ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )

8.0

เขียนโดย Wuzhenni

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.

  22 ตอน
  9 วิจารณ์
  26.76K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) แก้ไขเสร็จแล้ว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
เสียงกรุ๋งกริ๋งของโมบายยามต้องลม กำลังพริ้วไหวสนั่นอุราใจ ยิ่งเห็นใครคนหนึ่งกำลังจูงสุนัขตัวโปรดเดินผ่านหน้าต่างห้องของหล่อนแล้ว ยิ่งเหมือนหัวใจเริ่มพองโตเต็มพื้นที่จนไม่มีวันขยับขยายได้อีก
 
หญิงสาวหน้าตาน่าเอ็นดูเข้ากันดีกับทรงผมสั้นถูกระเบียบโรงเรียนหลวง  
 
บ่งบอกถึงหน้าตาที่อ่อนวัยกว่าบุรุษหน้าเด็กที่อายุห่างจากเธอ
 
หน้าเด็ก นุ่มนิ่ม จนแยกไม่ออกว่าใครเป็นพี่ใครเป็นน้อง
 
มองเผินๆ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่หัวหน้าคนใช้
 
 
" รตา..." เสียงเรียกพร้อมใบหน้าที่ยื่นโผล่ออกมาจากมุมหน้าต่าง ทำให้หญิงสาววัยระแรกแย้มแทบจะยิ้มฉีกกว้างถึงติ่งหู 
 
หากแต่ก็ยั้งไว้เสีย
 
" มีอะไรเหรอ? พี่นัน"
 
" คุณปวงโชค เรียกขึ้นตึก"
 
เจ้าหล่อนในคราบชุดแม่บ้านเต็มยศ นิ่วหน้า ไม่พอใจในคำสั่ง "พี่ชายผู้ไกลห่าง ขี้คร้านจะพบเจอกัน" 
 
" เรียกทำไม? ฉันไม่ว่าง อ่านหนังสืออยู่"  
 
ถึงจะเรียกเขาว่าพี่  แต่คำแทนของตัวเธอกลับยกระดับเทียบเท่าจนจะเลยเถิดเล่นหัวกันอยู่รอมร่อ
 
" ค่อยมาอ่าน"  เขาเอ่ย 
 
" คุณปวงโชค เขาอยากให้เธอขึ้นไปหา คงมีเรื่องด่วน"
 
" ก็ด่วนทุกที ให้ไปทำอะไรล่ะ  ปูที่นอน จัดหมอน ให้เข้าที่งั้นเร๊อะ?"
 
" พี่ก็ไม่รู้ คุณปวงโชคเขาสั่งมาแค่นี้ ขึ้นไปหาเดี๋ยวก็รู้เอง"
 
พูดเพียงเท่านี้  ผู้รับหน้าที่ส่งสารก็หายไปพร้อมๆกับ สุนัขสายลับประจำตัว 
 
หญิงสาวบุ้ยปาก พลางถอดถอนลมหายใจอันหนักหน่วง
 
เรียกหาทำซากอะไรวะ มือไม้ก็มี ไอ้พวกลูกคุณหนูจะขยับซ้ายที ขวาที ง่อยก็กินไปแถบหนึ่งแล้ว
 
น่าเบื่อฉิบ!!
 
 
แม่นางน้อยร่างบาง เดินลิ่วๆ ลัดเลาะตึกคนใช้ เสียงอีแตะกระทบดังเแป๊ะๆบนพื้นหินอิฐสีแดงฉาบฉาน 
 
สาวผมสั้นตรงหน้าตาชะมดชะม้อย พอดู หากเมื่อย่ำผ่านแมกไม้ที่เยอะจนเหมือน มิใช่สวนไว้ประดับประดาบ้านอย่างที่ควรเป็น
 
ใบหน้าจิ้มลิ้มกลับกลายเป็นหน้าตารำพึงรำคาญใจยิ่งนัก
 
ใบต้นปาล์มเรียวยาว คลับคล้ายพระขรรค์จำแลงที่คอยแทงทิ่มดวงตาพราวสวยของเธอ
 
พุ่มไม้เขียวสดที่ปลูกเรียงรายตามทาง ก็พลอยทำให้เจ้าตัวต้องหวาดระแวง หันซ้านหันขวาอยู่เกือบทุกย่างก้าวที่เดินผ่าน
 
" สองสามวันก่อน คุณพ่อบ้านกับลูกน้องอีกพวกหนึ่ง มันจับงูได้  โอ๊ย! งูเหลือมเสียด้วย ป้าเห็นแล้วยังรู้สึกสยองไม่หาย"
 
ป้าโอ่งแม่ครัวตัวกลมสมชื่อเอ่ยปากเล่าถึง ในขณะที่เจ้าหล่อนสาละวนอยู่กับการนั่ง
ท่องคำศัพไบโอเคมีนับร้อยคำในหัว
 
" เจอที่ไหนเหรอจ๊ะ?"  
 
" แถวทางเดินก่อนถึงตึกใหญ่ นั้นแหล่ะ  แต่คุณพ่อบ้านเขาว่า มันเป็นงูเจ้าที่ แกก็เลยปล่อยมันไป"
 
" ห๋า...ปล่อยเหรอ  ในบ้านเนี้ยนะ"  เอากับเขาสิ ใจบุญสุนทานไม่เข้าเรื่องจริงๆ
 
" เปล่าหรอก นังหนู  คุณพ่อบ้านแกโทร.ให้เจ้าหน้าที่ เขารับไปปล่อยต่างหากเล่า"
 
" โล่งอก แต่ก็เถอะป้า... บ้านนี้อยู่ๆไป เหมือนอยู่ในป่า เถาวัลย์ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ดีแค่ไหนไม่เจอ สิงโตอยู่ในบ้านด้วย"
 
 
รตา มุ่งหน้าเข้าสู่ตึกใหญ่สีขาว โอ่อา งามสง่า
 
หากทว่า...ความงดงามของบ้านถูกแปดเปื้อนด้วยรอยมลทินของคนที่อยู่อาศัยใต้ฝาบ้าน 
 
สองพ่อลูกที่ไม่มองหน้า ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาทักทายต่อกัน
 
คนเป็นพ่อตำแหน่งสูง แต่ทำตัวต่ำ ย่ำยีคนอื่น
 
คนเป็นลูกก็ทำตัวเหลวเหลก หาเรื่องวิวาทไล่ตีไม่เว้นวัน
 
พ่อลูก ที่ดูจะเหมือนไม่ผิดแผกแตกต่าง
 
แต่คนอยู่ด้วยกันมาเนิ่นนาน มีรึจะหาความแตกต่างเหล่านั้นไม่เจอ
 
เสียงฝีเท้าที่เดินกระแทกปึงปังบนพื้นผิว พอคาดเดาได้ถึงอารมณ์อันแปรปรวนของคนที่ออกคำสั่งตามเธอได้เป็นอย่างดี
 
" มาแล้วเหรอ?  เข้ามาสิ"  
 
หญิงสาว ค่อยๆเดินยอบตัวลง เข้าใกล้ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์ที่เป็นทั้งนาย และ พี่ชาย ในคราวเดียวกัน
 
" ไม่ต้องนั่งพื้น จะนั่งทำไม ไม่ใช่ยุคนางทาสซักหน่อย นู่น...ไปลากเก้าอี้ไม้ตรงนู่นมา"
 
รตาเดินไปลากเก้าอี้มานั่งตามที่เขาบอก
 
แม้ว่าตัวหล่อนจะเป็นคนใช้ หากยังดีที่ คนเป็นพี่ในฐานะลูกเมียเอก จะไม่ได้รังเกียจเธอมากเหมือนกับคุณผู้หญิงของบ้าน
 
แต่นิสัยที่ลอกมาแบบเดียวกัน
 
นิสัยหยิ่ง ถือตัว ว่าเป็นลูกที่เกิดจากภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมาย ก็ยังมีให้เห็นได้จากคำพูดคำจาที่มักจะเอ่ยกระแทกแดกดันหล่อนอยู่เสมอ
 
" วันนี้พี่..." เขาเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกับจะเผลอที่ใช้ สรรพนามแทนตัวว่า "พี่"  ซึ่งน้อยครั้งนักที่จะโพล่งพูดออกมาให้หล่อนได้ยิน
 
 "มีธุระอยากจะคุยด้วย"
 
คนเป็นพี่ที่ไม่นับว่าอีกฝ่ายเป็นน้อง
 
เพราะความต้อยต่ำจากชาติกำเนิด
 
ชาติกำเนิดที่เขาไม่พึงจะเกี่ยวด้องเป็นญาติมิตรด้วยเท่าไหร่
 
ก็แค่ไอ้ลูกเมียน้อย  ได้กันแล้วก็ทิ้งไข่ไว้ให้เลี้ยง!
 
 
ปวงโชคหย่อนร่างลงบนโซฟาพลางยกแก้วเบียร์ขึ้นมาจิบนิดๆหน่อยๆ ก่อนจะเอ่ยปากถามน้องสาวผู้ต่างศักดิ์ทันที
 
" ปีนี้จะขึ้น ม. 4 แล้วใช่มั้ย? ได้ไปสมัครสอบไว้ที่ไหนแล้วรึยัง?"
 
" สมัครแล้วค่ะ"  หล่อนตอบ สีหน้าอิ่มเอม สุขใจ
 
ต่อให้ใครหน้าไหน ด่าทอว่าเป็นลูกนังโส  แต่อย่างน้อยก็ได้ร่ำได้เรียน ได้เกรดดีไม่แพ้คนอื่นเขา
 
" เป็นโรงเรียนประจำจังหวัด"
 
" โรงเรียนประจำจังหวัด คนสอบแย่งเข้าตั้งเยอะตั้งแยะ จะสู้เขาไหวเหรอ? รตา"
 
คำพูดกึ่งสงสารกึ่งหยามหยัน  นั้นแหล่ะ คือ คำพูดในยามอารมณ์ปกติที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้วจริงๆ
 
" ไหวค่ะ"  หล่อนยืนกราน หนักแน่น
 
" ขอให้มีความรู้ติดไว้กับตัว รตาก็ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น"
 
" มีความรู้ แต่จะไปสู้กับอำนาจเงินทองพวกคนรวยๆ  ฉันว่ามันยังไม่พอนักหรอก ดีไม่ดี ไม่ทันจับปากกาก็แพ้แล้ว"
 
" แพ้ก็ยังดีกว่าไม่ยอมสู้" รตายังเถียงอยู่  หากน้ำเสียงยังนอบน้อมเพราะเกรงกลัวในอารมณ์อันแปรปรวนของอีกฝ่าย
 
" เหรอ"  เขาเอ่ย พลางมองหางตาดู "น้องสาวในคราบคนใช้" 
 
" มีความรู้ติดตัวไว้  มันก็ดี แต่ใช้ให้มันถูกเวลาหน่อยก็แล้วกัน"
 
ชายหนุ่มกระแอมไอเล็กน้อย 
 
สมองมีรอยหยัก แต่ไม่ยักจะใช้ให้มันเกิดประโยชน์
 
ครั้นใช้แล้วก็รั้งแต่จะเพิ่มปัญหาให้อยู่ร่ำไป
 
อำนาจความรู้ฤา จะสู้ประกาศิตเงินตราของมนุษย์ได้
  
เงิน...เงินต่างหากที่จะกำหนดชีวิตทุกสิ่งบนโลก!!
 
 
 
" ที่ฉันเรียกมา ก็ไอ้เรื่องเรียนต่อ ม. 4 นั้นแหล่ะ "  
 
" ค่ะ " หญิงสาวพยักหน้ารับรู้  ในฐานะคนใช้ เมื่อนายข้อร้องแกมสั่งจะเพิกเฉยตีหน้าปั้นปึ้งใส่ก็คงจะไม่ดีกับตัวอยู่แล้ว
 
ใครสั่งอะไรก็ต้องก้มหน้ารับคำสั่งเขาไปเรื่อย
 
" ฉันกำลังคิด อยากจะให้เธอย้ายไปเรียนที่โรงเรียนจงเหวิน "
 
" คะ?"  สีหน้าตกใจระคนสงสัย จะให้เธอไปเรียนพวกโรงเรียนคุณหนูเนี่ยอะ่นะ
 
" แต่โรงเรียนของท่านจางกง..." หล่อนหมายถึง ผู้อำนวยการโรงเรียนคนปัจจุบัน ซึ่งมีศักดิ์เป็นอากงหรือ คุณตา ของคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้า
 
โรงเรียนจงเหวินกับฐานะสถานศึกษเอกชนแห่งแรกในจังหวัด ที่มาพร้อมกับฐานอำนาจอันยิ่งใหญ่จากผู้คนที่สืบเชื้อสายตระกูลจาง
 
หล่อนมักได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับโรงเรียนนี้มาตั้งแต่ครั้งยังไม่รู้ประสีประสา
  
จนถึงเดี๋ยวนี้ เกือบแปดสิบปีที่โรงเรียนเริ่มต้นทำการสอนให้ความรู้แก่ลูกหลานชาวจีนในชุมชนโดยอาศัยร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่
 
แม้จะผ่านเวลามาช้านาน หากแต่ต้นพญาเสือโคร่งที่เคยเป็นห้องเรียนครั้งแรก ก็ยังคงยืนอยู่เป็นอนุสรณ์การระลึกถึงจุดเริ่มต้นได้เป็นอย่างดี
 
" ตระกูลจาง พวกเขามีพระคุณกับชาวบ้านในแถบนี้มาก เมื่อก่อนพวกลูกเจ็กลูกจีน เวลาจะไปเรียนหนังสือในโรงเรียนประจำจังหวัด ก็มักจะโดนพวกเด็กคนอื่นแกล้งหรือไม่ก็ล้อเลียนให้อับอาย เพียงเพราะว่าเป็นลุกคนจีน  จนบางครั้งพ่อแม่ของพวกนั้นก็ไม่ยอมส่งลูกกลับไปเรียนอีก ให้ออกมาค้าขายแทน แต่ปู่ทวดของท่านจางกง เคยพูดเอาไว้ว่า การเรียนหนังสือมันสำคัญ จะค้าขายอย่างเดียวมันก็ได้แค่เงิน เหมือนขวดน้ำหนึ่งใบ ถ้าเราขายก็ได้เงินตามคุณลักษณะที่มันมีอยู่ แต่ถ้าหากเรารู้จักใช้สติปัญญาพัฒนาขวดน้ำให้มันเป็นมากกว่าขวดน้ำ เราจะไม่ได้แค่เงิน แต่เราจะได้รู้จักใช้ความคิดของเราให้เป็นประโยชน์และมันก็จะสร้างคุณค่าให้กับเราได้"
 
คำบอกเล่าจากป้าโอ่ง ซึ่งเคยเล่าให้หล่อนฟังเมื่อครั้งก่อนนู่น
 
ย่อมแน่...ความกตัญญูและความภักดีที่ป้าโอ่งมีให้กับคนตระกูลจางไม่เคยเสื่อมคลายลง
 
ก็คนสนิทของท่านผู้หญิง เมียเอกของบ้าน
 
คุณผุ้หญิงจางอี้เหม่ย ทายาทคนโตของตระกูล 
 
แม่ของคุณปวงโชคคนนี้..!
 
 
" ใช่ โรงเรียนของจางกง คุณตาของฉัน...แล้วทำไม?" เขาเน้นเสียงถาม 
 
" คือ โรงเรียนนี้ เขาไม่ได้เน้นสายวิทย์ รตา ไม่ค่อยถนัดพวกวิชาภาษาซักเท่าไหร่ โดยเฉพาะ....ภาษาจีน" เสียงท้ายประโยคแผ่วลงพลางนึกคิดอยู่ในใจ
 
ใช่แล้ว โรงเรียนจงเหวิน แค่ชื่อก็บอกอยู่ทนโท่
 
" เรียนๆไปเดี๋ยวก็ได้เองแหล่ะ" เขาบอกกึ่งรำคาญ ก่อนจะยื่นปากกาพร้อมใบสมัครให้กับเธอ
รตามองนิ่ง ไม่เข้าใจ
 
" อะไรเหรอคะ?"
 
" ใบสมัคร...กรอกข้อมูลขอตัวเองทุกอย่างลงไป แล้วค่อยเอามาส่งให้ฉัน วันไหนก็ได้ แต่ถ้าเป็นภายในอาทิตย์นี้เลยก็ยิ่งดี"
 
" ไม่คะ" หล่อยส่ายหน้าหงึกๆ " คุณโชคจะใช้อะไร ก็พูดออกมาตรงๆเถอะค่ะ  อย่าพูดอ้อมค้อมกันแบบนี้เลย " 
 
หล่อนยิ้มออกมาหากแต่เป็นรอยยิ้มที่ระงับอารมณ์ตัวเองยิ่งนัก
 
ธรรมดาก็ไม่ค่อยจะใจดีมีเมตตากับเธออยู่แล้ว
 
จะให้ไปเรียนโรงเรียนหรูๆ มีชื่อเสียงอย่างนั้น คงจะมีเรื่องอยากจะจิกหัวใช้กันเสียมากกว่า
 
" หัวไวดีหนิ "   เขาพูด เดาไม่ถูกว่าจะชมหรือจะประชดกันแน่
 
แต่อาจจะเป็นอย่างหลังกระมัง
  
" มันก็ไม่มีอะไรมาก แค่เข้าไปเรียนหนังสือหาความรู้ใส่สมองให้เหมือนคนอื่นๆเค้า ค่าเทอม ค่าข้าว ค่าขนม ฉันก็จะจัดการให้
แต่ฉันอยากให้เธอช่วยจับตาดูใครบ้างคนในโรงเรียนนั้น..นักศึกษาครูที่ชื่อว่า หญ้าฟาง  หน้าที่ของเธอ ก็คือ ไปผูกมิตรสนิทสนมไว้ให้มากที่สุด แล้วกลับมารายงานข้อมูลของคนๆนี้ให้ฉันฟังหลังเลิกเรียน"
 
" จะให้เป็นสายสืบ แล้วจะให้รตาสืบเรื่องอะไรบ้างล่ะคะ?" หล่อนถาม ทำท่าอมยิ้มเพราะพอจะดูออกแล้วว่า คนที่หล่อนจะต้องสืบหาข้อมูลนั้น คงจะเป็นคนสำคัญในหัวใจ
 
" สืบอะไรก็สืบมาเหอะ..."
 
ปวงโชคหันหน้าหนีใส่ ยิ่งทำให้รตาหัวเราะคิกคักเพราะดูท่าอีกฝ่ายคงจะแอบชอบ คนที่ชื่อ หญ้าฟางอยู่เป็นแน่
 
" หัวเราะอะไร!" เขาหันกลับมาตวาดแว้ดเข้าให้ รตาก้มหน้าหนีแต่ก็ยังกลั้นเสียงหัวเราะของตนไว้ไม่อยู่
 
"หึ  หัวเราะไปเถอะ..แต่งานง่ายๆแบบนี้ ถ้าทำได้และทำให้ฉันพอใจ
 
หัวใจไอ้นันทิน...ฉันก็จะประเคนให้ถึงหน้าห้องแกเลย ดีมั้ย?!"
 
 

 
 
ม่านเมฆขาวปุยที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางแสงสีเพลิง เริ่มคล้อยหายไปจากท้องฟ้าสีครามยามบ่าย
 
ความทะมึนมืดแห่งราตรีกาลเข้าครอบงำ เหลือไว้แต่เพียงแสงสุดท้ายของวันเท่านั้น
 
" เอ้า...ไอ้ฟาง มัวยืนบื้ออะไร ของๆใคร มาขนเอาซิเว้ย เกะกะฉิบ!!" เสียงโหวกแหวกอันคุ้นเคย
 
อาจารย์เปรี้ยวในชุดลำลอง เสื้อเชิ้ตสีฟ้าพาสเทลดูอ่อนหวาน หากสีกางเกงส้มแปร๊ดจนแสบตา
 
กลับทำให้หญิงตัวเล็ก ร่างป้อมดูเปรี้ยวสมชื่อจริงๆ
 
" ขอยืนสำรวจที่พักใหม่หน่อยไม่ได้เหรอ?  แหม...บ้านไม้สมัยพ่อขุนรึไงกัน เก่าจนมอดตอดไม้ หมดแล้ว"
 
หญ้าฟางเอ่ยพลางหัวเราะขำขัน มุมปากเหยียดกว้าง สายตาจับจ้องไปยังเรือนไม้ในสภาพที่เก่าแก่แลทรุดโทรมมากเกินกว่าจะเป็นรังนอนของคน
 
เรือนหลังน้อยสองชั้น รูปทรงลายไม้ฉายชัดถึงความคลาสสิคของตัวบ้านที่ถูกสร้างมานานหลายยุคหลายสมัย
 
ดูๆแล้ว ก็เข้ากับบรรยากาศวังเวงโพล้เพล้ใกล้ค่ำดีแท้  ความเก่าของมันพอจะทำให้ผู้มาเยือนดื่มด่ำกับมนต์เสน่ห์ของมันได้ไม่ยากนัก
 
"  ยังกะบ้านผีสิง"  เเม่เสือพยัคฆ์ครวญระงม 
 
ไอ้ตัวฝาไม้ที่ผุจวนเจียนจะพังพาบ ยังพอทน
 
แต่ไอ้ต้นไม้ที่ยืนโด่เด่รอบบ้านนี้สิ  
 
ไม่รู้กลางค่ำกลางคืนจะมีอะไรโผล่มานั่งเล่นตรงชิงช้าเก่าข้างบ้านเสียรึเปล่า
 
แค่คิดก็หลอนไปถึงตาตุ่มซะแล้ว!!
 
" สวยดีออก บ้านเก่า ยิ่งเก่ายิ่งมีอดีต"  เสียงห้าวๆของเพื่อนซี้ดังอยู่เบื้องหลังหล่อน
 
ไอ้เผือก ยืนเท้าเอวยิ้มแย้มแต้มเด่นดวงหน้า
 
หากแต่ลึกลงไปใต้กรอบตาเรียวโค้งงาม
 
กลับแฝงนัยสำคัญของคำว่า "อดีต" ได้ชัดเจนยิ่งนัก
 
" ชอบรึไง? เห็นเดินวนดูหลายรอบแล้วเนี่ย"  
 
อาจารย์สาวสุดมั่นเอ่ยถามมัน แลดูมันจะชอบประโยคนี้จริงๆ ถึงหันหลับมาตอบด้วยสีหน้ายินดีปรีดาทันที
 
" ครับ อาจารย์ ผมชอบมาก ถ้าให้ดีก็อยากจะอยู่ด้วยเลย "
 
" งั้นแลกโรงเรียนกันมั้ยล่ะ แกมาสอนอยู่ที่นี้แทนฉันเลยเป็นไง! "  หญ้าฟางกระแทกเสียงใส่
 
แต่หางตาคู่สวยปราดมองไปยังสาวร่างเล็กสุดแซ่บ
 
ละม้ายคล้ายอยากจะให้ใครได้ยิน
 
ก็แหม....ถึงจะอยู่สองคนก็เหมือนนั่งแกล้วคนเดียว
 
แม่นางปุ๊กลุกผู้เรียบร้อยหวานช่ำ กับ นางยักษ์จอมขย้ำคอคน
 
มันจะไปเข้ากันหรือ?
 
" เจ้ไม่กลัวอาจารย์เปรี้ยววิ่งวุ่น ไปทั่วคณะรึไง ฉันอยู่ของฉันก็นับว่าดีแล้ว คร้านจะคอยตามนับปัญหาของเจ้อีก"
 
" ถ้าอยากมาอยู่ ก็มาเลยสิ" 
 
ร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมดุของใครบางคนที่เดินออกมาจากเรือนไม้สุดหลอนพร้อมๆกับร่างอวบ หวานละมุน 
 
เสียงลึกต่ำ กังวาน นี้แล..เสียงของคนที่ต้องปกครองคนหมู่มาก
 
เสียงของครูฝ่ายปกครองที่ใครต่างกลัวเป็นหนักหนา
 
" บ้านหลังนี้ มีพื้นที่กว้างขวาง ไม่เหมาะที่จะอยู่กันแค่คนสองคน อีกอย่าง มีผู้หญิงอยู่แค่นี้คงไม่ดีนักหรอก มีผู้ชายคอยดูแลด้วยก็น่าจะหายห่วง"
 
" ไม่ต้องก็ได้มั้งค่ะ อาจารย์หลี่หวัง....เด็กสองคนนี้เขาอยู่ด้วยกันได้ค่ะ แค่ทางโรงเรียนจัดหาสถานที่พักให้ ก็รบกวนมากพอแล้ว"
 
อาจารย์หลี่หวังในชุดสูทสีดำนิลสนิท เหยียดตามองดู "แขกที่ไม่ได้รับเชิญ" ด้วยแววตาแกมแพรวพราว ใคร่รู้ลึกถึงไฟร้อนของอีกฝ่าย
 
" แล้วเรือนหลังนั้นเป็นของใคร..ไม่เห็นเก่าเหมือนเรือนนี้เลยแห่ะ "  คนช่างถามหันมาถาม หน้าตาเฉย
 
ตึกสีเหลืองสามชั้นกระทบแสงยามสลัว แต่ก็สวยสดน่ามองมิรู้เบื่อ หากรั้วที่สร้างขวางกั้นเอาไว้ ทำให้คนถามได้แต่ชะแง้คอมองอยู่อย่างเดียว
 
" อ่อ..ตึกนาฬิกา คนแถวนี้ชอบเรียกว่าเรือนเหลือง แต่ครูนักเรียนที่นี้เรียกว่า ตึกฮวาง เป็นตึกทำการของท่านรองผู้อำนวยการ จริงๆ ก็เป็นตึกเก่าแค่ทาสีใหม่ มันก็เลยดูใหม่"
 
" ตึกทำงานเหรอค่ะ?"  หญ้าฟางเอียงคอถามตาแป๋ว 
 
อาคารเหลืองอ่อนอ้อน หากแต่สถาปัตย์ในตัวมัน กลับงามงดยิ่งกว่าสีที่ฉาบผิว
 
ตัวตึกที่ถูกแบ่งเป็นสามชั้น คั้นกลางด้วยหอนาฬิกาที่อาจทำหน้าที่เป็นตัวขันให้เธอตื่นได้เร็วขึ้น
 
ลวดลายของปูนปั้นตามแบบยุคสมัยโคโลเนี่ยน ถูกสลักไว้อย่างสวยงาม น่ามองชม บอกได้เมื่อเห็นแวบแรก
 
"เก่าแต่งามนัก"
 
"เรือนเหลืองนวลตา     เพลาขับกล่อม ณ หอแก้ว
 
เสียงเพริศแพร้ว        มนต์ฤาจันทร์
 
บทเพลงเสน่ห์หวาน    ปานคนชม"
 
" เป็นทั้งที่ทำงานและที่นอน"  อาจารย์หลี่หวังตอบเสียงเรียบ
 
" ท่านทำงานหนัก ถ้าไม่ได้กลับบ้าน ท่านก็ค้างอยูที่ตึกนั่นแหล่ะ"
 
ท่าน ผู้สูงส่ง หากแต่หญ้าฟางไม่ได้คิดหรือรับรู้ว่า ท่าน ผู้นั้นจะเลิศเลออะไร
 
แม้จะเห็นได้ชัดจากถ้อยคำน้ำเสียงที่ดูจะกริ่งเกรง
 
มันหมดยุคแล้ว...ไอ้สังคมระบบวางอำนาจข่มคนอื่น
 
ใช้คำแทนว่า "ท่าน" แต่ไอ้คนโดนเรียก มันจะ ท่าน หรือ ทัณฑ์ เสียก็มิรู้
 
" ว่าไงละ  อยากจะลงฝึกสอนที่นี้มั้ย? ดูเหมือนเธอจะนิยมชมชอบของที่นี้ไปเสียหมดนะ"
 
" ครับ" ไอ้เผือกยิ้ม สบตาอันคมดุของเขา ไม่สะทกสะท้าน หรือหวาดหวั่น
 
ดวงตาดุจพญาราชสีห์ แต่ดูดี สง่า น่ามอง ลักษณะที่ว่า "หวานอุ่นใจ"นัก
 
" ยิ่งกว่าสนใจซะอีก แต่ผมคงไม่อาจรบกวนอาจารย์เปรี้ยวหรอกครับ ผมเองก็เลือกโรงเรียนที่ผมจะออกฝึกสอนไว้แล้ว"
 
" ก็แล้วแต่นะ" อาจารย์หลี่หวังถอนหายใจเฮือกใหญ่ คล้ายจะเหนื่อยกับการเยื้อยุดให้ "แขกที่ไม่ได้รับเชิญ" กลายเป็นแขกพิเศษไป
 
" เธอเองก็คงจะสนใจอะไรหลายๆอย่าง อดีตมันกำลังรอให้เธอค้นหาอยู่ แต่วันเวลามันยิ่งจะวิ่งหนีให้ออกห่าง
 
ทุกเรื่องราว ทุกสิ่ง...ถ้าไม่มีอดีต ชีวิตเราก็คงไม่สามารถดำเนินมาสู่ปัจจุบันได้
 
ความหลัง มักมีปมที่ใครหลายๆคนอยากจะรู้
 
ยิ่งทิ้ง ยิ่งขว้างให้ไกลตัว มันก็กลับมาพัวพันใจเราเหมือนเดิม"
 
 
ใช่...อดีต สิ่งที่ใครๆก็อยากรู้  ถ้าไม่มีอดีต ก็ไม่มีโชคชะตา
 
โชคชะตาที่จะกำหนดกงกรรมกงเกวียนของชีวิต
 
รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนดวงหน้า หากปราศจากเสน่หาที่คุ้นเคย
 
มุมปากยกขึ้น  แต่ดวงตากลับแข็งกร้าว
 
นั้นสินะ..!! ยิ่งทิ้งยิ่งขว้าง มันก็ยิ่งหวนคืนสู่ได้ง่ายดายยิ่ง!!
 
" ผมไม่อยากรบกวน"
 
" แต่คนบนตึกท่านยินดี"   คำพูดที่แฝงเลศนัยอะไรบางอย่าง
 
คนอื่นที่ยืนอยู่รอบข้างไม่มีวันเข้าใจได้
 
หญ้าฟางเกาหัวแกรกๆ
 
มายืนคุยให้ผีขบหัวเล่นกันรึไง...คุยเรื่องอะไรกันก็ไม่รู้
 
ดูซีเรียสกันจริงเชียว!!
 
" เอาอย่างงี้สิ"  คนยืนรอ เริ่มทนไม่ไหว จะกล่าวแทรกขัดคออย่างไร คงไม่มีใครว่า
 
" ไหนๆก็ยังไม่เปิดเทอม ฟางว่า ลองให้ไอ้หัวเผือกกลับไปคิดดูก่อนก็ได้นะ มีเวลาอีกตั้งเยอะ 
 
ฟางกับพราวฟ้า ยังไงๆก็โดนล็อกตัวมาอยู่ที่นี้แล้ว...แต่ถ้าไอ้เผือกมาอยู่ด้วยอีกคน พวกเราก็จะได้อุ่นใจขึ้น อย่างน้อยเวลาเลิกงานดึกๆ จะได้มีเพื่อนคอยดูแลตอนเดินกลับ
 
ส่วนจะทำเรื่องขอเปลี่ยนสถานฝึกสอน คิดว่า..อาจารย์เปรี้ยวคงไม่ขัดหรอก จริงม่ะ?"
 
" ย่ะ!!"  เสียงแหลมๆ ตะแว้ดใส่ 
 
แหม..เสนอความคิดให้กูมีภาระอีกจนได้นะ แม่ตัวดี
 
" เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันวันหลังก็ได้คะอาจารย์หลี่หวัง ตอนนี้มันก็มืดแล้ว ให้เด็กๆกลับเข้าที่พักก่อนเถอะ..อากาศเย็นๆเดี๋ยวจะได้หามเข้าโรงบาลเสียก่อน"
 
" ครับ"  เขาเอ่ยเสียงนิ่ง ก่อนจะชี้นิ้วไปตามทางเดินที่รกชัน เต็มไปด้วยพงหญ้าหนาทึบ
 
จะฆาตกรรมใครซักคนคงไม่ยาก....เลือกที่อำพรางศพได้เยี่ยมจริงๆ
 
" สุดทางเดิน เป็นประตูรั้วหลังโรงเรียน ประตูตรงนี้จะเปิดตอนเช้า หกโมงครึ่ง ปิดตอนหนึงทุ่มตรง บ้านพักของท่านอาจารย์ส่วนใหญ่จะอยู่ข้างในรั้ว แถบทางซ้ายมือ ส่วนบ้านพักยามที่เฝ้าประตูอยู่ใกล้ๆกับทางเข้านั้นแหล่ะ 
 
ถ้าพวกเธอมีปัญหาอะไร..ให้เดินไปแจ้งลุงยามเขาได้ "
 
" โอ้โห..แล้วใครจะกล้าเดินไปละค่ะ 'จารย์ รกจะตายชัก"
 
"อืม..เอาเถอะ" อาจารย์หลี่หวังส่ายหน้า รู้สึกเอือมระอากับลูกลิงที่บ่นเจื้อยแจ้วไม่หยุดตั้งแต่เหยียบย่างเท้าเข้ามาในเขตรั้วของโรงเรียน
 
"แต่เวลาพวกเธอเดินผ่านก็ระวังๆเท้ากันหน่อย ด้านหลังพุ่มหญ้ามันเป็นพื้นที่ต่ำ มีคลองที่ตัดผ่านจากในตัวเมืองเข้ามา อารมณ์เหมือนอยู่บ้านริมคลองนั้นแหล่ะ  ถ้าว่างๆ อาจารย์จะให้คนงานเขามาถากหญ้า จะได้โล่งๆ ไม่รกหูรกตามากแล้วก็จะได้ไม่เผลอพลัดตกลงไปในคลองด้วย"
 
หหญ้าฟางมองพื้นที่โดยรอบของตัวบ้าน ท่ามกลางต้นไม้พุมหญ้าที่เรียงรายล้อม ไหนจะทางเดินที่ไม่น่าจะมีใครอยากจะเฉียดเดินผ่านนัก
 
" ใครเขาจัดให้พวกเราอยู่บ้านหลังนี้กันนะ บ้านไม้เก่าๆ บรรยากาศน่ากลั๊วน่ากลัว โอย...ไฟฟ้าต่อเข้าบ้านรึยังก็ไม่รู้"
 
" ก็อยากเรื่องมากทำไมกันละ ห่ะ!! บอกให้หาที่พักเอาเอง ก็ไม่เชื่อ ทีงี้ ทำเป็นบ่น"
เสียงแว้ดๆ คำรบสองดังขึ้นอีกรอบ แต่สาวสูงเพรียวเรียวหมัด คงไม่ยอมให้โดนด่าฟรีแน่
 
" แต่ยังดี ที่เขาให้อยู่ฟรี! ไม่มีไฟใช้ ก็จุดเทียนเอาก็ได้วะ!"
 
หญ้าฟางเดินหน้างุด ลากมือตันๆของเพื่อนสาวที่ยืนนิ่งเงียบมานาน 
 
พราวฟ้าหันมาอมยิ้มให้ เป็นเชิงขบขันในความงกของเจ้าหล่อนที่กินขาดคนอื่น
 
ร่างทั้งสอง อีกคนเดินกระแทกปึงปังจนพื้นบ้านแทบสะเทือน แต่อีกคนเดินเนือยๆ เนิบนาบ นุ่มลึก
 
แสงไฟในบ้านสว่างจ้า ระเรื่อนวลตาเข้ากับบรรยากาศบ้านเก่าได้ดี
 
ก่อนจะตามด้วยเสียงร้องเฮลั่นของเจ้าบ้านรายใหม่
 
พลอยทำให้คนข้างนอกยืนอมยิ้ม เพราะความสุข
 
หากบัดนี้..ความสุขเหล่านั้น จะมีอยู่ต่อไปได้อีกเท่าไหร่
 
หน้าที่...ปัญหา ยังคงมิมาถึง
 
" หมดธุระส่งลูกลิงเข้าสวนซะที ยังไงดิฉันกับลูกศิษย์ ก็ลาท่านอาจารย์เลยละกันนะคะ"
 
"ครับ"  คนกล่าว พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หากแต่ใบหน้าไม่ได้จับจ้องไปยังคนตรงหน้า
 
" หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก"  
 
แขกทั้งสองทำความเคารพชายหน้าดุตามมารยาท ก่อนจะแยกย้ายขึ้นรถ ขับหายไปตามทางที่มืดสลัว
 
ในรถยนต์...คนหน้าดุหยิบโทรศัพท์หมายมาดที่จะรายงานข่าวให้ใครคนหนึ่งรับรู้ในบางสิ่ง
 
เสียงกดหมายเลขดังขึ้นท่ามกลางละอองแอร์ที่เย็นช่ำ
 
แสงไฟตามถนนใหญ่หน้าซอย พอมองเห็นตัวเลขของปลายสายนั่นได้อย่างถนัดชัดเจน
 
" มีอะไร?"
 
" คนที่ท่านต้องการ มาแล้วครับ" น้ำเสียงนอบน้อมดั่งเคย
 
" ผมพยายามทำตามที่ท่านสั่ง พยายามกล่อมเกลี้ยเขา แต่ดูเหมือนเขายังไม่พร้อมที่จะอยู่ที่นี้ ผม...."
 
 เสียงปลายสายถูกวางลงอย่างเร็ว 
 
คำสั่ง แม้ไม่เอื้อนเอ่ย แต่รับรู้ได้
 
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
 
ภารกิจแรกยังไม่สิ้น
 
ตราบใดชีวินยังไม่สูญ 
 
เขาจะยังหยุดไม่ได้...
 
หากแต่ การหวนกลับไปสู่อดีต  ก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน!!
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา