รอยต่อแห่งฝัน

7.4

เขียนโดย candle

วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 20.36 น.

  11 ตอน
  31 วิจารณ์
  14.54K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556 22.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

    

     หญิงสาวบนชิงช้าสะดุ้งสุดตัว  เมื่อมีมือแข็งแรงทับลงบนบ่า

 

     “ขอโทษ”  ตุลย์กล่าวตกใจเมื่อเห็นอาการของหล่อน

 

     “พี่ตุลย์เองหรอกเหรอ”  นิศาผ่อนลมหายใจโล่งอก  ยิ้มน้อย ๆ ลบรอยหมองในดวงตา

 

     “คิดอะไรอยู่  ถึงไม่ได้ยินเสียงรถของพี่”  ตุลย์เคาะหัวหล่อน

 

     นิศามองรถที่จอดอยู่นอกรั้ว

 

     “เป็นไงบ้าง”  ตุลย์วางมือบนหัวหล่อน

 

     “ไม่เป็นไรนี่คะ  พี่ก็รู้นิไม่สนใจเรื่องข่าว”

 

     กับข่าวของมายที่หายหน้าไปจากวงการ  และเรื่องราวของนิศากับวีนว่าทั้งคู่คบหาเป็นคู่รักกัน  ซึ่งเป็นสาเหตุการหายเงียบไปของมายทำให้ตุลย์อดเป็นห่วงไม่ได้  เขารักหล่อนเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง

 

     “ดีแล้ว  ต้องทำใจหน่อยนะเลือกจะยืนตรงนี้แล้วนี่”

 

     “ค่ะ”

 

     “มารับไปทานข้าวกลางวัน  นัดใครบางคนไว้”

 

     “อ้าว...นัดใครไว้แล้วมาชวนนิทำไม  ไม่อยากไปเป็นส่วนเกิน”  หล่อนต่อว่า

 

     “ไม่ไปก็ไม่เป็นไร  เรารึอุตส่าห์นัดอัฐไว้ว่าจะทานข้าวด้วยกัน  งั้นไปก่อนนะ”

 

     “อัฐเหรอ  ไปค่ะไปเลย”  หล่อนไม่คิดจะเปลี่ยนชุดหรอก  ทั้งที่นุ่งผ้าถุงอยู่ลืมเรื่องราวไม่สบายใจเมื่อครู่เสียสิ้น

 

 

**********                                               **********

 

 

     “พี่ตุลย์  นิไม่กล้าลงจากรถ”  หล่อนโอดครวญเมื่อถึงที่หมายเป็นโรงแรมสุดหรู

 

     ตุลย์ปล่อยเสียงหัวเราะเต็มที่แบบสะใจ

 

     “ไม่มีใครจำได้หรอก”

 

     “ก็มันอายนี่นา”

 

     “อย่างแกอายเป็นด้วยเหรอ”

 

     “พี่ตุลย์น่ะไม่เข้าใจ”  หล่อนกระเง้ากระงอด  จะได้ทานข้าวกับอัฐทั้งทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้

 

     นิศาถอนหายใจ  โมโหตัวเองจริง ๆ กับคนอื่นหล่อนไม่อายและไม่สนใจด้วย  แต่นี่กับอัฐมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  เออหนอคนเรา  ความรักนี่ทำให้อะไรต่อมิอะไรกลับตาลปัตไปหมด

 

 

**********                                               **********

 

 

     นิศานั่งบนเก้าอี้ทรงสูงหน้าเคาว์เตอร์  หล่อนปรายตามองสองหนุ่มผู้ทำเสียงหล่ออยู่บนเวที  ทั้งคู่ยิ้มให้  เมื่อหล่อนยกเบียร์แก้วใหญ่ในมือทักทาย  หากหลังรอยยิ้มนั้น  หล่อนรู้ว่าฟางกับโยกัดฟันพูดว่า

 

     “มึงมาแ-กเบียร์ให้กูจ่ายอีกแล้วเหรอ”

 

     แต่นิศาไม่สนใจ  พวกมันปากหมาไปอย่างนั้นเอง  ยังจำได้ว่าสมัยยังเป็นนักศึกษาอยู่  และฟางเป็นคนเดียวที่ทำงานร้องเพลงในร้านแห่งหนึ่ง  พวกเพื่อนยกโขยงไปเป็นกำลังใจและดื่มเสียเต็มคราบ  จนเงินเดือนฟางไม่พอจ่าย  เลยเป็นอันว่าต้องเลิกไปร้องเพลงที่นั่นนับแต่นั้นมา

 

     “คิวไม่มาเหรอ”  หล่อนถามพนักงานแคชเชีย์ซึ่งคุ้นเคยกัน  จะว่าไปก็รู้จักกันมาตั้งแต่พวกหล่อนยังเรียนมหา-ลัยนั่นแหละ  เพราะที่นี่เป็นร้านของญาติผู้พี่ของฟาง

 

     “เห็นว่าไปถ่ายโฆษณาต่างจังหวัด”

 

     “งั้นเหรอ”

 

     “พี่นิเป็นไงบ้าง”

 

     “สบายดี  เธอเห็นว่าพี่ท่าทางแย่หรือเปล่าล่ะ”  หล่อนย้อนถาม

 

     “ดูสดใสมากเลยค่ะ  ตางี้วิบวับเชียว”  เด็กสาวว่ายิ้ม ๆ

 

     “คนมันมีความสุข”  หล่อนยิ้ม

 

     “พี่นิตกลงเล่นเอ็มวีให้วีนหรือเปล่าคะ”

 

     “โอ...แฟนวีนอีกคนรึเนี่ย”

 

     “ว่าไงคะ” 

 

     “ยังไม่ตัดสินใจ”  หล่อนย่นจมูก

 

     “โธ่  ตกลงเถอะค่ะ  ใคร ๆ ก็อยากร่วมงานกับวีนทั้งนั้น”

 

     “ชิส์  วีนต่างหากที่อยากร่วมงานกับฉัน”

 

     “ค่ะ  ก็แน่ล่ะสิพี่นิออกจะฮอตซะ”  เด็กสาวหัวเราะ

 

     “ตกลงว่าไงคะ”  เด็กสาวเซ้าซี้

 

     “เจ้าเด็กนี่  จะรับไว้พิจารณา”

 

     “พี่นิก็แหม๋”

 

     ฟางเก็บกีต้าร์และเดินมาหาหล่อน

 

     “ไง  มาทำอะไรแถวนี้”  ฟางถามคล้ายว่าไม่เคยเห็นหล่อนที่นี่มาก่อนเลย

 

     “โห  ถามทุเรศมากเลย”

 

     “เอาเป็นว่าแกคิดถึงพวกฉันว่างั้นเถอะ”  ฟางลองเชิง

 

     “เปล่า  อย่าเข้าใจผิด”  หล่อนยักไหล่

 

     “แค่จะมาบอกว่า  ฉันเจอใครบางคนที่ฉันรักแล้วเท่านั้นเอง”

 

     “ใครหนอช่างโชคร้ายเสียงจริง”  โยมาทันได้ยินพอดี  ไม่วายแขวะหล่อนตามความเคยชินมากกว่าจงใจ

 

     “ไปก่อนนะจ๊ะ”  นิศายิ้มละไมไม่สวนกลับโยอย่างที่แล้วมา  ตบแก้มสองหนุ่มเบา ๆ หยอกเอินด้วยอารมณ์ดี

 

     “อะไรของมันวะเนี่ย”  โยงง  ด้วยคาดไม่ถึงในฝ่ายตรงข้าม

 

     “เอ้ย...เดี๋ยวสิมึง”  ฟางฉวยแขนหล่อนไว้

 

 

**********                                               **********

 

 

     “อัฐคือคนที่ฉันรัก  เขาเป็นคนทำงานศิลปะ  มันเหมือนความฝันแทบไม่น่าเชื่อว่าฉันจะได้รู้จักเขาจริง  ทันทีที่ได้พูดคุยด้วย  ฉันก็รู้เลยว่าคนนี้แหละที่รอคอยมานานแสนนานฝันว่าจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับเขาในอนาคต  ในบ้านหลังเล็กที่มีระเบียงรอบ ๆ แล้วก็มีลูก”

 

     หล่อนเหม่อลอยและแย้มยิ้มด้วยความสุข  นิศาลืมเรื่องราวของมายเสียสิ้นแล้ว  อย่างคนซึ่งตกอยู่ในความฝัน

 

     ชายหนุ่มสองคนยังคงนั่งฟังหญิงสาวคนหนึ่ง  เล่านิทานความรักบนดาดฟ้าของตึกสูง  ละอองหนาวแห่งราตรียะเยือกห่มคลุม  คล้ายมีลางสังหรณ์  สองคนมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น  กับความสุขของเพื่อนอย่างนิศา  พวกเขาไม่ต้องการทำลายความฝันอันงดงามของหล่อน  แม้ยังมีเรื่องค้างคาซึ่งอยากซักถาม  หรือท้วงห้ามก็ตามที

 

     งานแสดงภาพเขียน

 

     นิศาหอบเอากุหลาบช่อใหญ่ไปให้อัฐเมื่อประมาณทุ่มเศษ ๆ

 

     “ขอบคุณครับ  ไม่คิดว่าจะมาได้”  อัฐรับกุหลาบไปถือไว้  ส่งยิ้มให้

 

     “ต้องมาสิ  อัฐอุตส่าห์เชิญทั้งที”  นิศาบอกไปอย่างนั้น  ทั้งที่ความจริงน่าจะบอกว่าโอกาสอย่างนี้หาไม่ได้ง่ายนักหรอก  มีหรือหล่อนจะพลาด  นิศารอคอยมาตลอดนี่นา

 

     “เดี๋ยวก่อน  ผมต้องเคยเห็นคุณที่ไหนมาก่อนแน่ ๆ เลย”  อัฐจ้องหล่อน  รู้สึกคุ้นเคย

 

     นิศาหลบสายตา  ก็ทำไมจะไม่เคยเห็นเล่า  หล่อนติดตามดูงานแสดงภาพเขียนของเขามาแทบทุกครั้งตั้งแต่เรียนอยู่นั่นแหละ  หากนิศาไม่เคยเข้าไปคุยกับเขาเลยสักครั้ง  นอกจากเฝ้ามองดู

 

     “ผมปิดงานตอนสองทุ่ม  หลังจากนั้นว่างหรือเปล่า”  เขาถามหล่อน

 

     “ค่ะ”  นิศาพยักหน้า

 

     “ดีครับ  ตามสบายนะครับ”  อัฐเลี่ยงไปพูดคุยกับนักเรียนช่างศิลป์กลุ่มหนึ่งซึ่งเข้ามาซักถาม

 

     นิศาหยุดมองภาพหนึ่งอยู่นิ่งนาน

 

     ภาพเขียนบ้านริมน้ำหลังหนึ่งที่มีระเบียงชื่นออกมา  หล่อนหลงรักบ้านหลังนี้  ตรงบันไดท่าน้ำวางกระถางดอกไม้เรียงไว้  และหล่อนก็เห็นตัวเองยืนอยู่ตรงนั้นกับเขา

 

     อีกครั้งที่นิศาหลุดไปในโลกแห่งความฝัน  ใครบางคนจองภาพนั้นไปแล้วหล่อนเห็นป้าย “จองแล้ว” แขวนไว้ใต้ภาพนั้น

 

     อัฐยิ้มเมื่อเห็นนิศาหยุดมองภาพนั้นอยู่นาน  เป็นอย่างที่เขาคิดหล่อนชอบมันจริง ๆ ไม่ผิดแล้ว  เขาเข้าใจหล่อนได้ดีทีเดียว

 

 

**********                                               **********

 

 

     “เชิญครับ”  อัฐผลักประตูให้หล่อนเข้าไปก่อน

 

     นิศาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง  ชานเมืองที่เงียบสงบไร้ซึ่งความพลุกพล่าน  กลับมีร้านขายกาแฟของชายชราท่าทางใจดีที่มีพุงเหมือนแตงโมลูกโต  สวมแว่นตากลมใส่เสื้อเชิ้ตลายสก๊อตมีสายเอี้ยมรั้งกางเกงไว้  ผมถูกหวีไว้เรียบแปล้

 

     ภายในตามฝาผนังประกอบด้วยภาพเขียนสีน้ำมันแบบอิมเพรสชั่นนิสท์ติดอยู่  หล่อนมองตาค้างเมื่อโทรศัพท์รุ่นคุณปู่ตรงเคาว์เตอร์กรีดเสียง  นิศาละสายตาเมื่อมองจนแน่ใจว่ามันยังใช้การได้ดีอยู่เช่นปกติ  ตรงกลางร้านเครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณ  ลำโพงคล้ายดอกผักบุ้งทะเลวางอยู่บนโต๊ะไม้แกะสลักเก่า ๆ ตัวสูง

 

     โทนสีภายในร้านแต่งด้วยสีน้ำตาลขรึม ๆ อบอวลด้วยกลิ่นกาแฟหอม ๆ และเสียงสนทนาถามถึงสารทุกข์กันระหว่างเจ้าของร้านกับลูกค้า  ที่ดูเหมือนจะเป็นรุ่นคุณลุงคุณป้าเสียเป็นส่วนใหญ่  บางกลุ่มพูดคุยกันถึงความหลังครั้งยังหนุ่มสาว  บ้างก็มากันเป็นคู่มองดูน่าอิจฉาถึงความรักที่ยั่งยืนเช่นนี้

 

     “สวัสดีครับ”  อัฐกล่าวทักทายชายชราเจ้าของร้าน

     แกยกชุดกาแฟให้อย่างสนิทสนม

 

     “เป็นร้านที่วิเศษที่สุดลยค่ะ”  หล่อนชมจริงใจ  ก่อนจะเดินตามอัฐไปยังโต๊ะริมหน้าต่าง

 

     “โอ้โห  อะไรกันนี่”  นิศาอุทาน 

 

     หล่อนยังไม่วายตื่นเต้นกับผ้าปูโต๊ะสีเปลือกไม้  กับแจกันดินเผาทรงกระบอกที่มีกุหลาบแห้งสีเศร้าอยู่ภายใน

 

     “ร้านในฝัน”  หล่อนท้าวคางมองแจกันตรงหน้า  ทำตาชวนฝันอย่างเผอเรอ

 

     “อัฐเจอร้านนี้ได้ยังไง”

 

     “โดยบังเอิญ  ในค่ำคืนที่ฝนตกหนัก  นานมาแล้ว”

 

     “ตุลย์บอกว่าคุณชอบอ่านหนังสือ  ลุงแกมีหนังสือเต็มไปหมดเลยผมเคยมานอนค้างที่นี่หลายครั้งแล้ว  ไม่เคยได้นอนหรอก  อ่านหนังสือจนสว่างทุกที”

 

     “จริงเหรอดีจังเลย”  หล่อนตาวาว

 

     อัฐลุกไปชั่วครู่  กลับมาพร้อมหนังสือเล่มหนึ่งส่งให้หล่อน

 

     “แมงมุมเพื่อนรัก”  นิศาอ่านชื่อหนังสือ  มองหน้าเขาแบบปลื้มสุดชีวิต

 

     “มีคนเก็บหนังสือเล่มนี้ด้วยเหรอ”

 

     อัฐมองหล่อน

 

     “มันเป็นเรื่องที่ฉันอ่านตอนเด็ก ๆ พ่อเป็นคนซื้อให้เป็นของขวัญ  ฉันประทับใจที่สุดเลย”

 

     “คุณยืมหนังสือที่นี่ไปอ่านได้ด้วยนะ”

 

     “ทุกคนยืมไปได้เหรอ”  หล่อนถาม

 

     อัฐพยักหน้า

 

     “ทุกคนที่นี่ชอบในสิ่งเดียวกัน  ไว้ใจกันและซื่อสัตย์กับตัวเอง”

 

     นิศาหันไปยิ้มกับเจ้าของร้าน

 

     “ขอบคุณ   ขอบคุณมาก”

 

     “ผมคิดว่าคุณคงชอบถึงได้ชวนมา”

 

     “ค่ะ  ชอบมาก”  หล่อนยิ้ม

 

     “เล่าเรื่องแมงมุมเพื่อนรักให้ฟังหน่อยสิ”  อัฐบอก  เขาชอบที่จะมองดูหล่อนพูด  นิศาเหมือนพลุหลากสี  

 

     แล้วหล่อนก็เล่าเรื่องราวมิตรภาพระหว่างแมงมุมชาล๊อตกับเจ้าหมูน้อยวิลเบอร์ให้เขาฟัง  อัฐมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างตั้งใจ  หล่อนออกจะห้าว ๆ แต่กลับสวมใส่กระโปรงยาว ๆ นั่งเล่าเรื่องราวให้เขาฟังอยู่นี่เอง  นิศาดูจะมีความขัดแย้งกันอยู่ในที  เหมือนกับเด็กที่ชอบอะไรก็เอามาเก็บไว้กับตัว  โดยไม่คิดว่ามันจะเหมาะรึเปล่า  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าจะไปด้วยกันได้ดี  ทั้งอารมณ์ความรู้สึก  หล่อนแสดงอารมณ์รักอย่างเปิดเผย  จนเขารับรู้ได้จากดวงตาวับวาวคู่นั้น  ความรู้สึกบริสุทธ์ไร้ซึ่งร่องรอยแห่งการเสแสร้ง  ถ่ายทอดมายังเขาโดยมิต้องบอกกล่าว

 

     "แล้วเจ้าหมูน้อยก็รอดพ้นจากการถูกเชือด  เพราะความช่วยเหลือของแมงมุม"

 

     "เก่งครับ"

 

     "อะไรน่ะ  อัฐทำเหมือนฉันเป็นเด็กที่ต้องชมเมื่อทำอะไรได้"

 

     "ต้องขอโทษ  ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น"

 

     นิศายิ้ม

 

 

     อัฐรู้ว่านิศากับเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน  อัฐมองนิศา  เขาเข้าใจหล่อนพอ ๆ กับที่เข้าใจตัวเอง

 

     “ดูตายายคู่นั้นสิ”  หล่อนยิ้ม  มองดูแววตาเอื้ออาทรในดวงตาของคนทั้งคู่ซึ่งถ่ายทอดถึงกันเห็นรอยยิ้มอบอุ่นที่มีให้กัน

 

     “อัฐเชื่อในความรัก  หรือว่าพลังแห่งรักบ้างหรือเปล่า”

 

     “ผมเชื่อนะ  แต่มันทำให้รู้สึกเจ็บปวดอยู่เช่นทุกวันนี้”  อัฐยกกาแฟขึ้นจิบมองหล่อน  ค้นหาความหมายในคำถาม

 

     “เจ็บปวดเหรอ  ทำไมล่ะ  น่าจะมีความสุขที่ได้เฝ้ารอคอยใครสักคนเพื่อที่เราจะได้รัก  และคงเป็นพรวิเศษเมื่อเราได้เจอ  ฉันเชื่อว่าเป็นเพราะพลังแห่งรักล่ะ”

 

     “ความรักทำให้คนเราขาดอิสรภาพ”  อัฐบอกความคิดของเขากับหล่อน

 

     “-----o-----”  หล่อนมองเขา

 

     “สองอย่างมักไปด้วยกันไม่ได้  แท้จริงแล้วเป็นเพียงอุดมการณ์  เราหลอกตัวเอง  เพราะเป็นไปไม่ได้ที่สองอย่างจะไปด้วยกัน  โดยธรรมชาติของคนบางทีเราก็อยากอยู่คนเดียว  แต่ก็ต้องการมีความรัก  เข้าใจหรือเปล่า”

 

     “แต่ชีวิตของคนเรา  ควรจะมีที่พักพิงไม่ใช่เหรอ”

 

     “ใช่  และนั่นเป็นความขัดแย้งที่ทำให้เจ็บปวด  เป็นความเห็นแก่ตัวของมนุษย์”

 

     “รักต้องการอ้อมแขน  ไม่ใช่กรงขังอัฐต้องการอย่างนั้น”

 

     “คงงั้นมั้ง”

 

     “ถ้าเพียงคนสองคนจะเข้าใจและไว้ใจกัน  ไม่ใช่ข้ออ้างเพื่อผละจากยามเบื่อหน่าย  คนเราควรจะหยุดรอนแรมเมื่อมีครอบครัว”

 

     “นิศาเป็นอย่างที่ตุลย์ว่า”

 

     “ว่าไงคะ”  หล่อนร้อนตัวขึ้นมาทันที

 

     “คุณน่ารัก  อะไรอีกนะที่เขาว่า  จิตใจดีใช่จิตใจดี”

 

     นิศาเขินหนัก  อย่างนี้สินะความรัก  หล่อนมีความสุขเหลือเกินเวลานี้  ก็ใครจะไปคิดเล่าว่าจะได้รู้จักและสนิทสนมด้วยอย่างนี้  และหล่อนก็เชื่อในเวทมนต์แห่งรักซะด้วยสิ

 

     “ไม่น่าเชื่อ  ที่ตาแก่ออกปากชมได้”  หล่อนหัวเราะคิกคักกับสรรพนามที่ใช้เรียกตุลย์

 

     “เพราะคุณเป็นเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต  ถึงได้ว่าตุลย์เป็นตาแก่”  อัฐว่ายิ้ม ๆ

 

     “จริงสิ  จะว่าไปฉันก็อยากเป็นอย่างปีเตอร์แพนเหมือนกันนะ  ว่ากันว่าปีเตอร์แพนคือเด็กที่ไม่รู้จักโต  ติดอยู่ในโลกของเด็กในดินแดนนิรปฐพี   ฉันอยากเป็นอย่างนั้นคงมีความสุขมากเลยนะ  ได้บินไปฟังนิทานตามช่องหน้าต่างบ้านที่แม่เล่านิทานให้ลูก ๆ ฟังทุกคืน”

 

     ท่าทางหล่อนจะตกอยู่ในความฝันอีกแล้วสิ  อัฐมองเห็นหล่อนเหมือนภาพวาดหนึ่งที่เขาเฝ้ามองอยู่ตรงหน้า  ยามเมื่อหล่อนลดทอดอายุของตัวเองเป็นเช่นเด็กน้อยในยามนี้  เขาเองชมชอบที่หล่อนเป็นแบบนี้นัก

 

     ถ้าหากนิศาจะเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง  ที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย  ไม่ใช่หญิงสาวผู้มาดมั่นและมีชื่อเสียงอย่างนี้  บางทีอัฐอาจไม่ต้องคิดมากขนาดนี้  ในการที่จะรับนิศาเข้ามาในชีวิตได้โดยง่ายดาย

 

     เขาควรทำไงดี  ในเมื่อเขาหลงรักนิศาเข้าให้แล้ว.

 

 

********** ฝัน ๆ เพ้อ ๆ ของบทนี้  นี่แหละตัวฉัน 

 

 

 

\                                         

     
       
       

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา