ซวยฉิบหาย! ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก

10.0

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.59 น.

  15 ตอน
  5 วิจารณ์
  36.34K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 22.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) Chapter 01 : ไอ้เด็กแสบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

02/01/13
edit : 13/01/13

Chapter01 : ไอ้เด็กแสบ


"ผมลุกซ์และผมก็รุก"

 

 

                ผม...รักผู้ชายคนหนึ่ง  ผมตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น  เขาเป็นคนโหด ดุ แต่ใจดี  อ่อนโยน  สนุกสนานและเป็นที่รักของใครหลายๆ คนจนผมคิดว่าตัวเองน่าจะสนิทกับเขาได้

                แต่ผมคิดผิด...เพราะเขาไม่ได้อ่อนโยนและใจดีกับผมเลย

 

                ช่วงปิดเทอม ม.5 จะขึ้น ม.6 ผมถูกแม่บังคับให้ไปเรียนพิเศษกับลูกคนรู้จักที่เปิดสถาบันติวเด็กเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งผมก็ดื้อแพ่งไม่ยอมไปเพราะอยากใช้ชีวิตช่วงปิดเทอมให้สนุกสุดเหวี่ยงตามประสาวัยรุ่น  ก็ไอ้สถาบันติวที่ว่าเนี่ยมันเป็นเหมือนค่ายที่เราจะต้องถูกกักบริเวณติวจนกว่าจะจบคอร์ส  แล้วไอ้คอร์สติวนี่ก็ยาวนานถึงเดือนครึ่ง  ผมไม่มีทางที่จะไปอยู่ติวแบบนั้นทั้งวันทั้งคืนหรอกครับ

                “แม่ฝากด้วยนะลูก  เจ้าเปอร์มันดื้อมากจนแม่แทบเอาไม่อยู่” แม่พูดขณะที่ลากผมออกจากบ้านพร้อมกับโยนกระเป๋าเสื้อผ้าและสัมภาระที่ตัวเองจัดมาให้  ผมบอกแล้วว่าผมไม่ไปแต่แม่ก็ยังบังคับให้ผมไปถึงขั้นต้องโทรเรียกลูกชายของเพื่อนที่เป็นเจ้าของสถาบันมาเลยทีเดียว

                “เดี๋ยวผมจัดการให้ครับ” ไอ้พี่ถังล็อคคอผมเอาไว้ก่อนจะส่งยิ้มให้แม่ผมอย่างอ่อนโยน  รอยยิ้มตอแหลซะไม่มี  ที่จริงตัวเองอยากจะจับผมตีก้นทำโทษที่ดื้อล่ะสิ เฮอะ!

                ไอ้พี่รถถังที่เปิดสถาบันติวรู้จักกับผมดีเลยล่ะครับเพราะตอนเด็กๆ เคยเล่นด้วยกันอยู่บ่อยๆ  พี่แกน่ะอายุมากกว่าผมตั้ง 7 ปีซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้คงจะเรียนจบแล้ว  ตอนเด็กๆ ไอ้พี่ถังชอบแกล้งผมมากเลยล่ะครับ  แกล้งให้ผมร้องไห้ตั้งหลายครั้งพอผมจะฟ้องแม่แกก็ขู่จะตีก้น  จนถึงตอนนี้ผมก็ยังดื้อใส่แกเพราะไม่ชอบขี้หน้า

                ตุบ!

                ไอ้พี่ถังจับผมโยนเข้าไปในรถหรูหราราคาแพงก่อนจะปิดประตูส่วนตัวเองก็รีบเดินอ้อมมานั่งฝั่งคนขับทันที  ผมนั่งหน้างอกอดกระเป๋าอย่างหงุดหงิด

                “มึงเลิกดื้อกับแม่มึงได้แล้วมั้งเปอร์  แม่มึงเหนื่อยเพราะมึงมามากพอแล้วนะ” ไอ้พี่ถังบ่นก่อนจะออกรถ

                “ยุ่งอะไรด้วยเล่า” ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะตัวเองกำลังซบหน้าลงกับกระเป๋า

                หยุดคราวนี้ผมกะจะไปมันกับสาวๆ ซักหน่อยแต่ดันถูกจับยัดเข้าสถาบันติวแบบนี้ผมรับไม่ได้จริงๆ  อุตส่าห์นัดกันกับเพื่อนแล้วเชียวว่าจะไปเหล่สาวที่บาร์เปิดใหม่แต่สุดท้ายก็แป้ว  ถ้าเพื่อนมันรู้ว่าผมต้องมาตกระกำลำบากสิ้นลายเสือแบบนี้พวกมันต้องหัวเราะเยาะผมแน่

                “แล้วนี่อะไร  ตัวก็ไม่ใช่เล็กๆ แต่ดันทำตัวงอนเป็นเด็กๆ คิดว่าน่ารักเหรอ?” ไอ้พี่ถังปล่อยมือจากพวงมาลัยข้างหนึ่งก่อนจะใช้มือนั้นผลักหัวผมเบาๆ

                “อย่ามายุ่ง!” ผมขมวดคิ้วก่อนจะตีมือไอ้พี่ถังแรงๆ จนพี่มันส่ายหน้าอย่างระอากับความดื้อด้านของผม

                “กูคงต้องดัดสันดานมึงหน่อยแล้วล่ะเปอร์” ไอ้พี่ถังถอนหายใจยาวก่อนจะเหยียบคันเร่งเพื่อมุ่งสู่สถาบันติวของมัน

 

                ผมมองบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไกลจากตัวเมืองออกมาทางบ้านนอกคอกนาก่อนจะตัดสินใจเดินตามไอ้พี่ถังเข้าไป  ดูเผินๆ บ้านหลังนี้ก็เหมือนบ้านคนปกติทั่วไปแต่พอเข้ามาข้างในทำเอาผมแทบช็อค  ห้องโถงกลางบ้านถูกจัดเป็นห้องรับแขกซึ่งมันกว้างมาก  บันไดทางขึ้นไปชั้นสองก็ดูหรูหราผิดกับภายนอกที่เห็น  เดินลึกเข้าไปบริเวณหลังบันไดก็เป็นห้องครัวโคตรใหญ่ข้างๆ กันก็เป็นห้องอาหารที่มีโต๊ะยาวจัดเรียงกันไว้สำหรับคนจำนวนสามสิบคน  ตรงข้ามกับห้องครัวก็เป็นห้องน้ำสามห้องโดยแยกที่อาบน้ำกับส้วมไว้โดยห้องกระจกฝ้า  แม่ง...หรูไปไหนวะ

                ผมเดินขึ้นไปสำรวจด้านบนชั้นสองก็พบห้องเรียงกันเป็นแถว  ดูเหมือนซีกหนึ่งจะเป็นห้องนอนและลึกเข้าไปจะเป็นห้องสำหรับติวส่วนอีกซีกเป็นห้องหนังสือ  ห้องนอนห้องหนึ่งเป็นเตียงขนาดคิงไซส์สองหลังตั้งอยู่โดยมีโต๊ะหนังสือ ตู้เสื้อผ้า ตู้เย็นและห้องน้ำไว้ในตัว

                ผมหันไปมองไอ้พี่ถังที่พาผมชมบ้านอย่างอึ้งๆ เพราะไม่คิดว่าพี่มันจะทำได้ถึงขนาดนี้  ก็รู้อยู่หรอกว่าบ้านรวยแต่ทำสถาบันติวให้เหมือนโรงแรมขนาดนี้มันไปเกินไปหน่อยเหรอ?  พอเห็นสายตาอึ้งๆ จากผมใบหน้าหล่อแต่กวนตีนก็ยกยิ้มให้เหมือนกำลังภูมิใจในตัวเอง  ผมเบะปากอย่างหมั่นไส้ทันที

 

                “ทำไมกูต้องมาอยู่ในที่แบบนี้วะ!?! แม่ง...กูอยากเที่ยว ได้ยินไหมว่ากูอยากเที่ยว!!” เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากข้างล่างผมกับไอ้พี่ถังจึงรีบวิ่งไปดู

                ผู้ชายคนที่คาดว่าเป็นคนโวยวายเหวี่ยงกระเป๋าเป้ของตัวเองลงบนโซฟาในห้องโถงก่อนจะกระแทกก้นลงนั่งตามอย่างหงุดหงิด  แวบแรกที่ผมเห็นหน้าของเขา...หัวใจผมก็บีบตัวเต้นแรงทันที  เขาเป็นคนที่...หล่อมาก!!

                ใบหน้ายาวรีรูปไข่ขาวผ่องใสไร้สิวกวนใจ  จมูกก็โด่งคมรับกับริมฝีปากหยักได้รูปสีชมพูอมส้ม  คิ้วหนาโก่งรับกับดวงตาคมเฉียบซึ่งคิ้วดกๆ ของเขาก็ขับให้หน้าดูขาวขึ้น  ผมสีดำเข้มยาวระต้นคอและซอยเปิดหูเผยให้เห็นต่างหูสีดำสองจุดที่อยู่บนหูข้างเดียวกัน  รูปร่างสูงบึกบึนดูดีเหมาะกับชุดที่ใส่  ผมว่า...เขาใส่อะไรก็เข้าไปหมดนั่นแหละ  หุ่นดีฉิบหาย

                “มึงเป็นอะไรวะลุกซ์  อารมณ์เสียมาเชียว” ไอ้พี่ถังเดินกอดอกไปหาเทพบุตรสุดหล่อที่ผมเพิ่งบรรยายไปเมื่อกี้  ชื่อลุกซ์เหรอ? ชื่อหล่อเหมือนหน้าเลยว่ะ

                “มันทะเลาะกับน้องมาก็เลยพาลน่ะพี่  อย่าใส่ใจเลย” ผู้ชายอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนสนิทของพี่ลุกซ์บอกปัดๆ

                “ทำตัวดีๆ หน่อยนะมึงอีกเดี๋ยวนักเรียนก็จะมากันแล้ว” ไอ้พี่ถังกล่าวเตือนพี่ลุกซ์ที่ทำหน้าหงิกเป็นตูดลิง “เอ้อ นี่นักเรียนอีกคนของพวกมึง  ลูกเพื่อนแม่กูเอง” ไอ้พี่ถังพูดอย่างนึกขึ้นได้ก่อนจะกวักมือเรียกผมให้ไปหาพวกพี่ผู้ชายเจ็ดคนที่หน้าตาดีจนผมที่ว่าดูดีแล้วยังดับ  แถมแต่ละคนยังสูงชะลูดตูดปอด  ความมั่นใจในหน้าตาและหุ่นของผมลดฮวบเมื่อเข้าไปยืนในกลุ่มนี้

                สายตาทุกคนจับจ้องมาที่ผมทันทีที่ไอ้พี่ถังแนะนำ  ตอนแรกผมก็กังวลและตื่นเต้นเพราะไม่รู้จะมองไอ้พี่ลุกซ์ด้วยสายตาแบบไหนแต่แล้วความกังวลเหล่านั้นก็หายไปเมื่อไอ้พี่ลุกซ์ไม่ได้ชายตามองผมแม้แต่นิด  อ้าวเวร!

                “มันชื่อคูเปอร์เป็นเด็กแสบ ดื้อ และเฮี้ยวมากเป็นไปได้อยากให้ช่วยดัดสันดานมันด้วย” นี่พี่! มึงจะแนะนำกูดีๆ ไม่ได้หรือไง

                ผมจ้องจิกไอ้พี่ถังนิดหน่อยก่อนจะหันไปไหว้พวกพี่ๆ “หวัดดีครับ” ผมเอ่ยเสียงยานคาง

                “เรื่องดัดสันดานน่าจะให้เป็นหน้าที่ไอ้ลุกซ์ประธานปกครองปี 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์สุดโหดที่แม้แต่พี่ปกครองคนอื่นๆ ยังเกรงใจดีกว่านะครับ” พี่คนหนึ่งที่หน้าตากวนตีนไม่แพ้ไอ้พี่ถังพูดขึ้นก่อนจะหัวเราะล้อเลียนพี่ลุกซ์ที่กำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด

                “กูว่าอย่าเลย  ขนาดน้องชายตัวเองมันยังกำราบไม่ได้เลย ฮ่าๆๆ” พี่อีกคนพูด

                “เฮ้ยๆ อย่าล้อพี่ลุกซ์ของเราสิครับ  นอกจากพี่ลุกซ์จะโหดแล้วพี่ลุกซ์ยังเป็นเทควันโดสายดำสามดั้งด้วยนะเว้ย ฮ่าๆๆ” เสียงล้อเลียนยังดังไม่หยุดแต่พี่ลุกซ์ก็ไม่ได้โมโหที่ถูกล้อเลียนเพราะแกยังเอาแต่นั่งทำหน้าบูดเป็นตูดหมาอยู่ได้

                “หน้าบูดแบบนี้เงี่ยนเหรอมึง?” ไอ้พี่ถังถาม  ผมตาโตทันที

                “โอ๊ยพี่! คนอย่างป๋าลุกซ์ไม่มีทางเงี่ยนหรอกครับแค่โทรกริ๊งเดียวสาวในคลังก็บึ่งมาหามันถึงที่แล้ว  ที่มันหน้าบูดแบบนี้เพราะน้องมันไม่ยอมพูดด้วยน่ะสิครับ  สมน้ำหน้ามัน ชอบแกล้งน้องดีนัก ถูกเกลียดเลยเห็นไหม” เพื่อนพี่ลุกซ์พูด  เท่าที่ผมสังเกต...เพื่อนสนิทไอ้พี่ลุกซ์มีแค่สามคนส่วนอีกสามคนคงจะเป็นแค่คนรู้จักเพราะสามคนที่เหลือไม่ล้อหรือพูดอะไรเกี่ยวกับพี่ลุกซ์เลย

                “ไอ้ลันน่ะเหรอ?” พี่ถังถาม

                “อือ” ไอ้พี่ลุกซ์พยักหน้าส่งๆ

                “เฮ้อ มึงรักน้องมากกูรู้แต่การแสดงความรักของมึงที่มีต่อไอ้ลันมันไม่ถูกต้อง  เอะอะแกล้งมันแบบนั้นถ้ากูเป็นไอ้ลันกูก็เกลียดมึงว่ะ” ไอ้พี่ถังเดินไปนั่งบนที่พักแขนของโซฟาตัวที่พี่ลุกซ์นั่งอยู่ก่อนจะกอดคอพี่ลุกซ์เอาไว้  เฮ้ยๆๆ เอามือสกปรกของแกออกจากพี่ลุกซ์ของกูเลยนะเว้ยไอ้พี่ถัง!!

                “ผมก็แค่อยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนที่ผมรัก...” ไอ้พี่ลุกซ์พูดด้วยหน้าตาเศร้าๆ  สายตาของพี่ลุกซ์ยามพูดถึงน้องมันแสดงถึงความรักและความห่วงใยจนผมรู้สึกแปลกๆ

 

 

                หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่ได้พูดอะไรมากมายเพราะรถตู้ที่ไปรับนักเรียนมาจอดเทียบท่าพร้อมกับสต๊าฟที่จะมาช่วยดูแลนักเรียนอีกแรงหนึ่ง  พวกนักเรียนประมาณสามสิบกว่าคนถูกเรียกไปนั่งที่ห้องโถงเพื่อที่จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการเรียนต่างๆ ให้ฟังซึ่งผมไม่ได้สนใจเพราะเอาแต่คิดถึงผับเปิดใหม่ที่อยากไปกับเพื่อน

                “ต่อไปจะเป็นการแนะนำครูที่จะมาสอนน้องๆ นะคะ  เชิญพี่ๆ แนะนำตัวได้เลยค่ะ” พี่สต๊าฟผู้หญิงพูดก่อนจะส่งให้ติวเตอร์ที่จะมาช่วยสอนพวกผมตลอดจนจบคอร์สแนะนำตัว 

                ไอ้พวกที่แนะนำตัวกันไปเรื่อยๆ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจฟังหรอกครับแต่พอได้ยินเสียงไอ้พี่ลุกซ์ผมถึงกับสะดุ้งเลยทีเดียว

                “พี่ชื่อลุกซ์ครับ เรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์สาขาเครื่องกลปีหนึ่ง” ไอ้พี่ลุกซ์พูดด้วยรอยยิ้มทำเอาผมตาพร่า  พี่แกขจัดความขุ่นข้องในใจก่อนจะปรับสีหน้าให้ดีขึ้นเมื่อนักเรียนมาถึง

                “พี่ลุกซ์คนนี้นะคะสอบติดแพทย์หลายที่แต่ชอบวิศวะก็เลยไม่เรียนแพทย์  เก่งไหมคะ?” พี่ผู้หญิงคนเดิมพูด  ไอ้พี่ลุกซ์โค้งตัวนิดๆ พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากเพื่อเป็นการตอบรับคำพูดของพี่ผู้หญิง  ผมมองพี่แกตาวาว  ดูท่าทางเป็นหนุ่มเจ้าสำราญแต่ที่จริงก็เรียนเก่งฉิบหายต่างจากผมที่เอาแต่เที่ยวสำมะเลเทเมาจนการเรียนตกต่ำดักดาน

                “เก่งครับ/ค่ะ” พวกนักเรียนรุ่นราวคราวเดียวกันพร้อมใจกันตอบเสียงดังซึ่งหนึ่งในเสียงนั้นก็มีเสียงของผมอยู่ด้วย  ผมเอาแต่มองหน้าพี่ลุกซ์จนไม่สนใจว่าใครจะพูดอะไรต่อจนกระทั่งถึงเวลาแยกย้ายกันเข้าไปที่ห้องพักของตน

 

                “ไอ้พี่ถัง! ผมไม่นอนร่วมห้องกับคนที่ไม่รู้จักหรอกนะ  เปลี่ยนห้องให้ผมเลย” ผมลากไอ้พี่ถังออกไปคุยเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องอยู่ร่วมห้องกับคนที่ไม่รู้จักตั้งสามคนเพราะห้องห้องหนึ่งนอนกันได้สี่คน

                “อย่างอแงได้ไหมเล่า คนอื่นๆ เขายังอยู่ได้ทำไมมึงจะอยู่ไม่ได้” ไอ้พี่ถังมองผมดุๆ

                “ผมไม่ได้งอแงนะ!!” ผมโวย  พูดว่างอแงเหมือนกับผมเป็นเด็กๆ ไปได้  บอกไว้ก่อนว่าไอ้เปอร์คนนี้ไม่ได้เป็นเด็กเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะเว้ย  เรื่องบนเตียงไอ้เปอร์คนนี้เชี่ยวนักแล ฮึๆๆ

                “เฮ้อ มึงนี่มันปัญหาเยอะจริงๆ เลย  งั้นมาอยู่กับกูก็ได้แต่กูกับพวกติวเตอร์จะพักที่เรือนอีกหลังหนึ่ง  ส่วนสต๊าฟคนอื่นๆ จะพักอยู่ที่นี่” ไอ้พี่ถังพูด  ถึงพี่มันจะชอบบ่นว่าผมเป็นเด็กดื้อเด็กเวรเด็กเปรตหรืออะไรก็ตามแต่สุดท้ายเวลาผมอ้อนขออะไรพี่มันก็ให้ผมหมดทุกอย่าง  ผมเป็นลูกคนเดียวไอ้พี่ถังก็ลูกคนเดียว  เราสนิทกันเพราะพ่อแม่ของพวกเราต้องคุยงานกันบ่อยๆ และปล่อยเราไว้ด้วยกันตั้งแต่เด็ก  ถึงจะชอบแกล้งจนผมเหม็นขี้หน้าแต่ไอ้พี่ถังก็ทำหน้าที่เป็นพี่ชายของผมได้อย่างดี  ส่วนผมก็ทำหน้าที่เป็นน้องที่นำปัญหามาให้พี่ปวดหัวเสมอๆ

                “ดีมาก” ผมยิ้มก่อนจะยักคิ้วกวนตีนจนไอ้พี่ถังต้องประเคนตีนให้ผมโดยการยันก้นจนผมเซล้ม

                “เตี้ยเอ๊ย!” ไอ้พี่ถังว่าก่อนจะเดินนำผมและพวกติวเตอร์ไปที่เรือนเล็กหลังบ้านใหญ่

                “เตี้ยที่ไหนผมสูงตั้ง 175 นะ!!” ผมโวยวายก่อนจะวิ่งไปกระโดดขี่หลังไอ้พี่ถังไม่ยอมปล่อย

                “ตัวแม่งหนักว่ะ  มึงคิดว่ามึงเป็นเด็กหรือไงไอ้เปอร์  หนักโว้ย!!” ไอ้พี่ถังโวยวายแต่ก็ยอมแบกผมไปเรื่อยๆท่ามกลางเสียงหัวเราะของพวกติวเตอร์ที่เดินตามมา


 

                เพราะผมอยากใกล้ชิดพี่ลุกซ์ให้มากขึ้นผมจึงทำตัวให้ไม่น่ารักเพื่อที่พี่เขาจะหันมาสนใจ  ในคาบเรียนของพี่ลุกซ์ผมก็เอาแต่แกล้งนอนไม่ยอมทำตามที่พี่แกสอนจนพี่แกต้องเข้ามาดุแล้วดุอีกแต่ผมก็ยังดื้อแพ่ง  ส่วนในคาบของคนอื่นๆ ผมก็ไม่ค่อยตั้งใจเรียนหรอกแต่ถ้าให้เทียบกันผมยังตั้งใจเรียนในคาบของคนอื่นๆ มากกว่าคาบของพี่ลุกซ์

                “ไอ้เปอร์! ทำไมมึงโง่ดักดานแบบนี้วะ  โง่แล้วแม่งไม่เจียม  ทำไมไม่ตั้งใจเรียนหน่อยฮะ!?!” ไอ้พี่ถังดึงหูผมทันทีที่ได้ยินพวกติวเตอร์ฟ้องแล้วฟ้องอีก

                “โอ๊ยยยย อย่าดึงได้ไหมเล่าไอ้พี่ถัง!! ก็บอกแล้วว่าไม่อยากมายังจะบังคับให้มาอีก!!” ผมโวยวาย  ตอนนี้ผมถูกเรียกมาอบรมที่เรือนเล็กในขณะที่คนอื่นๆ กำลังทำกิจกรรมตอนดึกอย่างสนุกสนานกับสต๊าฟที่เรือนใหญ่

                “ถ้าไม่มาเรียนมึงจะไปทำอะไร? แดกเหล้าเคล้าสาวเมาอ้วกแตกแล้วโทรให้กูไปลากคอมึงกลับบ้านหรือไงวะ!?!” ไอ้พี่ถังตะคอกแต่ผมก็ไม่ได้หวั่นเพราะพี่มันก็ว่าผมแบบนี้ประจำ  เวลาผมเมาจนขับรถกลับไม่ไหวผมก็มักจะโทรขอความช่วยเหลือไอ้พี่ถังตลอด  และก็ตามสเต็ป...พี่มันบ่นแต่สุดท้ายก็มาหาผมอยู่ดี

                “ก็รู้อยู่แล้วจะถามทำซากอะไรเล่า?” ผมโวยกลับ

                “โธ่เอ๊ย!! นี่ไอ้ลุกซ์  ไอ้ลันน้องมึงดื้อจนน่าถีบเหมือนน้องกูไหม?  มึงดูสิว่ามันแสบแค่ไหน  น้องแท้ๆ รึก็ไม่ใช่แต่ชอบสร้างเรื่องให้กูตลอดศก” ไอ้พี่ถังขยี้หัวตัวเองก่อนจะหันไปถามไอ้พี่ลุกซ์ที่นั่งไขว้ขามองพวกเราทะเลาะกันเงียบๆ  คือ...ผมกับไอ้พี่ถังกำลังทะเลาะกันให้ติวเตอร์ดูครับ

                “อ๋อ! ถ้ากูเป็นตัวปัญหาแล้วมาสนใจกูทำไมเล่า!?! ถ้ากูสร้างเรื่องให้มากนักมึงก็ทิ้งกูสิ! กูไม่ใช่ญาติโกโหติกาของมึงนี่!!!” เวลาผมโมโหจัดๆ ผมจะพูดกูพูดมึงกับพี่มันแบบไม่สนใจใครเลยล่ะครับ  ตอนแรกๆ ที่พี่มันได้ยินก็โกรธอยู่หรอกแต่หลังๆ มาก็ชินเพราะเราทะเลาะกันบ่อยแล้ว

                “มึงอย่ามาทำเป็นน้อยใจกูเชี่ยเปอร์!” พี่มันตวาดพลางชี้หน้าผม

                “น้อยใจห่าอะไร!?! กูมีสิทธิเหรอ!?!  ไหนมึงบอกว่ากูไม่ใช่น้องมึงไงแล้วกูมีสิทธิอะไรไปน้อยใจมึง!?!  พอแล้วแม่ง! กูจะกลับบ้าน!!” ผมผลักอกไอ้พี่ถังก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้องเพื่อเก็บข้าวของกลับบ้าน  ตอนแรกผมก็แค่กะจะทำตัวเรียกร้องความสนใจจากไอ้พี่ลุกซ์นิดๆ หน่อยๆ ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาทะเลาะกับไอ้พี่ถังขนาดนี้  ถ้าทะเลาะกันปกติพวกเราจะไม่โกรธจนหนีเข้าห้องแบบนี้หรอกครับแต่ที่ผมโกรธมากก็คือคำพูดที่พี่มันบอกว่าผมไม่ใช่น้องแท้ๆ แต่ดันสร้างปัญหาให้มากมาย  พี่มันคิดแบบนี้เองหรอกเหรอ? ตลอดเวลาที่มันดูแลผมมันดูแลเพราะความจำเป็นเหรอ?



                ปังๆๆๆ

                “ไอ้เปอร์! ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะมึง!!” ไอ้พี่ถังทุบประตูเสียงดังจนเกรงว่ามันจะพังแต่มีหรือผมจะเชื่อฟังมัน  ผมจะออกไปก็ต่อเมื่อผมเก็บของเสร็จแล้ว

                ระหว่างที่ผมกำลังเก็บของอย่างรีบร้อนไอ้พี่ถังก็เคาะประตูเรียกจนผมรำคาญ  ผมพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่ก่อนจะคว้ากุญแจรถของไอ้พี่ถังไว้ในมือแล้วเดินออกจากห้องไป

                “มึงมาเคลียร์กับกูให้รู้เรื่องก่อน” ไอ้พี่ถังเดินตามผมออกมาที่ห้องโถงของเรือนเล็กที่มีพวกติวเตอร์นั่งรออยู่

                “มึงไม่ต้องตามกูมาเลยนะ! ต่อให้มึงไปลากกูที่บ้านกูก็ไม่มา!! อ้อ...ก่อนไป...” ผมตะคอกใส่ไอ้พี่ถังก่อนจะเดินไปที่ประตูเพื่อเปิดออกไปแต่ต้องชะงักเพราะนึกอะไรขึ้นมาได้ “ไอ้พี่ลุกซ์!” ผมเรียกพี่ลุกซ์ทำให้พี่แกเงยหน้ามองผมอย่างงงๆ “กูชอบมึงว่ะ  กูจะสอบเข้าเรียนที่เดียวกันกับมึงให้ได้ ถึงเวลานั้นรับรักกูด้วยนะ” ผมพูดก่อนจะรีบวิ่งออกจากเรือนเล็ก  ถามว่าอายไหมที่พูดแบบนั้นออกไป...ตอบได้คำเดียว...อายครับ! อารมณ์มันพาไปก็เลยพูดออกไปไม่คิดนี่หว่า

                “เฮ้ยเชี่ยเปอร์! แล้วมึงจะไปไงวะ!?!” ไอ้พี่ถังที่อึ้งอยู่นานโผล่หัวออกมาถามผมที่อาศัยจังหวะที่มันอึ้งวิ่งออกมาที่โรงจอดรถ

                “รถมึงไง!” ผมหยุดก่อนจะหันไปยักคิ้วใส่พี่มันจากนั้นก็รีบขึ้นรถและติดเครื่องออกไปทันที  ผมเห็นไอ้พี่ถังกับติวเตอร์คนอื่นๆ วิ่งตามออกมาแต่ผมก็ไม่ได้สนใจเพราะตอนนี้ผมกำลังมุ่งตรงกลับบ้าน

                คอยดูเถอะ! ว่ากูโง่ดีนัก กูจะตอกหน้ากลับด้วยการสอบเข้าที่เดียวกับคนเก่งๆ อย่างไอ้พี่ลุกซ์ให้ได้เลยคอยดูสิ!!


 

                หลังจากนั้นไม่นานไอ้พี่ถังก็มาที่บ้านผมเพื่อมาง้อขอคืนดี

                “เปอร์  ออกมาหากูหน่อย” ไอ้พี่ถังเคาะประตูห้องผมก่อนจะพูดเสียงอ่อย  เฮอะๆ บังอาจมาทำให้ไอ้เปอร์โกรธเพราะฉะนั้นก็จงง้อต่อไปจนกว่าไอ้เปอร์จะพอใจก็แล้วกัน

                “...” ผมเงียบประชดพลางอ่านหนังสือเตรียมสอบ  ตั้งแต่ออกจากสถาบันติวของไอ้พี่ถังมาได้สามวันผมก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่ออ่านหนังสือเพราะอยากจะลบคำสบประมาทที่ไอ้พี่ถังมันหาว่าผมโง่ดักดาน  ถึงจะโง่จริงๆ ก็เถอะ

                “เปอร์...ออกมาหน่อยเร็ว  นี่มึงนั่งร้องไห้จนตาปูดแล้วใช่ไหม?” ไอ้พี่ถังพยายามพูดให้ขำแต่เสียใจกูไม่ขำ  อยากทำให้กูโกรธมึงก็ต้องง้อต่อไปแบบนี้แหละดีแล้ว  และที่สำคัญ...ผมไม่ได้ขี้แยขนาดต้องมานั่งร้องห่มร้องไห้เพราะทะเลาะกับมันหรอกนะ(อาจจะ...)

                “...” ผมเงียบอีก

                “ไอ้เปอร์! มึงจะออกมาดีๆ ไหม!?!” ท่าทางไอ้พี่ถังมันจะหมดความอดทน

                “กูไม่ออก” ผมตะโกนบอก

                “เปอร์! นี่มึงกำลังคิดว่ากูมาง้อมึงใช่ไหมถึงได้ทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ฮะ? ที่กูให้มึงออกมาเพราะกูมาเอารถกูต่างหาก!” เหมือนได้ยินเสียงหน้าแตกกระจาย  ผมหน้าตึงก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบกุญแจรถที่ขโมยของพี่มันมาเพื่อเอาไปคืน

                ผมเดินกระแทกเท้าก่อนจะเปิดประตูห้องออกไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เอาไป!!” ผมยัดกุญแจรถใส่มือไอ้พี่ถังก่อนจะหันหลังกลับเข้าห้อง

                “โอ๋ๆ งอนกูเหรอ? กูขอโทษนะเปอร์นะ” ไอ้พี่ถังยิ้มแป้นก่อนจะเอามือยันประตูไว้เพื่อไม่ให้ผมปิดประตูใส่หน้ามัน  พี่มันเบียดตัวเข้ามาก่อนจะกอดผมไว้จากด้านหลังแล้วโยกตัวไปมาเหมือนกำลังง้อเด็กอนุบาล  คางมนๆ เกยไว้บนหัวผมเหมือนทุกทีที่เคยง้อ  ชิ! มาไม้นี้ตลอด

                “มาเอารถไม่ใช่เหรอ? ได้แล้วก็ไสหัวไป” ผมพูดเสียงเรียบ  เห็นผมพูดแรงๆ แบบนี้กับผู้ใหญ่แต่ที่จริงผมพูดแค่กับมันคนเดียวเท่านั้นแหละครับกับคนอื่นผมจะนอบน้อมทำตัวน่ารักเสมอๆ

                “งอนเหรอ? มาง้อแล้วไง  หายโกรธนะคูเปอร์น้องรัก” ไอ้พี่ถังบีบเสียงอ้อนก่อนจะโยกตัวผมไปมา

                “ใครน้องมึง?” ผมถามเสียงแข็ง  พอนึกถึงตอนที่มันบอกว่าผมไม่ใช่น้องของก็ขึ้นทันทีเลยครับ

                “เปอร์...กูก็แค่พูดไปตามอารมณ์  แต่ก่อนกูด่ามึงแค่ไหนไม่เห็นโกรธขนาดนี้เลย  ด่าแค่นี้ทำเป็นงอน” ไอ้พี่ถังหมุนคางบนหัวผมเพื่อทำให้อารมณ์ดีขึ้น  เรื่องครอบครัวและความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องผมจะอ่อนไหวมาก  เพราะพ่อกับแม่ไม่มีเวลาให้ผม ใช้แต่เงินเลี้ยงผมจนผมโตมาเป็นเด็กดื้อและเอาแต่ใจ  จะมีก็แต่ไอ้พี่ถังที่คอยดุคอยด่าเวลาผมทำอะไรไม่ดีพอมันพูดแบบนั้นผมก็อดน้อยใจไม่ได้

                “ก็มึง...ทำเหมือนฝืนใจดูแลกู ฮึก ถ้าไม่เห็นกูเป็นน้อง...มึงก็ไม่ต้องมาสนใจกูสิ ฮึก” ผมสะอื้น  ผมบอกแล้วว่าผมเซนสิทีฟเรื่องนี้  ถูกแฟนทิ้ง โดนครูด่า ได้เกรดต่ำหรือเรื่องอะไรที่มันหนักหนาผมไม่เคยร้องไห้แต่ถ้าเป็นเรื่องความอบอุ่นของครอบครัวผมจะแอบร้องไห้อยู่บ่อยๆ  วันเกิดของผมที่ไม่มีใครจำได้ภายนอกผมก็ทำเป็นนิ่งและหัวเราะเฮฮาแต่พอถึงห้องก็แอบร้องไห้อยู่คนเดียว  เหมือนผมจะเข้มแข็งแต่ที่จริงก็อ่อนแอ

                “เปอร์ กูไม่เคยคิดว่ามึงเป็นคนอื่น  มึงเป็นน้องที่กูรัก  ถ้ากูไม่รักมึงกูคงไม่ยอมมึงทุกอย่างแบบนี้หรอก  กูขอโทษนะที่พูดแบบนั้น” ไอ้พี่ถังจับผมหมุนไปหาตัวเองก่อนจะก้มหน้าลงมาพูดกับผมใกล้ๆ พลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้ผม

                “อึ๊ก ฮือ” ผมร้องไห้หนักกว่าเดิมเมื่อมันปลอบ  ให้ตายเถอะ ขนาดพ่อแม่ของผมยังไม่เคยปลอบผมขนาดนี้เลย

                “ไม่ร้องนะไม่ร้อง  มาจุ๊บเหม่งหนึ่งทีมา” ไอ้พี่ถังดึงผมเข้าไปกอดก่อนจะเอามือปัดผมหน้าของผมออกแล้วจูบหน้าผากเบาๆ

                “ถ้ามึงพูดแบบนี้อีกกูโกรธมึงไปจนวันตายแน่ไอ้พี่ถัง” ผมมุดหน้าลงกับไหล่กว้างก่อนจะกอดตอบพี่มันเบาๆ

 

                เมื่อผมใจเย็นลงแล้วไอ้พี่ถังก็พูดเรื่องเรียนพิเศษขึ้นเพราะอยากให้ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้ “กูขอร้องให้ไอ้ลุกซ์ติวพิเศษให้มึงตัวต่อตัว  วันหนึ่งมันสอนแค่สองชั่วโมงเพราะฉะนั้นเวลาที่เหลือมันจะมาสอนมึง  มึงไม่ต้องไปนั่งเรียนกับเพื่อนแล้วมานั่งติวกับไอ้ลุกซ์แทน” ไอ้พี่ถังพูด  ผมเขินทันที  ติวกับพี่ลุกซ์สองต่อสอง  สมใจกูแล้วไง

                “จะดีเหรอ?” ผมถามอายๆ แต่ใจจริงลิงโลดไปนานแล้วแค่เล่นตัวนิดนึง

                “ไอ้ลุกซ์มันเก่งทุกวิชาเพราะงั้นมันสอนมึงได้แน่” ไอ้พี่ถังพูด  ที่จริงพี่ลุกซ์แกเป็นติวเตอร์สอนวิชาเลขครับ

                “ไม่มีวิชาที่พี่เขาไม่ถนัดเลยเหรอ?” ผมถาม  คนอะไรจะเก่งทุกวิชาขนาดนั้นวะ

                “อ้อ มันห่วยแตกด้านศิลปะทุกแขนงยกเว้นศิลปะการต่อสู้” ไอ้พี่ถังพูดออกมาอย่างนึกขึ้นได้  สิ่งที่พี่ลุกซ์ไม่ถนัดผมดันถนัดซะอย่างนั้น  ผมชอบวาดรูป ลงสี เล่นดนตรีและเต้น  อาจจะไม่ได้เก่งอะไรแต่สิ่งเหล่านั้นผมก็ทำออกมาได้ดีกว่าแก้โจทย์เลขล่ะนะ

                “แต่ผมเพิ่งประกาศออกไปนะว่าผมชอบพี่ลุกซ์” ผมพูดก่อนจะเกาแก้มอายๆ  ก็ไม่ได้อายมากอะไรเพราะความจริงผมหน้าด้านสุดตีน

                “กูนึกว่ามึงจะอยากเรียนกับไอ้ลุกซ์ซะอีก  ที่จริงมันตกลงสอนมึงแล้วนะแต่ถ้ามึงลำบากใจก็ไม่เป็นไร  เดี๋ยวกูยกเลิกให้” ไอ้พี่ถังพูดกวน  แม่ง มันก็รู้ดีอยู่แล้วว่าผมแค่เล่นตัวให้พองามแล้วยังจะแกล้งผมอีก

                “พี่ถังอย่ากวนกูครับ” ผมขมวดคิ้วทำหน้าดุ

                “โอเคๆ งั้นก็ไปกันได้แล้ว” ไอ้พี่ถังวางมือไว้บนหัวผมก่อนจะจับหัวผมโยกไปมา

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา