Vampiric Murderer ปริศนารักคดีแวมไพร์

8.5

เขียนโดย Zindy

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 00.16 น.

  8 ตอน
  13 วิจารณ์
  12.36K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2557 22.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ทักทาย (50%) -Rewrite

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                แวมไพร์...

                คำๆนี้คงเป็นคำที่ทุกๆคนรู้จักดี แต่เรากลับไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพวกเขามากนัก และก็น้อยคนที่จะลงมือลงแรงศึกษาเกี่ยวกับพวกเขา

                แวมไพร์ ตามคำบอกเล่าจากบันทึกยุคเก่าๆเล่ากันว่าเป็นมนุษย์ที่มีดวงตาสีแดงฉานตัดกับแสงจันทร์สว่างนวล ลักษณะอย่างหนึ่งของพวกเขาที่ดูเหมือนจะเป็นคำบอกเล่าปากต่อปากคือ แวมไพร์จะมีเรือนผมสีขาวประกายเงิน ตามที่ทุกคนรู้คือพวกเขาเคยมีชีวิตอยู่ในเกือบร้อยปีก่อน พวกเขาออกล่ามนุษย์เพื่อดูดกินเลือดอย่างเลือดเย็น นั่นเป็นหตุให้มนุษย์ต้องออกล่าแวมไพร์ในยุคนั้น

                ...และนั่นจึงเป็นสาเหตุให้พวกเขาหายตัวไปจากหน้าประวัติศาสตร์

                มีรายงานการพบเห็นแวมไพร์อยู่เรื่อยๆนับตั้งแต่บัดนั้น แต่ก็ไม่มีครั้งใดที่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ เรื่องราวของเหล่าแวมไพร์จึงค่อยๆถูกลืมเลือนไปตามยุคสมัยที่พ้นผ่าน และจางหายไปจนกลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกเติมแต่งด้วยเรื่องเล่ามากมายจนไม่รู้ว่าอันไหนจริงหรือเท็จ

                พวกเราไม่เคยรู้จักพวกเขาเลย.... ไม่แม้กระทั่งในอดีตที่พวกเขายังเคยอยู่ในสถานที่ซึ่งเรายังมองเห็น และจะไม่มีวันรู้จักอีกในอนาคตอันใกล้นี้

 

                “เดี๋ยวก่อน ได้ข่าวนี้มาจากไหนน่ะ” ซารีน่าก่อนข้างจะแปลกใจเล็กน้อยกับข่าวลือที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตนี้

                “เฟรสที่อยู่ห้องสองน่ะ เขาบอกว่าเขาไปเห็นเด็กใหม่ เด็กใหม่คนนั้นมีตาสีแดง”

                ดวงตาสีแดงเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของแวมไพร์ที่ทุกคนรู้ดี ดังนั้นเมื่อมีบอกแค่ว่า ‘คนนั้นมีตาสีแดงล่ะ’ ก็คงไม่มีความหายอื่นนอกจากว่าเขาคนนั้นคือแวมไพร์  และข่าวลือที่ดูไร้สาระแต่น่าสนใจนี้ ไม่แปลกเลยที่มันจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว

                เจ้าของตำแหน่งประธานนักเรียนซ้อนกันหลายสมัยรีบดึงแขนเสื้อของรองประธานเข้าไปในห้องเรียนที่เริ่มจะมีคนกลับมที่ห้องเรียนบ้างแล้ว แต่ก็ยังมากันไม่มากนัก ฮาลวิลลิสเองก็ยังไม่มาด้วยเช่นกัน

                “เฟรสเป็นคนพูดจริงๆน่ะหรอ”

                ลอลินเดินตามพวกเธอเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ ขณะที่ซารีน่าก็ยังคาดคั้นฮาเวิร์ดต่อไป ด้วยความที่เป็นประธานนักเรียนมานาน ทำให้เธอรู้จักเพื่อนในรุ่นครบทุกคน จะมีแค่สนิทหรือไม่สนิทเท่านั้นเอง

                “ก็เขาว่ากันมาอย่างนี้”

                ในตอนนั้นเอง เสียงนุ่มน่าฟังของลอลินก็แทรกขึ้นมา “แล้วซารี่คิดว่ายังไงกับข่าวนี้หรอ”

                สำหรับคำถามนั้นแล้ว เธอคิดว่าลอลินต้องรู้คำตอบอยู่แล้วอย่างแน่นอน เพียงแต่แค่อยากจะถามดูเพื่อให้เธอจะได้พูดสิ่งที่เธออยากพูดออกมาตัวอย่างเช่น

                “...เป็นข่าวลือที่งี่เง่ามาก” หรือไม่ก็ “ใครมันจะไปเชื่อ”

                ซารีน่าขมวดไม่พอใจชัดเจน เธอมักเป็นคนแสดงออกตรงๆเช่นนี้เสมอ ความรู้สึกของเธอถ้าไม่เห็นว่าจำเป็นเธอก็ไม่อยากเก็บมันไว้ด้วยการพูดอ้อมค้อม  และยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เธอสนิทด้วยแล้ว

                 ได้ยินดังนั้น ฮาเวิร์ดต้องรีบพูดแก้ออกมา “ที่จริงฉันว่าทุกคนก็รู้นั่นแหละว่าแวมไพร์คงไม่ออกมาอยู่กลางดงมนุษย์แบบนี้ แต่ปกติเฟรสไม่ใช่คนพูดโกหกใช่ไหมล่ะ”

                  “ฉันรู้ แต่บางทีมันอาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดก็ได้ใช่ไหมล่ะ” ซารีน่ารู้จักเฟรส แม้จะไม่ได้สนิทกันมากนักแต่เธอก็พอจะรู้ว่าเขาเชื่อใจได้ อีกอย่างเฟรสก็ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ร้ายเด็กที่ย้ายเข้ามาใหม่วันแรกเลย หากจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็คงไม่แปลก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สมครนำมันมาพูดเช่นนี้

                  “มันอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด ...หรืออาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้นะ” อีกครั้งที่ลอลินได้ทำให้คนอื่นๆต้องหยุดฟัง น้ำเสียงของเธอไม่ได้ต่างไปจากครั้งที่แล้วเลย เธอยังคงใจเย็นเช่นเดิม หากแต่กลับเป็นซารีน่าที่ชะงักไป

                  “เธอเชื่องั้นหรอ”

                  หญิงสาวเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลส่ายหน้าช้าๆ “เปล่า ฉันไม่ได้เชื่อหรอก แต่มันก็อาจจะเป็นเรื่องไม่จริงพอๆกับที่มันอาจจะเป็นเรื่องจริงนั่นแหละ ถ้าเธอตัดสินใจว่ามันคือเรื่องเท็จแน่นอนเธอก็ไม่ต่างกับคนที่เชื่อข่าวนี้ทันทีหรอก”

                   คำพูดของเพื่อนสนิทเตือนให้ซารีน่าต้องใจเย็นลงและไตร่ตรองให้ดีก่อน เนื้อหาของข่าวเมื่อตอนเช้าแล่นเข้ามาในความคิด แวมไพร์ผู้โหดร้ายที่ปรากฎตัวเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีจะเป็นไปได้มากแค่ไหนที่จะเป็นนักเรียนใหม่ที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาในวันนี้ คนที่เพิ่งจะได้เห็นหน้าเพียงครั้งเดียวจะมีโอกาสเป็นไปได้มากแค่ไหนที่จะคือฆาตกรผู้ลึกลับในข่าวนั่น

                โอกาสนั้นจะมีน้อยหรือมาก...เธอยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำ

                เสียงเปิดประตูห้องเรียนดังขัดจังหวะการกระทำของทุกคนในห้อง ไม่เว้นแม้แต่ซารีน่าที่กำลังเถียงอยู่กับฮาเวิร์ด ผู้ที่เดินเข้ามาในห้องได้ถูกจ้องมองไม่เว้นด้วยสายตาทุกคู่เท่าที่จะนับได้

                นี่คงเป็นครั้งแรกที่ใครหลายๆคนได้เห็นคนๆนี้อย่างชัดเจนและใกล้ชิดเป็นครั้งแรก ผมสีดำที่กระเซิงเล็กๆไม่ต่างไปจากที่เห็นบนเวทีเท่าไรนัก ผิวที่ดูขาวซีดจนแทบแยกกับเสื้อนักเรียนไม่ออกบัดนี้กลับกลายเป็นผิวขาวผ่องที่ใครเห็นก็ต้องอิจฉา ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นไม่ได้จับจ้องไปที่ใครแม้เพียงคนเดียว ใบหน้าหล่อเหลานั้นไม่ได้หันไปมองผู้ใด หากแต่สายตาทุกคู่กลับยังคงจ้องมองอยู่ที่เขาไม่ละไปไหน จนกระทั่งชายหนุ่มหยุดฝีเท้าลงที่โต๊ะเรียนท้ายห้องติดประตู

                เมื่อเขาแน่ใจว่าไม่มีคนจับจองที่ตรงนี้อยู่ก่อนแล้วก็วางกระเป๋าแล้วนั่งลง หยิบหนังสือขึ้นมาแล้วเปิดอ่านอย่างไม่คิดจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น

                “คนนั้นน่ะหรอ แวมไพร์”

                ซารีน่าได้ยินเสียงใครบางคนในห้องพูดขึ้นมาเบาๆจากบรรยากาศห้องเรียนที่เงียบกริบ ไม่รู้ว่าฮาลวิลลิสจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าบรรยากาศห้องเรียนมันอึมครึมเพราะตัวเอง

                “ไม่เห็นจะดูเป็นแวมไพร์ตรงไหนเลย”

                ใครอีกคนพูดขึ้นมาเช่นนั้น

                “แล้วแวมไพร์ต้องเป็นยังไงล่ะ”

                “แต่เฟรสก็คงจะพูดเรื่องจริงนะ”

                “นั่นสิ เป็นแวมไพร์จริงๆหรือเปล่านะ”

                “บางทีอาจจะใช่จริงๆก็ได้”

                ท่ามกลางเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบที่ใครต่อใครต่างพูดกันอยู่นี้ ยากที่จะแยกออกได้ว่ามันคือสิ่งใดระหว่างความกลัวกับความสงสัย ...กลัวในเผ่าพันธุ์ที่ถูกนำมาเล่าเป็นปิศาจร้ายในนิทานก่อนนอนเมื่อสมัยวัยเยาว์ หรือว่า สงสัยในเผ่าพันธุ์ที่ครั้งหนึ่งเคยใกล้ชิดกับพวกเรามากที่สุดแต่บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานกันแน่

                หรืออาจจะทั้งสองอย่าง

                ท่ามกลางเสียงที่ดังแทรกซ้อนกันจนแยกไม่ออกว่ามาจากทิศทางใด หญิงสาวได้ตัดสินใจที่จะลองเดินไปหาชายหนุ่มคนนั้น หากถามว่าเธอกลัวหรือไม่... เธอก็อาจจะกลัว แต่หากถามว่าเธอสงสัยหรือไม่ คำตอบคือเธอสงสัยเป็นที่สุด เธออยากรู้จักเขาแม้ว่าเขาจะเป็นแวมไพร์จริงๆหรือไม่ก็ตาม จะมีใครมองตามข้างหลังของเธอที่เดินไปหาเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ อย่างน้อยเธอก็รู้เพียงแค่เธอกำลังจะเดินไปหาใคร

                “...ฮาลวิลลิส”

                ดวงตาสีดำที่เป็นเอกลักษณ์ค่อยๆช้อนมองผู้ที่เรียกเขาเป็นครั้งแรกของวันแล้วจึงขานรับสั้นๆ

“ครับ” เสียงของฮาลวิลลิสไม่ได้ทุ้มฮ้าวหรือแข็งกระด้างอย่างท่าทีภายนอก แต่กลับเป็นเสียงที่น่าฟังมากกว่าที่คิด

                ซารีน่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆทีหนึ่งก่อนจะแนะนำตัว “ฉันชื่อซารีน่า เป็นประธานนักเรียน...เอ่อ อีกเดี๋ยวก็ได้เป็น ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

                เธอยื่นมือไปเป็นการทักทาย ในใจก็กำลังคิดว่าเขาจะทักทายตอบกลับมาไหม หรือเธออาจจะทักทายเก้อเหมือนเป็นการเสนอหน้าทั้งที่ฮาลวิลลิสไม่ได้อยากรู้จักเธอซักนิดเดียวก็ได้

                ก่อนที่ซารีน่าจะคิดไปไกลกว่านั้น ฮาลวิลวิสก็ได้เอื้อมมือมากระชับมือของเธอภายในเวลาไม่นาน

                “ผมชื่อฮาลวิลลิสครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” นอกจากน้ำเสียงที่ร่าเริงขึ้นแล้ว สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือรอยยิ้มอ่อนๆบนใบหน้าหล่อเหลาที่แสดงออกมา ซารีน่าเผลอมองรอยยิ้มของเขาไปชั่วครู่ เพราะเธอไม่คิดว่าเขาจะยิ้มออกมาในเวลานี้ ทั้งที่เขาไม่เคยแสดงสีหน้าอะไรออกมาไม่ว่าจะตอนที่อยู่บนเวลาทีหรือตอนที่เดินเข้าห้องเรียนมา

มือที่กระชับมือของเธออยู่มีความอบอุ่นไม่ต่างจากคนปกติ และใบหน้าที่มีรอยยิ้มเล็กๆที่ดูอ่อนโยนนั่น...

                ....คนๆนี้น่ะหรอแวมไพร์

                เขาช่างดูแตกต่างกับแวมไพร์ที่ถูกเล่าต่อกันมากอดีตเหลือเกิน

                ฮาลวิลลิสจะเป็นแวมไพร์จริงๆหรือเปล่านะ

                “ฉันชื่อลอลินนะ เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเธอ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

                ลอลินที่เดินตามหลังมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้กล่าวแนะนำตัวเองบ้าง ฮาลวิลลิสเหลือไปหาผู้เข้ามาใหม่ ก่อนจะปล่อยจากมือของซารีน่า

                “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”

                ซารีน่าอยากจะขอบคุณลอลินอยู่ที่บ้างทำให้เธอไม่แปลกแยกจนเกินไปจากการเดินเข้ามาทักทายฮาลวิลลิสเพียงคนเดียว เธอลองหันกลับไปมองคนอื่นๆ ยังคงเห็นหลายคนกระซิบกระซาบกันอยู่ พวกเขายังไม่ละสายตาไปไหน พวกเขาคงไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเธอ...

                “นี่ๆ ย้ายมาจากที่ไหนหรอ” ยังพอมีเวลาอยู่บ้างซารีน่าเลยได้นั่งคุยับฮาลวิลลิส มีเพื่อนอีกหลายคนเดินเข้ามาร่วมวงด้วย ขณะที่อีกหลายคนก็ยังไม่เปลี่ยนท่าที

                “ผมย้ายมาจากเมืองทางตะวันตกน่ะครับ ห่างจากที่นี่ไปพอสมควร”

                “แล้วทำไมถึงย้ายมาหรอ” คราวนี้ไม่ใช่แค่ซารีน่าที่ถามฮาลวิลลิสแล้ว

                “ผมย้ายมาเพราะพ่อต้องมาทำงานแถวๆนี้น่ะครับ”

                “หรอๆ แล้วย้ายมาแถวไหนล่ะ”

                “ผมย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านที่ติดกับเนินเขาน่ะครับ ไม่ไกลจากโรงเรียนนี้เท่าไร”

                ‘เอ๊ะ...’ ซารีน่าฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา ที่เมืองแห่งนี้มีหมู่บ้านติดเนินเขาอยู่สองสามแห่ง ซึ่งหมู่บ้านของเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอคิดไปถึงผู้ชายผมยาวอีกคนที่เธอเดินชนเมื่อตอนเช้า ความจริงทั้งสองไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย ฮาลวิลลิสอาจจะย้ายเข้าหมู่บ้านอื่น ขณะที่ชายคนนั้นอาจจะมาหาคนในหมู่บ้านของเธอก็ได้ เธอรู้สึกแปลกๆ พยายามนึกอยู่นานกว่าจะนึกออก

                บ้านหลังที่มีผู้ชายมาตามหาเมื่อตอนเช้ามันเปิดเช่าอยู่!

                เธอไม่ได้ผ่านไปบางบ้านหลังนั้นสองอาทิตย์ได้แล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้มันจะยังเปิดเช่าอยู่ไหม

                “ฮาลวิลลิส เมื่อเช้ามีคนไปหาเธอที่บ้านรึเปล่า” แทนที่เธอจะถามว่าฮาลวิลลิสย้ายเข้าไปที่หมู่บ้านของเธอรึเปล่า เธอกลับถามคำถามนี้แทน เพราะถ้าเขาตอบว่าใช่ก็หมายความว่าเขาอยู่หมู่บ้านของเธอ และหากเขาตอบว่าไม่ช็แปลว่าเขาไม่ได้อยู่ และยิ่งจะได้รู้ด้วยว่าผู้ชายที่หน้าตาหล่ออย่างกับดาราแต่ดูแปลกคนนั้นเป็นคนรู้จักของฮาลวิลลิสหรือเปล่า

                คนโดนถามกระพริบตาปริบๆสองสามทีอย่างไม่เข้าใจว่าคำถามนี้มาได้อย่างไร ก่อนจะตอบอย่างงๆ “ไม่ทราบครับ ผมยังไม่ได้ย้ายเข้าบ้านเลย รถส่งของจะมาตอนเย็นนี้”

                “ซารี่ ถามทำไมหรอ” ลอลินถามเธอกลับ

                 ซารีน่าทำหน้ามุ่ยก่อนจะตอบเพื่อนสนิทออกไป “ก็เมื่อตอนเช้าฉันเจอผู้ชายคนนึงมาถามทางไปบ้านเช่า ไม่รู้ว่าจะเป็นคนรู้จักของฮาลวิลลิสหรือเปล่า”

                 “อ้าว ไปเจอกันได้ยังไงล่ะ”

                 “เผลอเดินชนที่หน้าบ้านน่ะ เขากำลังหลงทางเพราะดูแผนที่ไม่ออก เลยขอให้ชั้นดูให้”

                 “ดูแผนที่ไม่ออกเนี่ยนะ อายุเท่าไรน่ะ” ประโยคนี้ลอลินไม่ได้พูดออกมา แต่เป็นผู้ชายอีกคนที่ร่วมวงสนทนาด้วยอยู่อีกคน

                 “ไม่ใช่ เพราะแผนที่ต่างหาก มันวาดได้ชุ่ยมากจนดูแทบไม่รู้เรื่อง ที่ต้องถามว่าอายุเท่าไรน่ะคนวาดแผนที่ต่างหากไม่ใช่คนดู ไม่รู้ว่าวาดไปให้คนอื่นได้ยังไง ตั้งใจจะให้คนอื่นหลงชัวร์เลย” ซารีน่ากะเผาคนวาดแผนที่ที่ทำให้เธอเกือบมาโรงเรียนสายเต็มที่ แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่านั่นเป็นการโบ้ยความผิดให้คนวาดแผนที่

                 ...ไม่รู้คนวาดแผนที่จะแอบคิ้วกระตุกอยู่ที่ไหนหรือเปล่าน้า

                 ซารีน่ายังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ฮาลวิลลิสก็ถามแทรกขึ้นมาซะก่อน

                 “ผู้ชายคนนั้นลักษณะเป็นยังไงหรอครับ”

                 “เอ่อ...ก็ผมดำตาดำเหมือนนายนี่แหละ แล้วก็ตัวสูง หน้าตาดี แต่ไว้ผมยาวถึงกลางหลัง แถมยังไว้ผมข้างนึงปิดตาด้วย อ้อใช่ๆ ใส่สูทเนี้ยบเลยด้วย”

                 “โห เธอไปเจอใครมาเนี่ย” ผู้ชายคนเดิมกับที่แขวะเรื่องการดูแผนที่แสดงอาการตื่นตาตื่นใจออกมา

                  “ก็ว่างั้นแหละ แต่เขาหล่อนะ... แล้วเป็นคนรู้จักของนายรึเปล่าล่ะฮาลวิลลิส” ซารีน่าวกกลับไปที่ฮาลวิลลิส

                  เขาส่ายหน้าแทบจะทันที “คล้ายๆกับคนที่ผมรู้จักอยู่คนหนึ่ง แต่ไม่น่าจะใช่หรอกครับ...เขาไม่ได้แปลกขนาดนั้น”

_________________________________________________________

หายหน้าหายตาไปนานเลยค่ะ ต้องขอโทษทุกคนด้วย และขอบคุณสำหรับแต่ละคอมเม้นในช่วงที่เราไม่ได้อัพเดทมากค่ะ เรารีไรท์ครั้งนี้เราอยากให้บทสนทนาลื่นไหลมากขึ้น และบทบรรยายสวยขึ้นค่ะ หวังว่าจะชอบกันะคะ 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา