ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

6.8

เขียนโดย shotaro

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.

  32 ตอน
  8 วิจารณ์
  32.12K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

24) คาบเรียนที่ 13 :หลุดการควบคุม และชมรม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

คาบเรียนที่ 13 :หลุดการควบคุม และชมรม  (บทอำลา 8)

          “เธอไปอยู่ที่ไหนมา” ฟ้ามองใบหน้าที่ถามอย่างจริงจังและให้ความสนใจกับเธอของไคแล้วจึงอมยิ้มตอบกลับมา “หนูก็อยู่กับพี่ชายมาตลอดนั่นแหละค่ะ” เธอจิ้มนิ้วชี้มาที่อกของไค

          “ม..หมายความว่าไง ฉันก็ไม่เห็นเธอเลยนะ” เด็กหนุ่มถามกลับด้วยความสงสัย

          “อย่างที่พี่ชายอีกคนบอกเกี่ยวกับกฎการเข้าสิงนั่นแหละค่ะ หนูเข้าสิงอยู่ในร่างของพี่แล้วยอมให้โดนพลังวิญญาณกดทับ หรือก็คืออาศัยร่างจำเป็นนั่นเองค่ะ” เธอส่ายนิ้วชี้ไปมาขณะอธิบายให้เด็กหนุ่มเข้าใจ

          “จะบอกว่าเธออยู่ในร่างของฉันมาตลอดเลยงั้นเหรอ” ไคใช้มือกุมอกซ้ายขณะถามอีกครั้ง (‘ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่ว่าไม่เห็นตัวเลยก็ไม่แปลกสินะ’) เหงื่อของเขาไหลพลั่ก 

          “ถูกต้องแล้วค่ะ หนูเป็นวิญญาณที่ผูกติดกับโรงพยาบาลเลยออกไปไหนมาไหนไม่ได้ ถ้าจะออกมาก็มีอยู่แค่วิธีเดียวคือเข้าสิงคน สัตว์ สิ่งของ และจะปรากฎตัวออกมาไม่ได้ด้วย เพราะจะถูกดึงกลับมาที่โรงพยาบาลนี้ทันที” วิญญาณเด็กสาวลอยไปมาบริเวณรอบตัวของไค

            “เพราะแบบนั้นตอนจะออกจากโรงพยาบาลฉันถึงหาเธอที่ไหนก็ไม่เจอสินะ อยู่ในร่างของฉันนี่เอง” ไคก้มลงมองร่างกายของตัวเอง “แต่ทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะ” 

              “ก็หนูขี้เกียจนี่นา” ฟ้าทำหน้าบึ้งขมวดคิ้วใส่ “แต่หนูก็บอกพี่ไปแล้วนะว่าจะติดตามไปทุกที่เลย ตอนพบกันไงจำได้ป่ะ” เธอดีดนิ้วดังป๊อก ชี้มาทางไค

              “ไม่รู้เว้ย หัดบอกกันก่อนบ้างสิวะ” ไค ทำท่าทางหงุดหงิด แต่ภายในใจกำลังมีความสุขที่ได้พบกับเธออีกครั้ง เพราะเขารู้สึกเป็นห่วงเธอไม่น้อยในวันที่ออกจากโรงพยาบาลแล้วหาเธอไม่เจอ “จะ ว่าไปนี่ก็หมายความว่าทฤษฎีวิญญาณเข้าสิงของพี่โตเป็นเรื่องจริง แปลว่ามีโอกาสที่วิญญาณเจ้าของร่างจะถูกพี่ธันกดทับโดยไม่รู้ตัวอย่างนี้นี่ เอง” ในที่สุดเขาก็เข้าใจในคำพูดของประธานหนุ่มอย่างถ่องแท้

          “นี่ไค” อีฟสะกิดหลังเด็กหนุ่ม พลางหันขวับไปมองร่างของพีชที่นอนอยู่บนเตียง “เขาตื่นแล้ว”

          “อืม..อือ..หาว”  ร่างบนเตียงเริ่มได้สติ เขาค่อยๆ ยืดเส้นยืดสายก่อนจะยันตัวขึ้นนั่ง

          เด็กหนุ่มรีบวิ่งไปบริเวณหัวเตียง “พี่ธัน”

          “หือ” เด็กหนุ่มบนเตียงทำท่าทางตกใจ “นายเป็นใครน่ะ”

          “อ..เอ๋ พูดอะไรน่ะ ผมกริยาไง”

          “อ๊ะ อ้อจริงสิ เพื่อนของคนๆ นั้นสินะ” แต่ละประโยคของเขาทำให้ไคและอีฟนึกฉงนสงสัย “ผมชื่อพีช เป็นเจ้าของร่างๆ นี้ เอ่อพูดแบบนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ แฮะ     เอาเป็นว่านี่เป็นร่างของผมแล้วกัน”

          “ว่าไงนะ/ว่าไงนะยะ” ทั้ง อีฟและไคต่างแสดงอาการตกใจอย่างรุนแรงในทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น แล้วแบบนี้พวกเขาจะอธิบายเรื่องนี้ให้กับโตและแทงค์ที่กำลังมาอย่างไรหากธัน ไม่อยู่

          “อ่า..เออ ไม่ต้องตกใจไปครับ เขาก็อยู่ในร่างผมนี่แหละ” พีชยิ้มให้ขณะพูดอย่างใจเย็น “ผมรู้สถานะของตัวเองจากคนๆ นั้นแล้ว”

          “แล้วพี่ธันล่ะ” อีฟถามเด็กหนุ่มพร้อมกับจ้องมองในแววตา

           “พวกผมสลับตัวกันครับ ยังไงผมก็ต้องตายอยู่ดี อย่างน้อยก็มีคนที่ผมอยากจะไปอำลาอยู่” ความเศร้าในแววตาของพีช ทำให้อีฟเผลอน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มก็มีใครบางคนที่ตัวเขาต้องการจะพบไม่ต่างกับธัน           

            “เลยถือโอกาสใช้พลังของพี่ธันยึดร่างกับวิญญาณเอาไว้สินะ” ไคสรุปเรื่องราวจากคำพูดของพีช “แล้วจะทำยังไงต่อดีล่ะ”

          “ยังไงก็ต้องบอกให้พี่โตรู้เรื่องก่อน” อีฟตั้งสติขณะกดมือถือโทรหาประธานหนุ่มอีกครั้ง

          วิญญาณเด็กสาวที่เห็นไคลุกจากหัวเตียงเดินไปยังประตูห้องเตรียมพร้อมจะออกก็เอ่ยทัก “เอ๋ พี่ชายจะออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ”

          ไคหันมายิ้มให้กับฟ้าแล้วเลื่อนสายตาไปมองพีช “ฉันจะไปรอข้างนอกนะ ยังไงก็จะออกไปหาเธอคนนั้นใช่มั้ยล่ะคุณเจ้าของร่าง” เขาพอจะเดาออกว่าเด็กหนุ่มต้องการจะไปหาใคร

          “ค..ครับ” พีชพยักหน้าให้ไค “แต่ดูจากเข็มของคุณแล้วเราอยู่ชั้นปีเดียวกัน เรียกผมว่าพีชก็ได้ครับ พอฟังคุณเรียกแบบนั้นแล้วมันดูแปลกๆ น่ะครับ” เขาดูเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีและสุภาพพอสมควร

              “อ้อถ้าแบบนั้น เราชื่อกริยาฝากตัวด้วยนะ” ไคฉีกยิ้มกว้างพร้อมชูนิ้วโป้งให้ ก่อนจะเปิดประตูห้อง “รีบแต่งตัวให้เรียบร้อยซะ เรามีเวลาไม่มากก่อนที่งานเทศกาลจะจบลง”

              “ร..รอด้วยสิพี่ชายละก็” ฟ้าลอยตามหลังก่อนจะจมหายวับเข้าไปในแผ่นหลังของไค “โธ่ ถ้าหนูไม่สิงพี่หนูก็ออกไปไม่ได้น่ะสิ”

          อีฟโทรเล่าเรื่องให้โตฟังจนเสร็จ เธอเหล่สายตามองไคว่าเขาเดินออกจากห้องไปแล้วก่อนจะหันกลับมามองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจัง“พี่สาวนี่ตาสวยจังเลยนะครับ” พีชกล่าวชมแววตาสีม่วงอ่อนของรุ่นพี่ “มีแววตาสีม่วงเป็นวงแหวนภายในนัยน์ตาด้วยดูแปลกมากเลย”

          อีฟยิ้มขณะรับฟังคำชม “ขอบใจที่ชมนะ..แต่เลิกเสแสร้งซะทีเถอะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงชวนเคร่งเครียด “คิดจะทำอะไรกันแน่” เนื่องจากการสบตาในชั่วอึดใจทำให้เธอรู้ทุกสิ่งที่อีกฝ่ายคิดได้ทันที 

          “เอ๋..ความแตกแล้วหรือครับเนี่ย” พีชเปลี่ยนสีหน้าและแววตาจนดูเจ้าเล่ห์กว่าปกติ “ฮ่าฮ่าฮ่า ผมกะไว้แล้วว่าคุณต้องไม่ใช่คนธรรมดา”

          “เอาพี่ธันคืนมานะ” อีฟพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว (‘ไม่อยากให้ไคต้องมาเห็นตอนฉันโกรธเลยจริงๆ โชคดีนะที่เด็กนั่นออกไปก่อน’)

          “พูดอะไรน่ะครับ ความจริงแล้วนี่เป็นร่างของผมเขาผิดเองนะที่มาเข้าสิงเอาแบบนี้” พีชแววตาดูเปลี่ยนไปจนแทบจะไม่ใช่มนุษย์ บรรยากาศรอบห้องเย็นและมืดครึ้มอย่างกะทันหัน “ไหนๆ ถ้าเขาออกไปแล้วผมจะต้องตายละก็ ผมจะขังเขาไว้ในส่วนลึกของจิตแล้วดำเนินชีวิตต่อไปตามปรกติซะเลยดีกว่าครับ”

          “เป็นเด็กที่ไม่น่ารักเอาซะเลย” หญิงสาวเปลี่ยนท่าทีต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา คราวนี้เธอโกรธมาก ขณะนี้ภายในห้องทั้งสองต่างจ้องตากันราวกับจะเข่นฆ่า

          “ไม่ได้อยากจะน่ารักเลยซักนิดครับ” พีชลุกขึ้นยืนบนเตียงพร้อมถอดสายน้ำเกลือออกอย่างช้าๆ“ใคร มันจะไปยอมตายกันล่ะ อีกอย่างคนๆ นั้นที่มาเข้าสิงผม ถึงตอนแรกจะดูมีพลังวิญญาณมากกว่าก็เถอะ แต่ตอนนี้ผมอยู่ในจุดที่เหนือกว่าแล้ว..ไม่มีทางที่เขากลับออกมาหน้าฉากได้ อีกแล้วล่ะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า”

          “ถึงแบบนั้นฉันก็ไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นหรอก...พี่น้องเขาอุตส่าห์จะได้เจอกันแล้วแท้ๆ” อีฟวิ่งไปขวางประตูห้องพยาบาล “ถ้าไม่ยอมคืนพี่ธันมาละก็ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอไปไหนแน่ ถึงเธอจะมีคนที่อยากเจออยู่แต่ทำแบบนี้มันไม่ถูก”

          “เปล่าประโยชน์ครับ” หลังสิ้นคำนั้นจู่ๆ พื้นภายในห้องก็สั่นไหว ข้าวของเครื่องใช้ทั้งแก้วน้ำ แจกัน เก้าอี้ และเตียงที่เขายืนอยู่ต่างลอยไปมารอบๆ ห้องราวกับในภาพยนตร์สยองขวัญ เสียงข่วนกระจกดังหวีดเสียงชวนเสียวฟัน

          อีฟรีบก้มตัวหลบสิ่งของที่พุ่งเข้าทำร้ายเธอ เพล้ง แก้วน้ำลอยข้ามหัวอีฟกระแทกกับบานประตูแตกเป็นเศษๆ และที่น่ากลัวคือเศษเหล่านั้นยังลอยขึ้นมาเป็นของมีคมพุ่งตรงเข้าใส่ ทำให้เธอต้องกลิ้งหลบมันอย่างรวดเร็วเฉียดตัวไปเส้นยาแดงผ่าแปด “ปรากฏการณ์โพลเทอร์ไกสท์” เธอมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตกอกตกใจ

          “......” กลิ่น คาวฉุนไปทั่วห้องพักผู้ป่วย ข้าวของปลิวว่อนกระจัดกระจายล่องลอยอยู่กลางอากาศ พีชฉีกยิ้มกว้างสยอง นัยน์ตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับเลือด

**************************************************************************************************************

          ไคเดินตรงอย่างรวดเร็วไปยังลิฟท์ซึ่งขณะนี้เขาอยู่ ณ ชั้น 6 ของโรงพยาบาล หลังจากกดสวิทซ์ลูกศรชี้ลงเขายังคงต้องรอให้มันลงมาจากชั้น 9

          ติ๊งตึ่ง เมื่อลิฟต์เคลื่อนลงจากชั้นบนจนมาถึง เขาเดินก้าวเข้าไปพร้อมหลับตาเพื่อไม่ให้มองเห็นเหล่าสิ่งลึกลับภายในลิฟท์ รอบๆ ตัวของเขาอย่างเช่นเคย ถึงแม้เด็กหนุ่มจะพอชินตาอยู่บ้างกับเหล่าสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติ แต่บางครั้งเขาก็ยังคงกลัวและหวั่นไหวกับมันอยู่บ้าง ถึงแม้จะชินชาสักเท่าไหร่ความกลัวก็มิได้หายไปเขาจึงเลือกที่จะไม่มองสิ่ง เหล่านั้นถ้าไม่จำเป็นดีกว่าจดจำมาเป็นภาพติดตา ตัวเลขไล่ลงมาทีละชั้นจนกระทั่งถึงเลขหนึ่ง เมื่อประตูเปิดเด็กหนุ่มก้าวขาออกจากลิฟท์ เดินตรงผ่านบริเวณจ่ายยาออกไปนอกประตูอัตโนมัติบานใหญ่อย่างเร็วรี่

          “นี่พี่ชายทำไมถึงรีบออกมาก่อนล่ะ รอพวกนั้นก่อนก็ได้นี่นา” เสียง เด็กสาวก้องกังวานอยู่ในหัวเด็กหนุ่ม ตอนนี้เธอเข้าสิงเขาอยู่จึงมีโอกาสส่งผ่านมาแค่เพียงเสียงในบางครั้งเท่า นั้นเพราะเธอต้องใช้คลื่นวิญญาณความถี่สูงมากในการสนทนาแบบนี้ 

          “ฉันมองเห็นวิญญาณซ้อนทับในร่างของผู้ชายคนนั้น” ไคก้มหน้าลงพูดเบาๆ เพื่อไม่ให้คนรอบข้างสังเกตว่าเขาพูดอยู่คนเดียว “บางทีอาจไม่ใช่ว่าหมอนั่นอยู่ในร่างแล้วพี่ธันมาเข้าสิงทับ แต่เป็นพี่ธันเข้ามาอยู่ในร่างนั้นก่อนแล้วโดนหมอนั่นสิงทับก็ได้ล่ะนะ”           

          “กลับกันสินะ คนที่อยู่ในนั้นไม่ใช่คุณเจ้าของร่างหรือคะ” 

          “เปล่า เป็นเขานั่นแหละไม่ผิดแน่ แต่ฉันรู้สึกแปลกๆ และดูเหมือนพี่อีฟก็จะรู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน ตอนที่พี่อีฟจ้องตาหมอนั่นฉันเห็นพี่เขาเหงื่อตกและน้ำตาไหลด้วย” ไคอธิบายถึงความรู้สึกที่ตนสัมผัส “หวังว่าพี่เขาคงจะไม่ทำอะไรให้ไก่ตื่นก่อนนะ ถ้าเราพาหมอนั่นไปหาพี่โตได้ก่อนเราคงพอจะทำอะไรได้บ้าง”

          ทันใดนั้นเสียงจากปากที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเด็กหนุ่มก็ดังกระซิบที่ข้างหูของไคชวนให้ใจหยุดเต้นฉับพลัน “จะพาผมไปหาใครหรือครับ”

ไคไม่รู้สึกตัวเลยว่าพีชเดินมาหาเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ “เหวอ น..นาย แล้วพี่อีฟล่ะ”

          “พี่สาวเขาบอกให้เราไปกันก่อนน่ะครับ เห็นเธอว่าจะไปเยี่ยมญาติที่บังเอิญพักอยู่ในโรงพยาบาลเดียวกันสักหน่อย” พีชตีหน้าซื่อพูดด้วยรอยยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          “เอ๋..พี่อีฟมีญาติอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ” เด็กหนุ่มเอียงคอสงสัย (‘ไม่เห็นจะบอกอะไรเราเลยนี่นา ช่างเถอะ’)

          “งั้นเรากลับโรงเรียนกันเถอะครับ” พีชพูดเสร็จก็เดินนำหน้าไคไปยังทางออกรั้วโรงพยาบาล

          “ช่วยไม่ได้แฮะ ตามนั้นแล้วกันถ้าไปสายกว่านี้คงลำบากทางเราล่ะนะ” และ ทั้งคู่ก็ขึ้นรถเมล์จากป้ายหน้าโรงพยาบาลกลับไปที่โรงเรียน ขณะนี้เวลา 18.20 น. เนื่องจากเป็นวันงานเทศกาลแม้จะถึงเวลาปิดงานลงแล้วก็ตาม ผู้คนในกลุ่มนักเรียนก็ยังคงครึกครื้นกับการจัดเก็บทำความสะอาดบูทและ พื้นที่ จึงยังพอมีโอกาสให้พีชและเธอคนนั้นได้พบกัน

**************************************************************************************************************

          “โธ่” เด็กสาวสะบัดผมหน้าม้าไปทางซ้ายมองหาเด็กหนุ่มตามทางเดินในอาคารเรียน พร้อมทำหน้าตาขมึงทึงโมโหลมออกหู “กริยาไปอยู่ไหนกันนะ  งานเทศกาลเลิกแล้วแท้ๆ ก็ยังหาตัวไม่เจอเลย” บน ชั้น 7 ของอาคารเรียนแอนนาหยุดเดินปาดเหงื่อที่ไหลตามหน้าผาก เธอเดินตามหาเด็กหนุ่มมาตลอดแต่ก็สวนทางกันทุกครั้งไป ในตอนที่เขาเข้าไปในบูทของแต่ละห้องและชมรมต่างๆ ก็ด้วยเช่นกันเธอเดินผ่านบูทเหล่านั้นไปโดยไม่ทันสังเกตเห็นแม้แต่น้อย

          “ทำหน้าบึ้งแบบนั้นจะไม่สวยเอานะจ้ะ” เสียง ของหญิงสาวเอ่ยขึ้นขณะเดินสวนมาทางเดียวกับแอนนา กลิ่นน้ำหอมโชยมาตลอดทางรองเท้าส้นสูงสีดำส่งเสียงตึกๆ ตามทางเดินในมือยังคงถือเอกสารต่างๆ

          เด็กสาวเงยหน้ามองดูผู้หญิงเธอทำท่าเหมือนจะไม่แน่ใจว่าจำหล่อนได้ “อาจารย์ที่กริยาพูดถึงนี่ สวัสดีค่ะอาจารย์ น..นวล..นวลผ่อง”

          ครูสาวขมวดคิ้วหน่อยๆ แต่ยังคงฝืนปากให้ยิ้มอยู่ “ครูชื่อนวลจันทร์จ้ะลูกไม่ใช่นวลผ่อง แฟนกริยาหรือจ้ะเห็นวันก่อนเดินมาสนิทสนมกันน่าดู” เธอหยอกเย้าลูกศิษย์พร้อมเผยอยิ้มมุมปากเก็บอาการหัวเราะให้กับเรื่องราวในวัยใสของทั้งคู่

          “ป..เปล่านะคะ” แอนนารีบตอบกลับในทันทีด้วยใบหน้าแดงก่ำ “กับคนที่หายตัวไปในวันสำคัญๆ แบบนี้น่ะหนูไม่ชอบหรอกค่ะ อีกอย่างเราก็เป็นเพื่อนกันด้วย” เธอทำสีหน้าจริงจังซึ่งถึงจะดูยังไงก็ดูไม่ออกเลยว่าเธอกำลังจริงจังอยู่

          “บางทีเขาอาจจะทำธุระสำคัญอยู่ก็ได้นี่จ้ะ อืม แต่จะว่าไปตั้งแต่เช้าครูก็ไม่เห็นเขาเลยนะ” ครูนวลจันทร์พูดไปพร้อมกับท่าทางกำลังนึกย้อนไปถึงเมื่อเช้าวันนี้ ที่เธอทักทายคุยกับลูกศิษย์ของเธอ

          “ใช่มั้ยล่ะคะ หรือจะเผลอตกบันไดที่ไหนอีกกันนะ” แอนนาขมวดคิ้วใช้นิ้วจิ้มหัวครุ่นคิด “ไม่ได้การแล้วหนูขอตัวไปหาก่อนนะคะ” ว่าแล้วเธอก็พุ่งเป็นจรวดตรงไปยังทางลงอีกฝั่งหวังจะหาตัวเด็กหนุ่มให้พบต่อไป

          คิก ครูนวลจันทร์หลุดขำกับท่าทางของเด็กสาวที่รีบออกวิ่งอย่างเร็วรี่เพื่อออกตามหาไค “คิก ฮ่าฮ่าฮ่า เด็กคนนี้นี่ บอกว่าไม่ชอบแต่เอาเข้าจริงก็กลับรีบหาซะขนาดนั้นเลยนะ” ครูสาวอดที่จะหัวเราะให้กับความน่ารักแบบเด็กๆ ของแอนนาไม่ได้

          แอนนาเดินตระเวนตามหาเด็กหนุ่มทั่วทั้งอาคาร บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยเด็กนักเรียนและอาจารย์ช่วยกันทำความสะอาดและเก็บ กวาดบูท  เธอพยายามสังเกตทุกๆ คนที่ผ่านไปมา ทว่าก็ไม่มีวี่แววของไคเลยสักนิด ทว่าเธอยังไม่ถอดใจยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความหวังเพียงว่าจะได้อยู่กับเด็กหนุ่มแค่สักสองสามนาทีก่อนที่การทำ ความสะอาดจะจบลงก็ยังดี

**************************************************************************************************************

            กลับมาที่ไคซึ่งใช้เวลาในการนั่งรถเมล์สี่ป้ายมาจนถึงโรงเรียนได้สำเร็จภาย ในเวลาอันใกล้ พวกเขารีบลงจากรถทันทีที่ประตูเปิดมุ่งหน้ากลับเข้าโรงเรียน และต้องไปให้ทันก่อนที่เธอคนนั้นจะกลับบ้านเสียก่อน

          “รีบไปกันเถอะ” ไควิ่งนำหน้าพีชไปยังอาคารเรียนอย่างรวดเร็ว ผ่านโจที่กำลังนั่งเก็บบูทอย่างลำพังตัวคนเดียวไปราวกับพายุ

          “เดี๋ยวสิร่างกายของฉันยังไม่หายดีนะ” แม้ จะพูดเช่นนั้นแต่พีชก็ยังคงวิ่งตามเด็กหนุ่มไปอย่างไม่ลดละ ภาพของคนที่เขาอยากพบผุดขึ้นมาในหัว เขาไม่อาจที่จะหยุดตัวเองได้อีกต่อไป

          ทั้งสองวิ่งขึ้นบันไดสวนทางเด็กนักเรียนหลายคนตรงไปยังชั้น 2 เป้าหมายคือบูทของนักเรียน ม.4 ห้อง A สถานที่เธอคนนั้นอยู่นั่นเอง

          “แนน” เมื่อพีชวิ่งไปถึงเขาตะโกนหาตัวเด็กหญิงลั่นห้อง ทุกคนที่กำลังเก็บกวาดโต๊ะเก้าอี้หันมามองเป็นสายตาเดียวกัน “แนนอยู่มั้ย”

          “ไปทิ้งขยะน่ะเดี๋ยวก็ขึ้นมาแหละ” เสียงหนึ่งในกลุ่มนักเรียนตอบกลับมา

          พีชถอนหายใจพลางย่อเข่าคลายอาการเหน็ดเหนื่อย “ง..งั้นเหรอ” เขาใช้มือกุมที่บริเวณท้อง ความรู้สึกเจ็บปวดทวีคูณจนแทบจะล้มลงกับพื้น (‘ชิ ร่างกายนี้ชักจะใช้ไม่ได้แล้วสินะ’) เด็กหนุ่มนั่งลงพิงประตูรอเด็กสาว 

          “ถ้างั้นนายรอคุยกับเธอไปก่อนนะเดี๋ยวฉันมา” ไคก้มลงกระซิบที่ข้างหูพีช “พอดีรุ่นของฉันกำลังเก็บบูทอยู่คนเดียวน่ะ ถ้าไม่ไปช่วยคงดูน่าเกลียดแย่ แล้วก็อย่าหนีซะล่ะ”

          “ชิ มันแน่นอนอยู่แล้วล่ะน่า” พีชทำสีหน้าเจ็บปวดกับร่างกายก่อนจะตอบอย่างเกร็งๆ “ร่างนี้..ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว”  

          “ขีดจำกัดเหรอ” ไคเอียงศีรษะหน้าตาบ่งบอกได้ว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พีชพูด

          “ใช่ ฉันกำลังจะน็อคอยู่รอมร่อแล้วไงล่ะ” สีหน้าของพีชไม่ค่อยสู้ดี “ช่างเถอะนายรีบไปเก็บบูทนั่นแหละ เดี๋ยวถ้าฉันสลบไปรุ่นพี่ของนายก็จะออกมาแทนเองนั่นล่ะ”

          “อ..อื้มเข้าใจแล้ว” ไคพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจก่อนจะรีบวิ่งลงบันไดไปช่วยโจเก็บบูท

          เมื่อไควิ่งไปลับตารอยยิ้มชวนขนลุกก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของพีช (‘ใช่ แล้ว ไปไกลๆ เถอะไอ้โง่เอ้ยหลังจากที่ฉันเจอกับแนนแล้วพวกเราจะกลับบ้านด้วยกัน นอกจากนี้วิญญาณของรุ่นพี่แกนะกำลังหลอมรวมเข้ากับร่างของฉัน หรือก็คือขอแค่ให้คืนนี้ผ่านไปรุ่นพี่ของแกจะถูกฉันกลืนกินไปจนหมด เท่านี้ฉันก็สิงอยู่ในร่างของตัวเองโดยไม่ต้องหวั่นถูกดึงออกจากร่างได้แล้ว’) เมื่อ ธันถูกหลอมเข้ากับร่างของพีชก็เปรียบเสมือนว่าเจ้าของร่างเป็นธันไปอีกคนตาม ทฤษฏีของพี่โตที่ความทรงจำและความรู้สึกจะส่งไปถึงกันระหว่างร่างกับวิญญาณ ซึ่งอาจทำให้ธันโดนความทรงจำซ้อนทับจนสับสนระหว่างตัวเองกับพีชได้นอกจาก นั้นจะทำให้เขาไม่สามารถออกจากร่างของพีชได้อีกเลย ทำให้ร่างของพีชสามารถดำรงอยู่ตามปรกติไม่ตายจนกว่าร่างจะเสื่อมสลายไปเอง เป็นวิธีเข้าสิงตัวเองที่พีชใช้ได้อย่างหลักแหลม

          ในไม่กี่อึดใจหลังจากที่รอไม่นานนักเด็กสาวก็กลับขึ้นมาจากชั้นล่างพร้อมกับ ถังขยะหนึ่งใบ เธอเดินตรงมาพร้อมกับสีหน้าประหลาดใจที่เห็นพีชนั่งรออยู่หน้าบูท ร้านกาแฟซึ่งกำลังถูกเก็บกวาด

          “พีช” แนนปล่อยมือจากถังขยะลงดังตึง ก่อนจะนั่งลงมองอย่างเป็นห่วง “มานั่งอยู่หน้าห้องทำไม แล้วเด็กผู้ชายเมื่อตอนกลางวันล่ะ” 

          “หืม พูดเรื่องอะไรน่ะ ผมก็มารอแนนไง” พีชยิ้มให้เด็กสาว ซึ่งทำให้เธอประหลาดใจ

          “หรือว่าความทรงจำ” แนนโผเข้ากอดเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็วจนเขาแทบไม่ทันตั้งตัว “จำเราได้แล้วเหรอ ฮือๆ ดีใจจังนึกว่าจะลืมเราไปตลอดเสียแล้ว พีชนี่ละก็ตาบ้าๆๆ” เธอร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ

          “อ..เอ๋” พีชเกาศีรษะอย่างงุนงงกับท่าทีของแนน (‘ไอ้เจ้าบ้าพวกนั้นมันใช้ร่างเราไปพูดอะไรกับยัยนี่วะ’) พีชใช้มือทั้งสองข้างจับบ่าของแนนดันออกอย่างช้าๆ “ยังไงก็รีบทำความสะอาดให้เสร็จแล้วรีบกลับบ้านกันเถอะ”

          “งาน ของฉันทำเสร็จแล้วล่ะ ที่เหลือเป็นหน้าที่ของพวกคนอื่นๆ เดี๋ยวฉันจะเอาถังขยะไปเก็บแล้วพวกเรากลับกันนะ อีกอย่างหนึ่งฉันอยากจะพานายไปหาหมอด้วย” แนนลุกขึ้นปัดฝุ่นที่กระโปรงแล้วยกถังขยะเดินเข้าไปในห้อง   

          “อื้ม..จะรอนะ” พีชโบกมือให้กับเด็กสาวด้วยรอยยิ้ม  (‘ต้องรีบไปก่อนที่หมอนั่นจะกลับมา’) เขา กลับมายืนพิงประตูรอเช่นเคยพลางคิดแผนการ ขณะนี้ท้องฟ้ายามเย็นกำลังเริ่มเป็นสีน้ำเงินเข้ม ผ่านพ้นแสงสีแสดจากดวงตะวันมาได้พักหนึ่งแล้ว นักเรียนส่วนหนึ่งเริ่มทยอยกันกลับบ้านผ่านหน้าเขาไปทีละคนสองคน

          “เสร็จแล้วล่ะ กลับบ้านกันเถอะ” ไม่ นานนักแนนก็เดินออกมาจากห้องพร้อมเป้หนึ่งใบสะพายหลัง เธอสะกิดไหล่เด็กหนุ่มเรียกเขาเบาๆ ก่อนจะเดินนำหน้าไปยังทางลงบันไดที่เริ่มจะมืดครึ้มจนมองเห็นทางลงแค่เพียง ลางๆ เนื่องจากไฟบริเวณทางเดินและบันไดยังไม่เปิด

          “อื้ม” พีชพยักหน้าตอบแนนก่อนจะเดินตามไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าเขากลับหยุดเดิน “นี่แนน” คำถามบางอย่างดังขึ้นในหัวใจของเขา    

          เด็กสาวหยุดเดินก่อนจะไปถึงทางลงบันได “มีอะไรเหรอ” เธอหันกลับมาด้วยความสงสัย 

          “ถ้าสมมุติว่าวันหนึ่งฉันตายขึ้นมาแล้วเธอจะรู้สึกยังไงเหรอ” ความกังวลส่งผ่านออกมาทางสีหน้าแววตาของพีชอย่างเห็นได้ชัด “เธอจะกลัวฉันที่เป็นผีรึเปล่า”

          เมื่อเธอมองอาการกังวลที่เด็กหนุ่มแสดงออกก็ก้มลงหลับตาส่ายหน้า แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งด้วยรอยยิ้มที่เจือปนน้ำตา “อย่าพูดเรื่องที่น่าเศร้าแบบนั้นสิ” เธอรู้สึกใจหายอย่างไม่รู้สาเหตุที่พีชพูดออกมาเช่นนั้น “พีชอย่าจากเราไปเลยนะ”

          พีชรีบส่ายหน้าทันทีที่เด็กสาวฉายแววตาเศร้าสร้อย “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะไม่ตายเด็ดขาด” เขากำมือฝืนความรู้สึกผิดพูดออกไป 

          “เรื่องนั้นน่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นบริเวณที่พักบันไดตัดกับคำพูดของพีชในทันที             

          “ค..ใครน่ะ” พีชมองไปยังทางลงที่ปกคลุมไปด้วยความมืดพร้อมกับเด็กสาวที่ตกใจไม่ต่างกัน

          ตึก ตึก ตึก เสียงก้าวขึ้นบันไดดังกังวานอย่างเชื่องช้า ภายใต้เงามืดเผยโฉมเด็กหนุ่มคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ภายใต้ชุดนักเรียนความมืด ทำให้มองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจนนัก

          “แกเป็นใคร” สายตาของพีชเกือบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงแต่โชคดีที่เขายังกดเก็บไว้ได้ทันก่อนที่แนนจะรู้ตัว

          เงาเด็กหนุ่มหยุดยืนบริเวณทางบันได ก่อนจะค่อยๆ ตอบอย่างเยือกเย็นข่มบรรยากาศชวนขนลุกที่ขยายแผ่ออกมาจากตัวของพีช “นายไม่มีทางที่จะอยู่กินแบบคนปกติได้อีกแล้วล่ะตัดใจซะเถอะ” เขาฉีกยิ้มภายใต้เงามืด “เพราะว่านายได้ตายไปตั้งแต่อุบัติเหตุรถยนต์เมื่อบ่ายวันนี้แล้วไงล่ะ” ตึก เสียงก้าวขาดังขึ้นมาอีกหนึ่งก้าว “คงจะออกอุบายให้ธันคิดว่าวิญญาณของหมอนั่นไปกดทับวิญญาณของนายเพื่อหาข้ออ้างให้เขายอมไปอยู่ใต้จิตสำนึกสินะ”           

          “นี่พีช เขากำลังพูดอะไรเหรอ” เด็กสาวหันมามองเด็กหนุ่มที่ยืนตัวสั่นแข็งทื่อไม่พูดจาโต้ตอบใดๆ

          เงาเด็กหนุ่มยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ “ตาม ความจริงแล้ววิญญาณที่เข้าสิงร่างที่ว่างเปล่าหากไม่ถูกร่างผลักไสก็ต้องถูก กลืนกินหรือถ้าโชคดีก็ยึดร่างได้สมบูรณ์ เมื่อคนเราตายไปแล้วอายุขัยเป็นศูนย์จะไม่สามารถกลับเข้าร่างของตนได้อีก เป็นครั้งที่สอง มันก็เหมือนกับบัตรต่างๆ ที่หมดอายุนั่นแหละมีไปก็ใช้ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอยู่วิธีหนึ่ง”

          “หุบปากซะ” พีชหลุดตะโกนลั่นสนั่นทั่วระเบียงทางเดิน ทำให้แนนตกอกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

          “พ..พีชนายเป็นอะไรน่ะ”

          “วิธีนั้นก็คือให้วิญญาณของคนอื่นมาเขาสิงร่างที่ว่างเปล่าของเราซะ เสี่ยงปล่อยให้ถูกร่างกายกลืนกินแล้วค่อยสิงทับไปอีกรอบหนึ่งเหมือนกับเป็น การเปลี่ยนเจ้าของร่าง ร่างนั้นจะมีชีวิตต่อไปได้ด้วยวิญญาณที่ไม่ใช่ของๆ เรา และหลบหนียมทูตได้อย่างแนบเนียน” ตึก ตึก ตึก “ถามว่าฉันเป็นใครงั้นเหรอ” เด็กหนุ่มค่อยๆ ก้าวออกมาจากบริเวณบันไดโผล่พ้นเงาตรงระเบียงทางเดิน

          แนนเดินถอยร่นไปข้างหลังใกล้ๆ กับพีช “ใครน่ะอย่ามาพูดมั่วนิ่มนะ พีชน่ะเป็นคน เรื่องผีๆ อะไรนั่นมันมีจริงซะที่ไหนกัน” เธอตะคอกใส่เด็กหนุ่มด้วยความโกรธ

          “ฮิฮิฮิ มีจริงซะที่ไหน แต่ที่ยืนอยู่หน้าเธอตอนนี้ก็เป็นถึงประธานชมรมวิจัยเรื่องลึกลับเชียวนะ” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มใบหน้าที่เหมือนจะจริงจังแต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียวของประธานหนุ่ม คนนี้ไม่เคยมีใครเทียบได้ แววตาของโตเบิกกว้างก่อนจะชี้นิ้วตรงไปยังพีช “แถมไอ้ที่เธอกำลังปกป้องอยู่นั่นล่ะผีของจริงเลย” 

          “หุบปากซะ ก็บอกให้หุบปากไงเล่า” ความโกรธของพีชสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งชั้น ประตูปิดกระแทกดังปึง ปังเสียงหน้าต่างกระจกทุกบานดังหวีดร้องลั่นทำลายประสาทแก้วหู ข้าวของต่างๆ รอบๆ ระเบียงทางเดิน เช่น กระถางต้นไม้ประดับข้างทาง โต๊ะไม้ที่ใช้จัดงานวางอยู่หน้าห้อง ลอยไปมาเป็นพายุ กลิ่นคาวเลือดและอากาศหนาวเย็นชวนให้รู้สึกราวกับหลุดไปอีกโลก นัยน์ตาของพีชเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด

          “ก็ได้ยินจากอีฟมาแล้วล่ะนะเรื่องที่แกเป็นผีไปแล้ว ฮิฮิฮิ แต่ถึงกับเรียกปรากฏการณ์โพลเทอร์ไกสท์ได้นี่ระดับไม่ใช่ย่อยแฮะ” โตเหงื่อตกขณะมองไปยังข้าวของที่เตรียมจะพุ่งตรงมาทางเขา “เป็นหลักฐานว่านายออกจากร่างอย่างสมบูรณ์ไปแล้วจริงๆ ไงล่ะ สภาพผีอย่างเห็นได้ชัด” ฟุบ เพล้ง โตกระโดดหลบแจกันที่พุ่งเข้าใส่

          “น..นี่มันอะไรกันพีช” แนนวิ่งเข้าไปเขย่าตัวเด็กหนุ่ม ทว่าตอนนี้เขาได้กลายสถานะเป็นวิญญาณคลั่งไปเสียแล้ว

          “หุบปาก หุบปากซะ แนน..ฉันจะอยู่กับแนน” ใบหน้าขมวดคิ้วเส้นเลือดปูดโปนทั่วทั้งร่างดวงตาแดงฉานกลิ่นเหม็นเลือดลอยฟุ้ง ทุกๆ สิ่งผิดไปจากเมื่อก่อนหน้านี้ลี้ลับ

           (‘พลัง มากขนาดนี้ หรือจะเพราะยันต์ผีผ่านบางส่วนที่ยังแกะไม่หมดกันนะ บ้าชะมัดจะใช้เป็นเหยื่อล่อเจ้าตัวการแท้ๆ ไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเสียก่อน’) โตกัดฟันขณะคิดหาวิธีหยุดปรากฏการณ์ที่รุนแรงนี้ก่อนที่ตัวเองจะถูกข้าวของพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง

              ฟุ่บ เพล้ง ฟุป ปัง คลุกๆ ปึง ทั้งเสียงกระถางต้นไม้กระแทกเข้ากับผนัง เสียงโต๊ะไม้พุ่งเข้าชนกับราวบันไดไถลตกลงไปยังที่พักบันไดดังสนั่นไปทั่ว อาคารทว่ากลับไม่มีใครออกจากห้องมาดูเหตุการณ์เลยแม้แต่คนเดียว อาจเพราะเปิดประตูไม่ออกก็เป็นได้ ทำให้ทุกคนถูกขังอยู่ในห้อง

             “ฮิฮิฮิ มีแต่ต้องหลบไปจนกว่าข้าวของจะหมดสินะ” โตกลิ้งหลบแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างเหน็ดเหนื่อย

          “เปล่าประโยชน์” พีชตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เศษแจกัน กระถางต้นไม้และเศษโต๊ะที่ขาหักเป็นท่อนไม้ พุ่งกลับเข้ามาใส่ประธานหนุ่มจากทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว

          ฟุบ ฉึก “อ้าก” โตหลบท่อนไม้ได้สำเร็จแต่ก็พลาดท่าถูกเศษกระถางปักทะลุไหล่ซ้าย เลือดไหลรินลงพื้นเสื้อนักเรียนถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉาน ความเจ็บปวดพุ่งตรงเข้าสู่ร่างกายในทันที เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะหลบหลีกอะไรได้อีกเนื่องจากเพียงฝืนบาดแผลก็เต็ม กลืนล้มลงนอนโอดโอยอยู่กับพื้น “อ๊าก แขน แขนฉัน” น้ำตาไหลพรากแม้กัดฟันทนก็มิอาจฝืนได้

          แนนมองดูโตดิ้นกระตุกไปมาอยู่บนพื้นอย่างน่าสงสารก็ไม่อาจฝืนได้ “พอได้แล้ว พอเดี๋ยวนี้เลยนะพีช มันมากไปแล้วดูเขาสิเลือดออกซะขนาดนั้น”

          “แนน..ฉันจะอยู่กับแนน ใครก็ตามที่ขวางต้องตาย” เสียง ของเด็กหนุ่มทุ้มต่ำลงอีก เขาไม่ได้ยิน  คำวิงวอนของเด็กสาวเลยแม้แต่น้อย บรรยากาศตึงเครียด ชายที่อยู่เบื้องหน้าของแนนตอนนี้ไม่ใช่พีชที่เธอเคยรู้จัก

          “อ้าก หมอนั่น โอ้ย ถูกกลิ่นไอความมืดจากโรงเรียนนี้กลืนกินหมดแล้ว” โตพยายามฝืนอาการเจ็บแผลบอกเด็กสาวถึงสิ่งที่หล่อนควรทำ “วิ่ง วิ่งหนีไปซะ”

          “ม..หมายความว่าไง พีชจะทำร้ายฉันเหรอ” แนนหันไปถามประธานหนุ่มที่นอนชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น

          “หมอนั่นหลุดการควบคุมไปแล้ว” ประธาน หนุ่มพยายามคลานหนีออกจากสถานที่ตรงนั้นอย่างเร็วที่สุด เขาไม่ทันได้เตรียมรับมือกับสถานการณ์นี้ หากยังฝืนสู้ต่อไปคงไม่ง่ายที่จะชนะพิษบาดแผลขนาดใหญ่บริเวณไหล่ซ้ายได้

            แนนที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีจึงคิดได้เพียงวิ่งไปพยุงแขนขวาของโตเดินหนี จากพีชให้โดยเร็วที่สุด เธอแบกร่างอันหนักอึ้งพาเขาดั้นด้นก้าวจนถึงทางลงบันไดสำเร็จ น่าแปลกที่ข้าวของยังไม่พุ่งใส่เธอทั้งที่วิ่งไปเป็นเป้าล่อเสียขนาดนั้น

          และในขณะนั้นเองเสียงที่ไม่คาดคิดก็ดังขึ้นมาจากชั้นสามราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง  “กริยา.. กริยา อยู่ที่ไหน” เสียงเด็กสาวชวนคุ้นหูทำให้โตถึงกับหยุดเดินหนี

          ดวงตาประธานหนุ่มเบิกโพลง สีหน้าซีดเผือด “แม่สาวจากดวงจันทร์” แนนแหงนมองเหนือบันไดตามเสียง และในตอนนี้ดูเหมือนว่าพีชจะพบกับเป้าหมายใหม่เสียแล้ว             

 

 

จบตอน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป ปล.รักนะคนอ่าน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา