ซวยฉิบหาย! ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก

10.0

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.59 น.

  15 ตอน
  5 วิจารณ์
  36.03K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 22.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) Chapter 02 : เรียนกับพี่หล่อ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

05/01/13
edit : 05/02/13

Chapter02 : เรียนกับพี่หล่อ


ลุกซ์ : "เบื่อไอ้เด็กเวรนั่นจริงๆ ครับ"

 

 

                ขณะที่ผมกำลังเดินลงจากบ้านผมก็ได้ยินเสียงของแม่คุยแจ้ว  ผมแปลกใจเล็กน้อยที่เวลาแบบนี้แม่อยู่บ้าน  ปกติต้องไปหมกอยู่ที่บริษัทกับพ่อจนไม่กลับบ้านกลับช่องไม่ใช่หรือไง  คุยเสียงดังขนาดนี้แม่คงจะพาเพื่อนคุณหญิงของแม่มาเม้าธ์กันที่บ้านล่ะสิ

                “ฮ่าๆๆ จริงเหรอ? เจ้าถังกับเจ้าเปอร์น่ะนะทะเลาะกันจนบ้านแทบแตก ฮ่าๆๆ ที่จริงเขาก็ทะเลาะกันเป็นปกตินะ” แม่หัวเราะชอบใจเสียงดัง  ผมแอบได้ยินชื่อผมกับชื่อพี่ถังแว่วๆ  นินทาอะไรกูอีกวะ? แม่ผมนี่ก็ชอบนินทาผมให้คนอื่นฟังอยู่เรื่อย  เรื่องดีๆ ไม่ค่อยจะพูดกันหรอกส่วนมากเอาแต่ความเลวของผมไปประจาน

                “จริงสิครับ  พวกผมงี้ตกใจกันแทบแย่  กลัวสองคนนั้นจะตีกันมากเลยครับ” เสียงทุ้มๆ ของผู้ชายพูดกลั้วหัวเราะ  ผมแปลกใจจึงเดินเข้าไปใกล้เพื่อจะดูหน้าของผู้ชายที่กำลังนั่งคุยกับแม่ที่ห้องนั่งเล่นโดยที่ผู้ชายคนนั้นนั่งหันหลังให้ผม

                “นั่นไง  เจ้าเปอร์กับเจ้าถังมาพอดีเลย” แม่พูดเมื่อเห็นผมกับไอ้พี่ถังเดินเข้าไปหา  ผู้ชายคนที่แม่นั่งคุยหัวร่อต่อกระซิกด้วยหันมาตามที่แม่บอก

                ตาเถรร่วงหล่นคนตีลังกา!!

                ผมโคตรตกใจเลยครับที่เห็นหน้าของคนที่แม่คุยด้วย  คนที่เพิ่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับแม่ของผมเมื่อกี้ก็คือไอ้พี่ลุกซ์ที่ผมตะโกนปาวๆ บอกรักมันก่อนจะหนีกลับมาบ้านน่ะสิ!  ฮึ! ไอ้พี่นี่ไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะให้ผมเลยสักครั้งแต่กับคนอื่นพี่มันไม่เคยหวงรอยยิ้มหรอก  หรือว่าพี่มันอาจจะรังเกียจที่ผมบอกว่าชอบพี่มันก็ได้

                “ถังมากับพี่ลุกซ์เหรอ?” ผมดึงคอเสื้อไอ้พี่ถังมากระซิบถามทันทีที่เห็นไอ้พี่ลุกซ์  ช็อตที่พี่ลุกซ์แกหันมามองผมทุกคนโปรดจินตนาการเป็นภาพสโลโมชั่นนะครับ  คิดดูสิว่าพี่มันเหมือนพระเอกหนังแค่ไหน!

                “อือ ให้มันมาส่งเพราะรถกูอยู่กับมึงไง” ไอ้พี่ถังพยักหน้า

                “แล้วทำไมไม่ให้คนรถที่จ้างไว้มาส่งล่ะ?” ผมถาม  ไอ้พี่ถังจ้างคนรถเอาไว้เพื่อขับรถตู้ไปรับไปส่งนักเรียน

                “ก็ไอ้ลุกซ์มันว่างอยู่  เห็นมันเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำก็เลยชวนมา” พี่มันตอบ  ผมถอนหายใจนิดๆ ไม่คิดว่าจะเจอพี่ลุกซ์เร็วขนาดนี้  ยังไม่ได้เตรียมใจเลย ไม่รู้จะมองหน้าแกยังไงดี

                “งั้นผมคงต้องกลับก่อนล่ะครับ  ไว้โอกาสหน้าเราคงได้คุยกันอีก” ไอ้พี่ลุกซ์ลุกขึ้นยืนก่อนจะยกมือไหว้แม่ผมด้วยรอยยิ้มแต่พอหันกลับมาทางผมรอยยิ้มของพี่มันกลับหายไปในพริบตา  เปลี่ยนอารมณ์เร็วจริงนะ

                “งั้นผมพาตัวแสบไปก่อนนะครับแม่” ไอ้พี่ถังไหว้แม่ผมบ้างก่อนจะลากคอเสื้อผมออกไปบ้าน  แม่ยืนยิ้มโบกมือบ๊ายบายเหมือนไม่คิดอะไร  ฮึ! ตอนลูกอยู่บ้านล่ะไม่เคยจะอยู่กับลูก พอลูกต้องไปค้างที่อื่นแม่ดันกลับมาอยู่บ้านซะงั้น  งงนะเฮ้ย!



 

                “เออลุกซ์ มึงพาไอ้เตี้ยนี่กลับไปก่อนนะเดี๋ยวกูต้องไปทำธุระที่บริษัทพ่อก่อน” ไอ้พี่ถังพูดก่อนจะโยนกระเป๋าเป้ของผมที่แกถือมาให้ผมถือเอง

                “อืม” ไอ้พี่ลุกซ์พยักหน้า  เมื่อกี้ผมอยากจะเถียงไอ้พี่ถังเหลือเกินว่าผมไม่ได้เตี้ยแต่เพราะพวกพี่แกสูงเกินไปต่างหาก  ความสูงระดับผมมันถือว่าเป็นมาตรฐานชายเอเชียต่างหากล่ะเฟ้ย

                “เอ่อ...รถพี่อยู่ไหนครับ?” ผมถามหลังจากที่ไอ้พี่ถังมันขับรถออกไปแล้ว  ในบริเวณรั้วบ้านผมไม่เห็นจะปรากฏรถที่คาดว่าน่าจะเป็นของไอ้พี่ลุกซ์ซักคัน

                “ข้างนอก” พี่มันบอกก่อนจะเดินนำออกไป

                “ทำไมไม่เอาเข้ามาจอดล่ะครับ?” ผมถามอย่างสงสัย  ก็หน้าบ้านของผมกับรั้วมันค่อนข้างไกลกันนี่ครับ  กว่าจะเดินออกไปถึงถนนก็เสียพลังไปพอสมควร

                “แล้วมีปัญหาอะไร?” พี่แกหรี่ตามมองผมนิดๆ ก่อนจะหยิบแว่นกันแดดอันเท่าบ้านที่เสียบไว้ตรงคอเสื้อเชิ้ตมาสวม  แม่งเท่ว่ะ!!



 

                พี่ลุกซ์ปลดเบรกมือก่อนจะออกรถไปพลางจุดบุหรี่สูบไปพลาง  ผมมองหน้าพี่ลุกซ์อึ้งๆ  เด็กเรียนเก่งแบบแกผมไม่คิดว่าจะเล่นกับอบายมุขขนาดนี้  ผมกินเหล้าเคล้าสาวก็จริงแต่ไม่ถูกกับบุหรี่เลย

                “แค่กๆๆ ขอเปิดกระจกนะครับ” ผมเอามือปิดปากปิดจมูกก่อนจะไอออกมาเพราะสำลักควัน

                “ฮึ! อ่อนหัด” พี่ลุกซ์แสยะยิ้มก่อนจะขับรถมือเดียวเพราะอีกมือหนึ่งใช้คีบบุหรี่เอาไว้  ผมหันไปมองพี่ลุกซ์งงๆ  อยู่ดีๆ มาว่าผมอ่อนหัดได้ไงกัน

                “อะไรครับ?” ผมถามเสียงขุ่นๆ

                “ฟู่ววว” พี่ลุกซ์แสยะยิ้มก่อนจะเป่าควันบุหรี่ใส่หน้าผมจนผมต้องรีบเอามือปิดปากปิดจมูกไว้แล้วไอจนแสบคอ “เห็นพี่ถังบ่นว่าน้องชายดื้อ  รักการมั่วสุมมั่วเซ็กส์แต่พอมาเห็นก็ไม่เท่าไหร่  ก็เป็นแค่เด็กชอบเรียกร้องความสนใจเท่านั้น” ไอ้พี่ลุกซ์พูดก่อนจะอัดควันเข้าปอดก่อนจะปล่อยออกมาทางปากและจมูก

                “ผมอาจจะเรียกร้องความสนใจจริงๆ ก็ได้แต่เรื่องที่บอกว่าไม่เท่าไหร่นี่พี่เคยลองแล้วเหรอ” ผมอึ้งกับคำพูดจี้ใจดำของพี่ลุกซ์นิดหน่อยก่อนจะหัวเราะแล้วพูดออกมา

                พี่ลุกซ์หรี่ตามองผมเหมือนกำลังประมวลผล  พี่มันกระตุกยิ้มนิดๆ ก่อนจะละสายตาจากผมไปมองถนนเหมือนกำลังดูถูก “ฮึ! ก็แค่นั้น”

                “อย่าดูถูกนะครับ  ถึงหน้าตาผมจะยังเด็กแต่ตรงนั้นของผมมันไม่เด็กด้วยหรอกนะ” ผมยืดอกยิ้มภูมิใจ

                “เพราะเด็กชอบอวดแบบนี้ไง” ไอ้พี่ลุกซ์ยังคงยิ้มเยาะผม  เอ๊ะ! ไอ้พี่นี่มันเป็นอะไรกับผมหรือเปล่าวะ  ทำท่าไม่ชอบผมจังเลย  แต่ผมชอบพี่นะเออ!

                “ว่าผมจัง แล้วตัวพี่ล่ะมีแค่ไหน” ผมทำปากบู้กวนๆ  เด็กเรียนอย่างพี่จะเอาเวลาไหนไปซั่มสาวครับ ขอถาม ฮ่าๆๆ

                “ฮึ!” ไอ้พี่ลุกซ์แสยะยิ้มไม่ตอบ

                เงียบไปซักพักผมก็ชวนพี่แกคุย  ได้โอกาสคุยทั้งทีก็ต้องรีบคุยก่อนจะไม่ได้คุย คึๆ

                “พี่คิดยังไงถึงยอมมาสอนผมทั้งๆ ที่ผมพูดแบบนั้นออกไปแท้ๆ” ผมถามอย่างสงสัย  นั่นน่ะสิ...ถ้าเป็นผู้ชายปกติถูกผู้ชายด้วยกันสารภาพรักป่านนี้คงหนีกลับบ้านไปนานแล้ว  เอ๊ะ หรือว่าพี่แกเป็น...?  เอ้อ...จะว่าไปผมก็ผู้ชายปกตินี่หว่า  ช่างมันเถอะ ผมคิดว่าความรักเกิดได้โดยไม่ต้องใช้เหตุผล

                “พูดอะไร?” ไอ้พี่ลุกซ์ถามนิ่งๆ  อ้าวไอ้เวร! รู้อยู่แล้วยังจะมาถามให้กูอายอีก สลัดผักเอ๊ย!

                “ก็ที่บอกว่าผมชอบพี่ไง” ไม่เป็นไร ผมหน้าด้านผมพูดได้อีกเป็นร้อยครั้ง ฮ่าๆๆ

                “เพราะอะไร? กูหล่อ?” ไอ้พี่ลุกซ์พูดทั้งๆ ที่ยังมองถนน  =..= พี่มันหลงตัวเองมากแฮะ  แต่มันก็หล่ออย่างที่มันพูดนั่นแหละ

                “พี่เชื่อเรื่องรักแรกพบป่ะล่ะ?” ผมถาม

                “กูไม่เชื่อ” เออ...พูดเพราะเหลือเกิน

                “โด่ว! ไม่โรแมนติกเลย” ผมบ่น  หน้าตาก็ล้อหล่อแต่ดูพูดเข้า  ไม่มีอารมณ์สุนทรีกับกูเลยซักกะนิด  คล้อยตามกูหน่อยก็ได้นะเฮ้ย!  กูจีบหญิงมุขนี้ติดทุกรายเลยนะ  เออ กูลืม...มึงเป็นผู้ชายนี่หว่า

                “หนักส้นตีนมึงเหรอ?” เอิ่ม...ผมว่าพี่ลุกซ์แกต้องชอบผมแน่เลยครับ  พูดกับผมเพราะมาก!

                “ฮ่าๆๆ  พี่กวนตีนดีเนอะ” ผมหัวเราะ  เขาด่าเราหน้าตายเราจะต้องทำตัวไร้สาระกลับครับ  นี่คือคติเพื่อความไม่เครียดของผมเอง

                “กูกวนตีนแต่มึงวอนตีน  ถ้ายังไม่หุบปากกูยัดตีนกระแทกหน้ามึงแน่” เอื๊อก...โหดสัด! พี่แกเป็นอะไรวะครับ  พูดกับผมดี๊ดี  ลืมไปหรือเปล่าว่าเราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน  ว่าแต่...พี่มันพูดแบบนี้กับทุกคนหรือเปล่าวะ  เท่าที่ผมสังเกตตอนพี่มันสอนในคาบ...พี่มันนิสัยดีฉิบหาย!!

                “โหดว่ะ” ผมทำหน้าจ๋อยๆ แบบกวนๆ  ผมบอกแล้ว...ใครทำตัวโหดมาเราต้องกวนกลับเพื่อความไม่เครียด  เหอๆๆ

                พี่ลุกซ์หรี่ตามองผมนิดๆ ก่อนจะขับรถต่อโดยไม่สนใจ  พอไปถึงพี่มันก็เดินเข้าไปที่ห้องพักของตัวเองทันที

                อะไรวะ  ยังไม่ทันจะขอบคุณที่ให้ติดรถมาด้วยเลย


 

                ถึงผมจะเป็นคนกวนตีน  โดนด่าก็แม่งไม่เคยซีเรียส  สถานการณ์ตึงเครียดมากแค่ไหนผมก็ไม่สนใจเอาแต่กวนตีนคนไปวันๆ แต่เวลาผมถูกด่าว่าเป็นคนนิสัยไม่ดีที่ไม่เคยสนอะไรเลยผมก็เจ็บเหมือนกันนะ  ภายนอกผมแสดงออกไปแบบนั้นก็จริงแต่จริงๆ แล้วผมเก็บเอามาคิดเสมอ  แต่ก็นะ...ผมก็แค่ไม่อยากให้ใครเห็นว่าผมเป็นเด็กมีปัญหา  พอพ่อแม่ไม่รักก็เลยทำตัวมืดมนผมจึงต้องสร้างภูมิคุ้มกันแบบนี้ให้ตัวเอง  จะมีก็แต่ไอ้พี่ถังเท่านั้นแหละที่รู้ว่าผมเป็นคนคิดมาก

                “แม่ง...อยากได้พี่ลุกซ์ว่ะ” ผมนอนกลิ้งผมเตียงในห้องที่อยู่กับไอ้พี่ถังก่อนจะเอามือก่ายหน้าผากพลางคิดหาวิธีที่จะให้พี่ลุกซ์มาเป็นของผม

                กับผู้ชายด้วยกันผมก็ไม่รู้ซะด้วยสิว่ามันจะต้องเข้าหากันอย่างไร  เพื่อนเกย์ผมก็มีอยู่หรอกนะแต่ไม่เคยคิดจะสนใจวิถีชีวิตของมันเลยสักนิด  ไปผับทีไรผมก็เอาแต่ล่าผู้หญิงไม่เคยแลสายตาไปหาผู้ชายสักครั้ง  แล้วถ้ากับพี่ลุกซ์...ผมจะเป็นฝ่ายไหนล่ะ?  ดูจากท่าทางแล้วพี่ลุกซ์คงไม่ยอมถูกกดง่ายๆ แน่  และถ้าปะทะแรงกันผมกดพี่ลุกซ์ไม่ลงอย่างแน่นอน  ถึงผมจะตัวสูงแต่ที่จริงแล้วตัวผมบางเนื่องจากไม่ออกกำลังกายเอาแต่แดกเหล้าจนผอมซูบผิดกับไอ้พี่ลุกซ์ที่สูงดูดีและมีกล้าม

                เพราะตัวเองผอมผมจึงชอบใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ จะได้ดูตัวใหญ่ขึ้น  ไอ้กางเกงขารัดติ้วนั่นอย่าหวังเลยว่าผมจะใส่  ยิ่งใส่ก็ยิ่งดูตัวเล็กแต่เวลาต้องใส่เสื้อเชิ้ตผมก็เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องใส่ให้พอดีตัว  ถ้าใส่ตัวใหญ่มากมันดูทุเรศลูกตายังไงก็ไม่รู้


 

                ตึกๆๆ

                ขณะที่ผมกำลังเคลิ้มจะหลับเพราะคิดเรื่องจับไอ้พี่ลุกซ์จนเพลินเสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นแต่ผมไม่ได้สนใจจึงพลิกตัวเอาหมอนปิดหู  หนวกหูจริง! ใครมาเดินเล่นแถวนี้ฟะ!

                ตึก! ตุบ!!

                “แม่งงงง!!” ผมสบถทันทีที่หลังของผมถูกอะไรบางอย่างกระแทกก่อนร่างของผมจะกลิ้งหลุนๆ ตกเตียงอย่างไม่ทันตั้งตัว  ใครวะกล้ามากระตุกหนวดไอ้เปอร์!

                ผมลุกขึ้นมามองหาคนร้ายด้วยท่าทางมึนๆ  แต่พอเห็นเท่านั้นแหละ หน้าโมโหร้ายของผมก็หายไปโดยมีหน้ายิ้มแย้มมาแทนที่

                แฮะๆ จะอะไรได้ล่ะครับ   ก็คนตรงหน้าผมยืนยกเท้าค้างด้วยสีหน้านิ่งสนิทก่อนจะค่อยๆ ลดเท้าลงเมื่อเห็นผมตื่นแล้ว

                “พี่ถังให้กูเริ่มสอนมึงได้แล้ว  รีบตามมาอย่าชักช้าไม่งั้นเจอตีน!” ไอ้พี่ลุกซ์เดินกอดอกออกจากห้องไป  ผมเกาหัวเซ็งๆ ก่อนจะไปค้นๆ คุ้ยๆ หาอุปกรณ์การเรียนในกระเป๋าเป้แล้วเดินตามออกไป



 

                ทันทีที่ผมนั่งลงเอกสารกองใหญ่ก็ตั้งอยู่ตรงหน้าของผม  มันเป็นเอกสารที่เอาไว้ติวซึ่งมีทุกวิชา  สงสัยพี่ลุกซ์ไปรวบรวมของพี่ๆ คนอื่นๆ มาด้วยเพราะเอกสารที่พี่ลุกซ์ทำมีเพียงวิชาคณิตศาสตร์เท่านั้น

                “ไหนอุปกรณ์การเรียนมึง?” ไอ้พี่ลุกซ์ถามเมื่อเห็นผมเอาแต่นั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมยิ้มเป็นเด็กปัญญาอ่อนส่งให้แก  ผมล้วงปากกาน้ำเงินหนึ่งด้ามออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะยิ้มแต้  นี่ไงอาวุธของผม  ปากกาด้ามเดียว โฮะๆ “มึงกวนตีนกูเหรอ?” ไอ้พี่ลุกซ์ถอนหายใจก่อนจะถาม

                “ผมกวนยังไงครับพี่?” ผมถามงงๆ  ปากกากูก็มียังจะมีหน้าว่ากูกวนตีน

                “ไม่มีปากกาสีๆ หรือยางลบอะไรอย่างนี้บ้างเหรอ?” ไอ้พี่ลุกซ์ทำหน้าเซ็งๆ ถาม

                “ไม่มีครับผม” ผมตอบซื่อๆ  ไปโรงเรียนผมก็ไปแค่นี้แหละ  กระเป๋าเป้ที่พายไปก็มีแต่ไอแพดกับหนังสือการ์ตูน  พวกหนังสือเรียนยัดไว้ใต้โต๊ะกับล็อกเกอร์หมดเลย  ส่วนเครื่องเขียนอื่นๆ ก็ไปใช้ของเพื่อน  ฮ่าๆๆ

                “แล้วเวลามึงแลคเชอร์มึงมีเทคนิคยังไงให้เขียนรู้เรื่องด้วยปากกาด้ามเดียว?” ไอ้พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วทำหน้าดุ

                “เอ่อ...ผมไม่จดครับ  ที่จะเขียนก็แค่เขียนงานส่ง” ผมบอกพลางหัวเราะแหะๆ  เวลาอ่านสอบผมก็ไปถ่ายเอกสารของเพื่อนมาอ่านหรือไม่ก็ไม่อ่าน เหอๆ

                “กูรู้แล้วทำไมมึงถึงโง่” ไอ้พี่ลุกซ์เดาะลิ้นเซ็งๆ

                “แฮะๆ” ผมเกาหัวแกรกๆ พลางยิ้มปัญญาอ่อนส่งให้จนไอ้พี่ลุกซ์มันโมโหเตะเก้าอี้ล้ม  รอยยิ้มแบบนี้ของผมมันกวนโมโหมากผมรู้ดี  ไม่ว่าใครก็อารมณ์เสียเพราะรอยยิ้มแบบไม่มีความรับผิดชอบของผมเสมอ

                “ฮู้!!” ไอ้พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วมองหน้าผมก่อนจะก้าวยาวๆ เดินออกจากห้องรับแขกของเรือนเล็กไป  ผมมองตามงงๆ  เอ่อ...คือ...พี่มันโกรธจนต้องไปสงบสติอารมณ์หรือพี่มันโมโหจนไม่อยากสอนอ่ะครับ? แล้ว...ผมต้องตามไปไหมเนี่ย?

                “เฮ้ยมึงน่ะ! นั่งทำหน้าเซ่ออยู่ทำไมวะ  รีบตามมาก่อนที่กูจะโมโห!” ไอ้พี่ลุกซ์ตะโกนเรียกอย่างหงุดหงิดผมจึงรีบวิ่งตามพี่แกไป  เอิ่ม...ที่บอกว่าก่อนที่กูจะโมโหนั่นผมว่ามันสายเกินไปแล้วล่ะครับ  เพราะพี่มันกำลังโมโหจนหน้าหล่อๆ บิดเบี้ยว



 

                พี่มันขับรถพาผมเข้ามาในตัวเมืองก่อนจะเลี้ยวเข้าห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่  ผมหันไปมองพี่ลุกซ์งงๆ ว่าพี่แกจะพาผมมาที่นี่ทำไม  ยอมเสียเวลารถติดเข้ามาเที่ยวห้างทั้งๆ ที่กำลังจะเริ่มเรียนเนี่ยนะ? คิดอะไรของเขาอยู่กันเนี่ย

                ไอ้พี่ลุกซ์ลากผมเดินเข้าไปในตัวห้างก่อนจะมุ่งหน้าไปที่บีทูเอส  อ้อ  พาผมมาซื้อเครื่องเขียนหรอกเหรอเนี่ย?

                “เลือกเอาว่าจะเอาอะไร  เร็วๆ ด้วยล่ะ!” ไอ้พี่ลุกซ์กอดอกหน้าบึ้งตึง

                “แฮะๆ พี่ครับ  คือว่าผม...ไม่ได้เอากระเป๋าตังค์มา” ผมยิ้มแหยๆ  ก็ใครจะไปคิดว่าพี่มันจะลากมาที่นี่ล่ะครับ  ไอ้เราก็รีบตามมาเลยไม่ได้หยิบอะไรมาแม้แต่โทรศัพท์

                “วุ่นวายจริงๆ ! เออ จะเอาอะไรก็รีบเอากูจ่ายเอง!” ไอ้พี่ลุกซ์ทำหน้าหงุดหงิดเสียเต็มประดาแต่สุดท้ายก็ยอมควักเงินเพื่อซื้อของให้ไอ้เปอร์สุดหล่อ คิกๆ ชอบผมแล้วอ่ะดิถึงยอมซื้อของให้ ฮ่าๆ

                “ใจดีจังเลย  มาให้จุ๊บปากหนึ่งทีเร็ว” ผมยิ้มตาหยีก่อนจะทำท่าเข้าไปจุ๊บ

                “อย่าทำให้กูโมโห  ไม่งั้นมึงจะได้จูบตีนกู!” ไอ้พี่ลุกซ์ถลึงตาก่อนจะกอดอกแล้วยกเท้าขึ้น  ผมทำปากจู๋ค้างก่อนจะถอยกลับเพราะกลัวเจอตีน  แหม...ทำเป็นเข้ม  ถ้าได้จูบกูจริงๆ แล้วอย่าติดใจละกัน ฮ่าๆๆ

                “โหดแบบนี้ระวังได้ผมเป็นผัวนะ ฮึๆ” ผมพึมพำก่อนจะยิ้มกับตัวเองอย่างขำขัน  คิดอะไรของกูวะเนี่ย ฮ่าๆ ยังมีความคิดที่จะกดไอ้พี่ลุกซ์อยู่อีกเหรอ? ฮุๆ แต่ถ้าได้กดซักครั้งมันอาจจะดีก็ได้

                “พูดอะไรอย่าคิดว่ากูจะไม่ได้ยิน” ไอ้พี่ลุกซ์พูดเสียงเย็นๆ จนสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะเดินหาเลือกซื้อเครื่องเขียน  กูจะซื้อให้กระเป๋าตังค์มึงแหกเลยคอยดู ฮึๆ


 

                ผมหอบปากกาหลากสีที่ใส่แพ็คเกจดูดีสวยหรูไว้ในอ้อมแขนก่อนจะหันไปหยิบดินสอ ยางลบ น้ำยาลบคำผิด สมุดโน้ต และกล่องดินสออย่างเมามัน  แต่ละอันที่ผมหยิบผมไม่รู้หรอกว่ามันใช้ดีไหมแต่ที่หยิบมาเพราะมันแพงที่สุดในบรรดาของแต่ละชนิด  ไอ้พี่ลุกซ์มองหน้าผมนิ่งๆ ไม่แสดงอาการตกใจสักนิดที่ผมหยิบแต่ของแพงๆ  หรือไม่พี่แกอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่ามันแพง ฮ่าๆ ตอนจ่ายตังค์พี่แกเหวอแน่ คิกๆ (กูนี่เด็กเปรตของแท้เลยว่ะ)

                “2538 บาทค่ะ” พนักงานบอกราคา  ผมแอบอึ้งเพราะไม่คิดว่าราคามันจะออกมาขนาดนี้  หยิบๆ มาไม่ได้คิดหรอกว่าพอรวมกันแล้วมันจะเป็นเท่าไหร่

                ผมแอบชะโงกแอบดูเงินกระเป๋าของพี่ลุกซ์ขณะที่พี่แกกำลังคลี่กระเป๋าออกเพื่อหยิบเงินมาจ่าย  ผมตกใจจนหน้าเหวอเพราะในช่องเก็บธนบัตรมีเพียงแบงก์สีเขียวๆ ใบเดียวเท่านั้น  เฮ้ย!

                “พี่ลุกซ์!” ผมตกใจรีบดึงแขนแกเอาไว้  มีแค่ยี่สิบบาทจะเอาไปจ่ายเขาได้ไงเล่า!

                “อะไร?” พี่แกมองผมเซ็งๆ

                “พี่ไม่มีเงินทำไมไม่บอกก่อนเล่า” ผมกระซิบเบาๆ เพื่อไม่ให้พนักงานได้ยิน

                “อย่าโง่น่า!” ไอ้พี่ลุกซ์สะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของผมแล้วหันไปหาพนักงานก่อนจะหยิบแบล็คการ์ดส่งให้  โอ้เหี้ย!! บัตรเครดิตวงเงินไม่จำกัด!  กูลืมไปได้ไงวะว่าไอ้พี่นี่แม่งขับปอร์เช่แล้วกับอีแค่เงินสองสามพันทำไมมันจะจ่ายไม่ได้  ถึงไม่พกเงินสดอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีบัตรเดบิตหรือไม่ก็เครดิตล่ะวะ  ผมมีแต่บัตรเดบิตเพราะแม่ไม่อยากให้ผมใช้เงินเยอะจนเกินตัว  ขืนมีเครดิตผมแม่งได้รูดจนยอดเงินบานอ่ะ

                อยากเห็นพี่เขาหน้าเหวอสุดท้ายคนที่หน้าแตกก็คือผมเอง   นี่คือผลของการเป็นเด็กเวรเพราะฉะนั้นอย่าเลียนแบบนะครับ


 

                ผมกลับไปเรียนกับไอ้พี่ลุกซ์  ตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้างจนถูกต่อว่าแรงๆ แต่ผมก็ไม่สนเพราะผมหน้าด้าน เหอๆ  ผมยอมรับเลยนะครับว่าไอ้พี่ลุกซ์สอนดีและเก่งมาก  วิชาแรกที่ผมเรียนก็คือคณิตศาสตร์ซึ่งพี่แกก็แจกแจงรายละเอียดให้ผมเข้าใจได้  ตั้งแต่ผมเรียนมาจนจะขึ้นม.6 ผมพูดตรงๆ ว่าผมไม่เคยเข้าใจวิชาห่าเหวนี่เลย  ไม่เคยรู้ว่าสมการนั่นนี่มาจากไหน  ไม่เคยรู้ว่าจะเอาสูตรนั้นสูตรนี่ไปแก้สมการอย่างไรแต่พอมาเรียนกับพี่ลุกซ์เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงมันก็ทำให้ผมดูฉลาดขึ้นมาบ้าง

                “พรุ่งนี้จะเรียนต่อจนจบเรื่องจำนวนจริง” ไอ้พี่ลุกซ์บอกเมื่อสิ้นสุดการเรียนของวันนี้

                “พี่...เรียนคณิตต่อกันสองวันแบบนี้ผมจะอ้วก  ขอเรียนวิชาอื่นสลับกันไปได้ไหมครับ” ผมทำท่าอ้อนวอน  ขืนเรียนอีกพรุ่งนี้ผมต้องอ้วกออกมาเป็นสมการแน่เลย

                “เรื่องมาก!

                “นะครับ นะ...” ผมประสานมือแล้วทำตาปิ๊งๆ อ้อนวอน  เห็นผมทำแบบนี้พี่มันก็ทำหน้าเหมือนคนอยากตายทันที

                “เออๆ จะเรียนวิชาอะไร?” ไอ้พี่ลุกซ์ทำหน้ารำคาญ

                “ภาษาอังกฤษ” ผมตอบ  วิชานี้เป็นวิชาที่ผมไม่ถนัดเหมือนกันแต่ผมชอบ  ผมชอบพูดเพราะเวลาพูดสำเนียงฝรั่งแล้วผมว่ามันสนุกดี  เหตุผลแค่นี้แหละครับ ฮ่าๆ

                ไอ้พี่ลุกซ์ถอนหายใจก่อนจะเดินกลับเข้าไปที่ห้องพักของตัวเอง  หลังจากนั้นไม่นานพวกติวเตอร์ก็ยกขบวนกันกลับมาเพราะถึงเวลาเลิกเรียน



 

                “ห่วยแตก!! เห็นโม้นักโม้หนาว่าสำเนียงตัวเองดี  แล้วนี่มันอะไร!?! สำเนียงไก่กาแกรมมาไม่ได้เรื่อง!!” ไอ้พี่ลุกซ์โวยวายจนแทบล้มโต๊ะ  ผมมั่นใจว่าสำเนียงผมโอเคก็เลยโม้ไว้นิดๆ หน่อยๆ แต่สุดท้ายก็เหลวเป๋วเมื่อพูดออกไปแล้วพี่มันไม่พอใจ  จะว่าไป...สำเนียงของผมมันก็ไก่กาจริงๆ นั่นแหละ กระซิกๆ

                ก่อนที่พี่ลุกซ์จะมาสอนผมพี่แกต้องไปสอนห้องรวมก่อน  ผมไปแอบดูตอนพี่แกสอนไม่เห็นว่าพี่แกจะโมโหร้ายแบบนี้เลย  ยิ้มตลอดจนเหงือกจะแห้งแต่พอมาสอนผมกลับองค์ลงซะอย่างนั้น  แกคงชอบผมมากถึงโมโหโวยวายผมได้ตลอดเวลา เหอๆๆ =__=^

                “โธ่พี่ ภาษาพูดมันไม่จำเป็นต้องเน้นแกรมมาไม่ใช่หรือไงเล่า” ผมพูดพลางยิ้มปัญญาอ่อน  ยิ่งเห็นรอยยิ้มของผมไอ้พี่ลุกซ์ยิ่งเดือด

                “เออ มันไม่จำเป็น  แต่มึงเรียงประโยคแบบภาษาไทยใครที่ไหนเข้าจะเข้าใจมึง!! ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษมันไม่ได้เรียงประโยคเหมือนกันนะไอ้โง่!” ไอ้พี่ลุกซ์ตบโต๊ะเสียงดังจนผมสะดุ้ง

                “ใจเย็นครับใจเย็น” ผมยิ้มแหยๆ

                “กูจะไม่เย็นเพราะรอยยิ้มปัญญาอ่อนของมึงนี่แหละ ฮู้!! มึงอ่านไปก่อนอีกสิบนาทีเดี๋ยวกูมา!” ไอ้พี่ลุกซ์บอกก่อนจะเดินหงุดหงิดออกไปนั่งอยู่ตรงเฉลียงแล้วปิดประตูเสียงดัง

                ผมมองพี่ลุกซ์ผ่านกระจกใสที่กั้นระหว่างห้องนั่งเล่นกับเฉลียงก่อนจะค่อยๆ เปิดหนังสืออ่าน  พอหันไปมองอีกทีไอ้พี่ลุกซ์ก็นั่งสูบบุหรี่ซะแล้ว  ท่าทางจะเครียดเพราะนักเรียนอย่างผมแม่งโคตรโง่

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เปอร์ลูก...อย่ากวนโมโหพี่เขามากสิ
เกิดโมโหจับลูกกดขึ้นมาจะทำอย่างไรคะ?? ฮ่าๆๆๆ

ลุ้นต่อไปว่าลุกซ์จะทนความกวนตีนของเปอร์อยู่ไหม? และเปอร์จะได้ลุกซ์มาเป็นผัว เอ้ย ของตัวเองหรือไม่??
คิกๆๆๆ

     

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา