ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

6.8

เขียนโดย shotaro

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.

  32 ตอน
  8 วิจารณ์
  32.16K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) คาบเรียนที่1.5 : ห้องพระเคลื่อนที่และชมรม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

คาบเรียนที่1.5 : ห้องพระเคลื่อนที่และชมรม (บันได ยันต์ พี่ชาย และชมรม บทสรุป)

          เด็กหนุ่มที่เหนื่อยหอบ ต้องขวัญผวาเมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในชั้นเก่าอย่างที่ควรจะเป็น เขามองรอบตัวด้วยความหวาดระแวง ในใจคิดโทษกับดวงชะตาที่อับโชคของตน

          “คิกๆ” เสียงหัวเราะปริศนาของเด็กผู้หญิง

          “ใครน่ะ”  ไคที่กำลังหวาดระแวง ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากชั้นบน เขาจึงมองขึ้นไปพร้อมขานเรียก

          ทันทีที่เด็กสาวโดนไคถามเช่นนั้น จากกำลังนั่งยองๆ แอบมองเด็กหนุ่มตรงหัวบันได เธอก็วิ่งหนีไปเสมือนหนึ่งกำลังเล่นสนุก ผมหางม้าที่สั้นปรกคอสะบัดเมื่อเธอกลับหันหลัง

          ไคเมื่อเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงกำลังวิ่งหนีจึงคิดว่าไม่น่าจะใช่ผีปีศาจ เขาคว้ากล่องที่ได้มาจากห้องพระ พลางตะโกนเรียกเธอในขณะกำลังขึ้นบันไดตามไป “รอเดี๋ยวสิเธอจะไปไหน ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกน่า”

          “แน่จริงก็จับเราให้ได้สิ” เสียงเชิญชวนของเด็กหญิงดังมาจากชั้น 9 เหมือนเธอจะขึ้นบันไดไปอีกชั้น

          (‘ทำไมเราต้องมาไล่ตามผู้หญิงเหมือนเป็นพวกโรคจิตด้วยวะเนี่ย’) เด็กหนุ่มเดินขึ้นบันไดทั้งที่ยังไม่หายเหนื่อย อาการปวดหัวของเขากำเริบขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มีความทรมานมากขึ้น

          “สรุปตึกนี้มีแค่ 9 ชั้นสินะ” เด็กหนุ่มหยุดยืนเบื้องหน้าประตูดาดฟ้าชั้น 9 เขาพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่สั่นจากการเหนื่อยหอบ

          “นี่เธอขึ้นไปทำอะไรข้างบนน่ะ” เสียงเด็กหญิงดังมาจากข้างล่างซึ่งเป็นชั้น 8

          (‘เอ๊ะยัยนั่นลงไปข้างล่างตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’) เขาหันกลับลงมามองที่บันได ลางสังหรณ์ของเด็กหนุ่มบอกว่าเธอเริ่มมีบางอย่างผิดแปลก

          ไคเดินลงบันไดไปชั้น 8 อย่างช้าๆ คราวนี้เด็กผู้หญิง รูปหน้าเรียวสวย หน้าตาน่ารัก มีรอยยิ้มมุมปากที่งดงาม ผมหางม้าสีดำผสมน้ำตาลของเธอผูกด้วยโบสีแดง เธอตัวสูง 168 เซนติเมตร อกไม่ถึงกับแบน ดวงตากลมโตสีน้ำตาลแดง มีเข็มระดับ ม.4 บ่งบอกว่าอยู่ชั้นปีเดียวกับไค เธอกำลังยืนไขว้ขาอยู่เยื้องเชิงบันได เด็กหนุ่มได้พบว่าเธอน่ารักมากกว่าเด็กผู้หญิงคนใดที่เขาเคยพบเจอ ก็ถึงกับลืมเรื่องที่เคยสงสัยในตัวเธอเสียทั้งหมดโดยปริยาย

          “น่ารักจังเลย” เด็กหนุ่มเผลอพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมาเบาๆ ขณะเดินลงบันได

          “ฮิฮิ เธอนี่ตลกดีนะ” หญิงสาวหัวเราะไคที่เดินลงบันไดด้วยท่าทางเหม่อมองมาหาเธอ จนทำให้ท่าเดินของเขาเหมือนซอมบี้ในหนังต่างประเทศที่เธอเคยดู

          โครม! เด็กหนุ่มตกบันไดล้มไปนอนคว่ำหน้าข้างๆ หญิงสาวเพราะการเดินที่ไม่ระมัดระวัง           

          “โอย อีกแล้วหรือเนี่ย” ไคโอดครวญขณะที่กำลังใช้มือทั้งสองข้างยันตัวเองลุกขึ้น

          “คิกๆ เธอนี่ซุ่มซ่ามจังเลยนะ ” เธอยื่นมือมาหาเด็กหนุ่ม

          เมื่อเขาลุกขึ้นได้สำเร็จก็มองหน้าหญิงสาวผู้แสนจะชวนหลงใหล “นี่เธอมาทำอะไรที่นี่ตอนดึกๆ งั้นหรอ เด็กนักเรียนน่าจะกลับกันไปหมดแล้วนี่”

            “เราชื่อว่าแอนนา เราก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ เธอนั่นแหละที่มาทำอะไรดึกๆ”

            “ก็อ่านะ แหะๆ เราชื่อกริยา ยินดีที่ได้รู้จักนะ ส่วนเรื่องที่มาทำอะไรตอนดึก ถ้าให้เล่าผมเกรงว่า   มันคงจะยาว” เด็กหนุ่มเกาศีรษะตามบุคลิกอีกเช่นเคย

            “ ฮ่าฮ่าฮ่า ชื่อทำไมดูเห่ยจัง” เด็กหญิงนำมือไปไขว้กันไว้ด้านหลัง ถามด้วยหน้าตาอันใสซื่อ

            “พูด ตรงจังเลยนะ ความจริงแม่เราเป็นคนตั้งให้น่ะ ท่านบอกว่าจะได้เป็นข้อเตือนใจในสิ่งที่จะทำทุกอย่างว่าให้ระวังกิริยา มารยาทไว้อย่างสมชื่อ แต่เพราะเวลาเรียกกิริยา มันจะไม่ลื่นหูเท่าไหร่ เลยตัด สระอิ ออกให้เป็นกริยาแทน” เด็กหนุ่มแถลงไข

            “ไคโว้ยไคแกอยู่ไหน” เสียงของโตตะโกนดังขึ้นมาจากชั้นล่างก้องกังวานไปทั่วบริเวณบันได

            “ผมอยู่นี่ครับพี่โต บนชั้น 8 นี่” เด็กหนุ่มหันหน้าไปที่ทางลงบันได ตะโกนลงไปข้างล่าง

            “โอ้ รออยู่ตรงนั้นนะ พี่จะขึ้นไปเดี๋ยวนี้” โตตะโกนกลับมา

             ไคหันกลับมาหาเด็กสาวแต่ตอนนี้เธอไม่อยู่แล้ว เด็กหนุ่มเดินถอยหลังหนึ่งก้าวด้วยความตกใจ       

            พี่โตขึ้นบันไดมาจนถึงชั้น 8 โดยมี อีฟ แทงค์ และ โจที่เหมือนจะได้สติแล้วตามหลังมา “ ให้ ตายสิ ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่เป็นห่วงแทบแย่ พอแกเข้าไป ประตูห้องพระก็ปิดแถมยังล็อคอีก พอตอนประตูห้องพระเปิด แกก็หายไปไหนไม่รู้ พวกพี่ช่วยกันตามหาซะทั่วห้องพระก็ไม่เจอ” โตพูดด้วยความเป็นห่วงรุ่นน้อง เอามือปาดน้ำตาที่ซึมไหล

            เขาหันไปเห็นประตูที่เขียนว่าห้องพระอย่างเด่นชัดเปิดโล่งอยู่ตรงหัวบันได โตหันกลับมาหาไค พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ประตู แล้วพูดเสียงดังด้วยความตกใจ “เฮ่ย นี่มัน มีจริงๆ ด้วยหรือเนี่ย ไคแล้วตอนอยู่ในห้องพระเป็นไงบ้าง ”

            “ถ้า ให้เล่าเรื่องในห้องมันยาวครับ เอาเป็นว่าผมโดนผีหลอกละกันนะครับ เรื่องนั้นช่างเถอะ แต่พอผมเปิดประตูห้องพระได้ จู่ๆ  ก็ถูกส่งมาที่ชั้น 7 มันหมายความว่ายังไงนี่สิ”  ไคทำท่าทีครุ่นคิด เขาใช้มือเกาศีรษะตามความเคยชินอีกครั้ง

            “เป็นผีจริงๆ สินะ ” โตถามเพื่อความมั่นใจ

            “ครับ” ไคพยักหน้า

            “ฮิ ฮิฮิ ถ้าขอแค่ให้อีกฝ่ายเป็นผีแน่ๆ แล้วละก็ที่เหลือง่ายมากเลย ถึงตอนนี้จะยังไม่รู้ถึงสาเหตุของเรื่องที่เกิด แต่ถ้าทำตามแผนที่พี่วางได้ถูกต้อง เดี๋ยวก็รู้เอง”

            “แผน..แผนอะไรหรือครับ” เด็กหนุ่มถามรุ่นพี่ด้วยความสงสัย

            “ย..อย่าบอกนะว่าแผนนั้นที่เคยใช้กัน” โจทำท่าทางเหมือนจะรู้ถึงแผนการของรุ่นพี่

            “แม่นแท้ ” โตหันไปหาโจแล้วพยักหน้าหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะหันกลับมาหาไค

            “ผ..แผนอะไรกันแน่ครับเนี่ย” เด็กหนุ่มรับรู้ว่าตัวเองกำลังจะมีภัยด้วยสัญชาตญาณ

            “ไคนายจะต้องกลับเข้าไปในห้องพระอีกครั้ง” โตพูดพร้อมกับใช้นิ้วชี้หน้าออกคำสั่ง        

            “ว่าไงนะครับ ”

            “ถ้านายไม่เข้าห้องพระอีกครั้ง เราก็ไม่สามารถไขปริศนาได้นะ”

            “แต่ถ้าผมเข้าไปอาจจะไม่ได้กลับมาอีกนะพี่” ไครู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น เสียงของวิญญาณเมื่อสักครู่ยังหลอกหลอนเขาอยู่ 

            “พอ ทีเถอะค่ะพี่โต หนูจะเข้าไปแทนเอง ถ้าให้ไคเข้าไปตอนนี้อาจจะเป็นข้อผิดพลาดไปตลอดชีวิตเลยก็ได้นะ วันนี้วันเดียวไคก็เจอเรื่องมากมายพอแล้ว” อีฟออกหน้ารับแทนรุ่นน้อง

            “จะเอางั้นก็ได้” โตมองไปที่ไคซึ่งกำลังสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

            (‘บ้าเอ้ย ทำไมเราถึงไม่ห้ามพี่อีฟไว้นี่เรากลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะปกป้องผู้หญิงเลยงั้นหรือเนี่ย’) เด็กหนุ่มควบคุมอาการหวาดกลัวของตัวเองด้วยความเจ็บใจ

            “อีฟ..นี่เธอเอาจริงหรือ” โจถามหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง

            “แน่นอน” อีฟยืนยัน เธอเดินไปหาไคแล้วเอามือลูบหัวเพื่อปลอบขวัญเด็กหนุ่ม

            “ถ้างั้นไค นายก็กลับบ้านไปซะได้แล้วล่ะ เพราะถ้าอยู่ต่อนายจะเจอมากกว่านี้แน่ นายน่ะมันอ่อนแอเกินไป” โตยืนกอดอกหันหลังให้ไค

            “พี่โต” อีฟพูดด้วยน้ำเสียงดุรุ่นพี่

            “เข้าใจแล้วครับ” ไคพูดด้วยเสียงเหมือนเด็กที่กำลังจะร้องไห้แล้ววิ่งลงบันไดหนีไป

            “ไค” อีฟตะโกนเรียกเด็กหนุ่ม แต่เขาไม่หันกลับมามองเธอแม้แต่น้อย

            “เห็นมั้ยพี่โตสิ่งที่พี่ทำลงไป ถ้าไคเขาไม่กลับมาเข้าชมรมอีกจะทำยังไง ชมรมของเราถ้าสมาชิกไม่ครบ 5 คนก็จะถูกยุบนะ พี่ก็รู้แล้วทำไมพี่ไม่ห่วงความรู้สึกของไคบ้างเลยล่ะ” อีฟร้องไห้ และพูดเสียงดังด้วยความโกรธ  

            โตค่อยๆ เดินมาหาอีฟ ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้หญิงสาว “คิดว่าไคน่ะ จะกลับบ้านไปง่ายๆ อย่างงั้นแน่เหรอ อย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย ถ้าเธอไม่ได้สบตากันตรงๆ ก็อ่านจิตใจไม่ได้สินะ”

            “หมายความว่าไงครับรุ่นพี่” โจที่ยืนเงียบๆ อยู่ตรงทางลงบันไดเอ่ยถามขึ้น 

            อีฟมองหน้าของรุ่นพี่ เธอสบสายตาเขาแล้วก็รู้ว่าคำพูดนั้นมาจากใจจริง 

            โตเช็ดน้ำตาให้อีฟแล้วเปลี่ยนมาลูบศีรษะของเธอเบาๆ  “ไค น่ะนะ หมอนั่นจากที่พี่สังเกตดูแล้ว ไม่ใช่คนที่จะทิ้งความรับผิดชอบของตัวเองไว้แน่ ลูกผู้ชายน่ะถ้าถึงเวลาที่ต้องรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองแล้วละก็ ต่อให้ความตายจะมาพรากก็ฉุดไม่อยู่หรอก” เขาพูดด้วยความมั่นใจในตัวไค

            “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมไคถึงไม่เข้าไปทางประตูห้องที่อยู่ตรงชั้น 7 นี่ล่ะ ใกล้กว่าเยอะ” โจพูดพร้อมเอานิ้วชี้ไปทางห้องพระ

            “ไม่รู้มัน สงสัยอยากจะดราม่ามั้ง” โตยักไหล่ “เอาล่ะ รีบลงไปชั้น 3 เถอะ ถ้าเราตามไคไปในห้องพระไม่ทันแล้วล่ะก็ หากแผนผิดพลาดขึ้นมา เราอาจจะต้องเสียไคไปอีกคนก็ได้” โตปล่อยมือจากศีรษะของอีฟ แล้ววิ่งกระโดดลงบันไดอย่างผาดโผน

          “เอ่อ..ว่าแต่ทำไมเราไม่รอตรงนี้ล่ะครับ” โจชี้ไปยังประตูห้องพระชั้น 7

          “ถ้าเป็นบนนั้น จะหายไปเมื่อไหร่ไม่รู้น่ะสิ” โตตะโกนตอบ

          โจพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจแล้วหันไปทางอีฟ “มัวรอทำไมล่ะอีฟ รีบไปกันเถอะ” ว่าแล้วเขาก็แบกแทงค์ขึ้นหลังวิ่งลงบันได

          “อื้ม” อีฟเอามือปาดน้ำตาตัวเองก่อนเธอจะวิ่งตามลงไป

ทุกคนเมื่อมาถึงที่ชั้น 3 ก็หยุดอยู่เบื้องหน้าประตูห้องพระเช่นเคย

          “โอเค ป่านนี้หมอนั่นคงเข้าไปอยู่ในห้องพระเรียบร้อยแล้วล่ะ โจตามแผนเลยนะ” โตสั่งรุ่นน้อง

          อีกทางฝากหนึ่งของประตู

          ('ให้ ตายสิ แล้วเราจะเอาไงต่อล่ะเนี่ยเข้ามาในห้องผีแล้วก็จริง แต่ดันไม่รู้แผนการอะไรเลยนี่สิ มืดก็มืด แต่ไอ้เจ้าผีนั่นคงจะไม่อยู่แล้วมั้ง เงียบหายไปเลย’) ไคยืนถือกล่องคิดอยู่อย่างเงียบๆ ในห้องมืด โดยที่ไม่รู้เลยว่าที่ตัวเองกำลังทำอยู่ตอนนี้นี่แหละคือแผนของรุ่นพี่

          “เฮ่ย ม..มาแล้ว” คราวนี้เด็กหนุ่มเห็นวิญญาณร้ายชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นผู้ชายผิวขาวซีด อายุราวๆ 20 ปี ตัวสูงจนเกือบเท่ากับเอาโต๊ะเรียน 4 ตัวมาวางซ้อนกัน สวมชุดสีดำ ดวงตาของเขามีสีขาวหม่นหมองไร้ซึ่งชีวิตชีวา มีกลุ่มไอคล้ายหมอกสีดำปกคลุมทั่วห้อง วิญญาณปริศนายืนอยู่บริเวณหลังห้องเช่นเคย

          (‘หนาววุ้ย สงสัยจะแค้นเราซะด้วย เอาไงดีเนี่ย’) อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ ไคใช้มือทั้งสองข้างกอดกล่องไว้กับอกอย่างแนบแน่น

          “นี่ๆ คุณผีเห็นแก่ผมหน่อยเถอะนะ ปล่อยผมไปเถอะกลัวจนจะฉี่ราดแล้ว” เด็กหนุ่มพนมมือไหว้

          “ช่วยด้วย ขอหน่อย ช่วยด้วย ขอเถอะ ขอร้องล่ะ ขอชีวิตของแกที ขอหน่อยนะ ช่วยด้วย” เสียงของวิญญาณดังก้องกังวานเช่นเคย

          “ไม่ให้โว้ย แม่งหลอกตูอยู่ได้ อยากได้ชีวิตก็ไปเกิดสิไป” ไคตะโกนไปด้วยความกลัวและหงุดหงิดสติของเขาขาดผึง

            “ฮึก” จู่ๆ เสียงของเด็กหนุ่มหายไป เขาล้มตึงลงกับพื้นรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังชักดิ้นชักงอโดยที่ร่างกายขยับ ไม่ได้ตามใจสั่ง เด็กหนุ่มเริ่มแน่ใจแล้วว่าเขากำลังถูกผีเข้า หากเป็นแบบนี้เขาคงต้องตายอยู่ในห้องพระนี่เป็นแน่

            สติเด็กหนุ่มเริ่มเลือนรางจนทุกอย่างในความคิดมืดสนิท           

            หลังจากเวลาผ่านไป เด็กหนุ่มฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งที่ห้องพยาบาลของโรงเรียนซึ่งอยู่ชั้น สองบริเวณส่วนกลางของอาคาร เขานอนอยู่บนเตียง ค่อยๆ ปรับสายตาที่พร่ามัวของตนเอง แล้วมองไปรอบๆ ห้อง

เขาพบว่าอีฟกำลังนั่งหลับบนเก้าอี้เฝ้าไข้ตรงปลายเท้าของตน

“ว่าไงตื่นแล้วหรือ” ประธานชมรมหนุ่มทักทายในขณะที่ถือแก้วกาแฟอยู่ในมือ

           “พี่โต นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ” เด็กหนุ่มตกใจเป็นอย่างมาก

           “อืม.. อาจารย์ที่ห้องพยาบาลเหมือนจะบอกว่านายอาการดีขึ้นแล้ว แต่ฉันเห็นนายยังไม่ตื่นขึ้นมาเลยเป็นห่วงแทบแย่ แต่คงจะไม่เป็นไรอย่างที่เขาบอกจริงๆ นายน่ะโดนผีเข้ายังไงล่ะ”

“แล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ อ๊ะ! ในห้องพระก็น่าจะล็อคนี่แล้วทำไมพี่ถึงเข้าไปช่วยผมได้ล่ะ”

           “นายนี่ความจำดีนะ นึกว่าพอตื่นมาจะจำไม่ได้ซะอีกว่าตัวเองอยู่ในห้องพระ เอาเป็นว่าพี่จะเล่าไปทีละเรื่องนะ อย่างแรกคือพี่เดาถูกว่าแกไปอยู่ในห้องพระตามแผน ก็นะนายมันเดาง่ายจะตาย ต่อมาพี่ก็ให้โจที่ อยู่หน้าประตูอ่านความทรงจำของวิญญาณในห้องพระ จนได้รู้เรื่องราวและปะติดปะต่อได้ ต่อจากนั้นเมื่อผีเข้าสิงตัวนาย วิญญาณจะขับดันกันเองจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแพ้ ขณะนั้นวิญญาณจึงเสียพลังไปบางส่วน ทำให้ทุกสิ่งบริเวณรอบข้างห้องพระหลุดจากการควบคุม ดังนั้นประตูจึงเปิดออกได้ไงล่ะงงมั้ย” โตลากเก้าอี้จากโต๊ะตรวจคนไข้ของอาจารย์มานั่งข้างไค

            “ไม่หรอกครับ แล้วช่วยผมที่ถูกผีเข้าได้ยังไงหรือครับ” ไคถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

            “งั้น พี่จะขอเล่าตั้งแต่เรื่องเล่าของโรงเรียนเลยนะ ก่อนอื่นสิ่งที่อยากจะสอนไว้สำหรับรุ่นน้องในชมรมก็คือ เรื่องเล่านั้นอาจจะเป็นแค่เรื่องราวงมงายแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะโกหกไปทั้งหมดซะ ทีเดียว” โตสอนรุ่นน้องก่อนที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมด เขาหยิบไดอารี่ เปิดหน้าที่บันทึกเรื่องราวของโจออกมาอ่าน

            “เอาล่ะนะ จะเข้าเรื่องล่ะ จากความทรงจำที่โจอ่านได้ ที่ห้องพระแห่งนั้นเมื่อ 10 ปีก่อนในช่วงที่กำลังก่อสร้าง มีขโมยคนหนึ่งหรือก็คือวิญญาณที่นายเห็นนั่นเอง เขาได้ขโมยเงินจาก ผอ.คนเก่า โดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเงินก้อนโต ที่ขโมยไปนั้น เป็นเงินสำหรับการก่อสร้างห้องพระขนาดใหญ่เพื่อให้นักเรียนได้ใช้กัน เมื่อข่าวที่เงินทุนในการสร้างห้องพระถูกขโมยแพร่กระจายไปจนถึงหู เขาก็เกิดอาการสำนึกผิด แต่พอจะนำเงินไปคืนก็ดันใช้ไปจนหมด ทำให้มันกลายเป็นบาปที่เขาต้องจดจำไปชั่วชีวิต ต่อมาวันหนึ่งชะตาของเขาก็ขาด ขณะที่กำลังข้ามถนนเขาโดนรถชน เคยมีคนพูดไว้ว่าเมื่อคนเราตายแล้วจะได้ไปอยู่ในสถานที่ที่นึกถึงตอนลมหายใจ เฮือกสุดท้าย หรือตามเวรตามกรรม เขาถูกเวรกรรมลากมาอยู่ที่ห้องพระชั้น 3 ของโรงเรียนเรานั่นเอง เพราะงั้นพระอาจารย์ที่มรณภาพไปถึงได้คอยอยู่ในห้องซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ อยู่เพื่อสะกดวิญญาณร้าย แต่เป็นการแผ่เมตตาต่างหาก แต่ทว่าก็มีอยู่วันหนึ่งที่พระอาจารย์ ถูกทำพิธีให้ย้ายไปอยู่ที่ศาลเจ้ากลางแจ้ง จึงทำให้การแผ่เมตตาขาดช่วงไป เขายังคงต้องอยู่ใช้กรรมต่อไป เดิมทีแล้วเขาควรจะเป็นวิญญาณที่อยู่อย่างสันติโดยที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร จนกระทั่ง มีเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ได้มาลองของจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีถ้วยแก้ว

            มีการเขียนเป็นภาษาบาลี ว่า ‘คนตายมีชีวิต คนมีชีวิตตาย’ ลง ในกระดาษ ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นยันต์ที่นายเหยียบลื่นล้มหัวคะมำตกบันไดนั่นแหละ เนื่องจากการเล่นครั้งนั้นได้ดึงวิญญาณของชายหนุ่มลงไปร่วมด้วยทำให้เมื่อ เล่นจบวิญญาณไม่สามารถหาทางไปเกิดใหม่ได้ และหลงทางระหว่างโลกความเป็นกับโลกความตาย เขาทั้งสับสนและทรมาน จนเกิดเป็นแรงอาฆาตขึ้นมาแทน เพราะงั้นวิญญาณถึงมีอำนาจขนาด ที่ควบคุมห้องพระได้ไงล่ะ และเนื่องจากเขาหลงทางอยู่จึงเป็นเหตุให้พลังของเขาพาห้องพระทั้งห้องย้าย สถานที่ไปอยู่จุดอื่นได้ สรุปความจริงก็คือที่ห้องพระถูกย้ายมาอยู่ชั้น 7 ก็เพราะเขาหลงทางนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ต่อให้เขาจะตามหาหนทางไปเกิดสักแค่ไหนก็หาไม่พบจนกว่ากระดาษที่ถูกเขียนคาถา ‘คนตายมีชีวิต คนมีชีวิตตาย’ จะถูกเผาหรือถูกทำลาย

            ในขณะที่นายกำลังชักดิ้นชักงออยู่นั้น ฉันเห็นกล่องใบหนึ่งอยู่ข้างๆ เห็นนายพกมันติดตัวตลอด พอคิดว่าน่าสงสัยก็เลยเปิดดูน่ะ ข้างในกล่องก็เห็นกระดาษที่เขียนภาษาบาลีไว้อยู่ เลยคิดว่าน่าจะใช่ พี่เลยใช้ไม้ขีดไฟเผาทิ้งซะ แล้วนายก็หยุดชัก แต่ก็สลบไม่ยอมตื่นซักทีก็เลยให้โจแบกมาไว้ห้องพยาบาลนี่แหละ อ้อใช่ นายต้องขอบคุณอีฟเขานะ เธอเฝ้านายอยู่ที่ห้องนี้คนเดียวทั้งคืน ไม่ยอมกลับบ้านเลยล่ะ ทั้งที่คนอื่นๆ เขากลับกันไปหมดแล้วแท้ๆ”

            “งั้นเหรอครับ” ไคหันกลับไปมองหน้าอีฟที่นอนหลับอยู่ปลายเตียงแล้วพูดขอบคุณในใจ “เดี๋ยวนะ ถ้างั้นยันต์ที่ผมเผลอเหยียบนั่นมันกลับเข้าไปอยู่ในกล่องได้ยังไงล่ะ” เด็กหนุ่มถามถึงสิ่งที่ค้างคาใจ

            “จริงด้วยสิ ลืมไปสนิทเลย ฮิฮิฮิ สงสัยจะมีปริศนาให้ไขอีกแล้วล่ะ”

            “แล้วนี่ผมต้องเจออะไรอีกครับเนี่ย”

โปรดติดตาตอนต่อไป

 

  สำหรับตอนต่อไปจะเน้นเนื้อเรื่องไปที่ แอนนา นางเอกของเรากันนะครับ ^^ ปล.รักนะ!! คนอ่าน

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา