The Cruise In The Lost Time

8.1

เขียนโดย scorpionman

วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 19.31 น.

  4 บท
  7 วิจารณ์
  7,307 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556 13.28 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) เส้นทางที่ 3 ฝัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ


           

         ค่ำคืนดึกสงัดยามที่นภาไร้แสงตะวัน มีเพียงแสงจันทร์และดวงดาวสาดส่อง เหล่าผู้คนต่างอยู่ใน

นิทราเพื่อที่จะตื่นมาต้อนรับเช้าวันใหม่อย่างสดชื่น

 

                          “ยกเว้นเหล่ากรรมกรจากทั่วทุกสารทิศในเขตอาณาจักรเพิร์ล”

ครั้นเมื่อระฆังดังกังวานยามเที่ยงคืน ได้ปลุกคนเหล่านี้ให้ลุกจากนิทราเพื่อเตรียมงานสำคัญต้อนรับวันที่ยิ่งใหญ่ของเมือง

 

                                   “วันสถาปนากษัตริย์แห่งอาณาจักรเพิร์ล”

       ที่จะถูกจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า พวกเขาเหล่ากรรมกรต่างต้องฝืนหนังตาที่แทบจะปิดสนิทให้

เบิกขึ้น ฝืนให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าต้องกลับมามีพละกำลังอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

          เส้นทางหลายร้อยกิโลเมตรที่เคยมืดสนิทบัดนี้กลับสว่างจ้าไปด้วยแสงไฟจากสายขบวนรถเทียม

เกวียนที่ลากส่งของไปยังพระราชวังแคสเซิลบลู ที่ประทับของพระราชาและเหล่า

ราชวงศ์ขุนนางทั้งหลาย



         ความปลื้มปีติยินดีของเล่าราชวงศ์ ขุนนางทั่วทุกสารแคว้นกลับมิใช่ความปลื้มใจของประชาชน

ษัตริย์บารินที่1แห่งตระกูลเนสเตอร์ ผู้ปกครองอาณาจักรคนเดิม มิใช่ราชาที่ผสกนิกรใต้ปกครองทั่วหล้า

ต้องการ ด้วยความหยิ่งยโส ใช้อำนาจในทางที่ผิด ตัดสินความอย่างลำเอียง ความร่ำรวยต้องมาก่อน

ความยากจน จนวันหนึ่งบทลงทัณฑ์จากสวรรค์ก็ได้มาถึง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ณ น่านน้ำ

ทอมบ์ ขณะที่กษัตริย์บารินที่1ได้เดินทางกลับจาก อาณาจักรดรากูเนส เรือบลูชาร์คที่พระองค์ประทับอยู่

เกิดระเบิดขึ้น ทำให้พระองค์เองได้รับบาดเจ็บรุนแรงเกือบถึงแก่ชีวิต 

 


         ข่าวนี้สร้างความดีใจให้ประชาชนในเขตปกครองของพระองค์ได้ไม่น้อย เมื่อพระองค์ไม่มี

รัชทายาท ตระกูลเนสเตอร์ต้องสูญสิ้น แต่แล้วประชาชนของอาณาจักรเพิร์ลก็ดีใจได้ไม่นาน เมื่อน้อง

ชายต่างมารดา ลอร์ดฟินซ์ พระหัตถ์ขวาส่วนพระองค์ ถูกสถาปนาให้ขึ้นครองราชย์แทน ซึ่งความชั่วร้าย

ในตัวเขานั้นมิได้ต่างอะไรกับพี่ชายต่างมารดาเลย หนำซ้ำมันยังมากกว่าหลายเท่า

 


           เส้นทางมรณะทางลัด ตัดผ่านสู่พระราชวังแคสเซิลบลู ที่ชื่อว่ารกร้างมาหลายสิบปี บัดนี้มันไม่

เงียบเหงาอีกต่อไป เมื่อรถเทียมเกวียนคันแล้วคันเล่าผ่านไป รอยล้อย่ำใบหญ้าให้จมดินสร้างเส้นทางใหม่ 

เพื่อย่นระยะเวลาเดินทางให้ไวขึ้น เหล่ากรรมกรต่างเสวนาระหว่างเดินทาง สร้างบรรยากาศเงียบสงัด

เยือกเย็นให้เป็นครึกครื้น อาร์เดนท์ ลองส์ เด็กหนุ่มวัย 21 ปีเขากำลังนอนละเมอดิ้นไปมาอยู่บนลังปลา

แห้ง ทำให้ผ้าคาดตาขวาหลุดออกเผยให้เห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่รอบดวงตา ท่าทางของเขาดูมีความ

สุขเหลือเกินในขณะที่เพื่อนร่วมทางของเขาต้องอดหลับเพื่อขับเกวียนแทน

 

       “อาร์เดนท์ !” ชายหนุ่มร่างใหญ่วัยใกล้ย่าง 30 ปี ตะโกนเรียกเขา จนสะดุ้งตื่น 

 

       “ถึงตาเจ้าแล้วนะที่ต้องเปลี่ยนเวรแทนข้า” ชายหนุ่มร่างใหญ่เพื่อนร่วมทาง โยนสายบังเหียนให้ อาเดนท์ที่กำลังมัวขี้ตา เขามองมันอย่างงงๆ ก่อนจะโยนมันคืน และล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

 

       “ข้าขับไม่เป็นหรอก แวนเทอร์” อาร์เดนท์ตอบ

 

       “ งั้นรึ”

 

        “อือฮึ”

 

        “เจ้าอยากให้ข้าบอกมาดามลองส์ไหม ว่าวันๆเจ้าไม่ทำอะไรนอกจากกิน นอน และก็แถไปเรื่อย

แถมไอ้ลังปลาแห้งที่เจ้านอนอยู่ ข้าก็เป็นคนขนแทนเจ้า” เขาพูดและเหวี่ยงสายบังเหียนใส่อาร์เดนท์

อย่างแรงด้วยความโมโห

 

      “โอ้ย!” เขารีบลุกขึ้น พลางขยี้ไรผมสีทองอย่างหงุดหงิดอารมณ์ ด้วยความเจ็บปวดทำให้เขาลืมตาตื่นได้อย่างเต็มที่

 

     “ได้ข้าจะขับเอง” อาร์เดนท์หยิบสายบังเหียนขึ้นด้วยความโมโหและลุกขึ้นสลับที่กับแวนเทอร์อย่างไม่พอใจ

 

 

        เมื่ออาร์เดนท์ได้ครองที่นั่งคนขับ เขาก็เริ่มบังคับสายบังเหียนไปมาอย่างไม่มีทิศทาง ทำให้ม้าคู่สีน้ำตาล

ร่างกำยำ วิ่งไปซ้ายทีขวาทีอย่างสะเปะสะปะ นั่นทำให้อาร์เดนท์ประหม่าจนกระตุกสายอย่างแรงทำเอา

เจ้าม้าคู่สีน้ำตาลที่น่าสงสารยกขาหน้าขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ ส่วนคนที่โดยสารมาด้วยก็นั่งก้นไม่ติดที่เช่นกัน

 

     “โอ้ย!” เจ้าทึ่มอาร์เดนท์ พอเลยๆ แวนเทอร์ร้องขึ้น หัวของเขาโขกเข้าอย่างจังกับลังปลาแห้งใน

ช่วงที่ม้าเบรกกระทันหัน เขาลุกขึ้นพลางลูบหัวเบาๆ ก่อนจะแย่งสายบังเหียนจากอาร์เดนท์มา

 

     “กลับไปนั่งข้างลังปลาแห้งที่เก่าของเจ้าเลย ไป! ข้าขับเอง ฮึ่ย!”

 

     “ก็ข้าบอกแล้วข้าขับไม่เป็น” อาร์เดนท์กลับเข้าไปในเกวียนอย่างเซ็งๆ

 

     “ในเมื่อเจ้าทำสิ่งนี้ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อถึงพระราชวัง ไอ้ลังปลาแห้งสุดที่รักของเจ้า

 

       เจ้าก็ขนเอาเองแล้วกัน” อาร์เดนท์ไม่ตอบกลับเขามองหน้าแวนเทอร์อย่างเบื่อๆก่อนจะล้มตัวนอนเหมือนเดิม


                                                                    ∞

 


        “เฮ้ อาร์เดนท์ เจ้าทึ่ม เจ้าตัวขี้เกียจตื่นได้แล้ว” แวนเทอร์ปลุกอาร์เดนท์ที่กำลังนอนหลับอย่างสบายอารมณ์

 

        “อืม...ถึงแล้วเหรอ ไวจัง” เขาหันมาตอบทั้งๆที่นัยน์ตาตายังคงปิดสนิท พลางหันหน้ากลับไปซุกข้างลังปลาแห้งอย่างเดิม

 

        “ยังหรอก” แวนเทอร์ตอบอย่างห้วนๆ “เราจะพักกันที่นี่ก่อน”

 

        “จะพักอะไรนักหนาข้าพักมาทั้งคืนแล้วนะ แวน...โอ้ย!” ยังไม่ทันจบประโยคอาร์เดนท์ก็ต้องร้อง

โอดโอยเพราะถูกแวนเทอร์ถีบเข้าให้ที่ก้นอย่างแรงด้วยความโมโหสุดขีด

 

       “พักจนพออย่างงั้นรึ นั่นมันเจ้าคนเดียว! ข้าอดตาหลับขับตานอนมาทั้งคืน ในขณะที่เจ้าหลับ

สบายเพียงคนเดียว ไอ้ตัวขี้เกียจเอ๊ย” เขาตะคอกใส่อาร์เดนท์ที่ยังคงนั่งทำหน้าแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว

 

      “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเฉยๆ ไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนั้นเลย” อาร์เดนท์พูด เขาค่อยๆลุกขึ้นและเดินลง

จากเกวียนอย่างช้าๆแวนเทอร์มองหน้าเขาสักพักอย่างเคืองๆก่อนจะเดินลงไปใต้ร่มไม้ใหญ่ เพื่อหาทำเลนอน

 

      “เอาล่ะ ข้าจะนอนพักตรงนี้” แวนเทอร์พูดขึ้น

 

      “แล้วข้าล่ะ”

 

       “ส่วนเจ้ากลับขึ้นไปเฝ้าเกวียนไว้ คงไม่ยากเกินความสามารถเจ้าใช่ไหม”

 

       “โถ่งายๆแค่นี้เอง”

 

       “ใช่ง่ายๆ...แต่ห้ามหลับ”

 

       “ใครจะไปหลับลง ข้าหลับมาทั้งคืนแล้ว ไม่ต้องห่วงน่า”

 

       “ หึ ให้มันจริงอย่างที่พูดเถอะ...”

 

 

        แสงอาทิตย์รำไรในยามเช้ากับสายลมอ่อนๆที่โชยพัดพาอากาศเย็นปะทะที่ผิวกายของอาร์เดนท์

นั่นทำให้เขาอยากที่จะหลับตาลงและฝันหวานอีกครั้ง นัยน์ตาตาคู่สีฟ้าของเขาเริ่มเหม่อลอย จับจ้องอยู่ที่

หลังคาเกวียนมาพักหนึ่ง จนบัดนี้เปลือกตาของเขาค่อยๆเลื่อนลงเรื่อยๆจนแทบปิดสนิท เขาพยายามตี

แขนตัวเองหลายครั้ง จนมันเริ่มเป็นรอยแดงๆ แต่แล้วคนที่ทั้งขี้เกียจและขี้เซาอย่างเขาก็ทนสิ่งเหล่านี้ไม่

ไหว และความง่วงก็ครอบครองเขาไปได้อย่างง่ายดาย

 

                                                                ∞

 

 

 

          เสียงย่ำฝีเท้าดังกังวาน ในห้องที่ไร้แสงสว่างและหนาวเย็นมีเพียงชายหนุ่มและคบเพลิงที่ใช้ส่อง 

แสงนำทาง เขาเดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ ที่ก่อขึ้นด้วยอิฐแดง ซึ่งตอนนี้มันทั้งผุพังเป็นบางส่วนและเขรอะ

ไปด้วยราดำๆ ความชื้นในนี้ทำให้มันเติบโตได้ดีจนขึ้นปกคลุมถึงส่วนที่น่าจะเป็นหลังคาด้วย

ความหนาวเหน็บจับต้องผิวกายของชายหนุ่มจนตัวสั่นเทา แต่เขาก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆตามเสียงเรียกที่ดังขึ้น


                                                   “ช่วยข้าด้วย ได้โปรด”

                                                      “ทรมานเหลือเกิน”

 

        ชายหนุ่มผู้อยากรู้ซึ่งคำตอบเขาเดินต่อไปเรื่อยๆ จนสุดทาง ประตูเหล็กบานใหญ่สลักเป็นรูปโครง

กระดูกในชุดคลุมยมทูต มือซ้ายถือเคียวไว้มั่น มือขวาบีบคั้นร่างของมนุษย์ที่ตัวเล็กเพียงฝ่ามือให้ดิ้นอย่างทุรนทุราย



                                                “ความตายกำลังจะมาเยือน”

 

 คำสลักเล็กๆใต้บานประตู บ่งบอกถึงหนทางด้านหน้า แต่กระนั้นเขาก็ไม่สนใจ เพียงแค่ฝ่ามืออันเรียวบาง

ผลักบานประตู มันก็เปิดออกได้อย่างง่ายดาย มันมิได้ขัดกุญแจไว้ เหมือนเชื้อเชิญผู้มาเยือนอย่างเต็มที่

 

                                                 “ได้โปรดหนาวเหลือเกิน”

 

          เสียงอ้อนวอนนั้นดังชัดขึ้นและความหนาวเหน็บก็ทวีเพิ่มขึ้นเช่นกันเมื่อผ่านประตูเข้ามา ภายใน

คือคุกที่กว้างสุดลูกหูลูกตา กลิ่นอับกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพที่ชวนให้สะอิดสะเอียน ภาพของเหล่า

นักโทษที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ในเสื้อผ้าที่น้อยชิ้น กำลังโบกมือขวักไขว่ไปมาเพียงเพื่อขอความเมตตาจากผู้

มาเยือน ช่วยปลดปล่อยจากคุกอันหนาวเหน็บและโสมมแห่งนี้

 

 

          “มานี่สิ หนุ่มน้อย” เสียงหนึ่งดังขึ้นแทรก ชายชรากับชุดที่มอมแมมขาดวิ่น เรือนผมสีขาวยาว

ปะหลัง และหนวดเคราสีขาวยาวเฟิ้ม ทำให้เขาดูชราภาพมากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มยกคบเพลิงให้สูงขึ้นและ

เดินเข้าไปหาชายชรา แสงไฟส่องให้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน เขาส่งยิ้มจางๆให้ชายหนุ่ม พร้อม

แววตาที่ไร้ซึ่งความกลัวหรือทุกข์ทรมานเฉกเช่นนักโทษคนอื่น

 


         “เข้ามาใกล้ๆอีก” ชายชรากล่าว

 


        “จะให้ข้าปล่อยท่านหรือ ข้าไม่มีกุญแจหรอก”

   

    “ไม่หรอก...ยื่นมือมาสิ” เขาสั่งให้ชายหนุ่มผู้อยู่เบื้องหน้าทำตามที่เขาบอก ชายหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือออกไปตามคำขอ 

อัญมณีสีแดงทรงแปดเหลี่ยมส่องแสงในมือของเขา เขามองมันด้วยสีหน้าฉงนก่อนจะถามชายชรา

     

        “นี่อะไร”

       

        “มันคือสิ่งที่สำคัญมาก นำสิ่งนี้ไปมอบแก่ผู้หยั่งรู้แห่งวาลฮาลลา” ชายชราบอก

 

        “สิ่งที่ท่านต้องการคือนำของไปให้ใครบางคนมิใช่ การปลดปล่อยตัวเองออกจากที่โสมมและหนาวเหน็บแห่งนี้หรือ”

 

        “ฮ่า ฮ่า” ชายชราหัวเราะ “ข้าอายุมากแล้วมันไม่คุ้มกับการที่ต้องหลบหนีไปชั่วชีวิตหรอก การช่วยนำสิ่งของนั้นไปมอบให้แก่ผู้หยั่งรู้แห่งวาลฮาลลา ก็ถือว่าเจ้าได้ปลดปล่อยข้าแล้ว”

 

         “แล้วสิ่งนี้มันใช้ทำอะไรได้” ชายหนุ่มถามกลับ

 

         “ตอนนี้มันไม่ใช่กงการอะไรของเจ้าที่ควรจะรู้ เพียงแค่นำสิ่งนี้ไปให้ผู้หยั่งรู้แห่งวาลฮาลลาก็เพียงพอแล้ว”

 

          “งั้น...มันก็ไม่ใช่กงการของข้าเช่นกัน” ชายหนุ่มตอบกลับพร้อมกับยื่นอัญมณีส่งคืนไป 
ชายชราไม่รับอัญมณีนั้นคืน เขาเงยหน้ามองชายหนุ่มผู้อยู่เบื้องหน้าและส่งรอยยิ้มให้ อย่างมีเลศนัย

 

          “นำมันไปให้เขา แล้วเจ้าจะได้กลับบ้าน ฌอน ไมเนอร์”

 

                                   ##############################

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา