ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

6.8

เขียนโดย shotaro

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.

  32 ตอน
  8 วิจารณ์
  32.14K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

30) คาบเรียนที่ 16 : ความผิดพลาดของประธาน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ(หลังเลิกเรียน)

            คาบเรียนที่ 16 : ความผิดพลาดของประธาน เด็กชายผู้มองเห็นวิญญาณ และชมรม (จตุรบท)

            สี่วันต่อมาหลังจากบิวหายตัวไปโตสัมผัสถึงความผิดแปลก มันต่างจากการหยุดเรียนโดยทั่วไปเพื่อนสนิทของเขาไม่เคยหยุดติดต่อกันนานถึงเพียงนี้ ตอนเย็นหลังเลิกเรียนเขาจึงมุ่งไปยังห้องชมรมเรียกประชุมสมาชิกทุกคน แม้สมาชิกที่มาจะมีเพียงอีฟคนเดียวก็ตาม

           “แล้วคนอื่นๆ ล่ะ” โตหันซ้ายขวามองเก้าอี้ที่ว่างเปล่า “อย่าบอกนะว่าโดนผีลักซ่อนไปกับเขาด้วย”

           “พี่ธันบอกว่าติดธุระต้องไปทำงานบ้านค่ะ ส่วนแทงค์ก็กลับบ้านกับพี่เขาเพราะช่วงนี้ข่าวลักพาตัวค่อนข้างบ่อย” อีฟอธิบายให้ประธานฟังเพื่อหยุดอาการสติแตกของเขา

            (‘ให้ตายสิเวลาแบบนี้คนที่เป็นประโยชน์ก็ไม่อยู่เสียนี่’) โตยืนเกาศีรษะขณะมองดูสมาชิกที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว

           “หนูอ่านใจได้นะคะพี่โต” เธอยิ้มขณะกุมหมัดซ้ายตัวเองไว้ แผ่จิตสังหารจนฟุ้งไปทั่วห้อง พาให้โตยืนขาสั่นขึ้นมาทันใด

           “อ...เออ งั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลยแล้วกัน” โตหลบตาพูดเสียงสั่นๆ พลันปาดเหงื่อที่พรูไหลออกมาไม่หยุด “สืบเนื่องจากคราวที่แล้วเกี่ยวกับการหายตัวไปของเด็กสี่คน ในวันนี้นั้นมีเด็กหายสาบสูญรวมกันแล้วถึงแปดคน หนึ่งในนั้นคือบอลน้องชายของเพื่อนสนิทฉันที่ชื่อว่าบิว” โตนำรูปของทั้งสองคนวางลงบนโต๊ะยื่นให้กับอีฟ เธอรับไว้แล้วพินิจดูครู่หนึ่ง “เด็กแปดคนที่หายตัวไปนั้นเรียงตามลำดับที่ฉันสันนิษฐานไว้ได้พอดี แต่มีหนึ่งคนที่เกินคาดไปหน่อย นอกเหนือจากเด็กแปดคนนั้นแล้วยังมีบิวเพื่อนสนิทของฉันหายตัวไปด้วย” เขานั่งลงกับเก้าอีกและวางมือไว้บนโต๊ะ “เขาไม่เชื่อคำพูดของฉันแล้วใช้วิธีการตามหาในแบบของตนเอง ฉันคิดว่าเขาคงหาน้องชายของเขาไม่เจอหรอก แต่ว่าผลมันกลับตรงกันข้าม” เขามองไปยังอีฟด้วยแววตาที่สั่นไหว “เขาได้เจอแต่ไม่ใช่เพียงได้เจอเท่านั้น เขาได้ไปอยู่ด้วยเลยต่างหาก”

          “ถ้าแบบนั้นก็แสดงว่าพี่โตรู้วิธีค้นหาพวกเขาสิคะ” อีฟวางรูปของทั้งสองลงบนโต๊ะ “ไม่เช่นนั้นพี่จะบอกวิธีตามหาให้กับพี่บิวได้อย่างไร”

          “ใช่ฉันรู้” โตพยักหน้า “ฉันรู้วิธีตามหาคนที่โดนผีลักซ่อน ในรูปแบบเจ้าป่าเจ้าเขาซึ่งเราต้องทำพิธีวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้หาเจอ” เมื่อพูดจบประโยคเขาจึงเปลี่ยนมาส่ายหน้าไปมาอย่างผิดหวัง “แต่นี่เป็นรูปแบบสัมภเวสีลักซ่อน และเป้าหมายไม่ใช่แค่เล่นสนุกหรือลวงคนให้หลงป่า แต่มันตั้งใจจะเอาไปอยู่ด้วยจริงๆ”

           “ถ้าแบบนี้แล้ววิธีที่พี่ให้พี่บิวไปล่ะคะ!!” อีฟถามด้วยท่าทีตกใจ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เธอใช้มือป้องปากที่ค้างไว้

            โตหลับตาแล้วก้มหน้าลง “เป็นวิธีพื้นฐานให้อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามแบบคนไทยโบราณหนะ เพราะคิดไม่ถึงว่าหมอนั่นจะถูกพาตัวไปด้วยก็เลยให้ไปแค่นั้น” เขาค่อยๆ หยิบสมุดของตนเองขึ้นมาไล่เปิดจนหยุดที่หน้าๆ หนึ่ง “จากการหาข้อมูลเมื่อสองวันก่อน ฉันเพิ่งพบว่าที่ญี่ปุ่นเองก็มีตำนานเกี่ยวกับผีลักซ่อนด้วยเช่นกัน และมันเป็นในรูปแบบที่น่ากลัวกว่าเสียด้วย ว่าถ้าหากได้รับประทานของที่อยู่ในโลกฟากโน้นเข้าไปก็จะไม่สามารถกลับออกมาได้อีกเลย ซึ่งหากเป็นไปในรูปแบบนั้นฉันไม่คิดว่าการวิงวอนจะได้ผลนะสิ”

           “ใจเย็นก่อนค่ะพี่โต แล้วเราได้ลองวิธีอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปหรือยังคะ” อีฟกุมมือรุ่นพี่เอาไว้ก่อนจะค่อยๆ พูดกล่อมให้เขาสงบลง

           “ฉันลองไปตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้วล่ะ จุดธูปเทียนบูชาไปไม่รู้ตั้งกี่ที่แต่ก็หาไม่พบ” โตกุมขมับ เขาพยายามนึกทุกวิธีที่จะสามารถหาตัวเพื่อนสนิทและเด็กๆ ให้พบ “ฉันยังมีข้อมูลของผีลักซ่อนไม่เพียงพอ ฉันพลาดไปบางจุด ใช่แล้ว!” เขาเงยศีรษะขึ้นแววตาเปล่งประกายความหวัง “ถ้าต้นเหตุที่ลักพาตัวไปเป็นผีละก็ ถ้ากำจัดผีตัวนั้นซะทุกๆ คนก็น่าจะกลับมา”

           “แล้วพี่จะหาตัวผียังไงล่ะคะ” อีฟถอนหายใจเบาๆ

            ประธานหนุ่มฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง เขาหันมาพูดกับรุ่นน้องด้วยสีหน้าที่เอาจริงเอาจัง “ฟังให้ดีนะอีฟ เรื่องนี้หนะฉันจะลงมือสืบหาทุกๆ คนด้วยตนเอง มันอันตรายเกินกว่าที่พวกเธอจะเข้ามายุ่งด้วย”

           “มาพูดแบบนี้แล้วจะให้พวกเราอยู่เฉยๆ หรือ” อีฟโพล่งถามออกไปหลังได้ฟังคำสั่งห้ามของประธาน

           “ฮิฮิฮิ ก็เพราะว่างานนี้ฉันทำคนเดียวมันจะสะดวกกว่าหนะ” โตลูบศีรษะของรุ่นน้องเบาๆ ก่อนจะลุกสะพายเป้เดินออกนอกห้องไปอย่างรวดเร็ว “ฝากปิดไฟ ปิดแอร์ ล็อกประตูด้วยล่ะ”

           “เดี๋ยวสิคะพี่โต” อีฟรีบเก็บข้าวของจะวิ่งตามออกไป ทว่าไม่ทันเสียแล้วเพราะรุ่นพี่ของเธอนั้นได้วิ่งลงบันไดไปเรียบร้อย “ฮึ่ม...ไอ้ประธานบ้า!!” อีฟตะโกนลั่นตึกด้วยความโมโหก่อนเธอจะเดินหน้ามุ่ยไปไล่ปิดสวิตซ์ไฟและแอร์

.....................................

            ตึก! ตึก! โครม! เสียงหกล้มจากเด็กผู้ชายร่างเล็กคนหนึ่งดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองเกือบครึ่งห้อง

ไม่ทันได้ถึงประตูที่ตนกำลังจะออกไปรับประทานอาหารกลางวันเขาก็เดินเหยียบเชือกรองเท้าของตนเองพลาดล้มลงหน้าทิ่มพื้นเสียอย่างนั้น เป็นเรื่องธรรมดาของป็อบเด็กชายผมทรงกะลาครอบที่ไม่ค่อยระมัดระวังตัวสักเท่าไหร่นัก บางวันเขาก็นั่งเก้าอี้พลาดล้มลงก้นจ้ำเบ้า บางวันเขาก็คว้ากระเป๋าสลับกับของน้องสาวมาโรงเรียนด้วยความเร่งรีบ และบ่อยครั้งนักที่เขาจะสะดุดล้มก้นจ้ำเบ้ากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เพื่อนๆ ต่างเรียกเขาว่าจอมซุ่มซ่ามแห่งปี

“โอย เจ็บๆ” เขาใช้มือคลึงจมูกและใบหน้าที่กระแทกลงไปเมื่อสักครู่พร้อมกับโอดโอยครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเพื่อนๆ มาช่วยพยุงร่างเขาลุกขึ้น “เอ๋ ขอบใจนะทุกคน พวกนายใจดีจัง” เขาหันไปยิ้มให้กับเด็กผู้ชายทางซ้ายมือ ทว่าอีกฝ่ายกลับทำสีหน้าตกใจพอสมควร

“นี่นาย...” เขาชี้ไปที่ใบหน้าของป๊อบ “กำเดาไหลอยู่แหนะ”

“ฮะ! เอ๋! จริงด้วย” เด็กชายใช้มือจับดูบริเวณรูจมูกพบว่ามีเลือดไหลอยู่จริงๆ เขาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีน้ำตาลที่พับเป็นผืนสี่เหลี่ยมจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาซับ “ขอบใจนะ”

 “ฉันว่านายไปล้างหน้าเถอะเจ้าซุ่มซ่าม” เสียงเพื่อนทางขวามืออีกคนกล่าวขึ้นตามด้วยเสียงหัวเราะอีกเช่นเคย

“อืม” แล้วป๊อบก็เดินออกไปจากห้องได้สำเร็จ เขาหันไปทางซ้ายมือตรงไปยังห้องน้ำก่อนจะถึงห้องดนตรีและห้องพระบริเวณบันได แต่แล้วไม่ทันไรเขาก็เผลอเดินชนกับเด็กผู้ชายตัวสูงเข้าอีก ซ้ำร้ายทำให้น้ำในขวดที่อีกฝ่ายถืออยู่เตรียมจะดื่มเทใส่หัวของเขาเสียเต็มๆ และนั่นทำให้คงไม่จำเป็นต้องไปล้างหน้าอีกแล้วด้วยเช่นกัน เด็กชายคลำดูเสื้อนักเรียนที่เปียกชุ่ม

“ว้า เปียกหมดเลย อ้ะ ขอโทษครับ” เขาเงยหน้าขึ้นมองชายร่างสูงที่เดินชนก่อนจะรีบยกมือไหว้ขอโทษยกใหญ่

“อ่อ...อืมไม่เป็นไร” เขาตอบอย่างขรึมๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังทางลงบันได

“แบบนี้คงต้องไปตากแดดให้แห้งบนดาดฟ้าซะแล้วสิเนี่ย” เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะก้าวไปยังบันได โครม! แล้วเขาก็ลื่นล้มอีกครั้งด้วยน้ำที่เจิ่งนองพื้น

            เมื่อป๊อบเดินมาถึงดาดฟ้า แดดยามเที่ยงเริ่มแผดเผาผิวพรรณขาวนวลของเขา โชคดีที่ยังมีลมโกรกอยู่ตลอดเวลาพัดเอาความร้อนออกไปได้บ้าง เขาเดินไปนั่งผึ่งเครื่องระบายความร้อนของเครื่องปรับอากาศเพื่อให้เสื้อผ้าแห้งเร็วขึ้นแล้วมองไปรอบๆ ดาดฟ้าที่มีเพียงแสงแดดจ้าจนต้องหรี่ตาประกอบกับเสียงโกรกไปมาของสายลม ทว่าเขามองเห็นสิ่งหนึ่งผิดสังเกตทางซ้ายมือของเขาถัดจากเครื่องระบายความ ร้อนที่เข้าผึ่งอยู่ราวๆ ห้าเมตรมีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังยืนจับราวระเบียงมองไปยังทิวทัศน์เบื้องล่าง ผมหางม้าและชายกระโปรงของเธอสะบัดเมื่อต้องกับสายลม เงาแดดสะท้อนเรือนร่างทรวดทรงที่ผอมกำลังดี ใบหน้าด้านข้างที่อวบอิ่มกำลังน่ารักสมวัย

           “น่ารักจัง” เด็กชายพึมพำขณะเหล่มองเธอแล้วหลบกลับมาก้มหน้า (‘ตัวสูงกว่าเราอีก ท่าทางจะเป็นรุ่นพี่แฮะไม่ไหวหรอกไม่ไหว’) ใบหน้าของเขาแดงก่ำ นั่นไม่ใช่เพราะเลือดกำเดาอย่างแน่นอน เขาได้แต่สงสัยว่าใครกันนะที่มายืนตากแดดบนดาดฟ้ากลางวันแสกๆ เช่นนี้ และเขาก็นั่งเงียบอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งหมดเวลาพักกลางวัน ในที่สุดเสื้อผ้าของเขาแห้งเหลือเพียงแต่เขายังไม่ได้รับประทานอาหารกลางวัน เลยสักคำเดียว

            (‘สุดท้ายก็ไม่ได้ทักอะไรไปสินะเรา’) เขาถอนหายใจขณะก้าวลงบันไดพลางหันกลับไปมองประตูดาดฟ้าที่เพิ่งเดินจากมา น่าแปลกที่หมดเวลาพักกลางวันแล้วแต่เธอก็ยังคงยืนมองทิวทัศน์อยู่อย่างนั้นและนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอทำตลอดเวลา  ไม่แม้แต่จะเดินไปไหนมาไหน (‘พี่สาวคนนั้น เขามองอะไรของเขาอยู่กันนะ’) ฟึ่บ! โครม! เดินเหม่ออยู่ไม่นานนักเขาก็ก้าวลงบันไดพลาดหน้าคะมำอีกเช่นเคย

            เขานอนคว่ำอยู่บริเวณตีนบันไดชั้น 8 ก่อนจะพยายามใช้แขนทั้งสองยันตัวเองลุกขึ้น ยังดีที่มือของเขายันพื้นไว้ด้วยสัญชาตญาณศีรษะจึงไม่ได้กระแทกแต่อย่างใด ป๊อบก้มดูฝ่ามือที่แดงก่ำ มันสั่นและชาไปหมด หัวใจเต้นตุบๆ อย่างตื่นกลัว เมื่อเงยหน้าขึ้นพบกับประตูห้องวิทยาศาสตร์เก่าๆ ซึ่งก็พอคุ้นหูอยู่บ้างจากข่าวลือที่แพร่สะพัดว่าเป็นห้องวิทยาศาสตร์ ประหลาดที่ไม่เคยเปิดให้นักเรียนคนไหนเข้าเรียน และมักจะได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ในห้องบ่อยครั้ง บางข่าวลือก็ว่ามันถูกใช้เป็นห้องชมรมห้องหนึ่งไปแล้ว ทว่าก็กลับเป็นชมรมที่แทบจะไม่มีใครรู้จัก บางครั้งก็ถูกนำไปใช้เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าสยองขวัญของโรงเรียน แม้จะเพิ่งลือกันไปได้ไม่ถึงหนึ่งปีดีก็ตาม แต่หลายคนนักที่คิดว่ามันเป็นเรื่องจริง และนั่นรวมถึงเด็กชายป๊อบคนนี้ด้วย

            (‘ตอนขึ้นมาเราไม่ทันได้สังเกตเลยแฮะ แต่พอมาดูของจริงจู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามันสยองพิลึก’) เขาขาสั่นและเย็นวาบไปทั้งตัว (‘ร...รีบไปดีกว่า’) ทันทีที่คิดแบบนั้น ท่ามกลางความเงียบเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากภายในห้องดังขลุกๆ ครืดๆ  ไปมาราวกับเสียงรื้อค้นอะไรสักอย่าง ไม่ทันที่จะย่างก้าวออกไปจากที่แห่งนั้น สักพักก็ได้ยินเสียงเสมือนบางอย่างวิ่งกระทบพื้นดังปึงปังตรงมายังประตูเบื้องหน้า พลังงานบางอย่างผลักร่างเด็กชายล้มลงก้นกระทบพื้นด้วยทีท่าราวกับคนไร้เรี่ยวแรง ทันใดนั้นเรื่องประหลาดก็ได้เกิดขึ้น เงาดำเบลอๆ ลักษณะเป็นร่างคนวิ่งพุ่งทะลุประตูออกมาเฉี่ยวหน้าของเขาไปในระยะประชิด ไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่เขาจะกระพริบตามันก็ได้สลายหายไปแล้ว เหลือแต่เขาที่ได้แค่มองตาค้างอยู่เช่นนั้น กลัวจนกรีดร้องไม่ออก น้ำตาไหลพราก ก่อนจะหมดสติไป

            เด็กชายลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับสะดุ้งโหยงอย่างกับโดนไฟลน ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะมองไปรอบๆ ตัว สัมผัสอ่อนนุ่มที่มือและก้นนั่งทับอยู่นั้นแลดูจะเป็นเตียงในห้องพยาบาล มองไปทางซ้ายมือจึงเห็นหญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งกำลังนั่งเขียนสมุดอยู่กับโต๊ะ เธอคืออาจารย์ประจำห้องพยาบาลซึ่งเขามักจะได้พบบ่อยๆ ในเวลาตรวจร่างกาย และชั่วโมงเรียนสุขศึกษา คงจะมีใครบางคนเห็นเขาหมดสติจึงอุ้มมาส่งที่นี่กระมัง ทว่าภาพที่เหมือนกับถูกตัดฉากไปอยากกะทันหันนั้นยังคงติดตาของเขาอยู่ไม่ไปไหน และเขาไม่คิดว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาแน่ๆ

           “ตื่นแล้วเหรอ รุ่นพี่เขาเห็นเธอสลบอยู่ที่ชั้น 8 แหนะ” เธอคงได้ยินเสียงเตียงลั่นตอนที่เด็กชายสะดุ้งเมื่อสักครู่ แม้จะไม่หันกลับไปมองจึงพอเดาได้ว่าเขาฟื้นตัวแล้ว “อดหลับอดนอนมาละสิท่า”

           “ครูครับผมเห็นผี!” เขาตอบเสียงทั้งสั่นทั้งดัง “ชั้น 8 ห้องวิทยาศาสตร์ชั้น 8 มีผีจริงๆ ด้วยครับครู” แม้จะรู้ดีว่าพูดไปก็เท่านั้นเพราะเธอคงจะมองว่าเด็กๆ เพ้อไม่เข้าเรื่อง แต่หากไม่รีบระบายกับใครในทันทีเขาคงกลัวจนไม่กล้าไปไหนมาไหนเป็นแน่

           “ฮ่าๆ ข่าวลือนั่นอีกแล้วเหรอ” เธอวางปากกาลง ค่อยๆ หันเก้าอี้มาทางเด็กชายเผยใบหน้าหญิงมีอายุใจดีคนหนึ่งสวมแว่นสายตากรอบสีแดง เธอยิ้มอ่อนๆ ขณะมองความไร้เดียงสาของเด็กชาย “ดังมาจนขนาดครูๆ ยังคุยกันเลยนะเนี่ย”

           “ผมเห็นจริงๆ นะครู” ป๊อบยืนยันเสียงแข็ง ใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะพลันนึกภาพเพียงเสี้ยววินาทีที่เห็นก่อนตนจะหมดสติ เงาดำสลัวปริศนาที่วิ่งออกมาจากประตูห้องแล้วหายไปต่อหน้าต่อตา เพียงนึกถึงก็ขนลุกจนไม่กล้าออกจากเตียง “เป็นเงาคนวิ่งออกมาจากประตูห้องวิทย์”

            เธอพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดอย่างใจเย็น “ห้องวิทยาศาสตร์ชั้น 8 น่ะ เดิมทีก็ถูกปิดไว้ไม่ให้ใช้มา 6 ปีแล้ว นี่ก็เพิ่งเปิดให้พวกเด็กๆ ใช้เป็นห้องชมรมนี่แหละ” เธอเอนตัวเข้าหาเด็กชายพร้อมกับหรี่ตามองไปยังใบหน้าของเขา “ส่วนเหตุผลที่ปิดไป 6 ปีก็เพราะถูกใช้เป็นห้องเก็บอุปกรณ์ทดลองแทน ไม่มีใครเป็นอะไรตาย หรือ มีผีสางอย่างที่เขาลือกันหรอก ที่เธอเห็นน่ะคงจะเป็นภาพหลอนเพราะอดนอนเสียมากกว่า”

            เด็กชายเมื่อได้ยินดังนั้นก็ยื่นหน้าเข้าหาอาจารย์จ้องตาเธออย่างมั่นใจ “ผมเห็นจริงๆ ครับครู ”

            เธอเอนหลังกลับเข้าพิงพนักเก้าอี้แล้วหันกลับไปยังโต๊ะพลันถอนหายใจ “เฮ้อ เอาเถอะถ้าเธอจะเชื่อว่าเห็นผีครูก็ไม่มีสิทธิ์ไปเปลี่ยนความคิดความเชื่อเธอหรอก เอาเป็นว่านี่ก็บ่ายกว่าแล้วเธอรีบกลับไปเรียนที่ห้องเถอะ”

           “ก็ได้ครับ” เด็กชายทำหน้ามุ่ยก้าวลงจากเตียงแล้วสวมรองเท้า ตอนนี้เขาไม่พอใจอาจารย์เสียมากกว่าที่จะกลัวผีซะอีก เขาพนมมือขอบคุณอาจารย์ เดินดุ่มออกไปนอกห้องไม่เหลียวมองอะไรทั้งสิ้น

            หลังจากที่เด็กชายออกไปได้สักพักเธอจึงหันหน้าเก้าอี้ไปยังอีกเตียงหนึ่งซึ่งถูกม่านปิดไว้บริเวณข้างเตียงที่ป๊อบเพิ่งลุกออกไป พลันไขว้ขวายิ้มอ่อนแล้วกอดอกพูด “แล้วเธอล่ะไม่คิดจะเข้าสอนเด็กเลยหรือไง”

            เมื่อสิ้นเสียงที่เธอพูดมือขวาผิวขาวนวลโผล่จับที่ชายผ้าม่านค่อยๆ รูดออกช้าๆ เสียงรางเหล็กดังครืด! ไปจนสุดเสียง เผยร่างของอาจารย์วัยหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตขาวผูกเนคไทดำกางเกงสแล็คสีดำและรองเท้าหนังแท้ขัดจนเงานั่งอยู่บริเวณปลายเตีย เขาใช้มือป้องปากหาวเบาๆ แล้วจึงยิ้มให้เธอ

“ถึงจะเป็นอาจารย์แต่ก็ต้องมีพักผ่อนบ้างนะครับ”

“ห้องพักครูก็มีแท้ๆ นะก้าน” อาจารย์ห้องพยาบาลพูดกึ่งหัวเราะทรงผมกะเซอะกะเซิงของเขา

“ก็มันไม่มีเตียงนี่ครับ” อาจารย์หนุ่มยิ้มตอบแล้วเหล่ตามองไปยังเตียงข้างๆ ที่เด็กชายเพิ่งลุกออกไป “ว่าแต่เด็กๆ เนี่ยชอบยุ่งกับเรื่องไม่เข้าเรื่องจริงๆ เลยน้า”

..................

          เวลาล่วงไปจนหมดชั่วโมงเรียนสุดท้ายของวัน ป๊อบคว้ากระเป้าเป้ลุกออกจากที่นั่งแล้วเดินตามหลังเพื่อนๆ ออกไป เขารู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ตั้งแต่เมื่อช่วงพักกลางวันที่ผ่านมา ตลอดทั้งชั่วโมงเรียนรอบบ่ายจึงได้เพียงแต่ข่มความหวาดกลัวกับสิ่งที่เห็นบริเวณหน้าห้องวิทยาศาสตร์ชั้น 8 และสาบานกับตัวเองว่าจะไม่มีวันขึ้นไปชั้นนั้นอีกเป็นอันขาด

           “ทำหน้าอย่างกับเห็นผีแหนะ” เสียงเด็กผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ หูของป๊อบ เป็นเสียงของกายเพื่อนสนิทเขานั่นเอง กายเป็นเด็กที่มีดวงตาคมเสมือนเหยี่ยว ผิวสีน้ำผึ้ง และรูปร่างสันทัด เมื่อเขาเห็นป๊อบดูหน้าซีดๆ เดินก้มหน้าเงียบๆ จนน่าฉงนจึงได้ถามไถ่

           “ก็เราเจอผีนะสิ” ป๊อบตอบเสียงสั่นและยังคงก้มหน้าเดินต่อไป

          เมื่อได้ฟังดังนั้นกายก็เบิกตากว้างพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “เฮ่ย จริงอ่ะ”

           “ห้องวิทยาศาสตร์ชั้น 8 ที่เขาลือกันไง” เด็กชายหันไปเล่าสบตากับเพื่อนครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปก้มหน้า “เมื่อพักกลางวันตอนเราเดินลงมาจากดาดฟ้ายังไปทันลงบันไดไปชั้น 7 จู่ๆ ก็มีเงาคนวิ่งทะลุประตูห้องออกมาแล้วก็หายไป”

           “ขนลุกเลยว่ะ” กายกอดอกทำท่าทีเหมือนหนาวขณะทั้งคู่เดินไปยังทางลงบันได การสนทนาเงียบไปสักพักจนกระทั่งทั้งคู่เริ่มก้าวลงบันได กายคลายมือที่กอดอกอยู่ออกเบิกตากว้างหันไปหาเพื่อน “พูดถึงเรื่องผีแล้วจะว่าไป ป๊อบแกได้ยินป่าววะเรื่องที่มีคนเห็นไอ้ดีวิ่งเล่นไปมาอยู่ในโรงเรียนบ้าง ตามท้องถนนบ้างอ่ะ”

           “นายก็อย่าเพิ่งมาพูดตอนนี้สิเราก็ยิ่งกลัวอยู่” เด็กชายหันซ้ายแลขวา กรอกตาไปมา ริมฝีปากสั่น

           “ฮ่าฮ่าฮ่า ก็แค่เรื่องไร้สาระน่า อีกอย่างถึงจะเป็นดีจริงแต่มันก็เพื่อนเรานี่นา” กายตบไหล่เพื่อนเบาๆ เป็นการปลอบขวัญ “แต่ที่น่าห่วงกว่าคือเรื่องแก๊งลักพาตัวในช่วงนี้นี่แหละ ล่าสุดไอ้บอลก็เพิ่งโดนไปนี่นา”

           “หวังว่าคงปลอดภัยนะ” ป๊อบจับสายสะพายกระเป๋าทั้งสองข้างหันไปพูดกับเพื่อนสนิท

           “นั่นสินะ” กายยิ้มตอบก่อนจะตบไหล่เพื่อนเบาๆ เมื่อสังเกตว่าพวกเขาเดินมาถึงหน้าป้อมยามแล้วแยกไปทางซ้ายมือ “โชคดีเว้ยอย่าให้โดนลักพาตัวล่ะ” เขาโบกมือให้ป๊อบก่อนจะหันหลังวิ่งไปตามถนนที่มีแต่นักเรียนเดินกลับบ้านกันเป็นกลุ่ม

            ป๊อบโบกมือตอบเพื่อนแล้วเดินแยกไปทางขวามือ ตรงไปตามทางเรื่อยๆ จนเกือบถึงถนนใหญ่แล้วเดินแยกลัดเข้าซอยเล็กๆ ซึ่งมีร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นรถเข็นขายอยู่บริเวณปากทาง ก้าวเดินไปอย่างเงียบๆ เพียงลำพังดังเช่นทุกวัน โดยรอบเป็นบ้านคนและผนังกำแพงสลับกันไป บ้านของเขานั้นอยู่ในซอยที่ลึกเข้าไปอีกหน่อยพอเห็นบ้านหลังสีส้มและเลี้ยวไปทางซ้ายมือก็จะถึง ใช้เวลาในการเดินจากบ้านไปโรงเรียนราวๆ 20 นาที ซึ่งก็ถือว่าไม่นานนัก

            เดินไปได้สักพักก็จวนจะถึงทางเลี้ยวเด็กชายถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะเขารู้สึกอึดอัดและหวาดกลัวมาตลอดทาง บางทีก็รู้สึกว่ามีเสียงเท้าคนเดินตามหลังมา บางทีก็รู้สึกไปเองว่าทางรอบข้างมีบางอย่างผิดแปลกไปจากเดิมทั้งความเงียบจนผิดปกติตั้งแต่ก้าวผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวมา ทว่าไม่ทันไรดีเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างเข้าจริงๆ

(‘เอ๊ะ! เดี๋ยวนะหน้าทางเลี้ยวเข้าบ้านเรามันต้องมีบ้านหลังสีส้มนี่นา’) บ้านหลังสีส้มที่เป็นดั่งสัญลักษณ์บอกว่าเมื่อเลี้ยวเข้าซอยทางซ้ายมือก็จะพบกับบ้านของตนเองกลับเปลี่ยนเป็นร้านขายของโชห่วยเก่าๆ หลังสีดำไม่คุ้นตา (‘หรือว่าเราจะเข้าผิดซอยหว่า เฮ่ยไม่ดิก็เลี้ยวผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวมาก็ถูกแล้วหนิ ทางก็คุ้นๆ ตาอยู่มันน่าจะถึงบ้านเราแล้วนี่นา’)

           “หนีไป!” เสียงหนึ่งตะโกนดังขึ้นจากทางเลี้ยวเบื้องหน้าจนทำให้ป๊อบหยุดชะงักก่อนที่ตนจะก้าวไปเบื้องหน้า “เร็วสิหนีไปป๊อบ นายยังกลับไปได้” ฃ่างเป็นเสียงที่คุ้นหูเสียจนเด็กชายต้องเงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง

            (‘นี่มันเสียงบอลนี่นา’) เมื่อเขานึกขึ้นได้จึงย่ามใจอยู่ที่จะวิ่งหนีไป เขาเป็นห่วงเพื่อนทว่าเสียงที่ตะโกนออกมานั้นบอกให้เขาวิ่งหนีไป “บอลนั่นนายเหรอ”

           “อยากกลับบ้านแล้ว ฮือๆ อยากกลับบ้าน” ไม่ทันไรเสียงเด็กกลุ่มหนึ่งก็ดังอื้ออึงทั่วสารทิศจนป๊อบขาสั่นก้าวไม่ออก วินาทีที่หัวใจเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกจากอก ทั้งที่รอบๆ ตัวก็ไม่มีใครแต่กลับได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ดังอื้ออึง “อยากกลับบ้าน”

            ในที่สุดแล้วนั้นเขาจึงรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายหันหลังเตรียมจะวิ่งหนีไปทว่า!

“ผมออกจะเหงาๆ นะถ้าจะต้องขาดเพื่อนที่ทำให้ผมยิ้มได้อย่างนายไป” เสียงอีกเสียงหนึ่งที่ไม่คาดคิดว่าเขาจะได้ยืนมันอีกก็ดังขึ้นตามมา พร้อมกับร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งที่เดินออกมาจากทางเลี้ยวตามหลังเด็กชายไปอย่างช้าๆ จนสัมผัสได้ดึงบรรยากาศเย็นยะเยือก ท้องฟ้าที่ยังพอสว่างอยู่เมื่อครู่จู่ๆ กลายเป็นโพล้เพล้ขึ้นมาทันใด

(‘เสียงของดี’) ป็อบนึกถึงเรื่องที่กายเล่าให้ฟังเมื่อก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ในทันใด แต่บางอย่างทำให้เขารู้สึกหนาวเย็นจนก้าวขาไม่ออก เขาไม่กล้าที่จะหันกลับไปมองความจริงเขาไม่กล้าที่จะลืมตาเสียด้วยซ้ำ (‘บ้าเอ้ยรีบๆ วิ่งดิวะ’) เขารู้สึกว่าขาของตนหนักราวกับม้าหินอ่อน

“อยากกลับบ้านแล้ว ฮือๆ” เสียงเหล่านั้นยังคงดังก้องในอากาศไม่จางหาย พร้อมกับกลิ่นควันธูปบางอย่างที่เริ่มจะโชยมา

“นายมาอยู่กับพวกเราดีกว่าน่า ไหนว่าเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” มือสีขาวซีดเย็บเฉียบจับเข้าที่บ่าซ้ายของเด็กชาย เป็นเสี้ยววินาทีที่หัวใจแทบจะหยุดเต้น ก่อนที่เสียงจะดังกระซิบที่ข้างหูของเด็กหนุ่มอีกครั้ง “ป๊อบ...”

“น...นายตายไปแล้วนี่” เด็กชายยังประคองสติไว้ได้อยู่ตอบกลับไปทั้งที่ปากยังคงสั่นเครือ

“ผมยังไม่ตาย!!”

“ฮึก!” จู่ๆ หัสดีก็ตะโกนดังลั่นกึกก้องไปทั่วบริเวณ น้ำเสียงทั้งหนักและชวนขนลุกเป็นที่สุด ไหล่ของป๊อบถูกบีบแน่นราวกับมีแรงกดมหาศาล หวาดกลัวจนเขาไม่สามารถปั้นคำพูดใดๆ ออกไปได้อีก

ตึก! ตึก! ตึก!

เสียงฝีเท้าขึ้นเบื้องหน้าของเด็กชายเป็นจังหวะ มาพร้อมกับกลิ่นธูปก็ลอยติดจมูกเขาแต่ไกล พร้อมกับร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งและเสียงหัวเราะแหลมบาดหูจนเรียกได้ว่าสยองขวัญ ยิ้มที่แสยะฉีกออกมาราวกับปีศาจที่พร้อมจะกลืนกินโลกทั้งใบ

“ฮิฮิฮิ เป็นผีที่ไม่ยอมรับความจริงเอาซะเลยนะ” โตหันมองไปรอบๆ ตัวก่อนจะวางกระถางธูปที่ถือมาลงกับพื้น “มี แต่เสียงโหยหวนอยากกลับบ้านเต็มไปหมด ฉันก็กะแล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ คนที่ถูกผีลักน่ะมักจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไม่นาน ต่อให้ผ่านไปเป็นวันหรือสัปดาห์ ก็รู้สึกเหมือนผ่านไปแค่สามหรือห้านาที ดังนั้นทุกคนจึงยังคงสนุกสนานการลักพาตัวที่ผ่านมาของแกเลยเป็นไปอย่างราบ รื่นเพราะเหยื่อจะเห็นว่าเป็นเรื่องน่าสนุก แต่เมื่อเวลาในโลกของแกผ่านไปนานเข้าสุดท้ายแล้วเด็กๆ ก็ต้องอยากกลับบ้านเป็นธรรมดาล่ะนะ”

“อย่ามายุ่งกับผม” เด็กชายร่างขาวซีดจ้องโตตาเขม็ง มือยังคงบีบไหล่ของป๊อบเตรียมจะลากไปอยู่ด้วย

“ฮิฮิฮิ คงจะไม่ได้หรอก อีกอย่างที่แกพาไปน่ะมีเพื่อนของฉันรวมอยู่ด้วยนะ”

กูจะเอาเพื่อนกูไปอยู่ด้วยมึงอย่ามาขวาง” หัสดีบีบไหล่ของป๊อบทั้งสองข้างแล้วลากร่างทั้งร่างของเขาลอยเหนือพื้นถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่เอานะ ไม่ ไม่ ผมไม่อยากไป พี่ครับช่วยผมด้วย” ป๊อบตะโกนออกมาพร้อมกับน้ำตาพยายามดิ้นหนีแต่ดิ้นเท่าไหร่ก็ดิ้นไม่หลุดถอย ไปจนจวนจะถึงทางเลี้ยวเข้าซอยแล้วยิ่งทำให้เขาร้องเสียงหลงเข้าไปทุกที

โตยังคงยิ้มอย่างใจเย็นก่อนจะค่อยๆ พนมมืออย่างช้าๆ “สัม ปัต ติ ฉา มิต"” สิ้นเสียงดังกล่าว จู่ๆ ร่างทั้งร่างของป๊อบก็มีแสงสว่างสีขาวส่องไสวราวกับรัศมีของพระอาทิตย์ แสบร้อนและแผดเผาร่างของวิญญาณเด็กชายจนเขาต้องผละเพื่อนสนิทออกจากมือทั้งสอง

“อ๊าก! นี่มันอะไรวะเนี่ย” หัสดีลงไปดิ้นกองอยู่กับพื้น กายของเขาแดงก่ำราวกับถูกอบไปด้วยไอน้ำร้อน ทุรนทุรายเสมือนไฟเผา

“เพราะไม่รู้ว่าจะหาตัวแกเจอยังไง ฮิฮิฮิ ฉันก็เลยใช้วิธีตามหาเหยื่อรายต่อไปที่แกน่าจะลักพาตัว” โตค่อยๆ เดินใกล้เข้ามายังร่างของหัสดีและป๊อบที่นอนอยู่กับพื้น “แล้วก็สาดน้ำมนต์ใส่”

“น้ำมนต์ แต่ว่าตอนไหนล่ะ” เด็กชายใช้มือปาดเช็ดน้ำมูกน้ำตาแล้วใช้แรงที่เหลืออยู่คลานพาร่างที่สั่นเครือหนีไปหารุ่นพี่ “หรือว่า อ๊ะพี่คนที่ผมเดินชนนี่นา”

 “ความจริงแล้ว ฉันต่างหากล่ะที่ชนนาย” โตฉีกยิ้มตอบป๊อบแล้วเดินเลยไปยังร่างที่ยังดิ้นไปมาไม่หยุด เขาก้มลงและนั่งยองๆ "ฉันเพิ่งได้รู้เรื่องนี้ก็ตอนที่ไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับผีลักซ่อนเล่มหนึ่งเข้า ว่าคนที่โดนน้ำมนต์หนะต่อให้จะถูกแกพาไปไหนยังไงฉันก็หาเจออยู่ดีแหละ ฮิฮิฮิ อ้ออีกอย่าง ถึงที่แห่งนี้จะเป็นมิติซ้อนทับที่แกสร้างขึ้นมา แต่กลิ่นธูปของฉันก็จะนำไปยังทางออกได้อยู่ดี แกแพ้โดยสิ้นเชิงแล้ว ฉันจะขอพาพวกเด็กๆ กลับบ้านล่ะนะ"

“หนอย! แก!” แววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นจ้องเขม็งมายังรุ่นพี่

“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกโต” เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหน้าของประธานหนุ่ม ร่างสูงใหญ่ก้าวออกมาจากซอยพร้อมกับร่างเล็กของเด็กชายอีกคนหนึ่ง

“บอล” ป๊อบเอ่ยขึ้นพร้อมกับสะดุ้งเล็กน้อย

“บิว!” แววตาของโตเบิกกว้างด้วยความดีใจ “ดีจังที่นายปลอดภัย”

ทว่าเขากลับส่ายหน้าช้าๆ เป็นการตอบกลับมา “ถ้าเป็นอย่างที่นายว่ามาจริงๆ ระยะเวลาของพวกเรากับโลกความจริงในตอนนี้ก็คงผ่านไปหลายสัปดาห์แล้ว นี่รวมถึงนายที่ก้าวเข้ามาในมิตินี้พร้อมกับเด็กนั่นเมื่อครู่ด้วย ต่อให้นายพาพวกเรากลับไปแต่ร่างกายของพวกเราคง...”

“ม...ไม่จริงน่า” มันเป็นสิ่งเกินความคาดหมายของเขา ใช่แล้วระยะเวลาตั้งแต่วินาทีที่เขาเลี้ยวเข้ามาในซอยตามหลังป๊อบมาเพียงไม่กี่ก้าวนั้นก็ถือว่าเข้ามาในมิตินี้แล้ว มันผ่านมาราวสิบนาทีเท่ากับในความเป็นจริงนี่ก็น่าจะพาเขาและป๊อบหายออกไปได้ราวๆ สองสัปดาห์ ถ้านับรวมกับเด็กคนอื่นๆ ที่หายไปจากความเป็นจริงก็คงเกือบเดือนหนึ่ง ร่างกายที่ขาดน้ำและอาหารต่อให้หาพบก็คงหมดอายุขัยไปอยู่ดี

“มันสายไปแล้วโต”

เสียงที่อื้ออึงร้องไห้อยากกลับบ้านของเด็กๆ ยังดังอยู่ไม่สิ้นสุด ทว่าเขากลับไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว รอยยิ้มเมื่อครู่ตอนนี้กลายเป็นกัดฟันอย่างเจ็บใจ เขากำหมัดทุบลงพื้นอย่างแรง “บ้าเอ้ย”

“แต่ตอนนี้ถ้าเป็นนายและเด็กคนนั้นอาจจะยังทัน รีบออกไปซะ” บิวชี้นิ้วไปยังเส้นทางที่โตเดินเข้ามา “ส่วนไอ้เด็กผีนี่ฉันจะหยุดไว้”

“ไม่” โตค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แววตาของเขาจ้องกลับไปยังวิญญาณเด็กชาย ต่างฝ่ายต่างเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ถ้าฉันปล่อยมันไว้จะมีเหยื่อรายอื่นๆ อีก มีแต่ต้องสลายวิญญาณมันทิ้งไปเสีย”

“นายที่ฉันรู้จักไม่ใช่คนแบบนี้นะโต” บิวก้าวเข้ามาหาเพื่อนสนิทก่อนจะกำหมัดต่อยไปบริเวณอกซ้ายของเขาเบาๆ “ฝากขอโทษแม่กับพ่อของฉันด้วย”

“เรื่องแบบนั้น” น้ำตาที่ทยอยไหลออกมาอย่างเชื่องช้าแต่ละหยดราวกับถูกกดบีบหัวใจเอาไว้ พร้อมกับเสียงที่เค้นออกมาอย่างเจ็บปวด “เรื่องแบบนั้นไม่เอาเด็ดขาด นายต้องกลับไปกับฉัน”

           “กูไม่ให้ใครไปทั้งนั้น!” เสียงดังทุ้มต่ำราวกับดังมาทั่วสารทิศ ร่างกายของวิญญาณเด็กชายดูเปลี่ยนไปจากเดิม เลือดค่อยๆ ซึมออกมาจนไหลไปทั่วร่างนัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว กลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งโชยไปทั่ว ปลุกเร้าให้วิญญาณเร่ร่อนดวงอื่นๆ วนเวียนอยู่รอบตัว

           “กรี๊ด!!” ป๊อบกรีดร้องหน้าซีดเผือดสลบไปเมื่อเห็นวิญญาณตายโหงโผล่มาทั่วทุกหนแห่ง

           “อ...อะไรเนี่ย” โตชะงักเขาถอยออกจากร่างของหัสดีไปจนหยุดอยู่ข้างป๊อบที่สลบเหมือด ขณะที่บิวหันกลับไปพบวิญญาณเด็กชายลอยอยู่เหนือพื้นโชยกลิ่นเหม็นสาปมีเสียงแมลงหวี่ดังเซ็งแซ่เป็นฝูงเงาดำๆ รายล้อมร่างของหัสดี “จู่ๆ ไอความมืดก็ฟุ้งโชยขนาดนี้”

           “หนีไปโตเร็วเข้า” บิวและบอลยืนกันวิญญาณของเด็กชายเอาไว้ไม่ให้ทำร้ายเพื่อนของตน

            บอลหันมายิ้มเล็กน้อย “ฝากเพื่อนของผมด้วยครับ”

           “บ้าเอ้ย จู่ๆ ไอ้เจ้าเด็กนั่นก็คลุ้มคลั่งขึ้นมาได้ยังไงกันเนี่ย” โตรีบอุ้มร่างของป็อบก่อนจะวิ่งตามควันธูปที่โชยไปยังทางออกอย่างสุดกำลัง “บิวนายจะไม่ไปด้วยกันจริงๆ งั้นเหรอ” โตตะโกนถามดังสุดเสียงก่อนที่จะลับสายตา

           “โอ้ว ถึงฉันจะกลับไปด้วยก็คงต้องตายอยู่ดีแต่ถ้าเป็นผีอยู่ที่นี่ ก็จะหยุดไอ้เจ้านี่เอ้าไว้ให้ได้ เพราะแบบนั้นขอร้องล่ะ ให้ฉันได้ทำมันเถอะ” นี่เป็นคำตอบสุดท้ายที่เขาคงได้พูดกับเพื่อนสนิทบิวคิดเช่นนั้น “โต”

          “ว่าไง!” เสียงที่เขาได้ยินจากทางด้านหลังนั้นยิ่งโตวิ่งไปไกลเท่าไหร่มันก็ยิ่งลางเลือนลงไปทุกที

          “นายพูดถูกมาโดยตลอด ไอ้เรื่องผีๆ ที่นายเล่าเนี่ย” บิวหันมายิ้มส่งท้ายให้กับแผ่นหลังของเพื่อนสนิท “มันมีจริงด้วยเนอะ”

.................

          “บิว!!” โตร้องเสียงหลง สะดุ้งขึ้นจากเตียง รู้สึกราวกับตัวเองฝันร้ายและเขาได้ลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องนอนที่คุ้นเคย

เพล้ง! เสียงแก้วตกแตก ทันทีที่เด็กหนุ่มหันไปยังต้นตอของเสียงเขาก็พบกับแม่ของตนยืนตัวแข็งทื่อมองมายังเขาด้วยแววตาที่เบิกกว้าง ก่อนจะโถมเข้ากอดร่างเขาไว้บนเตียง เขาพยายามจะโอบกอดแม่กลับไปแต่มือนั้นมันช่างหนักเสียเหลือเกิน เมื่อก้มลงมองจึงเห็นว่ามันมีสภาพผอมซีดจวนจะติดกระดูกอยู่รอมร่อ นี่เขาหลับไปนานเท่าไหร่กันนะ

“ฮือๆ ตื่นแล้ว ลูกแม่ตื่นแล้ว” เสียงสะอื้นของแม่ดังกลบความรู้สึกที่เจ็บปวดของโต เขารู้สึกราวกับว่าตนเพิ่งจะสูญเสียเพื่อนไปได้ไม่นานนี้เอง แต่ในความจริงมันคงนานเกินกว่าจะนับเป็นคืนและวันได้

“แกไปทำอะไรมาตั้งสัปดาห์ครึ่ง แม่คิดว่าแกไปเจออุบัติเหตุที่ไหนเสียแล้ว แจ้งตำรวจหาตั้งยกใหญ่ก็ไม่พบ ครูเขาไปเจอแกนอนอยู่ข้างทาง”

โตเค้นเสียงที่แสนแหบแห้งตอบแม่เบาๆ พยายามยกมือที่มีสายน้ำเกลือเสียบอยู่ขึ้นโอบแผ่นหลังของท่าน “ไปบอกลาเพื่อนมาครับแม่”                                  

....................         

         “หาว”

ภายหลังจากที่โตหายไปจากอาณาเขตแล้ว จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของหัสดี  “เด็กสมัยนี้เนี่ยจริงๆ เลยน้า” ร่างชายหนุ่มสูงยาวมาพร้อมกับเสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นดัง ตึก ตึก เสื้อเชิร์ตขาวถูกพับแขนขึ้น มือถือกระถางธูปมาเช่นเดียวกับโตก่อนจะวางลงกับพื้น บิวและบอลต่างยืนมองอย่างฉงน

        “ดื้อแบบนี้ไงเลยต้องลงโทษ” เขาใช้มือเปล่าฝ่าเงาดำของฝูงแมลงจับเข้าที่ขาซ้ายของวิญญาณเด็กชายก่อนที่เขาจะตั้งตัว

         “ก...แกเป็นใคร”

         “ก็เป็นครูไง” 

จบตอน

โปรดติดตามตอนต่อไป

          ปล. รักนะคนอ่าน

                                

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา