ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )

8.0

เขียนโดย Wuzhenni

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.

  22 ตอน
  9 วิจารณ์
  26.93K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) แต่งเสร็จแล้ว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 

พ่อบ้านนันทิน
 
GranCabrio  สีเทาบรอนด์หยุดจอดอยู่หน้ารั้วเหล็กลายพลิ้วสวย เข้ากันได้ดีกับตัวคฤหาสน์โรมันเรือนใหญ่ที่ตั้งท่ามกลางแมกไม้ละม้ายคล้ายสวนสัตว์ ที่ไร้สรรพเสียงเพรียกร้องของฝูงสัตว์
 
นอกเสียจากเหล่าชายชุดดำที่เดินอยู่กันเกลื่อนลานสนามด้านหน้า
 
ต้นไม้ที่ปลูกไว้รอบๆเขตรั้ว  เสมือนเกราะป้องกันภัยชั้นดีไม่ต่างจากกำแพงพรางตา
 
คอยคุ้มกันคนสำคัญของบ้าน ซึ่งก็ดูเหมือนจะสำคัญแค่ตำแหน่งและอำนาจวาสนา
 
หากหมดไร้ซึ่งอำนาจ จะมีอะไรเล่าที่จะคอยคุ้มหัวระวังตัวให้
 
“ ยังกับบ้านกลางป่าอะเมซอน”  ชายคนขับเอ่ยพูดขึ้น ขณะที่คนนั่งเบาะด้านข้างอมยิ้มพลางสั่นหัวเล็กน้อย
 
“  ทำไมรึ อยู่มาตั้งนานไม่ยังไม่ชินอีกรึไง”
 
“ ปู้โธ่...คุณนัน”  น้ำเสียงกริ่งเกรง พาลทำให้พวกคนที่นั่งอยู่เบาะหลังหัวเราะหึในใจ
 
ขนาดกับพ่อบ้านยังต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว  แล้วถ้าเป็นคนใหญ่คนโตในบ้านคงจะมิคลานแทบเท้ากระนั้นหรือ
 
ชายหนุ่มหนวดครึ้ม นั่งมองคนเบาะหน้าทั้งสองด้วยแววตาสงสัยแกมใคร่รู้ยิ่ง
 
แม้นชายผู้นี้จะเป็นเพียงเด็กหนุ่มหน้าละอ่อนกว่าพวกมันมาก แต่ด้วยฐานะ “คนโปรด”
 
คนโปรดที่โดนจิกหัวใช้ คนโปรดที่ต้องประเคนอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้กับเจ้าของบ้านทั้งสอง
 
และเป็นคนคนเดียวที่ น่าจะเป็น “ตู้เซฟ” กักเก็บความลับสำคัญของคนในบ้าน
 
คนที่มีอำนาจ นายจ้างที่สั่งจ้างให้พวกมันมาอารักขาทั้งวันทั้งคืน
หน้าที่ที่ไม่ต่างกับยามหน้าร้านทอง
 
รู้เพียงแต่ลาดเลา อาณาเขตที่เต็มไปด้วยต้นไม้ยอดสูง แต่มิอาจล่วงรู้สิ่งที่เป็นไปในชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังโตนี่
 
หากเจ้านาย จะเลิกจ้างพวกมันเสียเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ 
 
แต่กับไอ้พ่อบ้านหน้าอ่อน
 
แค่ปล่อยให้มันไปส่งเด็กผู้หญิงที่โรงเรียนนั่น ยังต้องให้พวกมันตามติดประชิดตัว
 
คืดดูเอาเถิด ว่าคนๆนี้สำคัญมากเพียงใด
 
คงมิแปลกที่พวกเหล่าบอดี้การด์อย่างมัน จำต้องนอบน้อมไม่ต่างกับผู้เป็นเจ้าของบ้านเท่าไหร่นัก
 
ทว่า.....ทั้งๆที่มีโอกาส  ไฉนไอ้เด็กหน้าละมุนถึงมิคว้าโอกาสให้ตัวมันเป็นไทจากเรือนขังกลางสวนนี้เสียที
 
“ ไอ้ชินมันก็ พอชิน คุ้นเคยอยู่แหล่ะครับ แต่ถ้า คุณนันจะกรุณาเรียนให้คุณท่านโค่นต้นไม้ใหญ่ๆออกซักสี่ห้าต้นลง จะเป็นพระคุณอย่างสูงเชียวหล่ะ  นึกถึงหัวอกพวกผมเวลาตรวจเวรยามตอนดึกๆกันหน่อย  ”
 
“ ทำไม กลัวผีนางไม้จะโผล่มาจ๊ะเอ๋ให้เห็น อย่างงั้นเร๊อะ?”  เขาหันมาเอ่ยถามด้วยสีหน้าขบขันแกมหยอกล้อเพราะรู้นิสัยของเหล่าชายชุดดำได้เป็นอย่างดี
 
เห็นหน้านิ่งๆ  หุ่นเถื่อนๆ  แต่พอจะเขยื้อนพระโอษฐ์แต่ละที กระวี้ดกระว้าย ไม่แพ้แม่ป้าหน้าตลาดเลยซักนิด
 
“  แหมมม คุณนัน  กลางค่ำกลางคืน ถ้าไม่ให้พวกผมกลัวผีจะให้พวกผมกลัวเสาบ้านรึยังไงล่ะครับ เวลาเดินลัดเลาะดงป่าทีเนี่ย ต้องเช็คเกียร์รองเท้าอยู่บ่อยๆ เผื่อเจออะไรปุ๊บปั๊บ จะได้แล่นหนีให้ไวก่อนใครเค้า ถึงพวกผมจะถูกจ้างมาให้เป็นผู้พิทักษ์คนในบ้าน แต่สำหรับคนร่อนเร่ที่อยู่นอกบ้านตอนดึกๆดื่นๆมันไม่ได้อยู่ในข่ายใบสัญญาจ้างด้วยซักหน่อย”
 
“ มันไม่มีอะไรหรอก”  พ่อหนุ่มเริ่มหัวเราะ  เมื่อคนพล่ามเริ่มจะแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมา แม้แต่ไอ้คนนั่งมองดูเหตุการณ์อยู่ตรงเบาะหลังยังอดฉีกยิ้ม พยักหน้าเห็นดีเห็นงามเสียอีกด้วย
 
“ ถ้าเราไม่คิดไปเอง มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรอก”
 
“ ก็พูดได้สิครับ ลองมาเป็นพวกผมดูซักวันสองวัน เดี๋ยวคุณพ่อบ้านก็กลับคำ”
 
“  ผี วิญญาณ มันจะน่ากลัวสู้ความนึกคิดของมนุษย์เราได้ยังไงกัน"  เขาเริ่มนั่งเงียบ สายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้า 
 
ความคิดของมนุษย์  วิญญาณและความตาย สิ่งใดเล่าที่น่ากลัวกว่ากัน
 
เมื่อคนๆหนึ่งได้ละจากโลกนี้ไป
 
ทิ้งไว้ให้คนที "เป็นอยู่" เผชิญชีวิต  ต่อสู้กับความคิดของคนอีกหลายล้านคน
 
การแข่งขัน  การชิงดีชิงเด่น วัฏจักรแห่งการอยู่เหนือธรรมชาติ
 
หากหลุดพ้นไปได้ก็นับว่าประเสริฐสุดแล้ว
 
คนที่ตาย มีเพียงวิญญาวนเวียนอยู่ในภพที่ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร
 
แต่ถึงกระนั้น..........โลกของพวกเขา คงจะไร้การต่อสู้เพื่อเอาชนะซึ่งกันและกัน
 
เหลือแต่เพียงชดใช้ “การกระทำ” ที่ตัวเองก่อมันขึ้นมา
 
เพียงเพราะ “ความคิดที่หลากหลาย” ของมนุษย์
 
ตัวการที่ทำให้ทั้งคนเป็น และ คนตาย ต้องชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองคิดและทำมันลงไป
 
“ ว่าแต่  ทำไมถึงยังไม่มีใครออกมาเปิดประตูให้ซักทีนะ  น่าจะมีคนไปบอกให้คุณท่านเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติเน๊าะ..จะได้ไม่ต้องรอนาน” คนพูดกลอกตามองคนข้างเบาะประหนึ่งจะให้อีกฝ่ายรับรู้เอาไว้
 
“ ก็บอกเอาเองสิ...มีปากเหมือนๆกัน”   คุณพ่อบ้านหน้าอ่อนยิ้มนิดๆปล่อยให้คนฟังหน้าเอ๋อกันพรึบก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ มุ่งตรงไปยังเครื่องฝากข้อความที่ติดตั้งไว้ตรงรั้วบ้าน
 
นิ้วเรียวยาวแต่หยาบกระด้างกดหมายเลขที่คุ้นเคย พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ตัวเครื่อง
 
มุมปากขมุบขมิบเล็กน้อย แม้เสียงจะไม่ดังมาก ทว่าได้ยินชัดถ้อยชัดคำดี
 
 “ ป้าโอ่งครับ ผมนันทินนะครับ ถ้าป้าได้ยินแล้ว ช่วยมาเปิดประตูรั้วให้พวกผมหน่อยนะครับ”
 
“ รอเดี๋ยวๆ พอดีมีแขกกำลังจะกลับ เดี๋ยวป้าจะออกไปเปิดให้นะ”
 
“ครับ”
 
เอ่ยด้วยเพียงคำสั้นๆอย่างว่าง่าย
 
ชายหนุ่มหันหลังเดินกลับมาที่รถด้วยทีท่าสง่าแลสุขุมยิ่ง
 
หากแต่ดวงตาประกายฝันของวัยรับอรุณ รับรู้ได้ถึงการจดจ้องจากใครคนหนึ่ง
 
คนที่เขานั่นไม่รู้จัก แต่ก็จักใช่ว่าไม่คุ้นชินกับสายตาอันแปลกประหลาดคู่นั้น
 
“ มาอีกแล้วรึ?”
 
คนทักเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง หากแต่คนที่โดนทัก กลับมิทายตอบโต้อะไร
 
แค่นั่งเหม่อมองไปยังทิศเบื้องหน้า
 
คลับคล้ายกำลังจะจับจ้องบางสิ่งแทนตัวเขา
 
ทว่า...มิอาจรับรู้
 
 “ มันมาอีกแล้วเหรอครับ?  ตายยากตายเย็นเหลือเกินนะ ไอ้เด็กใบ้เด็กบอดเนี้ย”
 
คนในรถหมุนกระจก ยื่นหน้าออกมาบ่นปาวๆใส่
 
“ ก็เหมือนเดิมนั้นแหล่ะ”  คุณพ่อบ้านเอ่ยตอบกลับไป สายตายังคงเพ่งพินิจ ไอ้เด็กใบ้เด็กบอด อยู่มิคลาด
 
ผมเผ้า สกปรกรุงรังไม่ต่างกับรังนกบนกิ่งไม้ หรืออาจจะแย่กว่านั้นเสียอีกแต่ก็ไม่ใคร่นึกรู้มากนัก เพราะไม่เคยจับต้องมัน
 
เสื้อผ้าขาดแหว่งจนเห็นผิวหนังที่หยาบกร้าน แห้งจนติดกระดูก
 
จะเอ่ยทักทายด้วยไมตรีจิต จะผูกมิตรด้วยความสงสาร
 
แววตาอันประหลาดของมันนี้แล
 
เสมือนไร้จิตใจ  แต่มิไร้ตัวตน
 
ตัวตนที่คนบนโลกมิอยากพานพบ!
 
ม่านดวงตาสีขุ่นพอจะบอกได้ว่า มันมิอาจรู้เห็นสิ่งใด
 
ริมฝีปากบนล่างแนบชิดติดกัน  ไม่มีการโต้ตอบหรือยอกย้อนใส่
 
เมื่อมีใครตะโกนไล่ด่ามัน  
 
ความเงียบ คือ ผลลัพธ์ของคำตอบ
 
“ เป็นใบ้เสียละมั่ง พูดก็ไม่พูด เคราะห์ร้าย ยังมองไม่เห็นอีกแหน่ะ”
 
ผู้คนในละแวกนี้ต่างคุ้นเห็นมันดี
 
แต่ก็ไม่มีใครอยากจะรู้จักมันให้มากกว่านี้เลยซักคน
 
“ เวลามันหันมามอง ถึงจะไม่เห็นอะไร แต่มันกลับทำว่าเหมือนจะเห็น”
 
เพียงแค่เด็กเหลือขอพูดไม่ได้ มองไม่เห็น
 
สำหรับคนอื่น คงมองแบบนั้นจริง
 
หากมีบางสิ่งที่ซ่อนอยู่
 
และดูท่าจะมีแค่เขาที่สัมผัสมันได้
 
“ เดี๋ยวจะเอาข้าวมาให้”
 
แม้พูดได้เพียงเท่าที่พูด หากจะเอ่ยโอษฐ์ให้สมกับตำแหน่งที่ถือครองมาเนิ่นนาน
 
ไล่มันไปเสียให้ไกลจากเขตแดนบ้านก็ย่อมทำได้
 
เพียงแต่...
 
เขาไม่ได้มองเหมือนที่คนอื่นมองมัน
 
แค่  เปลือก
 
คุณพ่อบ้านหมุนหลังกลับประจวบเหมาะกับล้อเลื่อนของรั้วที่กำลังเปิดออก
 
หญิงใหญ่วัยกลางคน รูปร่างอวบอ้วนอุ้ยอ้ายสมชื่อกำลังเคลื่อนตัวไปตามทิศทางของประตูเหล็กที่ขวางกั้นระหว่างบ้านป่าอะเมซอนกับสายน้ำคอนกรีตที่ตัดผ่าน
 
รถตู้สีดำ ค่อยๆชะลอล้อเมื่อรู้ว่ามีรถอีกคันจอดขวางอยู่
 
GranCabrio ราคาแพง
 
ย่อมแน่ รถหรูระดับไฮโซ จิ๊กโก๋ในคราบชุดสูท
 
หากไอ้รถเหล็กคันงามนี้ เกิดเป็นรอยเข้าที่ไหนซักแห่ง
 
มัน ตำแหน่งผู้พิทักษ์ที่รับผิดชอบดูแลรถคันนี้
 
ก็ไม่แคล้วจะมีรอยเท้าอยู่กลางหลังเป็นแน่
 
“ คุณพ่อบ้าน กลับมาแล้วเหรอ คุณปวงโชคแกบ่นอยากจะพบอยู่พอดีเลย เห็นนั่งรออยู่ที่ศาลาตั้งนานแน่ะ  ”
 
“ ครับ เดี๋ยวผมไป”
 
เขาก้มคำนับเล็กน้อยตามมารยาท
 
ถึงตัวจะมีอำนาจ...
 
แต่ก็ใช่ว่าจะอยู่ค้ำฟ้าได้ตลอด
 
มีเงินเป็นแสน แม้นจะมากวาสนา
ประกาศิตของเงินตรา  ฤาจะสู้
ประกาศิตแห่งวิญญาณ!!!
 

 
เสียงล้อลากของกระเป๋าที่วกวนไปตามพื้นผิวของเรือนไม้ในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง
 
เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ถูกจัดเข้าให้เหมาะกับมุมบ้านได้เป็นอย่างดี 
 
เครื่องเรือนทุกชิ้นทุกส่วน ล้วนแล้วแต่เป็นของเก่าในบ้านที่นำมาปัดเช็ดถูให้สะอาดเอี่ยมอ่อง
 
ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีน้ำเงินตัดกับผิวสีขาวนวลเนียน ทรงผมที่ไม่ได้เซตให้เข้าทรงแต่อย่างใด บ่งบอกได้ในทันทีว่าเจ้าตัว คงมิได้ อนาทรร้อนใจกับการเข้ารับตำแหน่งครูฝึกสอนในวันแรก
 
" อะไรหว่า...วางสายหนีไปเฉ๊ย ยังไม่ได้ด่ากลับเลยซักคำ วู้....ผีเจ็กผีเจ้าเข้าสิงอีกรึไงเนี่ย"
 
เสียงสบถดังขึ้น เมื่อเจ้าเผือกยืนจ้องหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายหายไปเพราะแม่เสืองามนั้นแหล่ะ
 
" ก็มันรกจริงๆนี่หว่า สกปรกอีกแหน่ะ ฝุ่นเฝิ่นยังจับอยุ่เลยเนี่ย"
 
 เจ้าตัวยังคงบ่นไปเรื่อยๆ พลางสำรวจตรวจมองสภาพภายในบ้านที่ยังไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ยังคงมีข้าวของวางระเกะระกะซึ่งพอจะเข้าใจได้ว่า สองคนนั้นเพิ่งจะทยอยขนของลงบ้านเสร็จ
 
" บ้าน.."
 
แววตาที่ไล่มองตัวบ้านคล้ายกับระลึกถึงวันวาน
  
ความทรงจำกับความจริงที่มิอาจหวนย้อนคืน
 
เสียงหวีดร้องของผู้หญิง  เสียงที่เขาเองก็คุ้นเคย
 
มันดังก้องอยู่ในเหวลึกของจิตใจ
 
" แม่.."  
 
เพียงเขาหลับตา... 
 
บรรยากาศโดยรอบดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนไปตาม เข็มนาฬิกาในอดีต
 
ภาพแห่งวัยเยาว์ถูกจุดขึ้นให้เห็นในโสตทรวงอีกครั้ง
 
แม้นต่างเวลา หากแต่สถานที่ คือ แห่งเดียวกับที่เขายืนอยู่
 
 
 
" โว้ย...ไอ้เผือก ชักช้า พิรี้พิไรอยู่ได้ เรียกตั้งหลายรอบ นอนกลางวันจนเพลินเลยซิท่า ไอ้ลูกคนนี้ จริงๆเล๊ย  แน่ะ! มาชักสีหน้าใส่อีก มาเร็วๆสิ เอ้อ"
 
วาจาสะท้านทรวงของคนเป็นแม่ พอที่จะทำให้ ลูกชายวัยสิบขวบ ค่อยๆ ตื่นจากนิทราในยามบ่าย
ก่อนจะคลานตุ้บตั๊บไปยังที่มาของเสียงด้วยสีหน้าแววตาลิงโลด ดีใจ
 
" โอ้โห  ขนมไหว้พระจันทร์ ... ลาภปากไอ้เผือกแล้ว ฮ่ะฮ่า "
มันพูดไปมือเล็กๆลีบๆก็เริ่มฉกขนมขึ้นมาแกะ แต่ยังไม่ทันจะเข้าปากก็โดนฝ่าพระหัตถ์ของแม่กระแทกเข้ากลางกระหม่อมจนขนมหลุดกระเด็นไปอีกทางหนึ่ง
 
" มึงจะมาขโมยขนมคนอื่นได้ยังไง ใครสั่งใครสอน ห่ะ!อุตส่าห์นั่งหลังขดหลังเเข็ง อบขนมอยู่ที่โรงเรียน  อีอาจารย์ดวงเดือนก็ใช้งานพวกกูกันเสียจริ๊ง ขนมพวกเนี่ย... เดี๋ยวเอ็งวิ่งเอาไปให้ป้าน้อม จำได้ใช่มั้ย? บ้านป้าน้อมที่เป็นแม่ครัว ถัดจากบ้านพักเราไปอีกหน่อยน่ะ"
 
" จำได้จ้า" มันพูดพลางลูบหัวเบาๆ 
 
อะไรว่ะ...กินนิดกินหน่อยก็ไม่ได้ จะห่วงอะไรนักหนากันเชียว
 
" แม่จะให้หนูเอาไปส่งให้รึ?"  มันถามย้ำเพราะคร้านจะวิ่งไปส่งให้ บ้านพักป้าน้อมต้องวิ่งไปอีกเกือบหลังท้ายๆใกล้ดงป่า น่ากลัวจะตายชัก
 
" ก็เออน่ะสิ" แม่บอกปัดอย่างรำคาญก่อนจะเดินขึ้นหายไปชั้นบนของบ้าน
หากทว่า...ช่วงเสี้ยววินาทีที่ผัดผ่าน แม่ของมันก็เดินลงมาด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สีสันฉูดฉาดช่วยขับสีผิวของเรือนกายให้สวยผุดผ่อง ไหนจะทรวดทรงที่แนบเนื้อแลมองเห็นหุ่นสะโอดสะองค์ที่ดุยังไงก็ไม่เหมือนรูปร่างของคนที่มีลูกเสียเลยด้วยซ้ำ
 
เมื่อเห็นไอ้ลูกชายตัวดีนั่งจ้องตาแป้วอยู่ที่เดิม เสียงหวีดแว้ดก็ดังก้องขึ้นมาอีกคำรบหนึ่ง
 
" ไอ้เผือก!!! มึงมานั่งเซ่ออะไรอีก ห่ะ!! กูบอกให้มึงเอาของไปส่งที่บ้านป้าน้อม มึงยังไม่ไปอีกเร๊อะ!!! บอกหูซ้ายทะลุหูขวาจริงๆนะมึง  สมองเสื่อมไปแล้วรึไง ...วันๆเห็นแต่นั่งเล่นเกม แหม...ประเทืองปัญญาเหลือเกิ๊น  สั่งอะไรไม่เป็นไปตามสั่ง รีบๆไปเลยนะมึง! รกหูรกตาชะมัด"
 
ไอ้เผือกสาวเท้าหนีเสียงนางพญาอย่างไวที่สุด แต่มันก็ชินแล้วกับเสียงด่าของแม่
 
เพื่อนบ้านเรือนเคียงก็คงจะชินหูกันอยู่แล้ว ถึงไม่ได้ชะโงกหน้าออกมาชะเง้อมองดูอะไร
 
เพราะคนละแวกนี้...ก็เพื่อนร่วมสายอาชีพเดียวกันกับแม่
 
อาชีพที่ไร้ความสำคัญยิ่งในโรงเรียน!
 
ภาพในโสตความทรงจำกำลังทำงานอย่างหนักหน่วง
 
เสมือนกล้องที่ฉายภาพในโรง ฉากแห่งชีวิตที่เลวร้ายในครั้งนั้น มันย้อนกลับมาทำร้ายเขาเมื่อปิดเปลือกตาลง
 
ภาพที่สุดแสนสะเทือนขวัญและถูกตีตราให้กลายเป็นภาพที่ยากแก่การลบเลือน
 
" แม่...... แม่..!!!!"  
 
เสียงของเขาในกาลนั่น ยังคงดังก้อง
 
หากแต่สถานที่ถูกเปลี่ยนไปยังอีกที่หนึ่ง
 
พงหญ้าที่สูงชัฎ ทิวไม้ที่รายล้อมในยามโพล้เพล้  สายน้ำที่ปรากฏเงาของแสงอาทิตย์ก่อนจะร่วงลับไป แสงสุดท้ายที่ถูกทักทอด้วยเส้นไหมสีส้มอมทองระบายสีผิวน้ำจนมองเป็นเนื้อเดียวกัน
 
ผู้คนในชุดเครื่องแบบ ทั้งเครื่องแบบภารโรงและเครื่องแบบหวกหม้อน้ำตาลสีกากี กำลังเคลื่อนไหวท่ามกลางเสียงนินทาของผู้คน ยกเว้นเสียแต่...
 
เสียงร้องไห้ระงมปนกับเสียงตะโกนสาปแช่งของมัน ผู้เป็นลูกที่ยังคงแหกปากไม่หยุดหย่อน
 
" ใคร!   ใครมันฆ่าแม่กู  กูจะตามไปคิดบัญชีกับมัน มึงฆ่าแม่กู  แม่!  แม่! แม่จ๋า!"
 
ผู้คนต่างจับจ้องไปยังเด็กชายตัวเล็กที่กำลังยื้อยุดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่ง หมายมาดจะกระโจนเข้าหาร่างไร้วิญญาที่นอนลอยคออยู่ริมตลิ่ง
 
" หนู หนู ใจเย็นก่อนๆ ตอนนี้ขอให้ตำรวจทำงานกันก่อนได้มั้ย? พวกลุงทำงานไม่สะดวกเลยนะ"
 
เสียงนายตำรวจร้องปรามอย่างใจเย็น แต่ดูทีท่าว่าน้ำเย็นคงมิอาจดับไฟทีร้อนรุ่มของเด็กคนนี้ได้อีกต่อไปก่อนที่จะมีมือของใครคนหนึ่งปิดตาของมันพลางกระซิบที่ข้างๆหูด้วยสดับสำเนียงที่คุ้นเคย
 
" เผือก...อย่าร้องเลย นิ่งๆเสียคนดี แม่ผึ้งเขาไปดีแล้ว ถ้าแม่เค้าเห็นเผือกร้องไห้แบบนี้คงไม่ได้ขึ้นสววรค์แน่"
 
" ป้าน้อม มะ..แม่ ทำไมแม่ต้องตายครับ" น้ำเสียงสะอื้นไห้ไร้โทสะ อารมณ์ที่บอบช้ำกระทบจิตใจของมันยิ่งนัก แม้แต่ศพแม่ก็ขวางกั้นไม่ให้มันเยี่ยมกรายเข้าไปเจอหน้าแม่เป็นหนสุดท้าย 
 
ผ้าสีขาวห่มมัดร่างที่ไร้ชีวี ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังรถของมูลนิธิฯ ที่จอดรออยู่ตรงเรือนไม้สองชั้นอันเป็นที่พักอาศัยของมันและแม่
 
แววตาห่วงหาอาลัย คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตกำลังจะอันตราธานหายไปจากโลกนี้ไปทั้งกายและจิต
มันรีบผละตัวออกจากอ้อมกอดของหญิงวัยกลางคน ขับฝีเท้าให้วิ่งตรงไปที่รถคันนั่นโดยเร็วเท่าที่พละกำลังของมันจะคงเหลืออยู่
 
" มีเรื่องอะไรกัน?" ชายในชุดสูทสีดำคนหนึ่งเอ่ยถามเจ้าหน้าที่ที่กำลังแบกหามศพด้วยสีหน้ายิ้มกระหยิ่ม แววตาคล้ายดั่งสมใจ พอใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ผิดกับผู้คนที่รายล้อมด้วยอารมณ์หดหู่ใจยิ่ง
 
" มีคนแจ้งว่าพบศพผู้หญิงคนหนึ่ง ตรงริมคลองนี้น่ะครับ เห็นว่า เป็นศพแม่บ้านของโรงเรียน"
 
" แล้วเป็นอะไรตาย?"
 
" ไม่ทราบแน่ชัดครับ คาดว่าน่าจะเมาแล้วเผลอลื่นพลัดตกคลองไปน่ะครับ"
 
" เฮ้อ...ก็อย่างนี้แหล่ะ อาเหริน ผู้หญิงสมัยนี้ เที่ยวผับเที่ยวบาร์ ดื่มเหล้าเมายาจนลืมนึกถึงลูกเต้าของตัวเองไปเสียได้ ประมาท ไม่ยั่งคิด เอ๊ะ...หรือจะไม่มีหัวคิดอะไรเลย แม่คนนี้ยิ่งมีนิสัย ปากคอเราะร้าย ชอบพูดไม่รู้จักคิดอยู่ตลอด"
 
เสียงผู้หญิงเอ่ยขึ้น จะด้วยตั้งใจหรือพลั้งปากไปเองก็สุดแล้วแต่ใครจะนึกคิดได้ ตัวมัน แม้นจะไม่ประสีประสา มิอาจล่วงรู้ว่า นั้นเป็นถ้อยคำหยาบของผู้ดีที่ขัดเกลาให้ระรื่นหู แต่มันก็รู้ มันไม่ได้โง่ว่า ผู้หญิงคนนี้กำลังด่าแม่ของมัน!
 
" มึงหยามแม่กูรึ!" 
 
มันชี้หน้า ชายหญิงคู่นั้น สตรีที่ปล่อยวาจากระแทกเสียดสีอยู่ในชุดกี่เพ้าสีม่วงลายแดง ทรงผมมัดเกล้าไว้ด้านหลัง ประดับด้วยปิ่นเนื้อหยกชั้นดี มีผมสีหงอกแซมให้เห็นบ้างประปราย
 
ดวงหน้าอันบ่งบอกวัยที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ดวงเนตรที่เด่นโตนัยว่ากำลังถลึงตาใส่ด้วยนิสัยกับหางตาที่เชิดขึ้น ทำให้มองเหมือนดวงตาของคนใจแคบ เห็นแก่ตัวยิ่งนัก
 
หล่อนปรายตามองมายังตัวมัน ก่อนจะเค้นเสียงหัวเราะออกมาด้วยแววตาชิงชังกึ่งเย้ยหยันในที
 
" ลื้อเปงใคร? ลูกนังนี่หรอกเร๊อะ อาเหริน" หล่อนหันไปถาม ชายหนุ่มพยักหน้ารับพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นครุ่นคิดหนัก
 
" ลื้ออย่าได้ริบังอาจคิดเก็บมันมาเลี้ยงเหมือนเตี่ยลื้อเชียวนะ นิสัยสันดานเหมือนแม่มันไม่มีผิด!"
 
เสียงปรามเบาๆแต่รุนแรงในถ้อยคำ วลีที่บ่งบอกความเด็ดขาดไปในตัว
 
" แค่แม่มัน ลื้อก็ทำให้อั๊วต้องปวดหัวไม่รู้เสียเท่าไหร่"
 
คำพูดยิ่งแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มกวาดตามองดูฝูงชนที่รายล้อมด้วยสีหน้าหวั่นใจ
 
ถ้อยคำพลั่งเผลอ คงไม่มีใครได้ยินเสียกระมัง?
 
ในฝูงหมู่ชนที่รายล้อม 
 
ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น
 
คนคนหนึ่งยืนเคียงข้างเด็กชายคนนั้น เสมือนภาพเลือนรางในอากาศ
 
ใครมันจะไปเห็นตัวตนในอนาคตของเขาได้กันเล่า?
 
ตัวตนที่แท้จริงในกาลปัจจุบัน กำลังยืนอยู่ในห้วงความทรงจำแห่งอดีต
 
อดีตที่เจ็บปวดเหลือทน....
 
ไม่นึกเลยว่าเขาจะได้หวนกลับมาสู่ที่พิงพำนักเดิม
 
แต่ทว่า...ต่างวันและเวลา หากสถานที่คือแห่งเดียวกัน
 
"เอาเถอะน่า..."  ไอ้เผือกรำพึงอยู่ในใจ
 
มันหลุดออกจากวังวนในอดีตที่เลวร้ายได้  แต่ใช่ว่ามันจะยอมเลิกรา
 
เพลิงแค้นสงบลง  ความทรงจำและบาดแผลในจิตใจถูกซ่อนเอาไว้
 
ตอนนี้มันควรลืม เพราะมันอยู่ในกาลปัจจุบัน 
 
" รอก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อน"
 
มันเตือนตัวเอง ไอ้เผือกเดินดุ่มๆไปที่โซฟาตัวยาวก่อนจะทิ้งตัวลง สะบัดผมให้เข้าทรง พลางเหยียดขาไปตามแนวขอบเบาะเนื้อนุ่ม
 
หากในห้วงของกาลนิทรา...เสียงๆหนึ่งที่คอยขับกล่อม 
 
จากดินแดนที่แสนไกล 
 
ปลุกเพลิงแค้นให้คุกกรุ่นอยู่เสมอ มิรู้วาย....
 
เส้นผมดอกเลา เงาของชายในชุดสูทสีดำปรากฏเป็นภาพรางๆในความฝัน
 
 
"  ยามใดที่ไฟพยาบาทของเจ้าเริ่มดับลง  ข้าจะเป็นคนจุดให้มันลุกโชติ
 
 และทำลายทุกสิ่งด้วยไฟในมือของเจ้าเอง!"
 
 
 
 
 

 
 จบตอนที่ 16 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา