ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

6.8

เขียนโดย shotaro

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.

  32 ตอน
  8 วิจารณ์
  31.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

29) คาบเรียนที่ 15.5 : เพื่อนสนิทผู้หายสาบสูญ และชมรม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

คาบเรียนที่ 15.5 : เพื่อนสนิทผู้หายสาบสูญ และชมรม (ตติยบท)

           “ผู้ใหญ่มักจะสอนเด็กๆ อยู่เสมอว่า ‘ห้ามเล่นซ่อนแอบตอนกลางคืน’ ไม่เช่นนั้นจะโดน ‘ผีลักซ่อน’ นั่นคงเป็นคำบอกเล่าที่ใครๆ ก็คงได้ยินติดหูกันดี แต่ในความเป็นจริงแล้วการเล่นซ่อนแอบในเวลากลางคืนนั้นเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่ปรากฎการณ์ผีลักซ่อนอย่างที่ทุกคนเข้าใจ ซึ่งก็หมายความว่าต่อให้ไม่ใช่การเล่นซ่อนแอบก็ยังมีวิธิอื่นๆ ที่ทำให้ถูกผีลักพาตัวไปได้ยังไงล่ะ” ประธานหนุ่มยืนอยู่หัวโต๊ะยาวกลางห้องชมรม อธิบายเกี่ยวกับเรื่องลึกลับเรื่องใหม่ที่เขาสนใจให้สมาชิกอีกสามคนฟังด้วย น้ำเสียงจริงจังพร้อมด้วยแววตาที่เปล่งประกายความหลงใหลกวาดมองทุกคนไปมา

            เด็กสาวมัธยมปลายคนเดียวในกลุ่มเอ่ยขึ้นขณะจับเอกสารฉบับเล็กๆ บนโต๊ะขึ้นมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกในใจ “แต่เรื่องที่หมู่นี้เด็กๆ หายตัวไปบ่อยๆ เนี่ย หนูว่าน่าจะไม่เกี่ยวกับผีลักซ่อนหรอกนะคะ” เธอวางอีกสารลงบนโต๊ะก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “จริงอยู่ที่ชมรมนี้เป็นชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ แต่การที่เอาทุกๆ เรื่องที่เกิดขึ้นมาโยงเป็นเรื่องผีสางไปหมดเนี่ย หนูว่ามันค่อนข้างจะไม่สมควรสักเท่าไหร่”

           “ฉันก็คิดเหมือนน้องอีฟนะโต นายดูหมกมุ่นเกินไปหน่อยนะเนี่ย” เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับประธานกล่าวเสริมความเห็นของเด็กสาว เขาเป็นรองประธานของชมรมแห่งนี้และยังเป็นเพื่อนสนิทของประธานหนุ่มอีกด้วย “เด็กมัธยม 2 ห้อง C หายสาบสูญไปแล้ว 4 คน ในช่วงระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์มานี้ โดยทยอยหายไปทีละคนอย่างไม่ทราบสาเหตุ” เขาอ่านข้อความซึ่งเป็นหัวข้อของเอกสารชุดที่แจกอยู่บนโต๊ะ “บางทีอาจเป็นการลักพาตัวไปก็ได้” 

           “ไม่มีการเรียกค่าไถ่” โตเอ่ยขึ้นแย้งอย่างรวดเร็วและเสียงดัง “หายเงียบอย่างไร้ร่องรอย ขนาดตำรวจยังสืบหาไม่พบ” เขาเดินจากหัวโต๊ะแล้ววนอ้อมหลังสมาชิกไปทางขวามือ ไล่จากอีฟไปยังธันก่อนจะเดินไปถึงแทงค์ “นอกจากนี้หากเป็นแค่การลักพาตัวมันจะไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอที่ผู้สูญหายทั้งหมดล้วนเป็นเด็กมัธยม 2 ห้อง C และจากการสืบค้นของฉัน” เขาโค้งตัวค่อมพนักเก้าอี้ที่แทงค์นั่งอยู่ก่อนจะก้มพลิกเอกสารหน้าถัดไปซึ่งวางอยู่เบื้องหน้ารุ่นน้อง ทุกคนจึงพลิกหน้าตาม  ในเอกสารเป็นข้อมูลของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง และมีรูปภาพหน้าตรงของเขา ซึ่งมันคือประวัติของผู้เข้าเรียนในโรงเรียนนั่นเอง “เด็กผู้ชายคนนี้มีชื่อจริงว่า ‘หัสดี’ หรือชื่อเล่นว่า ‘น้องดี’ นั่นเอง เขาอยู่มัธยม 2 ห้อง C ด้วยแหละ ฮิฮิฮิ”

           “แล้วมันทำไมหรือคะ” อีฟถามขณะจ้องรุ่นพี่ไม่กะพริบ

           “ก็จากการสืบของฉันจึงพบว่าคนที่สนิทกับเด็กคนนี้ ถ้าไล่จากมากไปน้อยแล้วจะได้ตรงตามลำดับการหายตัวไปของเด็กทั้ง 4 คนพอดีเลยไงล่ะ” โตฉีกยิ้มขณะหยิบสมุดพกเล่มเล็กขึ้นมาเปิดหาหน้าที่ใช้บันทึกข้อมูล “หรือก็คือพวกเขาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับเด็กที่ชื่อว่า ดี นั่นเอง”

           “มันก็น่าคิดนะครับ” แทงค์เอ่ยขึ้นเบาๆ ขณะเงยมองรุ่นพี่ซึ่งยืนค่อมหัวอยู่ “แต่ว่าอาจจะบังเอิญก็ได้นะครับพี่โต”

           “หรือต่อให้เป็นอย่างนั้นจริง ก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับผีลักซ่อนนี่นะ” ธันเอ่ยขึ้นถัดจากน้องชาย เขานั่งกอดอกไขว้ขาและครุ่นคิด จ้องไปยังรูปภาพของเด็กชาย “อาจเป็นการฆาตกรรมโดยมีเด็กคนนี้เกียวข้อง หรือถึงอย่างไรถ้าเราเอาข้อมูลนี้ไปให้ตำรวจน่าจะดีกว่านะเผื่อจะช่วยให้คดีคืบหน้า”

           “ฮิฮิฮิ” โตยังคงฉีกยิ้มอยู่เช่นเคย เขาจ้องเขม็งมายังธันก่อนจะค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะตายไปแล้วงั้นเหรอ”

            อึก! ธันกลืนน้ำลายลงคอขณะมองสายตาชวนขนลุกของเพื่อนสนิท เขารู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวราวกับอุณหภูมิห้องเปลี่ยนไป “ก็หมายถึงความเกี่ยวข้องนี่นะ ฉ..ฉันไม่ได้บอกว่าเด็กคนนี้เป็นคนทำซักหน่อย”

           “รู้อะไรมั้ยธันสิ่งที่เหนือธรรมชาติหนะมีอยู่จริงนะ” โตหุบยิ้มลงเขากลับมายืนหลังตรงหันมองไปยังสมาชิกในห้องทีละคน “พวกเราทุกคนในห้องนี้คือข้อพิสูจน์อย่างแท้จริง ทั้งฉัน ทั้งนาย ทั้งอีฟ และแทงค์ แล้วนายเองคิดว่ามีเพียงแต่เราหรือไงที่เหนือธรรมชาติ”

           “มันก็จริงของนายแหละ” ธันถอนหายใจก้มหน้าลง เขารู้ดีว่าไม่มีทางโต้แย้งเมื่อโตพูดถึงเรื่องลึกลับได้ “ถ้าอย่างนั้นนายจะบอกว่าน้องดีคือผีลักซ่อนสินะ”

           “ฮิฮิฮิ ก็แค่สันนิษฐานแหละ น้องดีเสียชีวิตไปด้วยโรคประจำตัวที่รักษาไม่หายเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนเกิดเหตุ” โตเดินกลับไปยังหัวโต๊ะ “จากที่ฉันไปสอบถามเพื่อนร่วมห้องของเขาก็พบว่าดีเป็นเด็กที่มีนิสัยเฉพาะตัวคือขี้เหงา และมักหวาดกลัวทุกครั้งที่ต้องอยู่คนเดียว”

           “เหอะๆ ผีขี้เหงาสินะ” อีฟยิ้มเฝื่อนขณะมองดูเอกสารแล้วพลิกดูหน้าสุดท้ายซึ่งเป็นข้อมูลลำดับเพื่อนสนิทของน้องดี ตามที่โตเรียงไว้ลำดับที่ห้าก็คือบอล “สมกับเป็นพี่โตจริงๆ หาข้อมูลมาได้ขนาดนี้” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ

           “เอาล่ะจากนี้ไปจะขอมอบงานล่ะนะ” ประธานหนุ่มบิดขี้เกียจไปมา “รายต่อไปที่จะสูญหายก็คือเด็กคนนี้” เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดรูปเด็กผู้ชายอายุ 14 คนหนึ่งหน้าตาดูเรียบร้อยสวมเครื่องแบบนักเรียนกำลังเดินลงบันได โตคงจะแอบถ่ายไว้ขณะแสร้งทำเป็นเดินสวนทาง เขายื่นให้ทุกคนดู “บอลเป็นน้องชายของเพื่อนสนิทฉันเอง จากการสอบถามเขาเป็นเพื่อนสนิทของดีระดับหนึ่งเลยทีเดียว เนื่องจากดีร่างกายอ่อนแอเขาจึงใช้เวลาส่วนมากกับหนังสือและเพื่อนกลุ่มเล็กๆ บอลที่เป็นเด็กเรียนไม่กี่คนในห้องจึงเป็นหนึ่งในนั้น” โตปิดสมุดกับโทรศัพท์แล้วเก็บลงกระเป๋ากางเกง “ขอให้ทุกคนจับตาดูเด็กคนนี้ไว้ให้ดีๆ ล่ะ ฮิฮิฮิ”

           “ถึงจะยังไงฉันก็ไม่ว่างเล่นด้วยหรอกนะ ยังมีสอบเก็บคะแนนอยู่ด้วยสิ ต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือซะแล้ว” ธันคว้ากระเป๋าเป้ซึ่งวางอยู่ข้างที่นั่งขึ้นมาสะพายบ่าไว้ข้างหนึ่ง

          “ผมก็ด้วยครับ” แทงค์ก็เช่นกันเขาลุกขึ้นสะพายเป้และยิ้มอ่อนให้กับรุ่นพี่ “ขอโทษนะครับพี่โต”

           “การประชุมจบแล้วสินะฉันกลับล่ะ ส่วนเรื่องผีลักซ่อนอะไรนั่นไว้ถ้าฉันว่างจะมาช่วยแล้วกันนะ” รองประธานหนุ่มลุกขึ้นเดินไปตบบ่าเพื่อนสนิทเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องโดยมีน้องชายวิ่งตามหลัง

            อีฟปิดเอกสารแล้วเก็บมันลงกระเป๋าสะพาย “ตอนนี้ชมรมของเราต้องการคนเพิ่มอยู่ ถึงเรื่องนี้จะสำคัญแต่หนูว่าเราควรจะมุ่งความสนใจไปที่การหาสมาชิกใหม่มากกว่านะคะ ไม่เช่นนั้นชมรมนี้โดนยุบแน่”

           “ฮิฮิฮิ สิ่งลี้ลับมักจะดึงดูดสิ่งลี้ลับด้วยกันเองอยู่แล้ว เรื่องนั้นน่ะให้มันเป็นไปตามธรรมชาตินั่นแหละ”

 .......................................................................................................................................................................................

            เวลาค่อนข้างโพล้เพล้ แสงอาทิตย์เริ่มเลือนหายลงไปช้าๆ เหลือไว้เพียงท้องฟ้าที่มืดคลึ้มลงไปทุกขณะ ณ ทางกลับบ้านที่ไม่ยาวไกลสักเท่าไหร่นัก

            ตึก ตึก ตึก! เสียงเท้าคู่เล็กกำลังเดินตรงไปสู่ทางกลับบ้านของเขา แสงไฟจากร้านค้าฝั่งซ้ายมือและท้องถนนเริ่มเปิดขึ้นส่องแสงสลัวสีเหลืองอ่อนผ่านใบหน้าเรียบร้อยของเด็กชายคิ้วเข้ม เขาจำต้องเดินกลับบ้านคนเดียวเนื่องจากพี่ชายติดธุระที่โรงเรียน ถึงอย่างไรก็ตามไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวหรือวิตกใดๆ ทั้งสิ้นกับเส้นทางที่เขาไปกลับอยู่ทุกวัน แม้จะมีข่าวการหายตัวไปของเพื่อนๆ มาให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้งตลอดหนึ่งสัปดาห์มานี้

           ‘พี่บิวนะพี่บิวอุตส่าห์สัญญากันแล้วนะว่าจะกลับด้วยกัน’ เด็กชายขมวดคิ้วทำปากบึ้งและก้าวเท้าเร็วขึ้น เขาค่อนข้างโมโหพี่ชายไม่น้อยเลยทีเดียว “งานกลุ่มอังกฤษอะไรกันล่ะ ทำไมต้องมานัดทำกันตอนกลับบ้านด้วยไม่เข้าใจเลยจริงๆ พักหลังนี้พี่ก็ไม่ค่อยจะสนใจเราเลย”

            เริ่มพ้นเขตร้านค้าแล้วเขาเดินเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ ข้างร้านตัดผม ซึ่งเป็นทางกลับบ้านของเขา เส้นทางค่อนข้างเปลี่ยวลงจากเมื่อสักครู่ รอบข้างของเขาคือผนังอาคารและกำแพงสังกะสีมีทางแยกบ้างเป็นบางระยะเชื่อมต่อกับซอยอื่นๆ เขายังคงเดินตรงไป

            ตึก ตึก ตึก เสียงเท้าของเขาดังชัดเจนขึ้นเนื่องจากบริเวณโดยรอบค่อนข้างเงียบ เขายังคงเดินหน้ามุ่ยจนกระทั่งถึงสามแยกเบื้องหน้าซึ่งพ้นจากเขตซอยที่เขาเดินอยู่ออกไป มันเป็นถนนเล็กๆ ซึ่งไม่ค่อยมีรถผ่านหากเลี้ยวขวาไปก็จะถึงบ้านของเขานั่นเอง

คิก คิก! ฮ่า! ฮ่า! เย่! เสียงเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานดังผ่านความเงียบมากระทบหูของเด็กหนุ่ม เสียงนั้นค่อนข้างคุ้นหู เมื่อเขาเดินจนถึงทางแยกจึงได้เห็นเพื่อนๆ ของเขานั่นเองกำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอยู่อย่างสนุกสนาน ทว่าเพื่อนกลุ่มนี้กลับเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขาที่หายตัวไปตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา

“นี่พวกนาย” เด็กชายประหลาดใจที่ได้พบเพื่อนๆ ของตนเองในสถานที่แบบนี้ “ทำไมมาอยู่นี่ล่ะพ่อแม่พวกนายกำลังตามหาอยู่นะ”

“อ้าว บอลนี่นา” เด็กผู้ชายตากลมผิวขาวคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นขณะวิ่งเล่น เขาหยุดแล้วเดินมาหาเพื่อนที่เพิ่งกลับจากโรงเรียน “มาเล่นด้วยกันสิ พวกเรากำลังเล่นไล่จับกันอยู่เลย”

บอลมองไปรอบๆ ตัวเห็นเพื่อนของเขาสี่คน “ทำไมไม่กลับบ้านล่ะ”

            “พวกเราหนีออกจากบ้านหนะ” เด็กชายผิวเข้มอีกคนในกลุ่มกล่าวขึ้นทำหน้าไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ “มันน่าหงุดหงิดจะตายพ่อแม่ทะเลาะกันอยู่ได้ ไม่เข้าใจว่าพวกเขาไม่เบื่อบ้างหรือไง”

          “ใช่ แถมโรงเรียนก็น่ารำคาญ สอนอะไรไม่สนุกเลยมาเล่นกันดีกว่าสนุกกว่าตั้งเยอะ” เด็กชายผมทรงกะลาครอบยื่นมือมาจูงบอล “นายก็มาเล่นกันสิ”

            “หนีออกจากบ้านเหรอ น่าแปลกนะแต่มันไม่เข้ากับพวกนายเลย” บอลรู้สึกแปลกใจเพราะเพื่อนๆ ของเขาทุกคนล้วนเป็นเด็กเรียนที่ขยันอ่านหนังสือ เป็นที่รักของคุณครูและผู้ปกครอง เขาไม่เคยเห็นเพื่อนๆ วิ่งเล่นแบบนี้มาก่อน

            เด็กชายร่างสูงอีกคนพูดขึ้นขณะกำลังเดินกลับไปวิ่งเล่นต่อ “เอาน่านายเองก็ลองหาอะไรสนุกทำบ้างไม่เห็นจะเป็นไรเลย”

            หลังจากเข้ามาบนถนนเล็กๆ เพื่อนของเขาปล่อยมือ บอลยังตะขิดตะขวงใจอยู่เล็กน้อยขณะมองตาลอกแลกวางกระเป๋าเป้ลงพื้น “ก็ได้” เขาค่อยๆ เดินเข้าไปในวง เขาคิดว่าน่าจะเล่นรอพี่ชายกลับบ้านได้อยู่พักหนึ่ง

           “เอาน่าบอลแล้วจะรู้ว่ามันสนุก” เด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาจากฝั่งซ้ายมือของถนน บอลเพิ่งสังเกตุเห็นเขาในกลุ่มของเพื่อน ทรงผมของเขาตัดเป็นระเบียบเข้ากับหน้าตา ร่างของเขาเล็ก ผอม และมีผิวขาวซีดลักษณะเหมือนเด็กขี้โรคแต่เขากลับวิ่งมายังเด็กชายได้อย่างคล่องแคล่ว เขาเดินมายืนอยู่เบื้องหน้าเด็กชาย

           “หัสดี” บอลหน้าซีดลงเขารู้สึกหนาว เย็นวาบไปทั้งตัวเมื่อรู้ว่าเพื่อนคนนี้คือเพื่อนในกลุ่มที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อสองสัปดาห์ก่อน และเขาเองยังไปร่วมทำพิธีเผาศพเมื่อไม่นานมานี้เอง   

            ดียิ้มอย่างมีชีวิตชีวาเผยฟันสีขาวภายใต้ริมฝีปากสีชมพูซีด “ผมอยากเล่นแบบนี้กับเพื่อนๆ มานานแล้ว”

.......................................................................................................................................................................................

วันต่อมาเวลากลางวัน ณ ห้องเรียนซึ่งเด็กหนุ่มก็ยังคงแอบฟุบหลับอยู่เช่นเคย แต่คราวนี้ไม่ได้หลับเขาเพียงแต่ฟุบหน้าลงพลางจดจ่อมองโต๊ะของบิว เพื่อนสนิทที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเรียนตั้งแต่เช้า

“นี่โต” เสียงซุบซิบจากเด็กสาวที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือดังขึ้น เธอฟุบอยู่กับโต๊ะเช่นกัน เพียงแต่ตั้งหนังสือขึ้นบังศีรษะ เธอแอบเงยใบหน้าจิ้มลิ้มขึ้นมาดูอาจารย์หนุ่มที่กำลังจดจ่ออยู่กับกระดานแล้วหันไปมองเด็กหนุ่ม “นายรู้รึเปล่าว่าเกิดเรื่องลักพาตัวอีกแล้วนะ คราวนี้เห็นว่าเป็นน้องชายของบิวแหละ ตอนนี้ที่บ้านของเขาคงวุ่นวายกันอยู่น่าดูเลยเนอะ น่าสงสารจัง”

 โตยังคงมองโต๊ะที่ว่างเปล่าพลางพูดเบาๆ “อย่างที่คิดผู้หญิงนี่ชอบนินทากันจังเลยนะ” เขาเหล่ไปมองเด็กสาวข้างโต๊ะ “เพราะแบบนี้เลยมีข้อมูลอยู่เยอะพอสมควร ฮิฮิฮิ ขอบใจนะจอย”

“อะไรของนายล่ะคำพูดขอบคุณที่เหมือนหลอกด่าเนี่ย” เธอสบัดผมหางม้าหนีกลับมามองหนังสือเรียน

(‘แบบนี้ก็เป็นไปตามที่ฉันคาดไม่ผิด เป็นผีลักซ่อนจริงๆ ด้วย’) โตฉีกยิ้มสยองอีกครั้งก่อนจะหัวเราะดังลั่นห้องเรียน “ฮิ! ฮิ! ฮิ! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!”

“ละเมอหัวเราะอะไรนายเอกภพ หน้าครูตลกหรือไง ไม่อยากเรียนก็ออกไปนอกห้องเดี๋ยวนี้” อาจารย์ที่อยู่หน้าห้องหันมาสบัดไม้เรียวชี้ไปยังประตู “หลับอยู่เรื่อย”

ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนทั้งห้องโตฉีกยิ้มลุกขึ้นเดินผ่านหน้าอาจารย์ออกไปข้างนอก (‘ฮิฮิฮิวันนี้โดดเรียนแล้วกัน’) ไม่ทันฟังคำพูดของอาจารย์ที่กำลังจะเรียกให้เขากลับเข้าไปนั่งที่เนื่องจากเป็นเพียงแค่คำพูดประชด เขาวิ่งตรงไปทางบันไดในทันที

“เดี๋ยวนายเอกภพ!” เสียงของอาจารย์ดังไล่ตามหลังเขาไป “กลับมานั่งที่ซะ ไม่เช่นนั้นครูจะบันทึกว่าเธอโดดเรียนนะ”

“บันทึกไปเลยครับครู!” เขาหันตะโกนตอบกลับมาก่อนจะเร่งกระโดดลงขั้นบันได หมายตรงไปยังบ้านของเพื่อนสนิทและรับฟังข้อมูลต่างๆ

“นายเอกภพ!” อาจารย์ตะโกนออกมาจากหน้าห้อง แต่ไม่ทันไรเด็กหนุ่มได้วิ่งลงบันไดหายลับสายตาไปเสียแล้ว

................................................................................................................................................................

            เมื่อไปถึงบ้านของบิวเป็นเวลาเดียวกับที่พระอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะพอดี สว่างจนเขารู้สึกแสบตา ที่หน้าบ้านรั้วสังกะสีของเพื่อนเขานั้นมีรถกระบะตำรวจจอดอยู่สองคัน ตำรวจในเครื่องแบบเดินไปมาอยู่ราวๆ สี่ถึงห้าคน บิวเดินออกมารับหลังได้รับสายโทรศัพท์จากเขาเมื่อสักครู่

           “นายมาทำไม” บิวเด็กหนุ่มตัดผมเกรียนผู้มีดวงตาสีน้ำตาลดุจสีของกวางป่าแต่กับเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตากล่าวถามขึ้น

           “ฮิฮิฮิ ก็แค่เป็นห่วงนายหนะ แต่ว่าหลักๆ แล้วฉันค่อนข้างสนใจอีกเรื่องหนึ่งมากกว่า” โตฉีกยิ้ม “น้องนายโดนผีลักซ่อนไปไงล่ะ และฉันก็ต้องการข้อมูลจากนายด้วย”

           “นี่นายเอาเรื่องที่น้องชายของฉันหายตัวไป ไปผูกกับเรื่องผีไร้สาระงั้นเหรอ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะเว้ย!” บิวตะคอกใส่โตพร้อมกับกระชากคอเสื้อ เขาจ้องเพื่อนสนิทตาเขม็ง “ถ้านายเอาเรื่องของน้องฉันไปเล่นสนุกเป็นเรื่องผีสางๆ ในเวลาแบบนี้อีกฉันจะต่อยนายให้จมดินเลยคอยดูสิ”

           “ใจเย็นก่อนน่าบิว” โตยังคงพูดต่อไปด้วยท่าทีปกติ “ฉันไม่ได้ผูกเรื่องไร้สาระมาหลอกนายเลยสักนิด อีกอย่างเหตุการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นให้เห็นบ่อยๆ อยู่แล้วด้วย มันไม่ได้เกิดกับนายคนเดียวนะ ไม่ว่านายจะเชื่อเรื่องผีหรือไม่ แต่ให้ฉันช่วยมันก็ไม่เสียหายนี่นา”

            บิวปล่อยคอเสื้อของโตออกแล้วผลักเขาออกไป “ฉันไม่เชื่อเรื่องผีเหมือนนายหรอก ฉันจะต้องหาตัวคนร้ายให้ได้ ถ้ามัวแต่พึ่งพาตำรวจเหมือนบ้านเด็กอีกสี่คนก่อนหน้า ยังไงคดีก็ไม่คืบหน้าแน่ๆ” เขาหันมองไปยังตำรวจที่ดูเหมือนกำลังจะขึ้นรถกลับกันแล้ว

          “น้องชายของนายมีของใช้ที่พกติดตัวเหลือทิ้งไว้บางมั้ย” โตถามต่อไปโดยไม่ได้ฟังเพื่อนของเขาแม้แต่น้อย

            บิวหันมามองโตอย่างงุนงง “มีกระเป๋าเป้ทิ้งไว้ตรงสามแยก” เขาชี้ตรงไปยังถนนเบื้องหน้าที่โตเดินผ่านมา “แต่ตำรวจเอาไปแล้ว ถามทำไมเหรอ”

            (‘ชิ ถ้ายังมีอยู่ก็ยังพอเอาไปให้ธันช่วยสืบได้แท้ๆ’) โตใช้มือจับคางขณะครุ่นคิด “งั้นเหรอ” เขาถอนหายใจเบาๆ พลางมองไปยังทางสามแยกที่บิวชี้ให้ดู “กระเป๋ามันอยู่ในรูปแบบไหน”

           “เมื่อคืนตอนฉันกลับบ้านก็ราวๆ สองทุ่มครึ่ง ฉันเห็นมันพาดอยู่กับกำแพงข้างเสาไฟหนะ นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย” บิวตอบไปตามที่เขาพบ “หลังจากนั้นฉันก็รีบกลับไปดูที่บ้าน พอไม่พบน้องก็รีบแจ้งความทันที”

           “ลักษณะแบบเต็มใจไปสินะ” โตพึมพำขณะก้มหน้าคิด

           “นายหมายความว่าไง” บิวฉงนใจในคำพูดของเพื่อนสนิท

           “ก็ถ้าโดนลักพาตัวไปอย่างที่นายว่า อันดับแรกเลยกระเป๋าไม่น่าจะมาอยู่ในสภาพแบบนั้น น่าจะถูกอุ้มไปทั้งๆ ที่สะพายอยู่ หรือถ้ามันจะตกก็น่าจะตกอยู่ข้างทางหรืออะไรทำนองนั้น แต่เท่าที่นายว่ามาเหมือนเขาจงใจถอดแล้ววางมันไว้อย่างไรอย่างนั้น อีกอย่างถึงจะเป็นโจรแต่คงไม่ประณีตขนาดถอดกระเป๋าเด็กมาวางไว้ซะดิบดีใช่มั้ยล่ะ”

            เมื่อได้ยินเช่นนั้นบิวก็เบิกตากว้างร่างของเขาชะงักอ้าปากค้างเล็กน้อย “จริงด้วย” เขาไม่คิดว่าการให้ข้อมูลเพื่อนเพียงแค่นั้นจะทำให้เขาได้รู้ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งมา น้องชายของเขาไม่ได้ถูกอุ้มหรือฉุดแต่เต็มใจไป หากแต่เขาก็ยังนึกวิธีการที่คนร้ายใช้ไม่ออกเลยสักนิด การจะเอาขนมหรืออะไรมาล่อเด็กมัธยมปีสองนั้นมันไม่ได้ง่ายเหมือนล่อลวงเด็กอนุบาล ถ้าเช่นนั้นอะไรทำให้น้องชายของเขาเต็มใจวางเป้ไว้แล้วตามไปกันล่ะ

           “ถ้าเป็นไปตามที่ฉันว่าก็มีวิธีหาตัวให้พบอยู่นะ ฮิฮิฮิ” โตยังคงฉีกยิ้มเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่ออยู่ดังเดิม

           “ขอบใจมากนะไอ้โตฉันจะสืบต่อเอง ก็อยากให้นายช่วยหรอกนะ แต่เวลาฟังนายเอาไปรวมกับเรื่องลึกลับแล้ว ฉันไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่” เขาสาบานกับตัวเองว่าจะต้องลากตัวโจรลักพาตัวมาลงโทษให้จงได้ แล้วก็เดินกลับเข้าบ้านของตนไป ก่อนจะพ้นประตูบ้านเขาหันกลับมาพูดกับโตที่ยังคงยืนอยู่หน้ารั้วบ้าน “นายกลับไปซะเถอะ”

          “ฮิฮิฮิ คนที่ไม่เชื่อพูดให้ตายมันก็ไม่เชื่อสินะ” โตยืนส่งเพื่อนกลับเข้าบ้านแล้วตนจึงได้เดินกลับออกทางเดิม เขาเดินมาเรื่อยๆ จนถึงสามแยกพลางมองไปยังเสาไฟต้นที่อยู่ติดกำแพงสังกะสีสีเขียว เขาหยุดดูมันอยู่สักพักแล้วจึงเดินเข้าซอยไป

...............................................................................................................................................................................

            ตะวันจวนจะลับขอบฟ้า บิวยังคงสืบหาน้องชายอย่างสุดกำลัง ทั้งติดประกาศตามหาคนหาย สอบถามผู้ที่อยู่อาศัยในระแวกนั้น แต่ก็ไม่มีใครให้ข้อมูลใดๆ กับเขาได้เลย อย่างไรก็ตามเขายังคงมีหวัง หวังที่จะค้นหาน้องชายของเขาให้พบ

            สุดท้ายแล้ววันนี้เขาก็ยังไม่ได้อะไรกลับมาบ้านเลยแม้แต่น้อย เขาต้องคอยปลอบใจพ่อกับแม่ไว้ในขณะที่ตนเองยังคงรู้สึกผิดที่เมื่อคืนก่อนไม่ได้เดินกลับมาพร้อมกับน้องชาย จนเป็นเหตุให้บอลต้องหายตัวไปเช่นนี้

           “ฮือๆ บอล ไอ้บอลลูกแม่” เสียงของหญิงวัยกลางคนผู้มีใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา เธอยังคงนั่งอยู่บนโซฟาเก่าๆ กอดรูปภาพของลูกชายเอาไว้แนบอก ร้องไห้เสียงแหบแห้งจนแทบจะขาดใจ 

           “ไม่เป็นไรนะครับแม่ ทางตำรวจต้องช่วยเราได้แน่ บอลต้องไม่เป็นไร” เด็กหนุ่มโอบกอดแม่ของเขาไว้ หัวใจของเขาถูกบีบคั้นด้วยความเจ็บปวดที่รุมเร้า (‘ฉันจะต้องหาบอลเจอให้ได้’) เด็กหนุ่มสาบานกับตัวเอง “นอนเถอะครับแม่พรุ่งนี้อาจจะได้ข่าวคราวอะไรบ้างก็ได้”

           “ไปนอนเถอะบิวพรุ่งนี้แกมีเรียน เดี๋ยวพ่อดูแม่เอง” ชายวัยกลางคนร่างสูงคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

           “ฝากแม่ด้วยนะครับพ่อ” บิวพยักหน้าให้พ่อของเขาก่อนจะคลายอ้อมกอดจากแม่แล้วเดินก้มหน้าไปยังบันได เขาเหลือบกลับมามองดูพ่อกับแม่อย่างเป็นห่วงและเดินกลับขึ้นไปยังห้องของตน เอง

.......................................................................................................................................................................................

            ในเช้าวันต่อมา อากาศแจ่มใสทว่ามันช่างตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่ขุ่นมัวของเด็กหนุ่มอย่างชัดเจน ทุกคนต่างเดินทางสัญจรไปโรงเรียน ไปทำงานด้วยความเร่งรีบ และเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากได้กล่าวคำร่ำลากับพ่อแม่แล้วบิวก็วิ่งไปโรงเรียน เขาวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ สลัดความเจ็บปวดไปกับสายลมที่พัดผ่านใบหน้าของเขา สลัดน้ำตาไปกับน้ำเหงื่อที่โทรมกาย และสลัดความอึดอัดไปกับลมหายใจ วันนี้เขาจะต้องหาตัวน้องชายให้พบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาตั้งใจเช่นนั้น

            เมื่อมาถึงบริเวณหน้าโรงเรียนเขาพบว่าโตยืนกอดอกพิงประตูรั้วรออยู่ก่อนแล้ว เขามองเพื่อนสนิทแต่ไม่ได้พูดอะไร มีเพียงแต่ลมหายใจเหนื่อยหอบจากการวิ่งดัง แฮ่ก แฮ่ก อยู่เป็นจังหวะ ทั้งคู่สบตากันก่อนที่ฝ่ายโตจะเอ่ยปากพูดก่อน

           “ปกติไม่เห็นนายวิ่ง” เขายิ้มมองดูเพื่อนสนิทที่ก้มจับหัวเขาถอนหายใจเข้าออก

           “แฮ่ก แฮ่ก” บิวใช้มือปาดเหงื่อก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป“ก็ตอนนี้ปกติที่ไหนล่ะไอ้เพื่อนเพี้ยน”

           “ฮิฮิฮิ” โตหยิบสมุดเล่มเล็กในกระเป๋ากางเกงออกมา ก่อนจะไล่เปิดหาหน้าแล้วฉีกกระดาษออกมาแผ่นหนึ่งเดินมายื่นให้บิว “นี่คือวิธีการหาตัวน้องชายของนาย จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่นาย”

            บิวรับกระดาษแผ่นนั้นจากมือของโตก่อนจะพับมันแล้วเก็บลงกระเป๋ากางเกง “ไว้ถ้าฉันหมดหนทางแล้วจริงๆ จะลองใช้ดูนะ”

           “ไม่หรอก นายหนะหมดหนทางแล้วต่างหาก” โตฉีกยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปในรั้วโรงเรียน “ฮิฮิฮิ เพราะไม่ว่ายังไงนี่ก็เป็นเรื่องของผี จะจับคนออกมาจากผีก็ต้องใช้วิธีผีๆ เท่านั้น” เขาหันกลับมามองเพื่อนสนิทตาเขม็งแล้วหันกลับไป “เอาเถอะยังไงซะถึงพูดไปมันก็เท่านั้น ฉันไปล่ะ นายเองก็รักษาตัวด้วย”

           “เจ้าบ้าเรื่องผีเอ้ย” บิวค่อยๆ ยืดหลังตรงเดินเข้าโรงเรียนตามเพื่อนสนิทไป

            ในห้องเรียนยังคงเป็นบรรยากาศเดิมๆ ที่คุ้นตา เว้นเสียแต่ทุกคนเป็นห่วงเขามากเป็นพิเศษ ไม่ว่าใครก็ถามแต่ข่าวคราวของน้องชายและให้กำลังใจ แต่มันกลับเสมือนย้ำให้เขาเจ็บปวดที่ยังดูแลน้องไม่ดีพอ ในวันนี้ทั้งวันเขาเรียนไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย

            ทุกอย่างดำเนินไปจวบจนเวลา 16:00 น. ทุกคนต่างแย่งย้ายกันกลับบ้านอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวัน บิวสะพายกระเป๋าลุกออกจากเก้าอี้ เขาตั้งใจว่าจะไปหาเบาะแสจากร้านค้าต่างๆ ระหว่างทางกลับบ้าน ซึ่งอย่างน้อยก็น่าจะพอรู้ว่าน้องชายของเขาเดินกลับบ้านด้วยตัวคนเดียวหรือไม่ หากไม่เขาเดินกลับกับใครและใครคนนั้นก็คงจะมีโอกาสพาตัวน้องชายของเขาไปมากที่สุด

            เขาเดินกลับเส้นทางเดิมเหมือนเช่นทุกวันแล้วไล่ถามจากร้านค้าที่เป็นคนรู้จักในระแวกนั้นแต่ก็ยังไม่ได้ข้อมูลเลยสักนิด จนกระทั่งถึงร้านสุดท้ายก่อนจะถึงทางแล้วเข้าซอย มันเป็นร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ ที่ลูกค้าไม่เยอะสักเท่าไหร่ มีพ่อค้ายืนถือปังตอกำลังสับหมูอยู่ บิวจึงตัดสินใจเดินเข้าไป แต่ไปทันที่จะเดินไปถึงก็มีบางอย่างวิ่งแซงเขาไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงหัวเราะของเด็กๆ

           “คิกๆ ฮ่า ฮ่า”

            บิวมองเด็กกลุ่มนั้น พวกเขาวิ่งกันเร็วมาก แต่ที่ทำให้เขาต้องเบิกตากว้างกว่าปกตินั่นก็คือเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่วิ่งตามหลังเด็กคนอื่นๆ มา

           “บอล!” บิวตะโกนเสียงดังวิ่งตามน้องชายของเขาไป ผ่านร้านอาหารตามสั่งก่อนที่พวกเด็กๆ จะเลี้ยวเข้าไปในซอย

            ทว่าเมื่อเขาวิ่งเลี้ยวเข้าไปในซอยก็ไม่มีวี่แววของใครเลยแม้แต่น้อย เขาหันซ้ายแลขวาแต่ก็มีเพียงผนังตึกและกำแพงสังกะสีเท่านั้น

           “อย่ามาขวางผมนะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความสับสน ก่อนที่เด็กหนุ่มจะรู้ตัวว่าเขาได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องที่เหนือคำบรรยายเข้าเสียแล้ว                                     

 

จบตอน

โปรดติดตามตอนต่อไป

สำหรับคนที่ไม่เข้าใจกับไทม์ไลน์ของเรื่องนี้นะครับ (เพราะมีฉากย้อนอดีตค่อนข้างเยอะอยู่) ผมเลยเรียงลำดับไทม์ไลน์ของเรื่องเฉพาะตอนที่ย้อนอดีตไว้ ดังนี้

                     ไทม์ไลน์เฉพาะตอนย้อนอดีต

            คาบเรียนที่ 4 (โตมัธยม 3 เทอม 2) – คาบเรียนที่ 7.5 (โตมัธยม 5 เทอม 1) – คาบเรียนที่ 15.5 (โตมัธยม 5 เทอม 2) – คาบเรียนที่ 8.5 (ไค ม.4 สองสัปดาห์ก่อนย้ายโรงเรียน) – คาบเรียนที่ 11.5 (โตมัธยม 6)

            แล้วพบกันอีกนะครับ ^^

ปล.รักนะคนอ่าน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา