันไดชั้น 7 ไคก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น “มันหายไป ประตูห้องพระ ไม่สิห้องพระทั้งห้องมันหายไปไหน” สิ่งที่เขาพบคือกำแพงตึกธรรมดาไม่มีร่องรอยของห้องพระก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย “มันน่าจะอยู่ตรงนี้นี่”

อีฟกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณ “ไคยันต์อยู่ที่ไหน”

          “ไม่ทราบครับ แต่ว่าผมวางไว้ข้างประตูห้องพระตรงนี้จริงๆ นะ” เด็กหนุ่มชี้ไปที่มุมหัวบันได

          “มันแปลกๆ นะ” อีฟขมวดคิ้วกวาดสายตามองรอบข้าง      

          “โจหยุดถ่ายรูปได้แล้ว” โตสั่งรุ่นน้อง “ขอโทษด้วยนะ พอดีเจ้านี่น่ะมันชอบถ่ายรูปบันทึกเหตุการณ์ แต่มักจะถ่ายมากเกินไป เลยต้องคอยบอกให้หยุดเพื่อเก็บเมมโมรี่ไว้น่ะ” โตอธิบายถึงสาเหตุอย่างละเอียดให้กับไคที่สะดุ้งด้วยความตกใจ

          “ม..ไม่เป็นไรครับ” เด็ก หนุ่มที่กำลังตั้งสติของตนตอบกลับไปด้วยความหวาดระแวง เขามองไปรอบๆ ตัวเพื่อหาความเป็นไปได้ของสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยิ่งนึกเท่าไรก็ยิ่งเครียด อาการปวดหัวเริ่มมาเป็นระยะ

          “พี่ชายครับ เป็นไปได้ไหมว่ามันเป็นห้องที่เคลื่อนที่ได้” แทงค์ ที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาได้แสดงความเห็น ถึงจะดูเป็นความคิดเด็กๆ แต่สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้แล้ว มันช่างเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายยิ่งนัก

ทุกคนเมื่อได้ฟังข้อคิดเห็นของแทงค์ก็เงียบไปครู่หนึ่ง

          “โจหาข้อมูลเรื่องลึกลับในโรงเรียนนี้ เอาที่เกี่ยวกับยันต์และห้องพระมาให้ที เอาแบบทั้งหมดเลย” โตสั่งรุ่นน้องทันที

          “ครับๆ ท่านประธาน ” โจรับงาน

          “เดี๋ยวสิครับรุ่นพี่ ไม่ไหวหรอกครับ ถ้าให้หาทั้งหมด กว่าจะเสร็จก็พรุ่งนี้พอดี” เด็กหนุ่มรีบค้านรุ่นพี่ทันควัน

          “ไม่ต้องห่วงหรอก แค่ 5 นาทีก็พอ” โจบอกกับเด็กหนุ่ม ตบไหล่เขาเบาๆ

          “จ..จะไหวแน่หรือครับ” ไคดูจะไม่เชื่อสักเท่าไหร่

          “ไม่ต้องห่วงหรอกไค โจน่ะสามารถอ่านความทรงจำของวิญญาณบริเวณรอบข้างได้ในเวลาอันสั้นน่ะ” อีฟแถลงไขให้เด็กหนุ่มเข้าใจด้วยรอยยิ้มในขณะพูด

          “อา..ตอน แรกที่ได้พรสวรรค์นี้มา หัวของฉันแทบจะระเบิดเลยล่ะ การรับความทรงจำของดวงวิญญาณนับร้อยมาไว้ในตัว ไม่ใช่จะคุมกันง่ายๆ เลย ถึงแม้ตอนนี้จะคุมพลังได้ แต่ว่าก็ยังไม่สมบูรณ์ คงอดทนได้ไม่ถึง 10 นาทีก็ต้องเลิกใช้พลัง” โจเอานิ้วโป้งปาดจมูก พูดด้วยท่าทางหลงตัวเอง

          “งั้นหรือครับ” เด็กหนุ่มขานรับด้วยวาจาสุภาพ ('ส..สุดยอดเลยหมอนี่ ภูมิใจในความผิดแปลกของตัวเองเนี่ยนะ’)

          “เอาล่ะนะ” โจนั่งขัดสมาธิ “ฟืด…ฟาด….” เสียงหายใจเข้า-ออกของโจดังมาก ทั้งไคและแทงค์ นั่งกอดเข่า จ้องมองไปที่โจเป็นสายตาเดียวกัน เสียงหายใจยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ “ฟืด…ฟาด….ฟืด…..ฟาด….ฟืด….ฟาด…ปู้ด….ป้าด…ฟืด…..ฟาด….”

          “พี่เขานี่สมาธิดีนะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยปากชม (‘เอ๊ะเดี๋ยวๆ เดี๋ยวนะ อะไรคือไอ้ ปู้ดป้าด วะ’)

          โจค่อยๆ ลืมตาขึ้นหลังจากสิ้นสุดลมหายใจดัง “ฟาด” พร้อมอุทานขึ้นมาว่า “ยูเรก้า”

          (‘เดี๋ยวสิเดี๋ยว นั่นมันคำพูดอาร์คิมีดิสขณะอาบน้ำไม่ใช่รึ’)

          โตก้าวเข้ามาก้มลงนั่งยองๆ ข้างโจ “รุ่นพี่ ผมรู้แล้วครับ” โจมองหน้าของประธานหนุ่มแล้วเอ่ย “มีเนื้อหาทั้งหมด 35 เรื่องเล่าจากความทรงจำในสมัยที่วิญญาณแถวนี้ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเกี่ยวกับหัวข้อยันต์ และห้องพระทั้งหมด 3 เรื่องครับ”

          “ดีมากเล่ามา” ประธานหนุ่มจ้องหน้ารุ่นน้องออกคำสั่งด้วยรอยยิ้ม

          “ครับ! เรื่องที่ 1 เป็นเรื่องเกี่ยวกับห้องพระที่ถูกทุบทิ้งเมื่อ 30 ปีก่อน เป็นบ้านไม้เก่าที่เคยสร้างไว้สำหรับสอนวิชาธรรมะศึกษา ปัจจุบันเป็นศาลเจ้ากลางแจ้งข้างๆ โรงเรียนและมีพระพุทธรูปไร้เศียรตั้งเรียงรายอยู่มากมาย เล่ากันว่าในตอนดึกจะเห็นพระพุทธรูปออกมาเดินเล่นรอบๆ ศาลเจ้า หากใครที่โชคดี ไปเจอเข้าก็จะหายสาบสูญไปทันที เรื่องนี้เคยเป็นข่าวลือดังมากเมื่อช่วง 28 ปีก่อน ถึงขั้นต้องเรียกเจ้าอาวาสมาปัดรังควานโดยมีการผนึกผ้ายันต์ไว้ แต่ตอนนี้ผ้ายันต์ได้หายไปแล้ว ซึ่งเหตุเกิดหลังจากที่ทุบห้องพระ 2 ปี”

          “พี่ว่าข่าวนี้น่าจะไม่เกี่ยวกันนะ จากที่สังเกตดู ถ้าหากผู้ที่พบเจอพระพุทธรูปจะต้องหายสาบสูญแล้วละก็... ใครล่ะ จะเป็นคนเล่าเรื่องนี้ และรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ที่สำคัญยันต์ที่ไคเจอ มันถูกเขียนลงในกระดาษนะ ไม่ใช่ผ้ายันต์” โตพูดขณะที่ยักไหล่จ้องหน้าโจ เขาเตรียมพร้อมที่จะฟังเรื่องต่อไปจากปากของรุ่นน้อง

          “เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเล่นผีถ้วยแก้วในห้องพระครับ มีเรื่องอยู่ว่าถ้าหากเขียนยันต์เป็นภาษาบาลีว่า ‘คนตายมีชีวิต คนมีชีวิตตาย’แล้วนำยันต์มาซ้อนไว้ใต้กระดานผีถ้วยแก้วขณะเล่นในห้องพระหลังจาก 2 ทุ่มจะทำให้เมื่อเล่นจบ วิญญาณที่อัญเชิญมาไม่สามารถหาทางไปเกิดใหม่ได้ เนื่องจากหลงทางระหว่างโลกความเป็นกับโลกความตาย ข่าวลือนี้ดังในหมู่นักเรียนมานานแล้วครับ แม้แต่วิญญาณแถวนี้ยังไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับที่มาและระยะเวลาเลยครับ

          เรื่องที่ 3 เป็นเรื่องของห้องพระที่เคยบอกว่าจะก่อตั้งในอาคารเรียนเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งเป็นโปรเจ็คที่จะทำห้องพระใหม่ หลังจากที่ทุบทิ้งไปเมื่อ 30 ปีก่อน แต่ก็ต้องล้มเลิก ทั้งที่สร้างมาจนเกือบจะเสร็จ เพราะเงินทุนของโรงเรียนถูกขโมยไป ทำให้ไม่สามารถสร้างต่อด้วยเงินที่เหลือได้

          ปัจจุบันเป็นห้องพระชั้น 3 ที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อ 5 ปีก่อนโดย ผอ.คนใหม่เป็นคนสนับสนุนงบประมาณ เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากที่พระอาจารย์ ที่สอนอยู่ในห้องนั้นได้มรณภาพ ก็มีคนเห็นพระอาจารย์เดินจงกรมอยู่ในห้องคืนแล้วคืนเล่า จนกระทั่งทุกคนทนไม่ไหวจึงได้ทำพิธีให้พระอาจารย์ย้ายไปอยู่ที่ศาลเจ้ากลาง แจ้งแทน แต่พระอาจารย์ได้มาเข้าฝันผู้อำนวยการ แล้วบอกให้ย้ายวิญญาณพระอาจารย์กลับไปที่ห้องพระอย่างเร่งด่วน เนื่องจากที่พระอาจารย์อยู่ในห้องนั้น ก็เพื่อสะกดวิญญาณร้ายไม่ให้มารุกรานเด็กนักเรียน แต่สุดท้ายพิธีกรรมก็ไม่ได้ถูกจัดขึ้นอีก ทำให้วิญญาณร้ายยังวนเวียนอยู่ไม่หายไป เคยมีการใช้ยันต์สะกดปีศาจจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอยู่เหมือนกัน แต่ปัจจุบันยันต์นั้นได้หายไปจากห้องพระจึงไม่อาจรู้ว่าวิญญาณชั่วร้ายได้ หลุดออกมาหรือเปล่า” เมื่อโจเล่าเสร็จ เขาก็หมดสติสลบไปในท่านั่งสมาธิ

          “โอเคล่ะ พี่ว่าเรื่องที่ 2 นั้นฟังดูเป็นการเล่าต่อๆ กันมาจากเด็กๆ เสียมากกว่า หากคิดให้ดีแล้วผู้ใหญ่คงไม่น่าจะมาเล่นผีถ้วยแก้วหรอกจริงไหม จากเรื่องที่ 3 น่าจะฟังดูใกล้ความจริงที่สุด” โตกอดอกแล้วกล่าว

          “แล้วทำไมรุ่นพี่ถึงคิดว่าเรื่องที่ 3 ดูสมจริงที่สุดล่ะครับ” เด็กหนุ่มเอียงคอสงสัย

          “ก็เพราะว่า..”

          “ว่า..”

          “มันเป็นลางสังเห่าของประธานชมรมน่ะสิ ”           

          “อ..อ่า..ครับ” เด็กหนุ่มเริ่มเข้าใจถึงความน่าเชื่อถือประธานชมรม เขาเงยหน้าขึ้นมองอีฟซึ่งยืนอยู่ข้างๆ

 

          หญิงสาวก้มลงสบตาไค ซึ่งเหมือนจะมีคำถามกับเธอ “มีอะไรหรือ”

          “ป..เปล่าครับ พอดีจู่ๆ ผมก็คิดว่าทุกคนที่อยู่ชมรมนี้ ดูเป็นคนแปลกๆ นะครับ ”

          “พี่ ก็คิดแบบนั้นแหละ แต่ถึงจะดูเพี้ยนๆ ไปบ้าง ทุกคนก็เป็นคนดีนะ มนุษย์เป็นสิ่งที่ลึกลับที่สุดในโลกนั่นแหละ บางครั้งก็อาจจะเข้าใจยากอยู่บ้าง แต่ถ้าได้อยู่ร่วมกันไปเรื่อยๆ ก็คงจะสนิทกันเองล่ะนะ”

          “ครับ” เด็กหนุ่มซาบซึ้งในคำพูดของพี่สาว

          “เอาล่ะทั้งสองคนหมดเวลาจู๋จี๋กันแล้วนะจ้ะ พวกเราจะลงไปตรวจสอบห้องพระที่ชั้น 3 กันต่อ” โตยื่นหน้าเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างสองคนขณะกำลังคุยกัน

          “จู๋จี๋บ้านแกสิยะ” อีฟใช้มือซ้ายยกคอเสื้อของรุ่นพี่ขึ้น มือขวากำหมัดไว้แน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น    เธอจ้องหน้าโตตาเขม็ง

          “ข…ข..ขอ..ขอโทษจ้ะ” ประธานหนุ่มขาสั่นด้วยความหวาดกลัวสายตาอันแหลมคมเสมือนโดนใบมีดจ่อต้นคอของหญิงสาว

          อีฟปล่อยคอเสื้อของโต “คราวหลังก็ระวังหน่อยนะคะรุ่นพี่ดูสิเกือบ ขยี้..ยุงไม่ทันเลย ”

          (‘ยุงบ้านไหนล่ะนั่น’) สำหรับไคแล้วเธอในตอนนี้ดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าพี่ชายของแทงค์ ซึ่งเขามองเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ข้างหลังโตเสียอีก เขานึกภาพของอีฟตอนโกรธสุดขีดไม่ออกจริงๆ

          “เอาล่ะไปกันเถอะ”  โตพูดพร้อมกับชูกำปั้นขึ้นเช่นเคย

          เด็กหนุ่มกับประธานช่วยกันพยุงร่างที่หมดสติของโจเดินลงบันไดตามหลังหญิงสาวกับเด็กน้อยไป และแล้วทั้ง 4 คนก็ลงไปจนถึงชั้น 3 ขณะนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว โตเอามือคลำผนังข้างบันไดเพื่อเปิดสวิตซ์ไฟ เหล่าสมาชิกหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องพระ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ล็อคประตูเนื่องจากมันแง้มเปิดออกเล็กน้อย 

          “เอาล่ะใครจะเป็นคนเปิดประตูดีล่ะ ฮิฮิฮิ”  โตพูดพร้อมกับหัวเราะด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกับว่ากำลังสนุกอยู่ตามประสาวัยรุ่น

          “ก็ ถ้าไม่ใช่พี่โตเปิด จะให้พี่อีฟที่เป็นผู้หญิงเปิดก็คงจะไม่สมควร หรือจะให้แทงค์ซึ่งยังเด็กอยู่ก็คงจะไม่ได้ เอ๊ะแป๊บนะผมอีกแล้วหรือ” เด็กหนุ่มพูดสิ่งที่คิดออกมา

          “สู้ตาย” โตพูดพร้อมกับชูนิ้วโป้งให้กำลังใจไค แต่ดูเหมือนจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจของเด็กหนุ่มเสียมากกว่า

          “เป็นรุ่นพี่ไม่ได้หรือครับ จะให้คนที่มองเห็นผี จู่ๆ เข้าไปในห้องที่มีผีสิงเนี่ย มันเหมือนกับส่งวัวให้เสือ ชัดๆ เลยนะ” เด็กหนุ่มค้านด้วยน้ำเสียงโมโห

           “ไครู้ใช่ไหมว่าสาเหตุที่มาสืบนี่ก็เพื่อนายนะ เพราะพี่คิดว่าหากรู้สาเหตุที่นายมองเห็นผีได้ พวกเราก็คงพอจะช่วยทำให้การมองเห็นของนายกลับมาเป็นปกติได้ ดังนั้นนี่เป็นเรื่องของนาย นายก็ต้องสะสางด้วยตัวเอง” รุ่นพี่ตำหนิรุ่นน้อง ถึงแม้จะฟังดูเป็นคำแก้ตัวโดยนัยๆ

          “เข้าใจแล้วครับ” ไคขานตอบด้วยท่าทีดูเกร็งๆ แล้วจึงค่อยใช้มือซ้ายผลักประตูที่แง้มอยู่ให้เปิดออก พร้อมกับเดินเข้าไปเป็นคนแรก เขาหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว

สัก พักหนึ่งเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมองดูรอบห้องที่มืดสนิท แล้วหันไปที่ประตูซึ่งตัวเองเดินเข้ามาเพื่อเรียกให้ทุกคนเข้ามา แต่ทว่าเขาก็ต้องหมดหวังทันทีเมื่อสิ้นเสียงที่ดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว

          ปัง ประตูปิดเองจากข้างในห้อง ทั้งที่คนอื่นก็ยังไม่มีใครเข้ามาสักคน ขณะนี้เขาอยู่คนเดียวในห้องมืดสนิทไร้แสงที่เล็ดลอดจากบานประตู เด็กหนุ่มค่อยๆ ปรับสายตาให้เข้ากับสถานที่

          “ใครน่ะ” เขาอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นเงาตะคุ่มอยู่ตรงหิ้งพระด้านหลังห้อง

 

          “…….@#@#$$#$%......@#$%^&….” เด็กหนุ่มฟังเสียงที่ตอบกลับมาจากหลังห้องได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก

            เขาตั้งสมาธิพยายามฟังเสียงนั้นอย่างตั้งใจ จนเริ่มได้ความว่า ‘ช่วยด้วย ช่วยด้วยขอเถอะ ขอร้อง’

          “ผมจะช่วยคุณเอง ดังนั้นอย่าหลอกหลอนกันนะ” เด็กหนุ่มขานตอบ

          ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาชัดเจนยิ่งขึ้น เสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ‘ช่วยด้วย ขอหน่อย ช่วยด้วย ขอเถอะ ขอร้องล่ะ ขอชีวิตของแกที ขอหน่อยนะ ขอร้องล่ะ’ เสียงใกล้เข้ามาจนกระทั่ง อยู่ข้างใบหูของเขา “ขอเถอะ”

          “เฮ้ย” เด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นว่าเงานั้นได้มาอยู่ที่ข้างหลังของตัวเองจึงอุทานด้วยความตกใจวิ่งจากหน้าห้องไปหลังห้อง

          เขาพิจารณา คราวนี้เริ่มมองเห็นเงาตะคุ่มๆ ที่อยู่หน้าห้องเป็นรูปเป็นร่างของคนชัดเจนยิ่งขึ้น

          “ฉันนี่มันทำกรรมอะไรไว้เนี่ย” เด็กหนุ่มค่อยๆ เดินไปทางหิ้งพระที่อยู่ข้างๆ อย่างช้าๆ

          “โอ้ยเฮ้ยเฮ้ยเฮ้ย~” ปึง เด็กหนุ่มสะดุดบางสิ่งล้มลง เมื่อเพ่งดูให้ดีจึงรู้ว่าเป็นกล่องไม้สี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดกว้างราว 40 เซนติเมตร เขาคิดในใจว่า บางทีสิ่งของในกล่องใบนี้ อาจจะมีอะไรที่ช่วยเราได้บ้าง (‘เก็บมาก่อนแล้วกัน’)จึงคว้ากล่องพกติดตัวไปด้วย เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่ข้างหิ้งพระ เขาเจอเทียนไขกับกล่องไม้ขีด (‘โชคดีนะที่บ้านฉันไฟดับบ่อยเลยเคยชินกับความมืด’) เขาจุดไม้ขีดแล้วจ่อไฟไปที่เทียนไขอย่างรีบร้อน

            เจ้าผีร้ายที่กำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างนั้นพุ่งตรงมาหาเขาโดยไม่ทันตั้งตัว ทันทีที่เขาจุดเทียนสำเร็จ

          “เหวอ ” เด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นหนังสือสวดมนต์ ที่เปิดค้างไว้อยู่บนโต๊ะข้างหิ้งพระ (‘เอาวะ ไม่สนแล้วว่าคาถาอะไร’)

          “นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธังมะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ (** คาถาพาหุง**)” ทันใดนั้นเจ้าผีร้ายก็พลันสลายไปทันใด ประตูค่อยๆ เปิดมีแสงรำไร

(‘ในโชคร้ายก็มีโชคดีด้วยแฮะ’) เด็กหนุ่มเป่าเทียนดับแล้ววางไว้บนโต๊ะ วิ่งถือกล่องออกมานอกห้องอย่างไม่คิดชีวิต

          ในที่สุดเขาก็หลุดออกมาจากห้องมืดๆ จนได้ “แฮ่กๆ แฮ่กๆ” เด็กหนุ่มหายใจหอบ แต่ความโล่งอกโล่งใจของเขากลับต้องหายไปอย่างฉับพลันเมื่อหันไปดูที่ฝาผนัง “นี่มัน…..”

          “ชั้น 7”

 

จบตอน

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา