ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

6.8

เขียนโดย shotaro

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.

  32 ตอน
  8 วิจารณ์
  32.15K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

31) คาบเรียนที่ 16.5 : บ้านในป่า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ(หลังเลิกเรียน)

คาบเรียนที่ 16.5 : บ้านในป่า (บทนอกสถานที่ 1)

ผ่าน ถนนสายที่ทอดยาวตัดข้ามเทือกเขาดงพญาเย็นไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในภาคอีสาน รถกระบะสีดำกำลังพาครอบครัวของไคมุ่งหน้าไปสู่บ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจาก ตัวเมืองเข้าไปในแถบชนบท ถนนบางช่วงยังคงเป็นดินลูกรังแต่ส่วนใหญ่ก็ได้รับการพัฒนาไปบ้างแล้ว รถแล่นเข้าไปบนถนนที่ค่อนข้างแคบจนสักพักสองข้างทางก็เริ่มที่จะเป็นป่าไม้ พบบ้านเรือนแต่ละหลังห่างออกไปเป็นช่วงๆ เพียงเท่านั้น แอนนาซึ่งนั่งอยู่ข้างไคทางด้านหลังริมกระจกรถฝั่งซ้ายมองออกไปภายนอกแล้ว หันกลับมาพูดกับเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงราวกับพบเจอสิ่งที่น่าประหลาดใจเข้า

            “นี่ๆ กริยาดูนั่นสิดูนั่นบ้านหลังนั้นทำจากสังกะสีกับไม้ด้วยล่ะสุดยอดเลย” เธอพูดเสร็จแล้วหันกลับไปมองนอกกระจกรถอีกครั้ง “อ้ะ นั่นด้วยนั่นกระรอกล่ะ บนต้นไม้มีกระรอกกับนกด้วย” แววตาของเธอเปล่งประกายไปด้วยความสนอกสนใจผิดกับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่นิ่งๆ ด้วยใบหน้าราวกับเบื่อหน่ายชีวิต

            “เธอพูดแบบนี้มาตลอดทางแล้วนะไม่คอแห้งบ้างหรือไง” เขาถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปมองมีนาซึ่งนั่งหลับอยู่ทางขวามือเธอเอน ศีรษะมาประทับที่บ่าของเขาพลางน้ำลายไหลยืดเป็นทางจวนจะรดแขนอยู่รอมร่อ (‘ส่วนยัยนี่ก็ตรงกันข้ามลิบลับเลยวุ้ย’)

            จีนที่นั่งอยู่ทางริมหน้าต่างฝั่งขวาถัดจากมีนาไปชะโงกหน้าหันมาพูดกับพี่ชายปอยผมที่ยาวจรดแผ่นหลังของเธอตกลงปิดใบหน้าบางส่วน “จะว่าไปนานแล้วนะคะพี่ที่เราไม่ได้ไปเยี่ยมบ้านตากับยายเลย”

            ไคเอนศีรษะของเขาติดพนักแล้วมองท้องฟ้าผ่านทางด้านหน้ากระจกรถ เนื่องจากโรงเรียนของเขาถูกสั่งปิดเป็นเวลาสองสัปดาห์ ทางครอบครัวของเขาจึงได้ตัดสินใจใช้ช่วงเวลานี้กลับไปเยี่ยมบ้านของคุณตาและคุณยายเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ทั้งพ่อและแม่ที่นั่งอยู่ทางด้านหน้ารถต่างก็ลางานรวมไปถึงจีนก็หยุดเรียนด้วยเช่นกัน “ก็นับตั้งแต่พวกท่านเสียไปเมื่อสามปีก่อนเราก็ปล่อยทิ้งร้างไว้เลยนี่นะ ป่านนี้หญ้าคงรกน่าดู”

            “กลับไปคราวนี้พ่อว่าพวกเราคงต้องช่วยกันเก็บกวาดครั้งใหญ่เลยทีเดียว” พ่อของไคและจีน ชายวัยกลางคนผู้มีดวงตาสีน้ำตาลดำเอื่อยขึ้นขณะขับรถ เขาเผยรอยยิ้มเล็กๆ ขณะแอบฟังลูกๆ คุยกัน

            “พี่เองก็อยู่ชมรมทำงานบ้านนี่คะ ฮ่าฮ่าฮ่า” จีนแซวพี่ชายของเธอพลางหัวเราะ

            ไคยิ้มแหยๆ แล้วเหล่ตามองน้องสาว “ตลกตายนักล่ะ”

            รถเลี้ยวเข้าไปยังถนนเล็กๆ ตรงเข้าสู่บ้านเก่าๆ สร้างจากปูนและหลังคาสังกะสีหลังหนึ่ง บรรยากาศเงียบสงัดราวกับบ้านร้างท่ามกลางป่า รายล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่นานาพันธุ์แต่ละต้นสูงเฉลี่ยราวๆ ห้าถึงหกเมตรเศษ แล้วรถก็จอดลงบริเวณหน้าบ้านหลังนั้น

            เป็นไปตามที่เด็กหนุ่มคาดการณ์ไว้ ป่าและหญ้าค่อนข้างรกกว่าเมื่อสมัยที่คุณตาและคุณยายของเขาอยู่มาก มันถูกทิ้งไว้โดยขาดคนดูแลเป็นระยะเวลาถึงสามปี พื้นดินถูกกลบไปด้วยใบไม้แห้งจนมิด หยากไย่ก็ขึ้นเต็มไปหมด สีของบ้านที่เคยขาวสะอาดก็ซ่อมซ่อปะปนไปด้วยสีดำของเชื้อรา ขณะนี้เวลาบ่ายสองแสงแดดยังคงสว่างทำให้พวกเขาเห็นความเปลี่ยนแปลงของบ้านได้อย่างชัดเจน

            เมื่อถึงแล้วไคจึงพยายามจะปลุกมีนาซึ่งหลับไหลให้ตื่นขึ้นทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของแอนนาเสียก่อน เธอตัวสั่นราวกับเจ้าเข้ามือของเธอเย็นยะเยือกจับศอกของเขาไว้แน่นก่อนจะเงยขึ้นมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาสั่นไหวพลางร้องไห้

            “เป็นอะไรเหรอ” เด็กหนุ่มเหงื่อตก

            “น...น่ากลัว! บ้านหลังนี้น่ากลัวอ้า” ตอนนี้ท่าทีเธอราวกับหนูแฮมสเตอร์กลัวฟ้าถล่มอย่างไรอย่างนั้น พาให้จีนหลุดขำเบาๆ กับความไร้เดียงสาของเธอ

            เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง “นี่มันบ้านตากับยายฉันนะ”

            “งึมๆ ถึงแล้วเหรอ” มีนางัวเงียตื่นขึ้นจากนิทราใช้มือซ้ายปาดน้ำลายออกจากแก้มแล้วหันขวับซ้ายขวามองออกไปภายนอกกระจกรถ “บ้านผีสิง” เธอเอ่ยเสียงพร่าตัวสั่นไม่ต่างกับแอนนาเลยสักนิด

            ไคกอดอกขมวดคิ้ว (‘ให้ตายสิยัยพวกนี้’)

            “ฮ่าฮ่าฮ่า เด็กๆ กลัวจนตัวสั่นหมดแล้ว เห็นทีต้องทำความสะอาดจริงๆ จังๆ แล้วล่ะที่รัก” พ่อเอ่ยขึ้นเสียงสดใสขณะหันมองหน้าภรรยาของตน

            “รกกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย” เธอพูดตอบสามีขณะมองบ้านพ่อและแม่ของตนเองด้วยสีหน้าประหลาดใจ

            ทั้ง หกคนลงจากรถสูดอากาศบริสุทธิ์ ได้ยินเสียงนกร้องต้อนรับเป็นระยะ อากาศอบอุ่นไปด้วยแสงแดดยามบ่าย พวกเขาขนข้าวของลงจากรถวางกองกันไว้บริเวณพื้นปูนที่ยื่นออกมาจากตัวบ้าน พ่อของไคเดินตรงเข้าไปไขประตูแล้วเปิดเข้าไปภายในบ้านที่ค่อนข้างโล่ง มันเป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ แต่ก็กว้างพอสมควร มากพอที่จะให้คนอยู่ได้ถึงแปดคน อากาศยังคงถ่ายเทแม้จะปิดประตูบ้านไว้ก็ตาม มันจึงไม่อบชื้นแต่อย่างใด

            เมื่อเปิดไฟแล้วขนของเข้ามาในตัวบ้านพวกเขาจึงเริ่มสังเกตสิ่งต่างๆ ชั้นหนังสือเก่าๆ ของคุณตาถูกปล่อยทิ้งไว้จนถูกปลวกกิน ไปหลายเล่ม ข้าวของต่างๆ ยังถูกจัดวางไว้ ณ ที่เดิมของมัน ชวนให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยที่พวกท่านยังมีชีวิตอยู่ เด็กหนุ่มเดินตรงไปยังชั้นวางของหยิบอัลบั้มรูปฝุ่นเขรอะขึ้นมาปัดแล้วเปิดดูทีละหน้า เขาเห็นรูปตัวเองและน้องสาวสมัยเด็กถ่ายร่วมกับพ่อแม่และคุณตาคุณยายอยู่หลายรูปแล้วเผยรอยยิ้มบางๆ (‘นานแล้วสินะ’) ในสมัยนั้นจีนยังคงอ้วนพีส่วนไคก็ยังดูเป็นเด็กนิสัยก้าวร้าวและซุกซน มีหลายต่อหลายรูปที่เขาแกล้งน้องสาวของตนเองจนร้องไห้

            ทางด้านของแอนนาแม้เธอจะดูหวาดกลัวในตอนแรกแต่ตอนนี้เธอกำลังสนุกกับการสำรวจบ้านเก่าๆ หลังนี้ไปพร้อมๆ กับมีนาและจีน พวกเธอเดินไปดูยังห้องต่างๆ มีทั้งห้องพระ ห้องนอนจำนวนห้าห้องสำหรับแขกหรือลูกหลานที่มาพัก ห้องน้ำ ห้องครัว โดยนอกจากห้องน้ำแล้วห้องอื่นๆ ไม่มีประตูกั้นเลยสักบาน นอกจากนั้นมันยังไม่ใช่ห้องที่สวยหรูแต่อย่างใด สภาพเหมือนกับบ้านชนบททั่วๆ ไปแต่หลังใหญ่กว่าเท่านั้นเอง

            “คุณตาเป็นคนชอบอ่านหนังสือค่ะ” จีนเอ่ยข้างๆ หูของแอนนาขณะที่เธอสนใจกับกองหนังสือขนาดยักษ์ในห้องๆ หนึ่ง มีชั้นวางหนังสืออยู่หลายชั้นทว่ามันเต็มหมดทุกชั้นจนต้องวางกองเป็นตั้งๆ เสียแทน “ท่านมีหนังสือมากกว่าพันเล่มเลยทีเดียวแหละ สมัยเด็กหนูกับพี่มาทีไรจะต้องเห็นท่านนั่งอ่านอยู่ในห้องโถงตลอดเลย”

            มีนาเดินเล่นดูหนังสือและข้าวของต่างๆ อยู่พักหนึ่งก็เริ่มเบื่อเธอจึงเดินไปหาเด็กหนุ่มเพื่อดูว่าเขาทำอะไร “นี่นายน่ะ” เธอสะกิดหลังขณะที่เขาก้มดูรูปภาพในอัลบั้มด้วยความคิดถึง “ไปเดินเล่นข้างนอกกันเถอะ” เธอประสานสองมือใต้ท้ายทอยเดินมายืนอยู่ทางซ้ายมือของเขาแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “นี่ไปกันเถอะ มีป่าด้วยนี่เดินเล่นแถวๆ นี้สักหน่อยก็ได้”

            ไคปิดอัลบั้มแล้ววางลงบนโต๊ะ “คุณตาเคยพูดกับฉันไว้ว่าห้ามเข้าไปในป่าเด็ดขาด”  เขามองหน้ามีนาด้วยสีหน้าซีดๆ “เพราะผีป่านี้เฮี้ยนมาก โดยเฉพาะตอนกลางคืนนี่ห้ามเด็ดขาด”

            เธอหรี่ตาจ้องมองเด็กหนุ่มเหมือนจับผิดก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า นี่นายเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย” เธอกุมหน้าท้องแล้วหัวเราะท้องคับท้องแข็งต่อไปอีก “ฮ่าฮ่า ฉันว่าเพราะนายยังเด็กเดี๋ยวจะหลงเอาตาก็เลยห้ามไม่ให้เข้าไปเสียมากกว่า”

            เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแล้วตะคอกกลับไป “ก็แล้วมันยังไงเล่า ก็คนมันกลัวนี่นา” เขาเบี่ยงหน้าหลบเบ้ปากงอน (‘แล้วฉันในตอนนี้ก็มองเห็นพวกนั้นได้ด้วย ให้ตายก็ไม่เข้าเด็ดขาด’)

            “จ้าๆ โอ๋ๆ อย่างอนน้า” เธอชะโงกหน้าเข้ามาหยอกล้อเด็กหนุ่ม

            “เอพ่อ แม่ว่ามีของหายไปอยู่นะ” แม่ของเด็กหนุ่มกอดอกเท้าคางทำท่าทางครุ่นคิดขณะมองข้าวของบนโต๊ะและภายในตู้เก็บของ “คราวที่แล้วมาแม่ว่าของมันอยู่ในตู้เยอะเลยนะ ทำไมมันดูโล่งล่ะเนี่ย”

            “รู้สึกไปเองรึเปล่าแม่” สามีของเธอตอบกลับมาขณะปัดฝุ่นแลทะเก็บกวาดของภายในบ้าน

            เธอเปิดตู้ออกมองดูเศษฝุ่นที่เกาะชั้นไม้ มีรอยเป็นวงกลม เหมือนกับเคยมีถ้วยชามวางไว้อยู่บริเวณนี้ แล้วเพิ่งถูกนำออกไปไม่นานนัก “แต่แม่ว่าไม่ใช่นะ”

            “เอาเถอะเราก็ปล่อยร้างไว้ตั้งนานจะมีขโมยบ้างก็ไม่แปลก ก่อนอื่นเราทำความสะอาดกันเถอะจะได้น่าอยู่มากขึ้น” พ่อเดินไปคว้าเครื่องดูดฝุ่นมาจากกองสัมภาระที่เตรียมนำมาใช้ทำความสะอาดบ้านแล้วหันมายิ้มพูดกับภรรยาอย่างไม่คิดอะไร

            “ค่ะ” เธอตอบแล้วจึงปิดตู้ไว้ดังเดิม

            เวลาต่อมาไม่นานเมื่อเด็กๆ เดินสำรวจบ้านเสร็จจึงได้เริ่มช่วยพ่อและแม่ทำความสะอาด พวกเขาเริ่มจากปัดฝุ่นข้าวของเครื่องใช้ กวาดพื้น นำเครื่องนอนไปซัก แล้วจึงเริ่มเช็ดถูพื้นบ้าน ขูดเชื้อราออกจากผนัง ล้างโอ่งเก็บน้ำ ถางหญ้า ตัดกิ่งไม้และเถาวัลย์ที่ค่อนข้างรกไปจนถึงกวาดเศษใบไม้แห้งออกจากบริเวณบ้าน พวกเขาผลัดกันทำงานจนเสร็จ ในที่สุดบ้านก็กลับมาสะอาดอีกครั้ง ซึ่งมันก็กินเวลามาจนโพล้เพล้แสงสว่างเริ่มเลือนหายไปจากแผ่นฟ้า และคงจะเหลือเพียงความสว่างจากหลอดนีออนในไม่ช้า

            ทั้งหกคนเริ่มเหนื่อยล้าจากการทำความสะอาดครั้งใหญ่ พ่อและแม่ของไคจึงได้เริ่มล้อมวงตั้งเตาบาบีคิวบริเวณหน้าบ้านตามแผนที่วางไว้ เพื่อเป็นรางวัลให้พวกเด็กๆ ที่ช่วยงาน ไฟสีแดงจากถ่านไม้ภายในเตาท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบใจกลางป่าช่างสวยงามและเข้ากันอย่างบอกไม่ถูกสำหรับเด็กหนุ่ม นอกจากนี้ควันจากเตาปิ้งยังพลอยช่วยไล่ยุงไม่ให้กัดตอมพวกเขาด้วยเช่นกัน ช่างเป็นความสวยงามที่มีประโยชน์อะไรอย่างนี้ เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้นก่อนจะเริ่มวางไม้บาบีคิวลงปิ้งบนเตา

            จีนหยิบไม้บาบีคิวขึ้นเป่าก่อนจะเริ่มใช้ปากเล็กๆ ของเธอกัดลูกมะเขือเทศตรงส่วนปลายไม้เคี้ยวแล้วกลืนอย่างสงบเสงี่ยมจากนั้นก็กระเถิบเข้ามานั่งข้างพี่ชาย กระซิบถามเบาๆ ที่ข้างหูของเขา  “นี่ๆ พี่ยา จะว่าไปสาเหตุที่พี่มีนามาอยู่กับเราเนี่ยเป็นเพราะป้าสุดากับลุงเมษเสียชีวิตแล้วสินะ”

            ไคหยิบไม้ออกจากเตาปิ้งก่อนจะตอบเสียงเบาๆ “ใช่ ส่วนตัวแล้วฉันก็สงสารยัยนั่นอยู่หรอกนะ” เขากัดเนื้อหมูบริเวณกึ่งกลางไม้เคี้ยวแล้วกลืนจึงพูดต่อ “ตั้งแต่ที่เจอกันเมื่อสองวันก่อนฉันไม่เห็นยัยนั่นร้องไห้เลยสักครั้ง ดูเหมือนจะยังอัดอั้นเอาไว้อยู่ด้วยสิ”

            จีนมองไปยังมีนาซึ่งเธอกำลังพูดคุยหัวเราะอยู่กับพ่อและแม่ของตน แล้วหันกลับไปกระซิบต่อ “งั้นเรามาช่วยกันทำให้พี่เขามีความสุขกันเถอะค่ะ” เธอหันกลับไปมองเนื้อหมูบริเวณกึ่งกลางไม้พลางหมุนไม้ไปมา “เหมือนกับวันนั้นที่พี่มีนาเป็นคนปลอบพี่ไงคะ จากนี้ไปพี่มีนาก็จะมาอยู่กับเราแล้วด้วยมาทำให้เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกันเถอะ”

            เด็กหนุ่มกินบาบีคิวจนหมดแล้วย่างไม้ต่อไป “อืม เหมือนกับวันนั้นสินะ” ไคจ้องมองถ่านไฟในเตาปิ้งพลางนึกย้อนไปถึงเรื่องในอดีต

            “กริยา” แอนนาที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นขณะเตรียมจะย่างไม้ถัดไป “ไอ้นี่อร่อยสุดๆ ไปเลย”

            ไคหันไปพลางเหลือบเห็นจำนวนไม้ที่หลงเหลือจากการกินภายในถ้วยที่เธอถือไว้มีอยู่ราวๆ 20 ไม้ก็ถึงกับตาถลน “นี่เธอ! กินเยอะไม่สิ กินเร็วไปแล้วเฮ้ย”  ในช่วงเวลาไม่ถึงสิบห้านาทีเขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กสาวจะรับประทานบาบีคิวในจำนวนนั้นได้ (‘เรายังเพิ่งกินไปได้สองไม้เอง’)

            “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วพ่อว่านี่ก็ถือเป็นงานเลี้ยงต้อนรับมีนาเข้าสู่ครอบครัวของเราเลยแล้วกัน เย้” เบียร์เพียงไม่ถึงสามแก้วพ่อของไคก็หน้าแดงราวกับพระอาทิตย์ในธงชาติญี่ปุ่นประกอบกับเสียงที่เปลี่ยนไปเป็นตาลุงขี้เมาในชั่วพริบตา “มัวรออะไรอยู่ชนดิชน ชนแก้ว” เขายื่นแก้วเบียร์มายังกลางวงบาบีคิว พาให้เด็กๆ หัวเราะกับท่าทางแบบนั้น

            “โธ่พ่อนี่ละก็” จีนพูดปนหัวเราะ

            เมื่อภรรยาเห็นดังนั้นเธอจึงขมวดคิ้วดึงหูสามีเบาๆ “เอาล่ะเมาขนาดนี้แล้วก็ไปเข้านอนเถอะค่ะ” เธอลุกขึ้นลากให้เขาเดินตามกลับเข้าไปในบ้าน “เด็กๆ เดี๋ยวแม่มานะกินรอกันไปก่อน”

            “เอ๋ เดี๋ยวสิ พ่อยังไม่เมาเลยนะแม่” เขาพยายามดิ้นแต่ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นแบบแปลกๆ มาจากภรรยาจึงเงียบวางแก้วแล้วตามไปโดยดี

            มีนาเดินเข้ามาหาไคใช้มือข้างหนึ่งป้องปากพูดเสียงเบา “พ่อนายคออ่อนสินะ” เด็กหนุ่มเงียบให้คำตอบมาเป็นการพยักหน้า

            “ปกติก็ไม่ดื่มหรอก แต่เห็นว่าวันนี้จะรับเธอเข้ามาในครอบครัวเลยเป็นกรณีพิเศษ” เขาใช้มือซ้ายเท้าคางขณะอีกมือหนึ่งพลิกไม้บาบีคิวบนเตา “คงอยากจะสนุกกับทุกคนนั่นแหละ แต่ก็ดันดื่มเร็วไปคงชินคิดว่าเป็นน้ำเปล่าล่ะมั้ง” เขาเหล่ไปมองแอนนาที่กำลังกินบาบีคิวไม้ที่ 25 อยู่ (‘ยัยนี่ก็กินเร็วไม่ได้ต่างกันเลย’)

            “พี่มีนาจะเข้าเรียนที่เดียวกับพี่ยาเหรอคะ” จีนถามเปลี่ยนบทสนทนาของทั้งสอง “แบบนี้ก็ได้สนุกด้วยกันทั้งวันนะสิ ดีจังหนูเองก็อยากให้พี่มาอยู่โรงเรียนเดียวกันบ้างจัง”

            “ฮ่าฮ่าฮ่า ความจริงตอนแรกพี่ก็คิดว่าจะเรียนที่เดียวกับจีนนั่นแหละ” เธอยิ้มแป้นขณะมองดูแววตาที่เปล่งประกายของน้องสาว “แต่เพราะได้ยินเรื่องที่น่าสนใจเข้านะสิ” หลังจากพูดเสร็จเธอก็ใช้มือขยี้ทรงผมของเด็กหนุ่มเป็นการหยอกล้อ

            ไคกลืนเนื้อหมูลงคอ “เรื่องที่น่าสนใจเหรอ”

            แล้วเธอก็ยื่นหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหูของเขา “เกี่ยวกับนายยังไงล่ะ ฮี่ๆ” เธอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ในขณะเดียวกันมีแต่เด็กหนุ่มที่มองอย่างสงสัย

            “อ้ะแก้มแดงซะด้วย” จีนใช้มือป้องปากแล้วใช้อีกข้างชี้นิ้วไปยังแก้มของพี่ชาย

            เขาใช้มือจับที่แก้มของตนเอง เขาไม่รู้ว่ามันแดงแค่ไหนรู้เพียงแต่ว่าเขารู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก “เรื่องของฉันที่ว่าเนี่ย อะไรของเธอล่ะนั่น”

            “ความลับจ้ะ” มีนายิ้มอ่อนแต่ก็แฝงท่าทีกลั้นหัวเราะราวกับมันจะหลุดออกมาอยู่รอมร่อ นั่นก็เพราะเธอไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มในสภาพหน้าแดงก่ำขนาดนั้นมาก่อน พลางใช้นิ้วจิ้มแก้มของเขาเบาๆ “นายเนี่ยน้าแฟนนั่งอยู่ข้างๆ แท้ๆ ยังนอกใจได้อีก”

            “แฟนที่ไหนกันเล่า” เขาพูดเสร็จแล้วหันไปมองแอนนาซึ่งดูเหมือนเธอจะวุ่นอยู่กับบาบีคิวจนไม่ได้ฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกไป (‘ก็ยัยนี่พูดกับเราเองด้วยซ้ำนี่นาว่าเป็นแค่เพื่อนกัน’)

            หลังจากส่งสามีเธอเขานอนเสร็จแม่ของเด็กหนุ่มก็เดินกลับเข้ามาพอดี มีนาเดินกลับเข้าไปนั่งที่เดิม ส่วนไคก็นั่งก้มปิดใบหน้าที่แดงก่ำ “แม่กลับมาแล้วจ้า คุยกันน่าสนุกเชียว” เธออมยิ้มขณะมองดูลูกชาย (‘คิดว่าแม่ไม่ได้ยินเรอะ’)

            จีนมองพี่ชายของเธอพลางคิดในใจ (‘แล้วนี่พี่เราเขินใครกันแน่ล่ะเนี่ย’)

            หลัง จากเก็บเตาปิ้งล้างถ้วยจานอาหารรวมถึงเก็บเศษไม้เสร็จแล้วเข็มนาฬิกาจึงเดิน ไปจนถึงสี่ทุ่มซึ่งก็ได้เวลาเข้านอนสำหรับคืนแรกในบ้านหลังนี้พอดี ห้องนอนมีอยู่ห้าห้อง สามห้องอยู่ทางฝั่งซ้ายมือของบ้าน อีกสองห้องอยู่ทางขวามือเว้นทางเดินตรงกลางโดยมีห้องน้ำคั่นอยู่ ห้องแรกทางฝั่งขวานั้นพ่อของไคได้นอนจองไปแล้วและแน่นอนว่าภรรยาของเขาก็ เช่นกัน อีกสี่ห้องที่เหลือเด็กๆ จึงต้องแบ่งกันเอง จีนและมีนาตัดสินใจที่จะนอนห้องเดียวกันส่วนแอนนาเลือกที่จะขอนอนแยกห้องออก ไปเพราะหลีกเลี่ยงการดูดกลืนอายุไขซึ่งเธอคงไม่อาจควบคุมมันได้ขณะนอนหลับ หรือเมื่อออกห่างจากตัวไค ในที่สุดจึงเหลือห้องทางฝั่งขวาติดกับห้องน้ำที่เว้นว่างไว้ ส่วนทางฝั่งซ้ายเรียงมาจากห้องแรกจึงมีลำดับดังนี้ ไค แอนนา จีนและมีนา

            ช่วง แรกมีแต่เสียงพูดคุยของเหล่าหญิงสาวดังมาจากห้องของจีนพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะจากห้องของแอนนาซึ่งเธอคงกำลังฟังบทสนทนาจากห้องข้างๆ อยู่นั่นเอง ถัดจากนั้นมาประมาณหนึ่งชั่วโมงจึงเงียบลงจนได้ยินเสียงเรไรมาจากป่ารอบข้าง เมื่อไฟในบ้านถูกปิดลงท่ามกลางป่าที่ห่างไกลจากถนนหนทางทุกสิ่งทุกอย่างภาย ในบ้านจึงมืดสนิทจนไม่อาจรู้ได้ว่าลืมตาอยู่หรือไม่

            และนั่นเองก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา นอนกลิ้งอยู่สองถึงสามชั่วโมงก็ไม่หลับสักที มันชวนให้นึกถึงสมัยเด็กที่เขาได้มานอนพักอยู่กับคุณตาและคุณยาย ทุกครั้งที่ไฟในบ้านถูกปิดลงเขาทำได้เพียงนอนคลุมโปงภาวนาให้ตนหลับลงในแต่ละวัน เขาคิดถึงภาพที่ตัวเองได้ดูในอัลบั้มเมื่อตอนกลางวัน คุณตาผู้เข้มงวดและคุณยายผู้แสนอบอุ่น แม้เขาจะมองเห็นวิญญาณได้ก็ตาม แต่ก็ไม่เห็นพวกท่านอยู่ในที่แห่งนี้เลยสักนิด บางทีพวกท่านคงไปสู่สุคติแล้วกระมัง เขาอดคิดอย่างนั้นมิได้

            แกร่ก!

            แกร่ก! แกร่ก!

            ท่ามกลางความมืดมิดและความเงียบสงัดเสียงราวกับข้าวของภายในบ้านถูกรื้อค้นก็ดังขึ้นจากภายนอกห้อง พร้อมกับเสียงซุบซิบบางอย่างที่เบาจนแยกไม่ออกว่าพูดคุยอะไรกัน แม้จะยังกล้าๆ กลัวๆ ทว่าเขาไม่คิดว่าเป็นผีสางแต่อย่างใดพลางนึกถึงสิ่งที่แม่และพ่อคุยกันเมื่อตอนกลางวันเกี่ยวกับข้าวของภายในตู้ (‘ขโมยงั้นเหรอ’) เขากำลังคิดว่าตนจะออกไปดูดีหรือไม่ คนที่อยู่ในบ้านตอนนี้นอกจากเขาหากไม่นับพ่อของเขาที่เมาจนไม่น่าจะทำอะไรได้แล้วก็มีแต่ผู้หญิงหากเขาไม่ทำอะไรเองก็คงไม่มีใครทำแล้ว เมื่อคิดดังนั้นจึงลุกขึ้นย่องออกไปดู มืดสนิทแต่ก็ยังพอปรับสายตาให้เข้ากับความมืดได้บ้าง เขาเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ ของคนร่างสูงสองคนกำลังหิ้วถุงใบใหญ่ออกไปจากประตูบ้านอย่างเงียบเชียบ เขาทำตัวไม่ถูกเพราะหากบุกเข้าไปเลยทั้งอย่างนี้ถ้าอีกฝ่ายมีอาวุธขึ้นมาเขาอาจเป็นอันตรายได้ แต่ในขณะเดียวกันหากปล่อยเอาไว้สิ่งของสำคัญของคุณตาและคุณยายที่ตนรักจะต้องถูกเอาไปเป็นแน่

และเพราะยังตัดสินใจไม่ได้เขาจึงเลือกที่จะสะกดรอยตามออกไปโดยทิ้งระยะห่างสามเมตร เขาอยู่หลังตู้จนพวกหัวขโมยออกจากตัวบ้านแล้วจึงกะเวลาสามวิย่องตามออกไป พวกมันเดินเข้าไปในป่าอย่างระมัดระวังฝีเท้า ในขณะที่ไคย่องตามไปหลบหลังต้นเป็นบางช่วงจนกระทั้งรู้ตัวอีกทีเขาก็เข้าไปในป่าเสียแล้ว บรรยากาศเย็นชื้นและลมพัดเป็นระยะ ในทุกย่างก้าวเสียงใบไม้แก่ดังสวบๆ จนทำให้กลัวอีกฝ่ายรู้ตัว (‘ตามมาแบบนี้มันก็อันตรายล่ะนะ แต่ก็น่าจะพอรู้ช่องทางของพวกมันได้บ้าง’) เขาพยายามปลอบใจตัวเองเช่นนั้น ขณะก้าวลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงบ่อน้ำกลางป่าที่คุณตาของเขาเคยให้รถคูโบต้าขุดไว้กักเก็บน้ำสำรอง บ่อค่อนข้างใสและลึกสะท้อนแผ่นฟ้ายามราตรีจนเห็นดวงจันทร์ได้อย่างชัดเจน

พวกขโมยหยุดนิ่งอยู่หน้าต้นไทรริมบ่อท่าทางเหมือนพูดคุยอะไรกันสักอย่าง เปิดโอกาสให้ไคย่องเข้าไปใกล้ได้อีกเมตรครึ่งจวนจะประชิดตัวพวกมัน เด็กหนุ่มหลบอยู่หลังต้นมะม่วงหัวใจเต้นระรัวทั้งหวาดกลัวระคนหวาดหวั่น เขาอาจเคยเจอผีมาแล้วก็จริง หากแต่กับโจรผู้ร้ายอย่างนี้กลับส่งกลิ่นอันตรายที่มากกว่าเสียอีก

“พี่ชายออกห่างเร็วเข้า” เสียงเด็กหญิงที่คุ้นเคยดังขึ้นเตือนภายในอกของเด็กหนุ่ม เป็นเสียงของฟ้าที่อาศัยสิงร่างเขาอยู่นั่นเอง (‘หมายความว่าไงน่ะ’)

“สองคนนั้นไม่ใช่คน!”  

เด็กหนุ่มไม่ทันได้ก้าวหนี เงาสองหัวขโมยเบื้องหน้าก็ทำท่าทางราวกับหันมามองเขาก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนจนชวนขนลุก “ช่...ว...ย...”

“ด้...ว...ย...”

แสงสว่างจากดวงจันทร์ส่องให้เห็นใบหน้าของพวกมันลางๆ เป็นใบหน้าของคนที่ยาวและบิดเบี้ยวราวกับจอโทรทัศน์ที่ไร้สัญญาณ บริเวณตาและปากกว้างกลวงโบ๋เสมือนหลุมดำ

พวกมันยืนโอดครวญอยู่ใต้ต้นไทร!

            ฮึก! ด้วยความตื่นกลัวเด็กหนุ่มรีบก้าวถอยหลังเตรียมจะหันหน้ามุ่งกลับบ้าน ทว่าเขากลับก้าวพลาดจนขาทั้งสองพันกันล้มกลิ้งดังคลุกๆ ไปตามพื้นที่ลาดเอียงตกลงไปในบ่อเก็บน้ำดัง ตูม!

            โชค ร้ายที่มันไม่ใช่บ่อตื้นๆ ทันทีที่เขาตกลงไปจึงจมลึกลงในทันที เด็กหนุ่มพยายามตะเกียกตะกายว่ายกลับขึ้นไปทว่านอกจากเสื้อผ้าของเขาอุ้มน้ำ เอาไว้แล้ว รากไม้ที่พันพาดสลับไปมาภายในบ่อยังเกี่ยวรั้งแขนขาของเขาจนทำให้เคลื่อนไหว ไม่ได้ไม่ต่างกับปลาติดตาข่าย อีกทั้งความมืดในช่วงกลางคืนทำให้เขาไม่รู้ว่ามีอะไรพันร่างของเขาไว้บ้าง และเนื่องจากในช่วงที่ตกลงมาไม่ทันได้สูดอากาศหายใจด้วยจึงทำให้เขาทรมาน เป็นอย่างมาก

            (‘แย่แล้วสิสติมัน’) ดิ้นอยู่ใต้บ่อที่เต็มไปด้วยรากไม้ระเกะระกะราวสองนาทีในที่สุดเขาก็กลั้นหายใจต่อไปไม่ไหวมวลน้ำมหาศาลไหลเขาสู่ปากและจมูก เขาคงจะตายอีกในไม่ช้านาน ในที่สุดก็หมดแรงดิ้นเหลือเพียงแต่สติรางเลือน น้ำในบ่อนิ่งสงบไร้การเคลื่อนไหว มันทั้งหนาวและมืดมิด (‘ซวยชะมัดเลยเรา’)

            ครืน! ซ่า! บุ๋มๆ เสียงราวกับบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวภายใต้ผืนน้ำ ประหนึ่งดั่งน้ำถูกตีด้วยแรงของไม้พาย  แววตาที่พร่ามัวจวนจะดับไปของเขาสังเกตเห็นเงาสีดำ ของใครบางคนทว่าผิวหนังกลับมันวาวสะท้อนแสงจันทร์ราวเกล็ดปลานิล แหวกว่ายอยู่เหนือร่างตน นั่นเป็นเพียงภาพสุดท้ายก่อนที่สติของเขาจะหายไป

 

           

“ไอ้ยอดมึงแน่ใจเหรอวะว่าไอ้ถ้วยชามพวกนี้มันจะขายได้” ชายคนหนึ่งถือไฟฉายส่องดูภายในตู้เก็บของที่เต็มไปด้วยถ้วยชามเก่าๆ บางส่วนมีลวดลายจีนสวยงาม “มันก็ถ้วยชามธรรมดาไม่ใช่เหรอวะ กูว่าลองไปดูห้องอื่นกันเถอะเผื่อจะมีทอง”

            “ถ้วยชามพวกนี้เป็นของเก่าแต่ก็มีราคานะ เรื่องทองกูดูแน่เว้ยมึงไม่ต้องห่วง แต่ไหนๆ มาทั้งทีอะไรเก็บได้กูเก็บหมด” ชายที่ชื่อยอดตอบเพื่อนของเขาขณะลงมือขนข้าวของใส่ถุงผ้า

            ทั้ง สองเป็นหัวขโมยหนุ่มบ้านนอกพวกเขามายังบ้านเก่าหลังนี้โดยหวังจะขนสมบัติไป ขายนำเงินมาใช้หนี้การพนันเนื่องจากบ้านหลังนี้ถูกทิ้งร้างมานานแล้วโดย ปราศจากคนดูแลจึงเป็นเหยื่อชั้นดีสำหรับพวกเขาที่จะงัดเข้ามาขโมย

             เมื่อนายยอดขนของจากตู้เก็บถ้วยชามเสร็จจึงเดินไปสำรวจตู้ถัดไป เขาโกยนาฬิกาและแหวนภายในตู้เทลงถุงผ้าทั้งหมด “กูบอกมึงแล้วไอ้สอบ้านนี้แม่งต้องมีของดี”

            “เออๆ มึงรีบๆ ขนเหอะกูอยากรีบกลับ” นายสอส่องไฟฉายให้กับเพื่อนพลางเท้าสะเอวบ่นไป

            “มึงจะรีบทำไมนี่มันบ้านร้างไม่มีใครจับได้หรอก” เมื่อขนข้าวของต่างๆ เสร็จแล้วทั้งสองจึงช่วยกันแบกถุงเดินวนรอบตัวบ้านเพื่อเก็บสิ่งของมีค่าต่อไป

            ในเวลาหนึ่งชั่วโมงพวกเขาได้ของมีราคานับหลายสิบอย่างติดไม้ติดมือกลับไปเต็มถุง ทั้งสร้อยทองคำ เศษเงิน แหวนมีค่าต่างๆ เว้นไว้แต่โทรทัศน์เก่าๆ ตกรุ่น เครื่องใช้ต่างๆ ที่เตรียมจะนำรถมาขนในวันถัดไป

            “มึงๆ ดูนี่สิ” นายสอจ่อไฟฉายไปยังรูปของชายชราที่ถ่ายคู่กับภรรยาของตน ภาพค่อนข้างเก่า เมื่อสังเกตดูให้ดีมีหลานชายและหลานสาวของพวกเขารวมอยู่ด้วย “น่าจะเป็นเจ้าของบ้านว่ะ”

            “รูปมันอยู่ในบ้านมันก็ต้องเป็นรูปเจ้าของบ้านรึเปล่าวะไอ้โง่” เขาตบหัวคู่หูดัง เปี๊ยะ! แล้วจึงเดินนำไปยังประตูบ้าน ทว่าจู่ๆ เขาก็หยุดคิดบางอย่างได้จึงหันมายิ้มให้กับนายสอ “มึงเอากรอบรูปไปด้วย” เขามองไปยังกรอบรูปๆ นั้นมันดูสวยงามมีราคา “น่าจะขายได้”

            นายสอเกาศีรษะส่ายหัว “ไอ้เวรนี่ รูปเจ้าของบ้านมึงก็จะเอาเหรอ”

            “เออสิหรือมึงกลัว” พูดเสร็จนายยอดก็วางถุงลงเดินไปแกะเอารูปออกมาแล้วนำกรอบเปล่าๆ ใส่ถุงลงไปด้วย “กูบอกแล้วมีค่ากูเอาหมด” แล้วจึงเดินนำออกไปเช่นเดิม

            พวกเขาออกจากตัวบ้านแล้วมุ่งหน้าเข้าป่าเพื่อทะลุออกอีกฟากซึ่งเป็นบ้านของพวกตนเอง บรรยากาศเงียบเชียบจนกระทั่งได้ยินเสียงสายลมพัดเอื่อยๆ ป่าค่อนข้างรกทึบ เดินลึกเข้าไปจวนจะถึงบ่อน้ำสักพักนายสอก็ส่ายหน้าไปมามีอาการผิดแปลก “มึงได้กลิ่นอะไรหอมๆ ไหมวะ”

            “ไหนวะ” นายยอดสูดดมอากาศรอบข้างเสียงดัง ฟุต ฟิต เขาเอียงศีรษะชะงักเหมือนนึกเอะใจบางอย่างได้ “เออว่ะ กลิ่นอะไรวะ ขามาไม่เห็นจะมี” เขายังคงเดินนำต่อไป “ช่างมันเถอะมึงรีบตามมาผ่านดงข้างหน้าไปจะถึงแล้ว”          

             “เฮ้ยใครแตะบ่าวะ!?” นายสอหันขวับไปดูหลังจากมีความรู้สึกโดนจับบ่า ทว่ากลับไม่มีใคร (‘กิ่งไม้’) เขาสงสัยว่าเป็นเช่นนั้นแล้วจึงหันกลับไปหานายยอดก่อนจะสะดุ้งโหยงปล่อยถุงผ้าหลุดมือ “เฮ้ยเวร”

            เขามองไม่เห็นศีรษะของนายยอดมีเพียงส่วนของร่างที่ยังเดินต่อไปหันมาพร้อมกับเสียงด่าทอ “มึงจะปล่อยถุงทำไม”

            นายสอขยี้ตาแล้วเขาก็กลับมาเห็นศีรษะของคู่หูอีกครั้ง (‘ตาฝาด’) เขามองดูรอบข้างแล้วจึงกลับมายกถุง “สงสัยกูหลอนไปเอง”

            “เออมึงหลอนไปเอง เร็วรีบไป” น้ำเสียงค่อนข้างหงุดหงิด

เดินกันจนถึงต้นไทรริมบ่อพวกเขาก็หยุดลงเมื่อได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวเหนือต้นไม้รอบข้าง ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่นานแล้วก้าวต่อไป

“งูเหรอ” นายสอถามอย่างลุกลี้ลุกลน

“ไม่รู้” นายยอดตอบ “แต่ไม่มีอะไรหรอก”

“จริงเหรอ” แล้วเขาก็ต้องหันขวับกลับไปมองหน้านายสอทันทีที่ได้ยินเสียงของผู้หญิงตอบกลับมา ทว่ากลับมีเพียงนายสอที่มองเขาอย่างสงสัย

“เมื่อกี้มึงพูดเหรอ”

“เออสิไม่ใช่กูแล้วใครวะ” เขาตอบเสียงสั่นแต่ก็เป็นเสียงผู้ชายปกติ

“เออๆ ไม่มีอะไร” เขาหันกลับไปเดินต่อ (‘คิดไปเองเหรอ’)

เดินเลยต้นไทรริมบ่อไปได้ราวสิบเมตรก็เริ่มเข้าสู่ป่าไผ่ แต่ละต้นสูงยาวราวกับจะแตะพระจันทร์  อากาศยังคงเย็น ชื้นเงียบจนได้ยินเสียงทั้งป่า ทั้งเสียงงูเลื้อย เสียงหรีดหริ่งเรไร หรือแม้แต่เสียงใบไม้ขยับ เมื่อมาถึงจุดนี้นายยอดก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจเพราะตัดผ่านป่านี้ไปก็จะถึง บ้านของตนแล้ว

“ง่ายกว่าที่คิดจริงมั้ยไอ้สอ” เขาหันหลังกลับไปหาคู่หูทว่ากลับไม่มีใครอยู่เลย “ไอ้สอ” เขาหันขวับซ้ายขวาวางถุงผ้าลงแล้วเดินวกกลับเข้าไป มือขวาล้วงปืนพกกระบอกหนึ่งออกมาจากปลอก เขาย่องขณะคิดว่าบางทีนายสออาจถูกสัตว์ป่าเล่นงานโดยที่เขาไม่รู้ตัว “มึงอยู่ไหน” เขาใช้สองมือถือปืนเดินมุ่งไปยังบ่อตามทางที่เดินมา

สักพักเขารู้สึกเหมือนถูกสะกิดที่บริเวณบ่าจึงรีบหันไป “ไอ้สอ เฮ้ย!” ทว่าเขากลับต้องสะดุ้งถอยหลังแล้วหันวิ่งไปคนละทิศเมื่อสิ่งที่เขาพบไม่ใช่นายสอ แต่กลับเป็นใบหน้าโชกเลือดของสตรีชุดไทยโบราณจมูกแหว่งใบหน้าหายไปครึ่งหนึ่งดวงตาของเธอจ้องหน้าเขาเขม็ง (‘ผีห่าผีเหวอะไรวะเนี่ย’) เมื่อวิ่งมาได้ไกลพอสมควรเขาจึงหันกลับไปดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ และในที่สุดก็ไม่มีใครอยู่เลย เขาถอนหายใจขณะโล่งอกที่ตนหนีพ้นแล้ว แต่รู้ตัวอีกทีเขากลับวิ่งเข้ามายังบริเวณบ่อเมื่อครู่ซึ่งนั่นหมายความว่า ถ้าตนจะกลับบ้านอย่างไรเสียก็ต้องกลับเข้าไปยังป่าไผ่ที่ตนวิ่งหนีมาอยู่ดี

(‘ไอ้สอหายไปไหนวะ หรือว่าจะถูกอีผีนั่นฆ่าไปแล้ว’) เหงื่อของเขาไหลเป็นทางขณะเดินถอยหลัง มองรอบข้างอย่างตื่นกลัว กึก! หัวของเขาชนเข้ากับอะไรบางอย่างจับเหล่ตาหันไปดู

มันคือปลายปากกระบอกปืนที่นายสอยืนถือมือสั่นระริกจ่ออยู่บริเวณหลังศีรษะของเขา ดวงตาของเขาเบิกโพลงราวกับเห็นอะไรบางอย่าง “อย่า! อย่าเข้ามานะ อีผีห่า อีผีเวร” นิ้วของเขาเตรียมจะลั่นไก

“เฮ้ย อย่านะเว้ย”

ปัง!

สิ้นเสียงปืนร่างไร้วิญญาณของนายยอดก็ล้มลงกองกับพื้น นายสอยังคงรัวกระสุนใส่สตรีชุดไทยเบื้องหน้า ซึ่งเธอยื่นมือคล้ายจะเข้ามาบีบตรงที่คอของเขา “มึงอย่าเข้ามานะเว้ย” ปัง! ปัง! เขายิงกระสุนจนหมดรังเพลิง และในที่สุดก็ทำได้เพียงกรีดร้อง พนมมือสวดมนต์ผิดๆ ถูกๆ “น...นะโมตัสสะ ภ...ภะคะวะโต”

“คนเลวๆ อย่างมึง สวดมนต์ไปก็เหมือนหมาเห่าแหละเว้ย!” เสียงผู้หญิงดังก้องในหัวของนายสอ ก่อนเสียงดังกร๊อบ! จากกระดูกคอของเขาจะดังขึ้นเป็นเสียงสุดท้ายภายในป่าคืนนั้น

“ตาบอกแล้วไงว่าอย่าเข้าไปในป่า ไอ้หลานดื้อนี่” เสียงของชายชราดังขึ้นขณะดุหลานชายที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด

“ก็เจ้าโตโต้มันวิ่งเข้าไปนี่ครับ ฮือๆ” เด็กผู้ชายที่ไว้ผมทรงกะลาใช้มือขวาปาดน้ำตา

“หมาน่ะเดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละ” คุณตาโขกกะโหลกของเขาซ้ำอีกที “ฟังให้ดีนะ วันนี้ยังดีที่กลับมาได้ถ้าหลงทางขึ้นมาจะทำยังไง อยากโดนผีป่าลักไปซ่อนเหรอ”

“โอ้ย!” เด็กชายใช้มือกุมศีรษะ “ผีป่าเหรอครับ”

“ป่านี้นะเฮี้ยนสุดๆ ถ้าไม่อยากถูกผีหักคอละก็ อย่าเข้าไปเชียวละ”

             “ค...ครับคุณตา”

จบตอน

โปรดติดตามตอนต่อไป

ปล.รักนะคนอ่าน

 

           

           

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา