ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

6.8

เขียนโดย shotaro

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.

  32 ตอน
  8 วิจารณ์
  32.10K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

25) คาบเรียนที่ 13.5 : รัก และชมรม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 คาบเรียนที่ 13.5 : รัก และชมรม (บทอำลา 9)

              เด็กสาวที่ก้าวขาลงมาเผชิญกับอันตรายโดยไม่รู้ตัวนั้นยังตะโกนตามหาเด็กหนุ่ม “กริยา.. กริยา อยู่ที่ไหน” เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น

ฟุบ เก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งพุ่งตรงไปยังเด็กสาวที่กำลังเดินลงบันไดมายังชั้น 2 เธอเพิ่งสังเกตเห็นมันซึ่งก็สายเกินไปแล้ว มันพุ่งอย่างรวดเร็วมากเกินกว่าที่จะวิ่งหลบไปในจุดที่คับแคบระหว่างทางลง บันได

           “บ้าเอ้ย” โตกระ โจนเอาตัวเข้าไปรับแรงกระแทกแทนแอนนาอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด ผัวะ เสียงเก้าอี้กระแทกศีรษะของโตแตกในชั่วอึดใจ ตุบ ล้มกลิ้งคลุกๆ ลงบันได โชคดีของเด็กสาวที่ประธานหนุ่มมารับได้ทัน แต่ช่างเป็นโชคร้ายของเขาซึ่งเจ็บปวดไปทั้งตัว

แอนนาที่ได้แต่ยืนขาไม่กระดิกด้วยความตกใจและไม่ทราบสถานการณ์ “ก..กรี๊ด” เธอกรีดร้องดังไปจนถึงชั้นล่างเมื่อก้มลงเห็นโตนอนจมกองเลือดบริเวณตีนบันไดเป็นภาพซ้อนทับกับไคเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

“เจ็บ ทรมานชะมัด” โต ครวญครางอยู่กับพื้นซึ่งมีกองเลือดไหลออกมาจากแผลที่แขนและหัวรวมกันเป็น ลิตร ตอนนี้โตไม่เหลือแรงแม้แต่จะหนี เขาทำได้มากสุดแค่เพียงรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายก่อนจะสิ้นสติ ตะโกนออกไปสุดเสียงที่เขามีอยู่ “หนีไป” เป็นคำสั่งให้ทั้งแนนและแอนนาวิ่งหนีไปก่อนที่ตนจะช็อคไปเพราะเสียเลือด

ทั้งแนนและแอนนาต่างหยุดนิ่งชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจวิ่งหนีให้เร็วในที่สุด โดยที่แนนวิ่งลงไปข้างล่างในขณะที่แอนนาวิ่งกลับขึ้นไปข้างบนอาคาร พีชไร้สติเนื่องจากถูกความมืดภายในโรงเรียนควบคุมอยู่ เขาเดินเข้าใกล้โตขึ้นเรื่อยๆ ความโกรธถูกดันขึ้นจนถึงขีดสุด ราวกับคนบ้าที่คลุ้มคลั่งเขากระทืบโตที่หมดสติไปแล้วไม่หยุดหย่อนเตะแล้วเตะ อีกเหยียบซ้ำแล้วเยียบซ้ำอีกจนร่างกายของโตสาหัสขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีวี่แววว่าใครจะมาช่วยเขาเลยแม้แต่คนเดียว

หลังจากที่กระทืบจนสะใจพีชก็ปล่อยร่างที่จมกองเลือดของประธานหนุ่มทิ้งไว้ เดินลงบันไดตามคนที่ตนรักไปพร้อมกับกับข้าวของที่ลอยตามมาเป็นขบวน พลังวิญญาณร้ายที่ยากจะต่อกร ‘โพลเทอร์ไกสท์’ ทำให้ชายคนนี้น่ากลัวกว่าผีทั่วๆ ไปมากนัก

“แนน... แนน... แนน...” เขา พึมพำเสียงทุ้มต่ำลงเรื่อยๆ สายตายังคงแดงก่ำราวกับเลือด สร้างความหวาดเสียวทุกย่างก้าวที่ลงบันไดเสียงดัง แอด แอด ทั้งที่เป็นบันไดกระเบื้องทว่ากลับดังเป็นเสียงบันไดไม้

เด็กสาววิ่งลงจนสุดทางที่ตีนบันได ประตูทางออกนอกอาคารซึ่งเป็นทางหนีเดียวถูกปรากฏการณ์โพลเทอร์ไกสท์ปิดตายไป เสียแล้วคนนอกเข้ามาไม่ได้คนในก็ออกไม่ได้เช่นกัน แนนทำได้เพียงวิ่งตรงไปทางขึ้นบันไดอีกฟากหนึ่งเธอวิ่งไปเท่าที่ชีวิตจะวิ่ง ได้ ขณะที่ใจหนึ่งก็รักอีกใจหนึ่งก็ยังคงกลัวอยู่ไม่ขาด น้ำตาของหล่อนจึงยังคงไหลอยู่เป็นสาย ความสับสนครั้งนี้ช่างยากจะทำใจ

              แนนที่ต้องจำใจวกกลับขึ้นไปบนอาคาร เฝ้ามองหน้ามองหลังอยู่เป็นระยะหวั่นจะโดนจับตัวได้ เธอไม่รู้ว่าพีชจะทำอะไรเมื่อหาตนพบ ‘พีช..ฮือๆ พีช..’ เสียงในใจเธอกำลังคร่ำครวญทุกย่างก้าวที่วิ่งหนีด้วยความกลัว

“ทางนี้ครับ” เสียงเด็กผู้ชายดังขึ้นขณะจับมือเด็กสาวที่กำลังวิ่งขึ้นบันได เขาจับข้อมือหล่อนไว้พาหลบที่มุมมืดหน้าทางเข้าห้องน้ำติดกับหัวบันไดชั้น 2  

“อ้า..ย” แนนเกือบจะกรีดร้องด้วยความตกใจแต่ก็ตั้งสติได้ทัน เห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กตัดผมรองทรงสูงเงยหน้าขึ้นในขณะใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปาก บอกให้หล่อนเงียบไว้ “ธ..เธอเป็นใคร”  

“ชู่ว เงียบก่อนครับ”

ตึก ตึก ตึก เสียงเท้าดังตามขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ให้ความรู้สึกหวาดหวั่นว่าจะถูกพบ เสียงเท้าเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เป็นจังหวะพลางได้ยินเสียงครวญครางต่ำๆ “แนน...แนน...แนน...” ฝีเท้า เข้าประชิดกับขอบทางเข้าห้องน้ำซึ่งทั้งคู่หลบอยู่หลังผนังเหลื่อมกันเพียง ไม่ถึงเมตร ทั้งสองต่างภาวนาในใจให้พีชเดินต่อขึ้นไปชั้นบน ตึก ตึก ตึก เสียงเดินต่อขึ้นไปชั้นบนทำให้พวกเขาโล่งอก ‘เกือบไปแล้ว’ ต่างฝ่ายต่างคิดเช่นกัน ทว่าไม่นานนัก ตึก ตึก ตึก เสียงเดินกลับลงมาจากชั้นบนดังขึ้นพร้อมกับประโยคชวนสติขาด “รู้นะว่าอยู่ตรงนั้น”

‘ท..ทำไงดี’ แนนรีบคิดในใจฝืนกลั้นความหวาดหวั่นเอาไว้ในส่วนลึก หันไปมองเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งเขาเงยหน้าขึ้นมองเธอพร้อมกับรอยยิ้มดั่งว่าทุกอย่างได้เตรียมการไว้ พร้อมแล้ว

เสียงกระซิบดังข้างหูเด็กสาว “แนน..”

เธอกัดฟันเงียบเข้าสู้เธอเชื่อใจในเด็กชายที่ยืนยิ้มอยู่ด้านข้าง และนั่นคงดีกว่าเผชิญหน้ากับพีชโดยลำพัง แม้ตัวของเธอยังคงสั่นเทาก็ตามแต่เธอก็ไม่หลุดปากกรีดเสียงแม้แต่น้อย

              เมื่อเงียบไปได้สักพัก ตึก ตึก ตึก เสียงนั้นก็ค่อยๆ เดินห่างออกไป ราวกับว่าเมื่อสักครู่นี้เป็นการเช็คเพื่อความแน่ใจ ช่างเกินคาดที่ไร้สติแล้วยังสามารถนึกคิดกลวิธีการล่อเหยื่อเช่นนี้ได้ สาเหตุอาจเพราะการที่ถูกความโกรธครอบงำก็ใช่ว่าจะไม่เหลือความนึกคิดเลย

              เมื่อเสียงเท้าเดินขึ้นไปจนไม่ได้ยินและแน่ใจได้แนนจึงหันไปซักถามเด็กชาย “เธอเป็นใครน่ะ อ๊ะ ม.1 เองเหรอ” เด็กสาวเพ่งมองไปจนเห็นว่าเป็นเข็มของระดับชั้น ม.1

“สมาชิกของชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ แทงค์ครับ” เด็กชายเอ่ยอย่างใจเย็น

“ชื่อนี้จะว่าไปตาคนแปลกๆ คนนั้นก็พูดถึงนี่นะ ชมรมแบบนั้นโรงเรียนเรามีด้วยเหรอ” แนนทำท่าทีสนใจในชมรมมากกว่าเด็กชายเสียแล้ว

“คือพวกเรา..” แทงค์เบือนหน้าหลบสายตาเด็กสาว

“อ๊ะ หรือว่าจะแอบจัดตั้งขึ้น” สมแล้วที่เธออยู่ห้องคลาส A เดาได้แม่นในทันทีก่อนแทงค์จะอธิบายเสียอีก

“อย่าเอาไปบอกใครนะครับ พอดีพี่โตบอกว่าพี่สาวเป็นลูกค้าผมจึงพอบอกได้อยู่บ้าง แต่หากคนนอกรู้เข้าเราอาจถูกยุบชมรมก็ได้” เด็กชายขอร้องด้วยแววตาที่อ้อนวอนต่อหญิงสาว

“จ้าๆ เรารีบหาวิธีหนีกันเถอะ ก่อนที่พีชจะเปลี่ยนใจย้อนกลับลงมา” เธอ เก็บความสงสัยที่เหลือเอาไว้ในใจทั้งเรื่องที่เกิดอะไรขึ้นกับลูกพี่ลูกน้อง และเรื่องน่ากลัวอย่างปรากฏการณ์โพลเทอร์ไกสท์ เพราะเห็นว่าแทงค์ยังเป็นเด็ก คงมิอาจถามคำถามซับซ้อนได้มากนัก 

“เรื่องนั้นเราคงจะออกไปไม่ได้หรอกครับ เพราะประตูทุกบานแม้แต่ห้องน้ำก็ถูกปิดตายเอาไว้ เด็กนักเรียนที่อยู่ในห้องต่างก็ออกมาไม่ได้ ทั้งอาคารเหลือเพียงแค่พวกเรากับเด็กบางกลุ่มที่เดินไปมาอยู่ชั้นบน ถ้าเราไม่จัดการกับต้นตอนอกจากจะออกไม่ได้แล้วพวกคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็อาจ ได้รับบาดเจ็บไปด้วย” แทงค์อธิบายสาเหตุให้แนนเข้าใจว่าอย่างไรก็ต้องกำจัดพีชซะ “ใน ตึกนี้มีพวกผมแฝงตัวอยู่ 3 คนเตรียมการไว้ก่อนหน้านี้ตามคำสั่งของพี่โตแล้ว แต่ว่าถ้าพี่ชายคนนั้นยังอยู่ก็แสดงว่าพี่โตโดนเล่นงานไปแล้วสินะครับ”

“...” แนนพยักหน้า “ถ้าหมายถึงผู้ชายที่ทำตัวแปลกๆ ก็น่าจะใช่ล่ะนะ”           

“เห็นทีคงจะลำบากแล้วสิ” แทงค์ ใช้มือซ้ายแตะริมฝีปากขณะคิด เขามองบรรยากาศสลัวโดยรอบ ซึ่งถึงจะมืดแต่ก็ยังพอเห็นได้ลางๆ พอให้ทราบว่าอะไรเป็นอะไร แต่หากปล่อยให้ดึกไปกว่านี้คงต่อกรกับผีได้ยากขึ้นไปอีก “สถานะ ของพี่คนนั้นเหมือนกับผีคนเป็น ถึงแม้จะตายไปแล้วและได้รับพลังวิญญาณแข็งแกร่งแค่ไหนก็ยังอยู่ในร่างคน นั่นหมายความว่าเขายังสามารถตายได้อยู่ แต่ถ้าเราฆ่าร่างไป วิญญาณอาฆาตของเขาก็จะออกมาอยู่ดีสู้ยังไงก็ไม่ใช่ว่าจะชนะได้ง่ายเลยครับ ไหนจะผิดกฎหมายอีก แถมคนที่เชี่ยวชาญเรื่องมนต์คาถาของชมรมเราก็มีพี่โตอยู่คนเดียวซะด้วย”

              “แบบนั้นฉันไม่เอานะ แล้วทำไมพีชถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย ทำไม ทำไมคนที่ฉันรักถึงต้องตายด้วยล่ะ” แนนร้องไห้พร้อมกับทรุดตัวนั่งกับพื้น

“นั่นสินะครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันทำไมถึงต้องตายจากกันด้วย ถ้ารู้ว่าการตายจากกันจะต้องเสียใจขนาดนี้ผมคงไม่คิดเกิดมา” เด็กชายเห็นภาพของธันซ้อนเข้ามาในความทรงจำ “ความเป็นจริงนี่มันโหดร้ายนะครับ ทั้งที่คิดว่าจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปแท้ๆ พอคิดถึงเขาทีไรน้ำตาผม...” เด็กชายกำมือกัดฟันไว้แน่นแต่ก็อดกลั้นน้ำตามิไหว “มันก็ไหลไม่หยุดหย่อนเลยครับ”

            แนน ค่อยๆ ลุกขึ้นโอบกอดแทงค์เอาไว้ ทั้งสองคนต่างร้องไห้เสียใจ โทษทุกสิ่งที่ช่างโหดร้ายและอำมหิตซึ่งนำพาให้พวกเขาต้องพลัดพรากจากคนที่ รักห่วงใย แม้แทงค์จะเป็นเด็กฉลาดอย่างไรเสียก็ยังเป็นเด็กจิตใจของเขายังเปราะบางเกิน กว่าจะยอมรับการตายจากของพี่ชายตนเองได้ โหดร้ายเหลือเกินสิ่งที่ขึ้นชื่อว่า ‘ความตาย’

**************************************************************************************************************

“เอ๊ะ ประตูล็อค” ไคเกายืนศีรษะอยู่ข้างโจเบื้องหน้าประตูไม้ทางเข้าอาคารขนาดใหญ่ซึ่งถูกปิด อย่างแน่นหนา หน้าต่างทุกบานรอบอาคารถูกปิดสนิทขาดการติดต่อจากภายนอก สร้างความไม่ชอบมาพากลให้กับไคเป็นอย่างมาก ผู้คนบางส่วนยืนออกันอยู่หน้าประตูซึ่งไม่สามารถเปิดได้ ส่วนหนึ่งได้ไปเรียกยามมาไขประตูแล้วทว่าก็ไม่สามารถเปิดเข้าไปในตึกได้  ต่างคนต่างพากันสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นภายในนั้น

ไคยืนคิดอย่างกังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น (‘บ้าเอ้ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นตอนที่ฉันไม่อยู่กันนะ’) เขา ได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้โจฟังขณะช่วยกันเก็บของเรียบร้อยแล้ว และหวังจะเข้าไปช่วยกันดูลาดเลาว่าพีชจะทำผิดสัญญาหรือไม่ ทว่าเมื่อพร้อมจะเข้าไปก็กลับเป็นเช่นนี้นั่นเอง

“ไค หรือว่านี่จะ” โจถามไคเพื่อความแน่ใจว่าใช่อย่างที่ตนคิด

เด็กหนุ่มพยักหน้า หงึกๆ “ครับบางทีหมอนั่นคงอาละวาดเข้าซะแล้ว เราต้องรีบหาวิธีเข้าไปช่วยพวกเขานะครับ” ไคหันไปพึ่งโจซึ่งเป็นรุ่นพี่

“จะว่าไป..พี่โตล่ะ” โจเบนสายตาหลบพลางเหงื่อไหลพราก (‘ฉ..ฉันไม่ใช่พวกอัจฉริยะสักหน่อยจะไปรู้มั้ยว่าต้องทำยังไงเนี่ย’)

“เอ..เมื่อไม่นานมานี้พี่อีฟยังโทรคุยด้วยอยู่เลยนี่ครับ” ไคนึกถึงตอนที่อยู่โรงพยาบาล “ตั้งแต่มานี่ก็ยังไม่เจอเลยด้วย” ไคพูดขณะกวาดสายตามองผู้คนที่มุงอยู่หน้าประตู ไม่พบวี่แววของประธานหนุ่มเลยแม้แต่น้อย

              “ร..หรือว่าจะอยู่ข้างใน” โจเสนอความคิดซึ่งก็ตรงเหนือความคาดหมาย โตได้วิ่งเข้าไปในอาคารพร้อมกับแทงค์แล้วเรียบร้อย

“....” ไคเงียบให้กับความเห็นนั้น เขานึกถึงเรื่องต่างๆ ที่ชวนสงสัย “เอ่อ...พี่โจครับ”

“หือ”

“พี่อีฟนี่เขามีเพื่อนอยู่ที่โรงพยาบาลด้วยหรือครับ”

“ถ้าเป็นโรงพยาบาลในเมืองก็มีอยู่คนหนึ่งนะ แต่ถ้าเป็นโรงพยาบาลแถบๆ นี้ไม่เห็นเธอจะเคยเล่าให้ฟังเลย อืม ทำไมเหรอ” โจสงสัยที่จู่ๆ ไคก็ถามถึงสิ่งที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปัจจุบัน

“ถ้างั้นก็แย่แล้ว” เด็กหนุ่มสีหน้าซีดลงในทันที “ฝากทางนี้ด้วยนะครับพี่โจผมมีบางอย่างที่ต้องรีบไปเช็ค”ไครีบร้อนวิ่งออกไปก่อนที่โจจะถามสาเหตุ

“เฮ่ นายจะไปไหนน่ะ” โจตะโกนไล่หลังขณะไคฝ่าฝูงชนวิ่งออกไปนอกรั้วโรงเรียน

(‘ถ้าเรื่องที่พีชพูดเป็นเรื่องโกหกละก็ ไม่นะพี่อีฟ’) ทุก ย่างก้าวของเด็กหนุ่มตัดสินชะตาชีวิตของรุ่นพี่คนสำคัญ หากไปช้าก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาเลือกวิ่งกลับไปหาอีฟก่อนที่จะสายเกินแก้

เขาวิ่งไปหยุดยืนบริเวณป้ายรถเมล์รอรถประจำทางที่วิ่งผ่านโรงพยาบาลมาถึง เกิดอะไรขึ้นกับเธอและพลังที่แท้จริงของพีชคืออะไรยังคงเป็นคำถามที่วนเวียน อยู่ในใจของเขาตลอดเวลาที่รอ

**************************************************************************************************************

            ตัดฉากกลับมาที่เด็กชายและเด็กสาวที่กำลังหลบซ่อนภายในตึกเฝ้าหาวิธีเอาชนะ พีชก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไข ขณะนี้พวกเขาวิ่งขึ้นไปยังห้องพระชั้น 3 ได้สำเร็จโดยไม่พบกับพีชเข้าจึงคาดการได้ว่าเขาอาจขึ้นไปตามหาบนชั้น 4 แล้วก็เป็นได้ บรรยากาศโดยรอบมืดมากจนมองเห็นได้เพียงลางๆ เท่านั้น ความหนาวเย็นชวนใจหวั่นจะมีอะไรโผล่มานอกเหนือจากพีช ซึ่งคงจะทำใจได้ยากนักหากต้องรับมือกับสิ่งอื่นอีก

            “หนีมาอยู่ห้องพระได้ก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะมั้ง” แนนพ ยายามพูดปลอบใจตัวเองด้วยทีท่าเหน็ดเหนื่อยทั้งกายใจ เธออยากจะช่วยพีชให้กลับมาเป็นคนเดิมแต่ก็ได้เพียงเสียใจเพราะเธอไม่มีพลัง อำนาจใดที่จะทำได้มากไปกว่าวิ่งหนีชายที่ตนรัก

              “พี่โตบอกกับผมไว้ว่าถึงจะเป็นห้องพระแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะช่วยได้เสมอไปนะครับ” แทงค์พูดด้วยน้ำเสียงที่เร่งรีบขณะใช้แสงจากโทรศัพท์มือถือรื้อหาหนังสือสวดมนต์บริเวณหิ้งหลังห้อง

              แนนหน้าซีดเผือดลงทันทีอย่างเห็นได้ชัด “ท..ทำไมล่ะ แล้วเราจะมาที่นี่ทำไม” น้ำเสียงค่อนข้างสั่นไหว

            “อีกฝ่ายน่ากลัวขนาดนั้นผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่ว่ากันไว้ดีกว่าแก้ครับผมคิดว่าอย่างน้อยหนังสือสวดมนต์น่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง” แทงค์ค้นจนเจอหนังสือที่ตกอยู่ใต้หิ้งเขารีบคว้ามาไว้กับตัว “พี่ชายคนนั้นเป็นแฟนพี่สาวหรือครับ” เขาถามแนนที่กำลังจิตตก

            “ก็ไม่ใช่หรอก เราสองคนเป็นญาติกัน แต่แทบจะเป็นญาติห่างๆ เลยก็ว่าได้ นามสกุลที่ใช้ก็คนละนามสกุลกัน เราถูกเลี้ยงด้วยกันมาตั้งแต่เด็กจนโตน่ะ อืม นั่นสิน้าพี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะชอบพี่รึเปล่าแต่ว่าสำหรับพี่แล้ว” แนนยิ้มในขณะใบหน้าแดงก่ำเธอใช้แขนปาดน้ำตาที่คลออยู่บริเวณขอบตา

            “ชอบเขาเหรอฮะ” แทงค์ส่งยิ้มให้เด็กสาวด้วยใบหน้าไร้เดียงสาแบบเด็กอยากรู้อยากเห็น

            “อืม..สมัยก่อนที่ฉันถูกเด็กโตรังแกบ่อยๆ พีชเองก็ออกตัวเข้าปกป้องพี่อยู่หลายครั้งต่อหลายครั้งนะ” แนนยกตัวอย่างให้เด็กชายฟังอย่างมีความสุข พลางลืมความทุกข์ได้ลงบ้าง ซึ่งแทงค์เองก็ตั้งใจฟังอย่างไม่ละหู “แถมตอนพี่เท้าแพลงก็เคยอุ้ม อ้อๆ แถมยังเคยชวนพี่เดทด้วยนะ” เธอเริ่มเล่าไม่หยุดจนเด็กชายเริ่มหวั่นว่าพีชจะได้ยินเข้าจึงลุกขึ้นเดินมาปิดปากเธอ

            แทงค์ยิ้มให้พลางกระซิบที่หูข้างซ้ายของเธอว่า “ถ้าหากว่าพี่รักเขาก็บอกไปเถอะครับว่ารักเขา หากยังคงเก็บไว้จะเสียใจไปตลอดที่บอกช้าไปนะครับ” ว่า แล้วเขาก็เดินนำเด็กสาวออกจากห้องพระ ถึงแม้จะเป็นเด็กแต่ก็เป็นเด็กผู้ชายที่ฉลาดและเข้มแข็งไม่น้อยในสายตาของ เด็กสาวที่ยังคงมองแผ่นหลังเล็กๆ ของเขาอยู่

          ทั้งคู่ก้าวออกจากห้องพระโดยแทงค์ยังคงเป็นฝ่ายเดินนำหน้า ต่างคิดว่าจะช่วยกันพาตัวโตไปหลบซ่อนที่ห้องพยาบาลเสียก่อน อย่างน้อยเขาก็ควรจะต้องได้รับการพยาบาลขั้นต้นโดยเร็วที่สุด พวกเขาวิ่งผ่านความมืดข้ามกลับไปยังอีกฝั่งของตึกที่แนนวิ่งหนีมา ลงบันไดไปยังชั้นสองพบร่างของโตนอนจมกองเลือดตรงตีนบันไดเป็นภาพสุดสะเทือน ใจอย่างเสียไม่ได้

            “นอกจากมีแผลหัวแตกกับกระเบื้องแทงที่ไหล่แล้วก็ยังมีรอยฟกช้ำทั้งตัวอีก แบบนี้เบื้องต้นจะไหวเหรอ” แนนสังเกตร่างกายของโตอย่างใจเย็นก่อนจะช่วยแทงค์พยุงตัวเขาขึ้นอย่างระมัดระวัง

          “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่จากเหตุการณ์นี้ทำให้ห้องอื่นๆ อีกหลายห้องถูกปิดตายลงไปเยอะพอสมควร ที่เข้าห้องพระได้นี่ก็บุญของเราแล้วครับ เราต้องไปเช็คห้องพยาบาลว่าถูกปิดด้วยหรือเปล่า หากเป็นเช่นนั้นคงต้องพาพี่โตกลับไปหลบที่ห้องพระครับ” แทงค์ตอบพร้อมกับกัดฟันพยุงตัวของโตที่ไร้สติตรงไปยังห้องพยาบาลชั้น 2 บริเวณส่วนกลางของอาคาร “บางทีที่ห้องพระไม่ถูกปิดไปด้วยอาจเพราะพลังของผีพี่ชายคนนั้นมีขีดจำกัดก็เป็นได้นะครับ”

          “อ้าก” เสียงร้องลั่นของเด็กผู้ชายดังมาจากข้างบน โครม เพล้ง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว “นี่มันอะไรวะเนี่ย มันเป็นใคร” เพล้ง

            “น..นั่นเสียงอะไรน่ะ” แนนถามแทงค์ด้วยน้ำเสียงที่สั่นอีกครั้ง ความกลัวที่เริ่มเลือนรางได้กลับมาอีกครั้ง

            เด็กชายก้มหน้าแบกโตต่อไปด้วยสีหน้าสลดใจ “นอกจากพวกเราแล้วที่นี่ยังมีนักเรียนคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกขังอยู่ในห้องอีก บางที่พวกเขาคงจะ...”

            “ไม่ ไม่นะ พีชฆ่าพวกเขาเหรอ” แนนนึกถึงเสียงครางต่ำๆ ของพีชที่ยังค้างอยู่ในหัวไม่หายไป

            แนน.. แนน... แนน...’ เธอทั้งกลัว ทั้งรัก และทั้งโกรธในเวลาเดียวกัน

            แทงค์พยักหน้าตอบตามความเป็นจริงไม่มีการโกหกหรือปิดบังแต่อย่างใด “พวกเราเองถ้าไม่รีบหาที่ซ่อนตัวละก็อาจจะเป็นเหมือนพวกเขาได้นะครับ” ว่า แล้วก็ดั้นด้นมาจนถึงหน้าห้องพยาบาล ยังคงเป็นโชคดีอยู่ที่ห้องสามารถเปิดได้มิเช่นนั้นคงต้องเดินขึ้นไปห้อง พยาบาลอีกห้องซึ่งอยู่ชั้น 4 หรือกลับขึ้นไปที่ห้องพระชั้น 3 แทงค์และแนนต่างค่อยๆ ช่วยกันพาโต นอนลงบนเตียงผู้ป่วย ไหล่ของเขามีชิ้นส่วนกระเบื้องชิ้นใหญ่ปักทะลุอยู่ซึ่งหากดึงออกจะทำให้เขา เสียเลือดมากและอาจถึงตายได้ทันทีเนื่องจากแค่แผลบริเวณอื่นๆ ก็สาหัสจนเสียเลือดไปจำนวนมากแล้ว

            แนนและแทงค์ต่างจ้องมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เด็กสาวจะเอ่ยขึ้น “แล้วเราจะรักษาเขายังไง พี่คิดว่าแค่ยาแดงคงไม่พอหรอกนะ”

              “น..นั่น สินะครับ เราเองก็ไม่ใช่หมอซะด้วย แต่อย่างน้อยก็ต้องหาวิธีช่วยพี่เขาให้ได้ก่อนสักนิดก็ยังดี จุดที่ฟกช้ำใช้ยาหม่องทา ส่วนจุดที่เลือดออกใช้แอลกอฮอล์ล้างแผลก่อนจากนั้นใช้ผ้าพันแผลปิดเอาไว้ก็ ดีนะครับ”แทงค์พยายามนึกถึงวิธีการเบื้องต้นต่างๆ พลางหยิบมือถือขึ้นมาดูแล้วถอนหายใจ “ทั้งที่มีมือถือแท้ๆ แต่ที่นี่ก็ไม่มีสัญญาณเลย โทรออกก็ไม่ได้ใช้เน็ตเวิร์คก็ไม่ได้แย่จริงๆ”

              “เราจะเป็นยังไงต่อไป” แนนนั่งลงกอดเข่าก่อนจะทำท่าทีหมดกำลังใจ “ฉันไม่อยากจะนึกคิดเลย” น้ำตาไหลออกจากสองข้างไม่หยุด

“ใจเย็นๆ ก่อนครับ” เด็กชายยิ้ม “ถ้าคนเรายังเหนื่อยยังท้อได้ก็แสดงว่ายังไม่ตายและถ้ายังไม่ตายก็แสดงว่าเรายังพอทำอะไรได้อยู่ พี่ชายผมเคยสอนเอาไว้แบบนั้นครับ”

              แนนเงยหน้ามองแทงค์ซึ่งเป็นเพียงเด็กชาย ม.1 ด้วยความสนใจ “พี่ชายของเธอนี่คงจะเป็นคนดีมากเลยสินะ”

แทงค์ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม “ดีที่สุดในโลกเลยครับ” เขาพูดอย่างมั่นใจ

“ฮึบ” แนนค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “นั่นสินะ ฉันเองก็ไม่ได้ตายซักหน่อยนี่นา” เธอปัดฝุ่นบริเวณก้นแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะก้าวออกจากห้องไปโดยลำพัง

“พี่สาวจะไปไหนครับ” แทงค์วิ่งตามออกมาอย่างเร่งรีบ “จะทำอะไรครับ”

“เธออยู่ที่ห้องเฝ้ารุ่นพี่ของเธอไปละกัน เรื่องนี้ต้นเหตุเป็นเพราะพี่เองดังนั้น” เธอหันกลับมายิ้มพร้อมน้ำตา “ขอโทษด้วยนะจ้ะ” แล้วเธอก็ตัดสินใจวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นบนซึ่งคาดว่าจะมีพีชอยู่

“ไม่ได้นะครับพี่สาว” แทงค์ พยายามจะวิ่งตามเด็กสาวให้ทันทว่าถึงแม้จะเป็นเด็กผู้ชายแต่ก็ยังเป็นเด็ก ตัวเล็กๆ จึงไม่ง่ายนักที่จะวิ่งตามแนนซึ่งเร็วกว่าได้ทัน เขาสะดุดล้มก่อนที่จะไปถึงบันได “พี่สาว”

แทงค์พยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นในที่มืดเขากวาดสายตามองรอบตัวด้วยหัวใจที่เต้นรัว “พ..พี่สาว” เนื่อง จากยังเป็นเด็ก เมื่อถูกปล่อยให้อยู่ลำพังในที่มืดจึงมิอาจปฏิเสธได้ว่าไม่กลัว ความจริงเขาอยากจะเดินกลับไปหาโตในห้องใจจะขาดแต่ทว่า เขาเลือกที่จะก้าวขึ้นบันไดตามแนนขึ้นไปชั้นบน เขาค่อยๆ เดินระมัดระวังอย่างเชื่องช้าใช้มือคลำผนังอาคารเรียนตลอดการขึ้นบันได กลิ่นคาวเลือดลอยคละฟุ้งออกมาเมื่อขึ้นมาถึงชั้น 4 ข้าวของกระจัดกระจายแตกละเอียดอยู่ตามทาง พบเห็นเศษเนื้อคนบางส่วนติดมากับเศษกระจกบนพื้นเมื่อใช้มือถือส่องดูเพื่อ ไม่ให้เหยียบของมีคม กระทั่งขึ้นบันใดไปถึงชั้น 5 ก็พบกับภาพสุดสลดของเด็กนักเรียนจำนวนหนึ่ง ชิ้นส่วนกระจัดกระจายทั่วทั้งชั้นเลือดไหลนองพื้น สิ่งต่างๆ ยังคงสดใหม่จึงไม่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าเท่าไรนักมีเพียงกลิ่นคาวเลือดที่อบอวล ไปทั่วทั้งอาคาร ประตูในห้องต่างๆ ยังคงถูกปิดไว้และคาดว่ายังมีคนในห้องรอดชีวิตอยู่ เนื่องจากยังมีเสียงพูดคุยกันอยู่รวมทั้งเสียงกระแทกประตูดังปึงปังด้วยเช่น กัน แทงค์กลั้นลมหายใจเดินขึ้นไปยังชั้น 6 ซึ่งทุกอย่างเงียบสงัด บางทีทุกคนในห้องอาจจะถอดใจที่จะพังประตูออกมาแล้วก็เป็นได้

“แทงค์” เสียงหนึ่งแว่วเข้ามาในหูขณะเขากำลังเดินตระเวนชั้น 6

เด็กชายหันมองดูรอบตัวด้วยใจสั่น ตุ้บๆ ตุ้บๆ เห็นมือหนึ่งกวักเรียกเขาอยู่บริเวณทางเข้าห้องน้ำริมบันได “แทงค์ ทางนี้”

“พี่สาว” เมื่อแน่ใจว่าเป็นเสียงผู้หญิงแทงค์จึงวิ่งไปหาด้วยความโล่งใจ “ไปไหนมา..อ่ะ..พี่โซเฟีย” ผิดหวังจากที่เขาคิดไว้สักหน่อยที่ไม่ใช่แนนแต่กลับเป็นโซเฟียเด็กสาวผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนสะท้อนแววแสงจันทร์ในค่ำคืน   

“ใช่พี่เอง” โซเฟียยิ้มใบหน้าบ่งบอกถึงความดีใจ “ชู่ว เบาๆ ด้วย มีผู้ชายน่ากลัวๆ อยู่ข้างบน”

เธอใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้เงียบ น่าแปลกที่เธอตัวไม่สั่นหรือหวาดกลัวสติแตกเลยแม้แต่น้อย

“พี่โซเฟียไม่กลัวหรือครับ” แทงค์มองใบหน้าของโซเฟียซึ่งดูไม่หวั่นไหวหรือมีคราบน้ำตาเลยสักนิด

“กลัวสิแต่ถ้าเป็นในความมืดละก็ไม่เป็นไรหรอก” เธอลูบหัวน้องชายด้วยความอ่อนโยน

“อ้ะ จริงสิความสามารถของพี่โซเฟียคือมองเห็นในที่มืดได้เหมือนกับเป็นตอนกลางวันสินะครับ” แทงค์ นึกบางสิ่งขึ้นได้ ซึ่งคงต้องย้อนกลับไปถึงตอนที่เธอมาสมัครเข้าชมรมและไคได้ขอตัวไปเข้าห้อง น้ำเสียก่อน ในช่วงนั้นเธอได้อธิบายเกี่ยวกับความสามารถของเธอให้ทุกคนฟังแล้วครั้งหนึ่ง เดิมทีเธอตั้งใจจะเล่าถึงประโยชน์ว่าเธอทำความสะอาดได้แม้ในที่มืดๆ ก็ตาม แต่สุดท้ายนั่นเองก็เป็นสาเหตุที่โตยอมรับเธอเข้าชมรมและเปิดเผยเรื่องชมรม วิจัยเรื่องลึกลับให้กับเธอ มีเพียงไคเท่านั้นที่มิได้ทราบถึงเรื่องนี้

“ถูกต้องแล้วจ้า” โซเฟียกระพริบตาข้างหนึ่งให้แทงค์ “นี่จ้ารางวัล” เธอหยิบลูกอมจากกระเป๋ากระโปรงยื่นให้เด็กชาย

แทงค์รับเอาไว้แล้วยิ้มด้วยความดีใจ “เย้ๆ อ้ะไม่ใช่สิ ตอนนี้เราต้องรีบไปช่วยพี่สาวก่อน” เปลี่ยนมาทำท่าทีเคร่งเครียด “พี่โซเฟียครับ อยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ”

           “จะไปไหนน่ะ มันอันตรายนะ” โซเฟียดึงแขนเสื้อของแทงค์เอาไว้เธอดูเป็นห่วงมาก

            “ผมต้องรีบไปห้ามพี่สาวเขาก่อนครับ ไม่เช่นนั้นเธอตายแน่” แทงค์วิ่งไปอย่างรวดเร็ว แขนเสื้อที่เธอจับไว้หลุดมืออย่างง่ายดายในพริบตา

            ตึก ตึก ตึก แทงค์วิ่งขึ้นไปยังชั้น 7 โดยไม่คิดชีวิตทันเห็นภาพ เด็กสาวกำลังเผชิญหน้ากับพีชในระยะประชิด “ไม่ได้นะครับ พี่สาว” เขากำลังจะวิ่งเข้าไปแต่ทว่า

            “ไม่ได้นะแทงค์” เสียงโซเฟียดังไล่หลังมารั้งเขาไว้ในที่สุด “ดูให้ดีๆ สิที่ท้องของพี่สาวคนนั้น” โซเฟียชี้นิวไปยังท้องของแนนซึ่งดูเหมือนมีอะไรบางอย่างปักทิ่มอยู่

            ทันทีที่แทงค์สังเกตเห็นก็ทรุดเขาลงกับพื้นน้ำตาไหลพรากอย่างเกินที่จะรับไหว “ทำไม ทำไมกัน”เธอถูกขาเก้าอี้ปักทะลุบริเวณท้อง ซึ่งเกินกว่าที่จะช่วยรักษาด้วยการแพทย์ใดๆ ได้อีกแล้ว

            “แนน..แนน..แนน...ฉันจะ..ฉันจะอยู่กับแนน” เสียงครางที่คุ้นหูดังขึ้นในการได้ยินของเด็กสาวอย่างริบหรี่

            แนนกัดฟันทนความเจ็บปวดที่เริ่มจะชาชินใช้มือที่เปื้อนไปด้วยเลือดของตนลูบหน้าของพีชเบาๆ ด้วยความรัก “เราอยู่ตรงนี้แล้วนะพีช..” เสียงแผ่วเบามากแต่ก็พอจะส่งไปถึงส่วนลึกในจิตใจของเด็กหนุ่มที่ไร้สติ “เราจะอยู่ด้วยกันนะ..” น้ำตาของเธอไหลจากความเจ็บปวด แต่ปากของเธอกลับยิ้มไม่ยอมหุบจนคำพูดสุดท้าย “ก็เพราะว่าฉัน..รักเธอไงล่ะ..” น้ำตาหยดสุดท้ายตกลงบนใบหน้าของสุดที่รัก คืนสติและสำนึกให้กับเขา นัยน์ตาของพีชกลับคืนมาเป็นสีดำ

            “แนน..” พีชใจหายกับภาพที่เห็นเบื้องหน้าเมื่อฟื้นคืนสติ “นี่เราทำอะไรลงไป” สายธารน้ำไหลอาบแก้มทั้งสองรอยยิ้มของเธอทำให้พีชไม่อาจอภัยให้แก่ตัวเองได้ “ไม่นะ” เขา ได้เพียงขอและอ้อนวอนให้ภาพที่เห็นเป็นแค่ความฝัน ฝันร้ายที่ไม่ใช่ความจริง ความรู้สึกราวกับถูกทิ้งดิ่งลงพื้นและแหลกเป็นเสี่ยงในวินาทีที่เห็น “ไม่นะแนนฟื้นสิแนน” “ฟื้นเซ่…ฟื้นเซ่” “แนน”

              “ไอ้บ้าเอ้ย พี่สาว” แทงค์วิ่งตรงมาพร้อมสองมือผลักพีชล้มลงกับพื้น โดยมีโซเฟียตามหลังมาอย่างเป็นห่วง “พี่สาว” เด็กชายหันไปหาพีชทั้งน้ำตา “แก แกทำแบบนี้ได้ยังไง ทั้งๆ ที่ ทั้งๆ ที่พี่สาวเขารักแกมากขนาดนั้นแท้ๆ แต่แกกลับ”

              “แนน” พี ชยังคงเพ้อรำพันเรียกชื่อเด็กสาวคนเดียวที่ตนรักและคิดได้แม้แต่จะยอมตาย เพื่อเธอ แต่แล้วเขากลับเป็นคนที่ทำลายชีวิตของเธอเสียเอง เลือดของเธอยังเปรอะเปื้อนบนใบหน้าของเขา จิตใจแทบแตกสลาย เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างไร้กะจิตกะใจหันเดินขึ้นบันไดไปยังชั้น 8

              “นั่นแกจะไปไหน” แทงค์ถามเสียงดังด้วยความโกรธเกรี้ยว

“.....” พีชเดินขึ้นบันไดต่อไปโดยไม่ตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น          

             โซเฟียจับหัวเด็กชายมากอดไว้ในอ้อมอก “แทงค์…ไม่เป็นไรนะ” เด็กหญิงมองแผ่นหลังของพีชเดินขึ้นบันไดจนลับสายตาแล้วจึงกระซิบที่ข้างหูแทงค์ “ถึงจะเป็นลูกผู้ชายแต่จะร้องไห้บางครั้งมันก็ไม่น่าอายหรอกนะ”

ทันทีที่จบประโยคเธอก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไหลอยู่ภายในอ้อมอก ‘น้ำตาของลูกผู้ชาย’

**************************************************************************************************************

ในขณะเดียวกันแอนนาที่วิ่งหนีมาซ่อนบนดาดฟ้าด้วยความหวาดกลัวตัวสั่นราวกับหนู แฮมสเตอร์ตัวน้อยๆ เธอหลบอยู่ข้างประตูทางเข้าออกดาดฟ้า เธอหลบมาได้ชั่วโมงกว่าแล้วและยังคงอธิฐานขอพรจากดวงดาว           

ก่อก แก่ก ก่อก แก่ก เสียงกลอนที่ล็อคประตูดังขึ้นเป็นสัญญาณให้เธอเตรียมหาที่ซ่อน (‘ไม่นะ..อย่าเข้ามานะ’) ทว่า ประตูก็ถูกเปิดด้วยโพลเทอร์ไกสท์อยู่ดี แอด ตึก ตึก ตึก พีชก้าวเดินออกมาบนดาดฟ้าตรงไปยังราวระเบียง แอนนามองเห็นท่าทีแปลกๆ ในตัวของพีชต่างจากรูปลักษณ์อันบ้าคลั่งในครั้งแรกที่เจอกันเขาดูสงบลง เห็นดังนั้นเธอจึงค่อยๆ เดินออกมาจากที่ซ่อนตัว และเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “คุณจะทำอะไรน่ะ”

              พีชหันมาหาแอนนามองเธอด้วยแววตาที่ดูเหม่อลอย “ผมได้ตายไปแล้ว..” เขายิ้มเฝื่อนๆ ให้กับเด็กสาว “แต่ร่างของผมยังไม่ดังนั้น..” ว่าแล้วเขาก็ปีนขึ้นไปยืนบนราวจับ

“ทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะคะ” แอนนาถามด้วยแววตาอันใสซื่อบริสุทธิ์

คราวนี้เขาเผยรอยยิ้มที่จริงใจออกมาก่อนที่จะกระโดดลงไปในชั่วพริบตา “ก็เพราะว่ารักไงล่ะ..” ฟุ่บ ตุบ เสียงปลิดชีวิตวัยใสของเด็กหนุ่มดังขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นร่างของเขาก็อัดเข้ากับพื้นด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก ผู้คนภายนอกอาคารตื่นตระหนกตกอกตกใจกันยกใหญ่ ตำรวจที่ถูกแจ้งความเรื่องโรงเรียนถูกปิดตายแห่กันมาเป็นโขยงเพราะเชื่อว่า อาจเป็นเหตุก่อการร้ายวิ่งไปดูร่างของเด็กหนุ่มที่ร่วงลงพื้นพสุธาในทันที เสียง หว่อ หวี หว่อ จากรถตำรวจดังทั่วบริเวณหน้าโรงเรียน มีการพูดผ่านโทรโข่งตะโกนให้คนร้ายที่ไม่มีตัวตนมอบตัว เมื่อพีชตายแล้วโพลเทอร์ไกสท์จึงถูกคลายลงในที่สุดประตูก็เปิดออกเจ้า หน้าที่หน่วยสวาทบุกเข้าไปหลายสิบคนค้นพบศพนักเรียนเสียชีวิตภายในตึกถึง 20 ราย และผู้รอดชีวิตภายในตึกรวมทั้งในและนอกห้องเรียน 102 ราย ทุกคนถูกนำตัวสอบสวนเข้าโรงพัก เรื่องนี้ได้บานปลายไปไกลเสียเกินกว่าจะย้อนกลับไปแก้ไขได้เสียแล้ว

**************************************************************************************************************

ไคไม่รู้เลยถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่โรงเรียนซึ่งเกิดขึ้นระหว่างที่ตนไม่ อยู่ เขาไม่อาจจะทำอะไรได้มากมายนักและยังคงได้แต่ภาวนาขอให้อีฟปลอดภัยอยู่ในรถ ประจำทางที่แล่นออกจากป้าย ยามค่ำคืนเด็กหนุ่มมองผ่านกระจกหน้าต่างไม่สังเกตถึงวิญญาณน่าเศร้าบนท้อง ถนนเขาเพียงแต่มองพื้นคอนกรีตที่ลาดยาวออกไปตามเส้นทางพลางโทษตัวเองที่ ปล่อยให้พีชและแนนคลาดสายตา

“ถึงโรงพยาบาลแล้วนะไอ้หนุ่ม” กระเป๋ารถเมล์ชายเดินมาใช้ที่เก็บตั๋วสะกิดแขนเด็กหนุ่มที่เหม่อลอยเบาๆ เตือนให้เขาลงจากรถ

“อ้ะ ขอบคุณครับ” ไค ลุกขึ้นผงกศีรษะหนึ่งทีแล้วเดินลงจากรถ เขาหันมองไปรอบด้านโรงพยาบาลยามราตรี ซึ่งเขาไม่คิดว่าตนเองจะได้กลับมาที่นี่อีกในเวลานี้เป็นครั้งที่ 2 เนื่องจากตอนกลางคืนผีค่อนข้างมีมากด้วยดวงตาที่มีคุณสมบัติเกินมนุษย์ของ เขาทำให้ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่คิดมาเป็นอันขาด (‘เอาวะ เพื่อพี่อีฟ’) เด็กหนุ่มสูดลมหายใจกันฟันแล้วเดินผ่านเข้าไปภายในรั้วตรงมุ่งไปยังอาคาร

เมื่อเข้าไปข้างในฟ้าก็ออกจากร่างของเด็กหนุ่มลอยตัวอยู่บริเวณไหล่ซ้ายของเขา “นี่ๆ พี่ชายแบบนี้จะดีแล้วเหรอแล้วที่โรงเรียนล่ะ” ฟ้าถามเด็กหนุ่มด้วยทีท่าสงสัย

            “ที่โรงเรียนมีทั้งพี่โตพี่โจและคนอื่นๆ ดูแลอยู่ฉันเชื่อว่าพวกเขาจัดการได้ แต่ทางพี่อีฟฉันเป็นห่วงมากกว่าเพราะว่าถ้าหมอนั่นโกหกหมายความว่าความ ปลอดภัยของพี่อีฟจะเป็นยังไงล่ะ” เด็กหนุ่มพูดจาก ความรู้สึกผิดที่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ ก้าวขาเดินเข้าลิฟท์ที่ลงมาถึงชั้นแรกพอดีแล้วกดปุ่มเลข 6 เมื่อเสียง ติ๊งตึ่ง ดังขึ้นประตูเปิดเขาวิ่งตรงไปยังห้องที่พีชใช้พักอย่างรวดเร็วโดยหวังว่าจะ ไปทันได้เจออีฟทว่าเมื่อไปถึง

ภายในห้องสะอาดเรียบร้อยราวกับไม่มีใครมาพักอยู่ถูกเก็บกวาดจนสะอาดแจกันถูก เปลี่ยนใหม่ บางทีแม่บ้านอาจจะมาเก็บกวาดห้องหลังจากที่ผู้ป่วยย้ายออกไป เด็กหนุ่มใจเต้นระรัวกังวลจนระส่ำระส่ายว่าจะไปหารุ่นพี่สาวที่ไหนได้อีก เขากลับออกจากห้องหันซ้ายขวาเหงื่อตกเห็นนางพยาบาลเดินผ่านไปจึงรั้งตัวถาม ว่าเห็นหญิงสาวตามลักษณะที่ตนบอกหรือไม่ นางพยาบาลสาวทำท่าทางตกใจใช้มือป้องปากก่อนจะรีบพาตัวเด็กหนุ่มเดินตามเธอไป หาคุณหมอที่หน้าห้องฉุกเฉิน ทำใจของเด็กหนุ่มหวาดหวั่นว่าเกิดอะไรขึ้นผู้คนทั้งเหล่าหมอและนางพยาบาล ต่างซุบซิบเรื่องบางอย่างกันเขาไม่สามารถจับใจความได้แต่ก็สังหรณ์ไม่ดีถึง เรื่องเหล่านั้น 

คุณหมอผู้ชายผิวขาวตากลมโตจมูกโด่งถอดผ้าปิดปากออกมาจากห้องฉุกเฉินเดินตรงเข้าหาไค “คุณเป็นญาติผู้ป่วยหรือครับ”

ไคตอบตะกุกตะกัก “พ..เพื่อนครับ ก..เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

“นางพยาบาลของเราพบผู้ป่วยหมดสติอยู่ในห้องพักครับข้าวของกระจัดกระจายอยู่ทั่ว ตัวผู้ป่วยเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ เศษแก้วฝังลึกอยู่บริเวณหลายจุดสำคัญ ตอนนี้เราทำการผ่าตัดจุดสำคัญพ้นขีดอันตรายแล้วแต่ก็ยังวางใจไม่ได้นะครับ”

“มีโอกาสรอดเยอะมั้ยครับหมอ” ไคถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง (‘ถ้าพี่เป็นอะไรไปผมคงจะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ อดทนไว้ก่อนนะครับรุ่นพี่ แต่ว่าทำกันถึงขนาดนี้ได้หมอนั่นต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ’)

“หกสิบเปอร์เซ็นต์ครับ” คุณหมอพูดอย่างใจเย็น “แต่น่าแปลกนะครับทางเราเพิ่งเคยเห็นเคสนี้เป็นครั้งแรก เศษแก้วไม่น่าจะฝังลึกได้ถึงขนาดนี้”           

“ครับ” ไคพยักหน้าให้คุณหมอแล้วยกมือไหว้กล่าวขอบคุณ แล้วคุณหมอก็เดินกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เด็กหนุ่มยังคงเดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าห้องอย่างปลงไม่ตก จนกระทั่งผ่านไปหลายนาทีกว่าเขาจึงยอมนั่งลงบนเก้าอี้ “ฉันจะทำยังไงดี” เด็กหนุ่มถามกับตัวเองทั้งน้ำตา

ฟ้าใช้มือโปร่งแสงน้อยๆ ลูบศีรษะไคแล้วกอดเขา “ไม่เป็นไรนะคะพี่ชาย เรื่องนี้ต้องผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ”

“ฉันก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน” ไคก้มลงมองพื้นอย่างสลดใจ

ทั้งสองต่างเงียบใส่กันอยู่พักใหญ่จนกระทั่งเวลาผ่านไปฟ้าออกไปเที่ยวเล่นในโรง พยาบาลขณะที่เด็กหนุ่มกำลังปรับอารมณ์ให้คงที่อยู่กับตัวเอง บรรยากาศเงียบสงัดชวนขนลุกเขานั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉินเพียงลำพังเฝ้ารอให้ คุณหมอเดินออกมาอนุญาตให้ตนได้เข้าพบอีฟ

“เด็กใหม่ ฉันมีเรื่องจะวอนนายซักอย่างแน่ะ” ท่าม กลางความเงียบเสียงแผ่วเบาโทนต่ำของชายหนุ่มคุ้นหูดังขึ้นเบื้องหน้าของเขา ซึ่งก็เป็นเรื่องกะทันหันจนไคปรับตัวตามได้ไม่ทัน ถึงกับตาค้างเมื่อเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมายืนอยู่ เบื้องหน้าเขา

“พี่ธัน”

 

             จบตอน

         

 โปรดติดตามตอนต่อไปปล.รักนะคนอ่าน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา