ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

6.8

เขียนโดย shotaro

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.

  32 ตอน
  8 วิจารณ์
  32.11K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

32) คาบเรียนที่ 17 : นางไม้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ(หลังเลิกเรียน)

คาบเรียนที่  17 : นางไม้ (บทนอกสถานที่ 2)

            แค่ก! แค่ก!

            เด็กหนุ่มตื่นขึ้นอีกครั้งในเช้าวันรุ่งบนเตียงนอนห้องที่เลือกไว้ อากาศเย็นสบายท่ามกลางเสียงนกร้องผสานกับเสียงไก่ขันแว่วมาเป็นบทเพลง  เขาแปลกใจขณะมองดูรอบๆ ห้อง (‘ฝันไปงั้นเหรอ’) เขาคิดเช่นนั้นก่อนจับคอเสื้อยืดสีส้มที่แห้งสนิทพลางคลำบริเวณกางเกงขาสั้นลายทหาร สะกิดใจกับเสื้อผ้าที่เปลี่ยนไปของตน (‘ไม่สิ เมื่อคืนเราไม่ได้สวมชุดนี้นี่นา’) จู่ๆ เขาก็หน้าแดงก่ำ (‘หรือว่ามีคนเปลี่ยนชุดให้เรา’)

            เขาโน้มตัวลุกขึ้นนั่งขณะจับคางครุ่นคิด (‘เราจำได้ว่าเมื่อคืนแอบตามพวกโจรเข้าไปในป่าแล้วพลัดตกน้ำนี่นา’) เมื่อนึกถึงจุดนี้จู่ๆ ภาพของใครบางคนที่มาช่วยเขาก็ผุดขึ้นมา (‘หรือว่าคนๆ นั้นจะช่วยเราไว้ จะเป็นผีป่าเหมือนที่คุณตาเคยเล่าให้ฟังรึเปล่านะ’) เขาเอียงศีรษะพลางส่ายหัวราวกับจะสะบัดความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไป (‘จะว่าไปไอ้ที่เรากลัวผีมาตั้งแต่เด็กก็เพราะคุณตานี่แหละชอบเล่าอะไรแบบนั้น’)

            “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ” ณ ทางเข้าห้องซึ่งไร้ประตูกั้นแม่ของเด็กหนุ่มทักทายเมื่อเดินผ่านมาเห็นพอดี “แม่จะไปตลาดกับพ่อ ซื้อของมาทำอาหารนะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วฝากดูน้องกับเพื่อนด้วยล่ะ” ออกคำสั่งลูกชายเสร็จเธอก็เดินผ่านไป

            “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” ไคพึมพำขณะเกาศีรษะ

            สักพักเมื่อตัดสินใจได้จึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องพลางได้ยินเสียงกรนดังมาจากห้องของน้องสาว ตามต้นเสียงไปจึงรู้ว่าเป็นมีนานั่นเอง เธออยู่ในชุดนอนที่ร่นขึ้นจนเปิดเห็นสะดือ ท่านอนของเธอตรงข้ามกับเจ้าหญิงนิทราไปสักหน่อย เมื่อเด็กหนุ่มเห็นดังนั้นก็เบี่ยงหน้าหลบ (‘ยัยจีนตื่นแล้วสินะ’) เพราะไม่เห็นน้องสาวอยู่ในห้องเขาจึงคิดเช่นนั้น แล้วเดินกลับออกไปพร้อมแก้มสีแดงก่ำ

            “จีน!” เขาตะโกนเรียกน้องสาวเมื่อเดินออกมาถึงกลางบ้าน

            “คะพี่” เสียงตะโกนตอบดังกลับมาจากด้านนอกเด็กหนุ่มจึงเดินออกไป พลางได้ยินเสียงรถยนต์ของพ่อกับแม่แล่นออกไปตลาดพอดี

            เมื่อเขาเห็นน้องสาวกำลังเดินเล่นอยู่บริเวณใต้ต้นสะเดาจึงเข้าไปหา “จีนเธอเห็นเสื้อผ้าที่พี่ใส่เมื่อคืนรึเปล่า” เพราะนิสัยที่รักการทำความสะอาดของน้องสาว เขาจึงคิดว่าบางทีเธอน่าจะรู้ (‘ถ้าเป็นอย่างที่เราคิดละก็’)

            เมื่อได้ยินพี่ชายถามดังนั้นเธอก็ชี้นิ้วไปยังราวตากผ้าบริเวณหน้าบ้าน “นั่นไงคะพี่ เมื่อเช้าหนูเห็นมันวางกองเปียกชุ่มอยู่ข้างเตียงเลยเอามาซักตากไว้”

            (‘อย่างที่คิดจริงๆ มีใครบางคนช่วยเราไว้ แล้วเปลี่ยนชุดให้เราจริงๆ ด้วย แถมคนๆ นั้นยังเข้ามาในบ้านด้วยสินะ’) เขาเกาศีรษะก่อนจะถามตะกุกตะกักอย่างเขินอาย “ล...แล้วเมื่อคืนเธอได้เห็นใครออกมานอกบ้านบ้างไหม มีนาก็อยู่ด้วยสินะ”

            “ค่ะ ก็อยู่ด้วยกันจนหลับนั่นแหละ” เธอเอียงคอสงสัยพลางมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างงุนงง “พี่นี่ถามแปลกๆ นะ ว่าแต่พี่ไปไหนมาทำไมเสื้อผ้าถึงเปียกขนาดนั้น”

            “เอ่อ อ่า อืม เอ่อ พี่จะเข้าห้องน้ำแล้วลื่นตกถัง” เขาพยายามหาเหตุผลที่ดีที่สุดมาอธิบายให้เธอฟัง เพราะแม้จะพูดความจริงไปอย่างไรเธอก็คงไม่เชื่ออยู่ดี (‘ถ้าจีนกับมีนาหลับอยู่ก็หมายความว่าคนที่ช่วยเราไว้ไม่ใช่สองคนนี้สินะ แถมแอนนาเองก็ไม่น่า’) จู่ดีๆ แก้มของเขาก็แดงขึ้นกว่าเดิม (‘ไม่ เอานะถ้าเป็นยัยนั่นเปลี่ยนชุดให้ละก็ มีหวังมองหน้ากันไม่ติดแน่ๆ แถมจะว่าเป็นแม่ก็ไม่น่าใช่เพราะท่าทีที่ทักเมื่อกี้ดูไม่ได้มีความสงสัย อะไรเลย’)

            “พี่นี่ซุ่มซ่ามเกินไปนะคะ” เธอยิ้มก้ำกึ่งจะหัวเราะ

            เขานิ่งเงียบขณะมองลึกไปในป่าที่เมื่อคืนเพิ่งจะเข้าไป พลางรู้สึกขนลุกเมื่อสายลมพัดโชยอ่อนมาจากทิศทางนั้นพอดี

            เวลาเที่ยงตรงหลังพ่อและแม่กลับมาจากตลาดทุกๆ คนจึงมาล้อมวงทานอาหารบริเวณโต๊ะหน้าบ้าน กับข้าวไม่มีอะไรพิเศษเป็นเพียงข้าวเหนียวส้มตำ และปลาย่างเกลือ ไคตักอาหารเข้าปากอย่างเชื่องช้าขณะครุ่นคิด

             โป๊ะ!“โอ๊ย” เด็กหนุ่มกุมหน้าผากที่โดนมีนาซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามดีดนิ้วใส่ “เจ็บนะ” ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงสายตาของทุกคนที่จ้องมายังเขา

            มีนาถอนหายใจเบาๆ “นายเป็นอะไรเนี่ย นี่กินข้าวหรือเคี้ยวเอื้องกันยะ แถมยังนั่งขมวดคิ้วซะจนคนอื่นเขากินไม่ลงแล้ว”

            “เป็นอะไรรึเปล่าลูก” แม่ของเด็กหนุ่มถามอย่างเป็นห่วง

            เขาไม่รู้สึกตัวเลยว่าเผลอทำหน้าตาแบบไหนออกไป เพียงแต่คิดอยู่แค่ว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้แต่มีนาที่อยู่ตรงข้ามกันกำลังจะดีดหน้าผาก เขาก็ไม่ทันได้สังเกตเลยสักนิด

            เด็กหนุ่มวางช้อนลงบนจานข้าวพลางหันมองดูทีละคน (‘ถ้าเป็นแอนนาที่นิสัยแบบนั้นก็เป็นไปได้อยู่ที่จะช่วยเราไว้แล้วพากลับมาเปลี่ยนชุดในบ้าน บางทีเมื่อคืนเธออาจจะมาชมดวงจันทร์เหมือนที่เคยทำก็ได้’) เขาจ้องหน้าเด็กสาวผมหางม้าอยู่ครู่หนึ่ง พลันเลื่อนมามองจีนที่นั่งอยู่ข้างๆ (‘ไม่ๆ ยัยนี่ไม่ใช่แน่ ถ้าเป็นจีนเธอต้องยิงคำถามใส่เรารัวๆ แน่นอน’) เขาส่ายหน้าไปมาชะโงกตัวไปยังพ่อแม่แล้วหันผ่านมามอง

            เปี๊ยะ!

            ยังไม่ทันได้มองมีนาเธอก็ตบศีรษะเขาจนดังลั่น แอนนาหลุดหัวเราะในขณะที่จีนกลั้นไว้พวกเขาขำท่าทางของเด็กหนุ่มที่ดูแปลกไป 

            “เป็นอะไรของนายเนี่ย” มีนาใช้หลังมือทาบหน้าผากของไค “ไข้ก็ไม่มี”

            เด็กหนุ่มกลับมานั่งในท่าปกติพลางกุมศีรษะที่เจ็บเอาไว้ “เมื่อคืนทุกคนไม่ได้ออกไปไหนใช่ไหมครับ”

            จีนสะกิดใจกับคำถามนั้น เพราะเมื่อเช้าพี่ชายของเธอก็เพิ่งถามคำถามนี้ไปนี่เอง “ทำไมพี่ดูติดใจกับเรื่องที่มีใครออกจากบ้านไปมั้ยจัง”

            ไคมองมาทางจีนครู่หนึ่ง เขาไม่รู้จะอธิบายกับทุกคนอย่างไร แต่ในใจเขาก็ยังคงสงสัยอยู่ดี ในท้ายสุดเขาเลือกที่จะไม่ตอบอะไรแล้วนั่งลงอยู่กับที่

            “เมื่อคืนพ่อลุกมาฉี่ตอนสร่างเมา เห็นแต่ลูกนั่นแหละเดินออกไปไม่เห็นมีใครเลย” พ่อของเขาจิบน้ำแล้ววางแก้วลง

             เขาหันขวับไปทางพ่อทันที “พ่อเห็นผมเดินออกไปหรือครับ” เด็กหนุ่มจ้องตาไม่กระพริบ (‘หรือจะเป็นตอนที่เราย่องตามผีขโมยไป’)

            “อะไรกันอย่าบอกนะว่าลูกออกไปทำอะไรไม่ดีน่ะ” เป็นการแซวลูกชายท่ามกลางวงข้าวได้อย่างหน้าตาเฉยสมกับเป็นเขา พลางเหล่มองแอนนาแล้วยิ้มอ่อนๆ

            แม่ของเด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มที่มองออกได้อย่างชัดเจนว่าแสร้งทำพลางหันมาหาสามีของเธอ “แล้วคุณก็ปล่อยให้เขาออกไปตอนกลางคืนหรือคะ”  แล้วสีหน้าของพ่อก็ซีดเผือดลงทันตาเห็น

            เด็กหนุ่มยกจานข้าวซึ่งยังเหลืออาหารอยู่เกินครึ่งลุกออกไปจากโต๊ะ “ผมอิ่มแล้วครับ” เขาเดินออกไปโดยไม่ฟังเสียงเรียกของมีนาเลยสักนิด เมื่อมาถึงอ่างล้างจานข้างตัวบ้านเขาเทอาหารที่เหลือลงถุงขยะแล้ววางจานไว้ในอ่าง และตัดสินใจบางอย่าง

            ประมาณบ่ายครึ่งเด็กหนุ่มยืนทำใจนิ่งอยู่หน้าทางเข้าป่าเมื่อคืนก่อน พลางนึกถึงเรื่องที่คุณตามักชอบเล่าให้ฟังเกี่ยวกับผีป่าซึ่งมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ทั้งเรื่องที่อาจถูกลักซ่อน ทำให้หลงทาง โดนหลอกหรือทำร้ายได้ แล้วภาพๆ หนึ่งในวันเก่าก็ผุดขึ้นมา มันเป็นเรื่องที่นานมากว่าเจ็ดปีแล้ว ภาพของหญิงสาวคนหนึ่งจูงมือของเขาเอาไว้ท่ามกลางป่าที่รายล้อมไปด้วยพรรณไม้และกลิ่นหอมจางๆ ของต้นกฤษณา

            เขาก้าวเข้าไปอีกครั้งทว่าเนื่องจากเป็นช่วงเวลากลางวันจึงไม่ได้น่าหวั่นกลัวเท่าไหร่นัก เขาเดินไปจนถึงบ่อน้ำที่เมื่อคืนตกลงไปพลางหันซ้ายหันขวาเพราะพะวงว่าผีที่ตนเห็นเมื่อคืนจะโผล่มา 

            “เอาล่ะเริ่มสืบสวนได้” เขาพูดกับตัวเองเพื่อลดความกลัวลง แล้วเสียงของฟ้าวิญญาณเด็กหญิงก็ดังขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง (‘ระวังนะคะพี่ชาย หนูสัมผัสได้ว่ายังมีจิตอื่นวนเวียนอยู่เต็มไปหมด ป่านี้เฮี้ยนมากแน่นอนค่ะ’)

            เด็กหนุ่มเหงื่อตก “ขอบใจมากนะที่ช่วยให้กลัวยิ่งขึ้นไปอีกเนี่ย” เขาประชดพลางยิ้มแหยๆ แล้วเดินไปยังต้นมะม่วงจุดที่พลัดตก เขาเห็นรอยลื่นไถลของตัวเองยังคงอยู่ “จะว่าไปเมื่อคืนฟ้าเห็นคนที่มาช่วยพี่รึเปล่า”

            (‘หนูก็เห็นแค่เท่าที่พี่เห็นแหละค่ะ ก็สิงพี่อยู่นี่นา’)

            “ง..งั้นเหรอ” เขาได้แต่ถอนหายใจทิ้งเสียอย่างนั้น เมื่อมองไปยังต้นไทรที่เหมือนจะส่งแรงกดดันบางอย่างก็ทำให้เขาขาสั่นขึ้นมา “จะว่าไปตรงนั้น” ตรงนั้นคือจุดที่ผีขโมยหยุดแล้วหันกลับมาขอความช่วยเหลือ เขาครุ่นคิดว่าบางทีอาจจะมีอะไรอยู่ก็ได้ และเมื่อเดินไปยังจุดนั้นบางสิ่งก็ทำให้ต้องชะงัก

            “นี่มัน” เขาตกใจถอยหลังออกอย่างรวดเร็ว พลันหันไปอาเจียนลงบ่อน้ำทันที

            มันคือซากศพที่จวนจะเหลือเพียงโครงกระดูกอยู่รอมร่อ ลักษณะเหมือนผ่านมานานกว่าแปดเดือน แม้ไม่มากเท่าศพใหม่แต่ก็ยังคงมีกลิ่นเหม็นอยู่

            (‘สยองขวัญสุดๆ ไปเลยค่ะ’)

            “ผีอย่างเธอน่ะเงียบไปเลยเว้ย” พออ้วกเสร็จเด็กหนุ่มจึงตั้งสติได้ (‘เอาไงดีนี่มันเรื่องใหญ่เลยนะเนี่ย ต้องโทรเรียกตำรวจสินะ หรือว่าที่บอกให้ช่วยจะเป็นเรื่องนี้ ขืนไม่นำศพไปทำพิธีมีหวังอยู่บ้านนี้ไม่ได้แน่’)

            (‘ศพของหนูจะเป็นแบบนั้นรึเปล่าคะพี่ชาย’) วิญญาณเด็กหญิงถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย แม้เธอจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม

            เด็กหนุ่มไม่รู้จะตอบยังไงในขณะที่กำลังกระวนกระวายอยู่กับศพ “เธออยู่ในโรงพยาบาลถ้าตายพ่อแม่ก็น่าจะนำไปเผาแหละน่า หมายถึงถ้าเธอเป็นคนพุทธน่ะนะ” เขาคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง คิดอยู่ว่าควรจะทำอย่างไรก่อนหรือหลัง ระหว่างบอกทุกคนว่ามีศพอยู่ในป่า กับ โทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจ แต่ถ้าทำแบบนั้นการที่จะสืบเรื่องเมื่อคืนว่าใครเป็นคนพาตัวเองกลับมาบ้านอาจจะลำบากมากขึ้นไปอีก

            “เวลาแบบนี้ไอ้คนที่ควรอยู่ก็ดันไม่อยู่ซะนี่” ไคนึกถึงประธานชมรมผู้บ้าเรื่องลึกลับแล้วก็เจ็บใจกับสิ่งตัวเองทำอะไรไม่ได้

            ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นเสียงทุ้มต่ำบางอย่างดังขึ้นรอบๆ ป่าอย่างจับใจความไม่ได้ เสียงนกร้องดังประสานกันทว่ากลับฟังดูหนวกหูไปหมด ลมพัดดังซู่ซ่าผ่านมวลไม้ชวนใจหาย จู่ๆ สิ่งเหล่านั้นก็เกิดขึ้นพร้อมกันจนเด็กหนุ่มปรับตัวไม่ทัน

            “เกิดอะไรขึ้น” เขาหันไปมองรอบๆ ตัวทว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เสียงเหล่านั้นกลับดังเซ็งแซ่ทั่วสารทิศ (‘พ..พี่ชายคะระวังนะ อุ้บ!’) เสียงของฟ้าดังขึ้นเตือนก่อนจะเงียบหายไป ไคตกใจกับสภาพการณ์เขาถามหาฟ้าหลายครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา

            เสียงทุ้มต่ำวนเวียนอยู่รอบป่าเป็นถ้อยคำเดิมๆ จับใจความไม่ได้เหมือนเทปเสียงที่กรอกลับไปมาอยู่ประโยคเดียว กลิ่นเน่าเหม็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น

            เด็กหนุ่มขาสั่น ตั้งใจฟังจนพอจะจับใจความของเสียงนั้นได้อยู่คำหนึ่ง ‘ช่วยด้วย’ คำๆ นี้ดังและแพร่ไปทั่วต้นไม้ใบหญ้าราวกับดังมาจากลำโพงกระจายเสียงคุณภาพต่ำ  มันดังซู่ซ่าปนกันไปกับคลื่นลมและเสียงนกร้องหรือเสียงแมลง  (‘เหมือนจะไม่ได้มีแค่สองสินะ’) เด็กหนุ่มรู้สึกได้จากจำนวนความถี่ของเสียงที่แตกต่างกัน ดั่งเสียงร้องไห้ของป่าทั้งป่ากำลังคร่ำครวญให้เขาฟัง 

             จนกระทั่งความรู้สึกเย็นวาบไล่ขึ้นจากก้นกบผ่านสันหลังมาจนถึงต้นคอกัดกินเด็กหนุ่ม เขาหายใจถี่ขึ้นเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งที่ยื่นอยู่เบื้องหลังเขา บรรยากาศชวนให้ฉงนใจทั้งที่เป็นกลางวันแต่กลับรู้สึกชุ่มชึ้นและหนาวเหน็บ ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมเจือจางที่ปะปนแทรกมากับกลิ่นเหม็นของซากศพ

            “…”

            เขาหันขวับในทันที ทว่ากลับว่างเปล่าไม่มีอะไร ความรู้สึกเมื่อครู่หายไปพร้อมกับมวลเสียง จู่ๆ มันก็เงียบไป

            ตึกตัก ตึกตัก ใจของเขาสั่นระรัวและเต้นแรงจนไม่รู้ว่าจะหลุดออกจากอกไปเมื่อไหร่ เขาอยากจะวิ่งหนีสุดกำลัง แต่กลับมีบางอย่างบอกใจของเขาให้อยู่ก่อน แล้วคำตอบนั้นก็เผยออกมาเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองเหนือต้นไทร

            หญิง สาวชุดไทยสีแดงก่ำข้อมือและเท้าสวมกำไลสีทองขุ่น ผิวพรรณขาวผ่อง ผมดำยาวสลวย ใบหน้าคงวัยสาวแรกรุ่น กลิ่นไม้หอมพวยพุ่ง ดูอย่างไรก็เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง แต่ภาพที่เธอกำลังนั่งห้อยขาลงมาจากกิ่งไทรนั่นช่างชวนให้ใจหยุดเต้นยิ่งนัก เขาได้เพียงกลืนน้ำลายลงคอไปอึกหนึ่งแล้วหลับตาลงสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

ตึกตัก ตึกตัก

เขาลืมตาขึ้นอีกครั้งแต่เธอก็ไม่ได้หายไป จึงค่อนข้างมั่นใจว่าภาพที่เห็นนั้นไม่ใช่แค่พร่ามัวหรือตาฝาด “คุณเป็นใคร” แม้น้ำเสียงจะยังคงสั่นไหวและแหบแห้งแต่ก็ดังฟังชัด เธอค่อยๆ ยกท่อนแขนเรียวยาวขึ้นชี้นิ้วไปยังฝั่งตรงข้ามของบ่อน้ำ เด็กหนุ่มจึงมองตามไปแล้วเขาก็พบกับคำตอบ

              ศาลพระภูมิสีแดงเด่นชัดอยู่อีกฝากหนึ่งดูคุ้นตาเพราะสมัยเด็กเขาเคยมากับคุณตาอยู่หลายครั้ง แต่มันเกี่ยวอะไรกับเธองั้นเหรอ ไคได้เพียงแต่สงสัยอยู่เช่นนั้น เขาหันกลับไปอีกครั้ง ทว่าเธอไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว

            เมื่อเดินไปจนถึงศาลพระภูมิ ณ อีกฝั่งหนึ่ง เขาก็นึกถึงเรื่องสมัยเด็กขึ้นมาได้ เป็นภาพที่เขากับคุณตานำขนมตะโก้ และน้ำดื่มมาจุดธูปไหว้ เขามองไปยังด้านข้างของศาลพระภูมิ มีกองหนังสือจำนวนหนึ่งเปื่อยยุ่ยและถูกปลวกกิน พอเดาจากปกได้ว่าเป็นจำพวกนิตยสาร หนังสือพิมพ์ และเล่มอื่นๆ ที่ไม่เหลือเค้าเดิมให้จำได้แล้ว  

            “ไม่ได้พบกันนานเลยนะเจ้าคะ” น้ำเสียงหญิงสาวที่ฟังดูเหมือนจะแจ่มใสแต่กลับชวนขนลุกดังขึ้นจากทางด้านหลังของไค

            เขานิ่งไปสักพักแม้จะเห็นผีจนบ่อยแล้วแต่ก็ไม่อาจชินได้อยู่ดี หลังจากคิดสักครู่เขาจึงเลือกที่จะทักตอบโดยไม่หันกลับไป “คุณเป็นเจ้าที่เหรอ”

            “อิฉันเป็นนางไม้ต่างหากเจ้าค่ะ คุณท่านได้มีน้ำใจต่ออิฉันมอบศาลพระภูมินี้ให้ได้อยู่อาศัย”

            “ง...งั้นเหรอ” เด็กหนุ่มเหงื่อไหลพราก (‘ไอ้บทสนทนาเรียบง่ายนี่มันอะไรกันฟระ’) อย่างไรก็ตามเขายังไม่กล้าหันกลับไป “คุณท่านที่ว่าเนี่ยหมายถึงคุณตาของผมสินะ”

            “ถูกต้องนะเจ้าคะ” 

            เป็นบทสนทนาที่ผิดคาดจนกระทั่งไคปรับตัวไม่ทัน “แต่ว่าศาลพระภูมิเนี่ยเขาไว้ให้เจ้าที่อยู่ไม่ใช่เหรอ นั่นไง แบบส่วนใหญ่เจ้าที่ก็ต้องเป็นผู้ชายสวมชุดขาวมีหมวกเป็นแท่งสูงๆ สิ”

            “ก็อย่างที่บอกอิฉันมิใช่เจ้าที่หนิเจ้าคะ” พลางมีเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “คุณชายนี่หัวโบราณจังเจ้าค่ะ ไม่อินเทรนเอาซะเลย”

            “อ...อินเทรน” ไคสะดุดกับคำพูดที่ฟังดูหลงยุคมาแบบสุดๆ (‘โดนคน (ผี) โบราณมาบอกว่าหัวโบราณนี่ไม่เท่าไหร่ แต่อินเทรนนี่มันออกจะหลงยุคไปหน่อยนะ’)

            “เพราะคุณท่านเห็นอิฉันกำลังจะล้มตาย ก็เลยหาที่อยู่ใหม่ให้อิฉันไงเจ้าคะ อ๊ะ แต่คุณชายจะลืมก็ไม่แปลกหรอกเจ้าค่ะก็มันนานมาแล้วนี่นา”

            “เรื่องนั้นช่างมันเถอะแต่...” ไคชะงักขณะที่จับได้ถึงจุดน่าสงสัยบางอย่าง “เดี๋ยวก่อนนะ คุณบอกว่าที่มาอยู่ในศาลพระภูมิเป็นเพราะคุณตาเห็นคุณกำลังจะล้มตายงั้นเหรอ”

            “ใช่แล้วเจ้าค่ะ แต่ก่อนอิฉันเคยอาศัยกับต้นกฤษณา แต่เพราะช่วงแล้งต้นอิฉันจึงอยู่ไม่ได้ และทำให้สุขภาพอิฉันย่ำแย่ลงด้วย คุณท่านจึงนำศาลพระภูมิมาทำพิธี แล้วบอกกับอิฉันว่าศาลพระภูมินี้ว่างให้มาอยู่เป็นเจ้าที่ให้หน่อยน่ะเจ้าค่ะ หรือก็คืออิฉันเป็นนางไม้และเจ้าที่ควบสองตำแหน่งเลยเจ้าค่ะ”

            “ไอ้การสรุปแบบลวกๆ นั่นมันอะไรฟระ แบบนี้ก็ได้ด้วยงั้นเรอะ” ไคเผลอหลุดพูดสิ่งที่คิดออกไปโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะกลับมาสุขุม “หมายความว่าคุณตามองเห็นและพูดคุยกับผีได้เหรอ”

             “อ้าว นี่คุณท่านไม่ได้บอกคุณชายหรือเจ้าคะ”

            “บอก บอกอะไร” ในที่สุดไคก็ยอมหันมา เขาเห็นหญิงสาวสไบสีแดงเบื้องหน้าส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ เธอดูเป็นคนปกติทุกอย่างแทบไม่มีส่วนไหนบ่งบอกถึงความเป็นผีเลยนอกจากกลิ่นหอมที่โชยมาอย่างแปลกประหลาด

            “เรื่องที่ตระกูลของคุณชายเป็นหมอไสยไงเจ้าคะ” เธอเดินยืดสายไปมารอบๆ ต้นมะขามใกล้ศาลพระภูมิ “คุณท่านบอกว่า ผู้ชายในตระกูลของคุณท่านจะมีเซ้นส์ในระดับที่แตกต่างกันไปทุกคนเจ้าค่ะ”

            “ถึงจะบอกแบบนั้นก็เถอะ” ไคนำมือเกาศีรษะจนผมยุ่งไปหมด (‘เดี๋ยวนะแต่เราก็มองเห็นผีจริงๆ นี่นา หรือว่า’) ไคนั่งลงตรงก้อนหินขนาดใหญ่ข้างต้นมะขามที่นางไม้เดินเล่นอยู่ (‘อย่างนี้เอง ยันต์ผีผ่านไม่ได้ทำให้เรามองเห็นผี แต่เป็นการกระตุ้นให้เห็นสินะ เพราะเรามีเซ้นส์จึงถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นนี่เอง ก็ถึงว่าทำไมทั้งที่พี่โตเป็นคนเขียนยันต์แท้ๆ แต่กลับมองไม่เห็นผี’)

            หลังจากเวลาผ่านไปสักพักไคก็นึกถึงเรื่องที่สำคัญออก “นี่คุณนางไม้”

            “อิฉันชื่อกฤษศรีเจ้าค่ะ เรียกกริซซี่ก็ได้เจ้าค่ะ” เธอเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มส่งกลิ่นหอมมาในระยะประชิด

            ไคขมวดคิ้วท่าทางหงุดหงิด “เป็นชื่อที่ไม่เข้ากันอย่างยิ่ง”

            “โหดร้าย”

            “แล้วทำไมถึงได้ใช้ภาษาดูล้ำยุคแบบนั้นได้ นางไม้สมัยนี้เป็นแบบนี้เรอะ” พอไคพูดแบบนั้นกฤษศรีก็ทำแก้มป่องชี้นิ้วไปยังกองหนังสือข้างศาลพระภูมิเมื่อครู่

“อ่านมาจากหนังสือที่คุณท่านให้มาเจ้าค่ะ” เธอเดินไปนั่งยองๆ เขี่ยๆ กองหนังสือ “คุณท่านสอนอิฉันอ่านและมักจะให้หนังสือใหม่ๆ อยู่ประจำเจ้าค่ะ” แววตาดูเศร้าสร้อยลงขณะที่เธอคิดถึงภาพสมัยที่คุณตาของไคยังอยู่ “มันทั้งสนุกและน่าติดตามมากเลยล่ะเจ้าค่ะ ตั้งแต่ท่านจากไปอิฉันก็มิได้อัพเดทข้อมูลอะไรอีกเลย”

(‘อย่างนี้เอง เอ้ยไม่สิดันหลุดประเด็นไปซะได้’) ไคมองไปยังต้นไทรจากฝั่งที่เดินมา “นี่คุณนางไม้ศพแล้วก็วิญญาณพวกนั้น มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ”

ทว่าเธอกลับเงียบไม่ตอบคำถามนั้นเลยสักนิด และท่ามกลางความเงียบนั้นยังแฝงแรงกดดันที่ชวนให้หนาวสั่นอย่างผิดธรรมชาติ เด็กหนุ่มเห็นท่าทีของเธอผิดแปลกไปจึงเดินไปอยู่ทางด้านหลังยื่นมือจะแตะไหล่เรียก

“พวกมันมาขโมยของของคุณท่านเจ้าค่ะ” น้ำเสียงแสดงออกอย่างเด่นชัดว่าขุ่นเคืองแบบสุดๆ ในขะเดียวกันก็เหมือนเธอกำลังร้องไห้อยู่ด้วย มันฟังดูเจ็บปวดระคนข้นแค้น ไคพลันถอยออกห่างทันที

“ต...แต่ถึงกับต้องฆ่าเลยเหรอ”

            “อิฉันไม่ใช่เจ้าที่ใจดีหรอกนะเจ้าคะ อิฉันเป็นนางไม้เจ้าค่ะ โกรธเป็น แค้นเป็น อาฆาตเป็นเจ้าค่ะ” 

            เด็กหนุ่มกลับมาสั่นเทิ้มอีกครั้งให้กับความโกรธเกรี้ยวของเธอ “แต่ถึงแบบนั้นก็เถอะ”

            “คุณชายจะมาเข้าใจอะไรล่ะเจ้าคะ” เสียงดังประหนึ่งจะทั่วทั้งป่าพร้อมกับใบหน้าขาวผ่องที่อาบน้ำตาสีแดงก่ำหันขวับมา ภาพที่เห็นเกือบจะทำให้เด็กหนุ่มสติหลุดล้มลงไป “ตั้งแต่คุณท่านเสียไปที่นี่ก็ไม่มีใครอีกเลย มีอิฉันที่ยังทำหน้าที่ที่คุณท่านมอบไว้ต่อไป นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เหลือพอให้อิฉันได้แทนคุณเจ้าค่ะ ทั้งที่เป็นแบบนั้นพวกสัตว์นรกนั่นกลับยังจะมาขโมยของของคนแก่เพียงแค่สองคนที่แทบจะไม่มีอะไรอยู่แล้ว ทั้งลบหลู่ ทั้งหยาบคาย ถึงตายอิฉันก็จะลากมันลงนรกเจ้าค่ะ”

            “เธอก็ตายอยู่ไม่ใช่เรอะ” เด็กหนุ่มกุมขมับพลางนึกถึงเรื่องเมื่อคืน (‘งั้นเมื่อคืนคนที่ช่วยเราไว้ก็คือเธอสินะ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ทำมันสมควรแล้วเหรอ แล้วถ้าเป็นเรา เราจะฆ่าโจรพวกนั้นรึเปล่านะ’)

เด็กหนุ่มทำใจกล้าเดินเข้าไปใกล้นางไม้ “แต่พอเธอฆ่าพวกนั้นก็ต้องกลายเป็นผีนะ ไม่กลัวมันทำร้ายเธอกลับเหรอ”

“อิฉันเป็นเจ้าที่และนางไม้เจ้าค่ะ ไม่เหมือนสัมภเวสีพวกนั้น อย่างพวกมันอิฉันสะกดไว้ง่ายมากเจ้าค่ะ แต่เพราะเมื่อคืนอิฉันเผลอไปหน่อยพวกมันจึงหลุดออกมา ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ”

            “งั้นที่จู่ๆ เสียงโหยหวนพวกนั้นเงียบไปก็เป็นเพราะเธอน่ะสิ” เด็กหนุ่มนึกถึงเสียงร้องของป่าที่ได้ยินเมื่อก่อนหน้านี้ พอเธอออกมาทุกสิ่งก็เงียบสงัด

            “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ต้องทรมานพวกมันให้ถึงดวงวิญญาณเจ้าค่ะมันถึงจะสาสม”

            อึก เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอแล้วก้าวเข้าไปนั่งใกล้ๆ อย่างใจดีสู้เสือ “อ...เอาน่าคุณเองก็ไม่ได้ดูใจร้ายอะไรนี่นา ทำไมไม่ปล่อยๆ ไปบ้างล่ะ ผมว่าพวกเขาคงสำนึกผิดกันบ้างแล้วล่ะ”

            “คุณชายยังเด็กไปนะเจ้าคะ” เธอปาดน้ำตาเป็นเลือดออกจากใบหน้า “พวกสัมภเวสีที่ตอนเป็นคนเลวน่ะ ถึงตายไปมันก็ยังเลวเจ้าค่ะเพราะแบบนั้นถึงต้องให้มันเจ็บปวด และกักขังไว้ไม่ให้ออกไปทำอันตรายใครเจ้าค่ะ พวกผีที่ชอบออกไปหลอกหลอนผู้คนส่วนใหญ่ก็คือสัมภเวสีเลวนี่แหละเจ้าค่ะ”

            “ง...งั้นเหรอ” เด็กหนุ่มรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “เพราะแบบนี้ผีที่หลอกคนก็เลยมีอยู่สินะ”

            “แต่ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ” เธอลุกขึ้นแล้วเดินไปยังศาลพระภูมิ ไคเดินตามเธอไปอย่างงุนงง เธอชี้นิ้วไปยังช่องประตูเล็กๆ ของศาลพระภูมิ ในนั้นมีเศษไม้มัดรวมกันอยู่เป็นท่อนๆ จำนวนหนึ่ง “หยิบไปสักแท่งหนึ่งสิเจ้าคะ”

            เมื่อได้ยินดังนั้นไคจึงล้วงมือเข้าไปหยิบออกมาแท่งหนึ่งแล้วเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง “ก็พอดูออกหรอกนะว่าเป็นไม้กฤษณาน่ะ”           

            กฤษศรีพยักหน้า “มันเป็นชิ้นส่วนที่มาจากต้นของอิฉันเจ้าค่ะ ถ้าคุณชายพกติดตัวไว้ไม่ว่าที่ไหนเมื่อไหร่ หากท่องว่า กฤษณามัยหัง อิฉันจะไปช่วยได้ทันทีเจ้าค่ะ เร็วพอๆ กับซุปเปอร์แมนเลย”

            “งั้นก็ขอบใจนะ” เด็กหนุ่มคิดว่าเขาช่างโชคดีจริงๆ ที่เป็นมิตรกับนางไม้เพราะหากไม่ เขาคงอยู่ไม่เป้นสุขแน่ๆ “แต่ยังไงก็ตามต่อจากนี้ไปช่วยอย่าฆ่าคนด้วยนะครับ จะหลอกเท่าไหร่ก็ไม่ว่าหรอกแต่การตายเนี่ยมันเรื่องใหญ่นะ”           

            “จ...เจ้าค่ะ”

            จรดหัวค่ำบริเวณรอบบ้านในป่าหลังนี้ก็รายล้อมไปด้วยตำรวจ พวกไคต้องให้ปากคำเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมงกว่าจะได้พัก ตำรวจสรุปว่าเป็นการฆ่ากันเองระหว่างพวกโจร แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานนอกจากปืนกระบอกหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นอาวุธที่ใช้สังหารโจรคนหนึ่งที่ศพมีรูกระสุนบริเวณกะโหลกเท่านั่น ส่วนอีกรายนั้นยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นการตายจากอะไร

บรรยากาศวันหยุดของพวกเขาเปลี่ยนไปในทันที แม้กระนั้นชีวิตในบ้านก็ยังต้องดำเนินต่อไปพวกเขาจึงนั่งล้อมวงทานข้าว พร้อมๆ กับเชิญตำรวจห้านายที่เฝ้าอยู่ทานด้วยกัน

“ชีวิตพี่ยาช่วงนี้มีแต่คดีนะคะ” จีนแซวไคขณะที่วงข้าวเงียบกริบ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศแต่ดูเหมือนจะแซวผิดเรื่องไปหน่อยแม่ของเธอจึงตำหนิเบาๆ

อย่างไรก็ตามเพราะดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงไคจึงได้ถอนหายใจก่อนจะตอบน้องสาว “เฮ้อ อุตส่าห์พักจากคดีทีโรงเรียน มาที่บ้านคุณตาคุณยายก็ยังต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก สงสัยพี่จะดวงตกจริงๆ นั่นล่ะ”

“คดีที่โรงเรียนหรือครับ” นายตำรวจหนุ่มคนหนึ่งดูเหมือนจะสะกิดใจกับคำพูดของไคจึงหันไปถามผู้ปกครอง

แม่ของไคยิ้มบางๆ ขณะตอบคุณตำรวจอย่างใจเย็น “คือที่โรงเรียนของเขาเพิ่งเกิดเรื่องผู้ก่อการร้ายขึ้นน่ะค่ะ”

พอได้ฟังคำตอบนายตำรวจหนุ่มก็ร้องอ๋อในทันที เพราะเป็นข่าวที่สะเทือนใจมากและยังหาตัวผู้กระทำความผิดไม่ได้ ข่าวนี้ขึ้นหน้าหนึ่งและแพร่จากสื่อไปทั่วประเทศ แม้ความจริงนั้นคนที่รู้ดีที่สุดก็คือสมาชิกในชมรมอย่างไคและแอนนาที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ก็ตาม แต่ก็ช่างเป็นความจริงที่ต่อให้พูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่ออยู่ดี พวกเขาจึงได้แต่นิ่งเงียบปล่อยให้ข่าวตัดสินว่าเป็นฝีมือของผู้ก่อความไม่สงบไปเอง

“เด็กหนุ่มคนนี้อยู่ในโรงเรียนนั้นหรือครับ” นายตำรวจหนุ่มแสดงความสนใจได้ชัด เขาดูมุ่งมั่นและมีไฟแรงสมกับเป็นตำรวจมือใหม่ ด้วยท่าทีจริงจังแบบนั้นยิ่งทำให้ไครู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากขึ้น “แล้วเธออยู่ในเหตุการณ์รึเปล่า”

  ไคก้มหน้าลงสีหน้าเขาดูซีดและมีแววตาวอกแวก เขาแสร้งทำเป็นก้มตักข้าวในจานเพื่อไม่ให้นายตำรวจจับได้ถึงความผิดปกติ พลางส่ายหน้าเบาๆ “ผมไม่ได้อยู่ตอนเกิดเรื่องครับ”

“งั้นเหรอ” เมื่อเด็กหนุ่มตอบดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเบาก้มทานอาหารต่อ แล้วแอบเงยมองเล็กน้อย “แต่ถ้าเธอรู้ข้อมูลอะไรก็แจ้งตำรวจได้เลยนะ”

“ครับ” หลังจากนั้นการสนทนาของทั้งโต๊ะก็เงียบสนิทลงตลอดการรับประทานอาหาร

เมื่อทานเสร็จเด็กๆ จึงรวบเก็บจานชามของทุกคนแล้วนำไปล้างในอ่างบริเวณหลังบ้าน ไคจ้องมองแอนนาตลอดระหว่างเดินไปล้างจานซึ่งเธอดูมีสีหน้าไม่ค่อยดีนักหลังจากเพราะเรื่องในโต๊ะอาหารทำให้นึกเรื่องของโตขึ้นมา ภาพของเด็กหนุ่มที่ต้องบาดเจ็บเพื่อปกป้องเธอเอาไว้เป็นภาพที่ยากจะลบไปจากความทรงจำ เด็กหนุ่มวางจานลงข้างๆ อ่างพร้อมๆ กับแอนนา และ มีนา พวกเขาช่วยกันล้างจาน ในขณะที่จีนทยอยล้างแก้วทีละใบ ไคเขยิบเข้าไปใกล้เด็กหญิงซึ่งมีท่าทีหดหู่

“เป็นอะไรรึเปล่า” เขากระซิบเบาๆ พลางวางจานใบที่ล้างเสร็จลง

เด็กสาวยิ้มบางๆ “อื้ม นิดหน่อยน่ะ” เธอวางจานลงซ้อนใบที่ไคล้างเสร็จ ใบหน้าที่งดงามแม้กระทั่งตอนเศร้านั้นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มปวดหัวใจ “นี่กริยา” เธอหันมาพร้อมกับแววตาสั่นไหวน้ำตาซึม

“อะไรเหรอ” ตึกตัก ใจเด็กหนุ่มสั่นทุ้มจนแทบจะระเบิดออก ณ ตรงนั้น เขาหลบสายตานั้นไม่ได้เลยสักนิด มันช่างดึงดูดและชวนให้สับสนในเวลาเดียวกัน เพียงรู้ว่าแก้มชมพูอ่อนบนใบหน้าขาวนวลดูบอบบางนั้นกำลังจะเปรอะเปื้อนน้ำตา ก็ราวกับจิตวิญญาณจะแตกสลาย เขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด

“ทำไมคืนนี้ถึงไม่มีพระจันทร์เลยล่ะ” น้ำเสียงของเธอช่างนุ่มนวลกว่าปกติ น้ำเสียงแบบที่เคยยินจากแอนนาเพียงนานๆ ครั้ง ทั้งตอนบนดาดฟ้า ทั้งตอนที่นั่งคุยกันบนหลังคา มันเป็นน้ำเสียงที่ปะปนมากับความเศร้าเสมอ เป็นความนุ่มนวลที่แสนบอบช้ำ ราวกับแสงจันทร์ที่ส่องสว่างได้เพียงยามฟ้ามืดเท่านั้น “ทั้งที่แสงสว่างจะสดใสในความมืดแท้ๆ แต่มันกลับมืดหม่นจนหายลับ”

ใบหน้าของไคผันเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน เขาแทบจะลืม มีนาและจีนที่อยู่ด้วยกันไป และเพียงเห็นความบอบบางที่ราวกับจะแหลกสลายนั้น ก็ยิ่งทำให้อยากจะประคองมันไว้ไม่ให้แม้แต่สายลมที่พัดผ่านทำร้ายเธอ

เขาเงยขึ้นมองท้องฟ้า เป็นอย่างที่แอนนาว่า แม้จะตกกลางคืนมาได้นานพอสมควรแล้วทว่ากลับมองไม่เห็นพระจันทร์หรือดาวเลยสักดวง “จะว่าไปก็มืดจริงๆ แฮะ” เขาหันกลับมามองแอนนานพลางยิ้มอ่อน “แต่ไม่ต้องห่วงหรอกแอนนา อาจเพราะบางทีแสงสว่างมันบอบช้ำเกินไป เพราะแบบนั้นความมืดถึงได้โอบอุ้มมันไว้ เพื่อให้มันได้ฉาบแสงอันแสนเจ็บปวดนี้จนกว่าจะพร้อมส่องแสงสว่างสดใสได้อีกครั้งล่ะนะ” เขาอยากจะเอามือไปโอบกอดเธอเอาไว้ แต่ก็หยุดมันไว้เพราะได้เพียงแต่คิด

“ก็แค่ฝนจะตกไม่ใช่หรือไง” ไม่ทันไรเสียงของมีนาก็ดังขึ้นจากอีกข้างของเด็กหนุ่ม ซึ่งเขาไม่รู้ตัวเลยว่าทั้งน้องและเพื่อนสนิทสาวอีกคนกำลังจ้องอยู่ตาเป็นมัน แล้วเธอก็ยกศอกสะกิดเด็กหนุ่มที่เขินจนหน้าแดงก่ำ “แหมๆ นายนี่ก็เสี่ยวเหมือนกันนะเนี่ย”

“โอ้ทำไมท้องฟ้าช่างมืดครึ้มยิ่งนักนะพี่มีนา มองไม่เห็นพระจันทร์เลย” แล้วจีนที่ยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ข้างมีนาอีกที ก็หันไปมองท้องทำท่าทีเรียนแบบแอนนา

“โอ้น้องจีน ก็เพราะว่าพระจันทร์กำลังร้องไห้อยู่ไงล่ะ ความมืดจึงได้โอบกอดมันไว้ มามะมากอดที” แล้วมีนาที่รับมุขกับจีนก็กอดกันอยู่สองคนโดยไม่สนเลยว่าเด็กหนุ่มจะเขินสักเพียงใด ส่วนแอนนาก็ได้แต่หลุดหัวเราะเบาๆ ให้กับเขาที่ดูลุกลี้ลุกลน

 “พวกเธอสองคนพอสักที” แม้ไคจะพูดยังไง แต่เหมือนกลับยิ่งทำให้พวกเธออยากแกล้งเขามากขึ้นไปอีกเสียแทน

 

            ค่ำ คืนที่เต็มไปด้วยสายฝนโหมกระหน่ำ เป็นช่วงที่พายุเข้าอย่างหนักพวกไคจึงปิดบ้านให้สนิทแล้วอยู่แต่ข้างใน ส่วนพวกตำรวจนั้นได้กลับกันไปเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว และไคก็นั่งอยู่ข้างๆ แอนนาซึ่งเธอกอดแขนเด็กหนุ่มไว้แน่นท่ามกลางเสียงน้ำฝนกระทบลงหลังคาสักกะสี จนดังสนั่นไปทั่วบ้าน มีนาและจีนนั้นก็นั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของไคพวกเธอกำลังสนทนากันเรื่องชีวิต ประจำวันของมีนาระหว่างอยู่ที่ญี่ปุ่น ส่วนพ่อและแม่ของเขานั้นกำลังเตรียมเทียน และไฟฉายไว้เผื่อไฟดับ

            “อ่า ตกหนักเลยแฮะ” เด็กหนุ่มเงยมองหลังคาแล้วก้มลงดูแอนนาที่กำลังสั่นกลัว (‘ยัยนี่เหมือนกระต่ายเลยแฮะ ทั้งที่ตอนนั้นยังยืนตากฝนบนดาดฟ้าอยู่เลยแท้ๆ’) เขานึกถึงเรื่องตอนที่พบกับเธอก่อนจะตายไปครั้งหนึ่งและฟื้นกลับมาด้วยยาอายุวัฒนะซึ่งจากตอนนั้นก็ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว

            “กริยา” แอนนาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เธอคงกลัวเสียงฟ้าร้อง และ เสียงฝนกระทบหลังคาจริงๆ

            “หืม”    

            “เรารู้สึกไม่ดีเลย” เธอที่สั่นกลัวด้วยความรู้สึกบางอย่างยิ่งกอดแขนของเขาไว้แน่นมากขึ้น แต่เพราะส่วนอกของเธอไปโดนเข้า ทำให้ไคต้องพยายามคิดเรื่องอื่นๆ เพื่อกลบกิเลสลง จนไม่ทันได้สังเกตเลยว่าความกลัวของเธอในครั้งนี้นั้นมันมากกว่าแค่กลัวฟ้าร้องสักเพียงใด

 

            เช้าตรู่ในวันถัดมาหลังพ้นผ่านอีกหนึ่งวันที่แสนยาวนานวันที่สาม ณ บ้านหลังนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกอย่างตื่นตระหนกในยามเช้าปลุกไคให้ลุกขึ้นจากเตียง

            “ฮือฮือ คุณชายเจ้าคะ ฮือฮือ คุณชายรีบตื่นเร็วเจ้าค่ะ” น้ำเสียงที่ควรจะฟังดูแจ่มใจแต่กลับทำให้หนาวสันหลังวาบปลุกไคให้ตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย

            “งืมๆ มีอะไร ว้าก!!” เด็กหนุ่มที่สลึมสลือกลับตาสว่างในทันทีเมื่อลืมตาขึ้นเห็นใบหน้าที่โชกไปด้วยเลือดของนางไม้ และสะดุ้งจนเกือบจะตกเตียง “ค...คุณนางไม้ครับช่วยโผล่มาแบบปกติทีเถอะครับ”

            “เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะเจ้าค่ะ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว มากๆ ด้วยเจ้าค่ะ รีบตามอิฉันมาดูเร็ว” พูดเสร็จเธอก็ลอยนำเด็กหนุ่มออกไป ซึ่งไคก็เดินตามไปอย่างกล้ากลัวๆ ผ่านห้องของแอนนาซึ่งเธอยังหลับสนิทอยู่บนเตียง จนออกจากประตูบ้านแล้วเดินไปยังป่า และสุดท้ายเขาก็มาถึงที่ๆ นางไม้นำไป

เด็กหนุ่มได้แต่เพียงยืนอยู่เบื้องหน้าศาลพระภูมิสีแดงสดที่ล้มลงแตกไม่เหลือชิ้นดีจากพายุเมื่อคืน และสิ่งนั้นเองกำลังจะนำพาความกลัวครั้งใหญ่มาสู่พวกเขา

            จบตอน

            โปรดติดตามตอนต่อไป

           

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา