Real Breaker

7.6

เขียนโดย คันศร

วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.46 น.

  19 บท
  18 วิจารณ์
  18.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 19.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) หอคอยรัตติกาล บทที่1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัดในเวลาใกล้รุ่งยังคงมีแสงไฟออกมาจากหน้าต่างในตึกแถวเก่าๆ แห่งหนึ่งภายในห้องยังคงมีชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งครุ่นคิดอย่างร้อนรนจนเขาเผลอถอนหายใจออกมานับครั้งไม่ถ้วน ถึงแม้ขอบตาของเขาจะเริ่มดำคล้ำบ่งบอกถึงสภาพร่างกายที่อิดโรยแต่สายตาของเขายังคงจดจ้องอยู่กับแผ่นกระดาษนับร้อยๆ ใบที่ถูกติดไว้เต็มผนังห้องราวกับภาพแผนที่ขนาดใหญ่

          “ศาส ศาสตรา!ทำอะไรอยู่น่ะ ร่างกายของเจ้าบาดเจ็บอยู่นะ” เสียงเรียกจากอเดลดังมาจากหน้าประตูดูเหมือนว่าเธอจะเรียกเขาอยู่นานกว่าที่จะรู้สึกตัว

          “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะอเดล แค่นี้เองไม่เป็นไรหรอก...” ศาสพูดขึ้นในขณะที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่วางตา

          “ก็จริงอย่างที่เจ้าพูด แต่พวกมันต้องการของในตัวเธอมันคงไม่กล้าลงมือทำอะไรในตอนนี้หร--”

          “ก็แล้วถ้ามันทำล่ะ!! ปีศาจแบบพวกมันทำได้ทุกอย่างนั่นล่ะ!!!” ศาสพูดสวนขึ้นอย่างหัวเสีย ก่อนที่เขาจะเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อสงบสติอารมณ์

          “ขอโทษนะอเดล...ผมไม่มีเวลาแล้วทั้งๆ ที่ตั้งใจไว้แล้วไม่ว่ายังไงก็ต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้...แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่าแบบนี้...”

           “ข้าเข้าใจเหตุผลของเจ้าดี แต่เจ้าก็ควรพักผ่อนบ้างที่เหลือข้ากับราเชนจะหาทางทำอะไรสักอย่างเอง”

          “แต่ว่า--”

          ในขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกันอยูนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเมื่อทั้งคู่หันไปก็พบเชนกำลังเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน

          “ข่าวจากทีมสำรวจที่ส่งไปสอดแนมตามสถานที่ ที่คาดว่าน่าจะเป็นแหล่งกบดาลของพวกมันได้รับรายงานหมดแล้วนะ” เชนพูดพร้อมกับส่งข้อมูลขึ้นบนจอโปรเจคเตอร์

          “...ไม่ใช่ทั้งหมดเลยงั้นเหรอ” ศาสพูดขึ้นด้วยท่าทีหนักใจเมื่อเห็นข้อมูลที่อยู่ตรงหน้า

          “คุณอเดล คุณแน่ใจนะว่าสถานที่พวกนี้ถูกต้อง พวกนี้คือตึกสูงทั้งหมดที่อยู่ในเมืองแล้วนะ”

          “ไม่ผิดหรอก...หากพวกมันต้องการประกอบพิธีมันจำเป็นต้องทำบนที่สูงเท่านั้น หากไม่ใช่ก็มีความหมายเดียวว่าเมืองนี้ไม่ใช่เป้าหมายของมัน”

          “ด้วยเวลาแค่นี้....” ศาสพูดขึ้นอย่างสิ้นหวัง

          “มีอีกเรื่องหนึ่งอยากให้พวกเธอช่วยดูไฟล์นี้หน่อย” เชนพูดขึ้นพร้อมกับส่งไฟล์วีดีโอขึ้นยังจอโปรเจคเตอร์อีกครั้ง มันเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกได้จากสถานที่หนึ่ง สิ่งที่พวกเขาพบคือชายคนหนึ่งที่กำลังเดินไปตามทางอย่างโซซัดโซเซพร้อมกับรอยเลือดที่หยดเป็นทาง ก่อนที่ภาพจะตัดไปที่กล้องอีกตัวซึ่งเป็นวินาทีที่ร่างของเขาถูกเลือดที่กลายเป็นคริสตัลพุ่งทะลุฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างโหดเหี้ยม โดยมีกลุ่มคนอยู่ในเงาด้านหลังมองดูอย่างไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น

          “ข้าจำใบหน้าของชายผู้นี้ได้มันคือหัวหน้าของกลุ่มแวมไพร์ คนที่ข้าประมือด้วยในเขตก่อสร้างเมื่อสัปดาห์ก่อน”

          “...แล้วเธอคิดว่าเหตุการณ์ชิงตัวที่โรงพยาบาลกับพวกนี้น่าจะเกี่ยวข้องกันไหม”

          “น่าจะใช่...มันคงเป็นกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด เพราะคนที่สามารถ ”สั่งตาย” แบบนี้ได้มีแต่แวมไพร์ตัวต้นกำเนิดเท่านั้น...ดังนั้นพวกที่เราเจอเมื่อสัปดาห์ก่อนก็น่าจะเป็นลูกสมุนของพวกมันเท่านั่นล่ะ...”

          ***การใช้เวทย์บังคับเลือดในร่างเพื่อสังหารเป้าหมายใช้ได้เฉพาะกับบุคคลที่ถูกแวมไพร์กัดและกลายเป็นทาสของพวกมัน***

          “งั้นทุกอย่างก็ลงตัวละ จากแบะแสที่ได้ทำให้เรารู้สถานที่ๆ มันน่าจะไปแล้วล่ะ”

          “จริงเหรอครับคุณเชน!” ศาสพูดขึ้นมาอย่างมีความหวัง

          “ใช่ หากดูดีๆจะเห็นเรือขนาดใหญ่ด้านหลังของพวกมันใช่ไหมมีรายงานเข้ามาว่าพบเรือแบบเดียวกันที่ลักลอบเข้าประเทศมาอย่างผิดกฎหมายถูกทิ้งที่ท่าเรือน้ำลึกทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ”

           “งั้นเรามุ่งหน้าไปที่นั่นกันเถอะ” ศาสรีบพูดขึ้น

          “ศาส...เธอต้องไว้ใจพวกชั้นตอนนี้หน้าที่ค้นหาปล่อยให้พวกชั้นจัดการเอง ส่วนหน้าที่ของนายคือการรบดังนั้นระหว่างที่รออยู่นี่ก็พักเอาแรงซะ...” เชนพูดขัดขึ้นก่อนที่เขาจะหันมาหาอเดลพร้อมกับถามบางอย่าง

          “คุณอเดลผมขอถามอีกเรื่องได้ไหม สมบัติที่พวกมันต้องการคืออะไรกันแน่และจะเป็นยังไงหากเกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดขึ้น” อเดลเงียบไปด้วยท่าทางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่เธอจะเริ่มตอบคำถามของเขา

          “เอาเถอะไหนๆ ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วข้าจะตอบให้ มันคือสิ่งประดิษฐ์ (Artifact) จากยุคโบราณที่ถูกสร้างขึ้นโดยแม่มดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น มันมีพลังมากพอที่จะควบคุมธรรมชาติได้...”

          “เรื่องแบบนี้ฟังกี่ทีก็ยากที่จะทำใจเชื่อจริงๆ...แต่เมื่อเห็นพวกเธอแล้วจะไม่เชื่อก็คงไม่ได้” เมื่อได้ฟังเชนได้แต่ทำหน้าลำบากใจเพราะเขาเองก็แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แต่เมื่อเขาได้เห็นแววตาของอเดลแล้วเขาก็มั่นใจว่านั่นไม่ใช่สายตาของคนที่กำลังโกหกอย่างแน่นอน

          “เรารีบไปกันเถอะเหลือเวลาไม่มากแล้ว” อเดลกล่าวขึ้นหลังจากนั้นทั้งคู่จึงออกเดินทางไปยังภาคตะวันออกตามข้อมูลที่ได้จากสายข่าวโดยให้ศาสอยู่พักอยู่ที่นี่เพื่อพักฟื้นร่างกายของเขาเสียก่อน

          ด้วยความช่วยเหลือจากอเดลและราเชนจึงทำให้ศาสพอจะมีความหวังขึ้นมาบ้าง หลังจากเหตุการณ์การบุกชิงตัวรีอาเมื่อวันก่อน ศาสทำได้เพียงพาร่างอันบอบช้ำของเขากลับมายังโรงพยาบาลแห่งนี้เท่านั้น หลังจากที่ถูกเชนซักไซร้อย่างหนักจนเขาจำต้องเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น เพราะจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาศาสจึงตระหนักได้ว่าลำพังแค่กำลังของตนนั้นไม่อาจรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย ราเชนจึงตกลงจะช่วยในด้านการรวบรวมข้อมูลข่าวสารและการค้นหาตัวรีอาเท่านั้น จะมีก็เพียงเรื่องเดียวที่เขาไม่ได้บอกก็คือตัวตนที่แท้จริงของอเดล

 

          เสียงการสั่นของโทรศัพท์ที่ถูกวางอยู่บนพื้นยังไม่ทันที่เสียงร้องเตือนจะดังขึ้นมันก็ถูกรับขึ้นมาเสียแล้ว ถึงแม้ว่าผู้รับนั้นจะยังไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะพูดคุยนัก

          “ศาสเกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ลองมองออกไปนอกหน้าต่างสิ” เชนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรนซึ่งนั่นทำให้ความง่วงของศาสหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเขามองออกไปด้านนอกก็พบท้องฟ้าสีดำทมิฬเกินกว่าช่วงเวลารัตติกาลทั้งหมดที่เขาเคยพบ พร้อมๆกับผู้คนภายนอกที่เริ่มออกมาจับกลุ่มวิจารณ์ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามท้องถนนบ้างก็หยิบสมาร์ทโฟนออกมาถ่ายรูปไว้ ไม่นานนักทั่วทั้งเมืองก็ถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศแห่งความตื่นตระหนก พร้อมๆ กับอุณหภูมิที่เริ่มลดลงจนรู้สึกได้

          “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...” เมื่อศาสหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาเขาก็ยิ่งพบกับความแปลกใจเพราะเข็มภายในกลับบ่งบอกว่ามันเป็นยามบ่ายเท่านั้น ศาสจึงรู้ตัวว่าสิ่งที่เขากังวลได้กลายเป็นจริงซะแล้ว พิธีกรรมของพวกมันเริ่มขึ้นแล้วโดยที่เขาไม่รู้เลยว่ารีอายังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ จนโทรศัพท์ที่เขาถืออยู่หล่นจากมือไปอย่างไม่รู้ตัว เมื่อตั้งสติขึ้นมาได้ศาสจึงเอื่อมมือที่สั่นเทาของเขาเข้าไปหยิบมันขึ้นอีกครั้ง

          “ศาสเกิดอะไรขึ้น! ศาส! ได้ยินหรือเปล่าเฮ้ย!!” เชนถามอย่างร้อนรนเมื่อเห็นศาสเงียบเสียงไป

          “...อืม...มันเกิดขึ้นแล้วสินะเราจะทำยังไงต่อไปดี...” ศาสพูดขึ้นอย่างเลื่อนลอยเพราะตอนนี้หัวของเขามันขาวโพลนไปหมดจนนึกอะไรไม่ออกอีกแล้ว

          “เรารู้สถานที่ตั้งของพิธีกรรมแล้วศาสเธอต้องไปกับเรา หากไม่รีบล่ะก็ผู้คนทั้งเมืองคงได้แข็งตายกันหมดแน่ๆ นายรีบมาตรงพิกัดที่ชั้นส่งไปให้ภายในครึ่งชั่วโมงจะมีคนมารับเข้าใจนะ!!”เชนตัดสายทันทีที่พูดจบส่วนศาสได้แต่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงตบหน้าตัวเองอย่างแรงเพื่อเรียกสติของตนกลับมา

          “ไม่ว่าจะยังไงผมก็จะไปช่วยเธอให้ได้รีอา” เมื่อตัดสินใจได้แบบนั้น

ศาสจึงรีบเก็บข้าวของที่จำเป็นและรีบมุ่งหน้าไปยังจุดนัดหมาย

          เมื่อมาถึงสิ่งที่เขาพบกลับมีเพียงแค่ลานโล่งซึ่งห่างไกลจากถนนจนศาสเริ่มไม่แน่ใจ เขาพยายามโทรหาเชนอีกครั้งเพื่อยืนยันแต่ดูเหมือนว่าสัญญาณโทรศัพท์จะมีปัญหาจนไม่สามารถติดต่อได้ทันใดนั้นก็เกิดลมกรรโชกแรงขึ้นจนฝุ่นลอยฟุ้งไปทั่วพร้อมด้วยเสียงดังกระหึ่มจากเครื่องยนต์ เมื่อเขาเงยหน้าไปก็พบเฮลิคอปเตอร์สีดำลำหนึ่งบินนิ่งอยู่เหนือหัวพร้อมกับบันไดเชือกที่ถูกโยนลงมา

          ศาสจึงรีบปีนขึ้นไปจนถึงบันใดขั้นสุดท้ายก็มีมือหนึ่งยื่นมาคว้าแขนของเขาไว้ก่อนจะดึงเขาขึ้นไป เมื่อศาสขึ้นมาได้สำเร็จก็พบว่าเจ้าของมือนั้นคือเลโอนี่เอง

          “ไงวะศาส ไม่คิดเลยว่าจะได้ร่วมทีมกันอีกครั้ง”

          “อ่าทางนี้ก็เช่นกัน...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่จนทีมของนายต้องมาลงมือเองแบบนี้”

          “นายไม่ได้รู้สถานการณ์เลยสินะ ตอนนี้เรื่องมันเกินการควบคุมไปแล้ว”

          “เฮ้ย! เลโอทำไมเราต้องเอาไอ้ลูกเจี้ยบนี่ไปด้วยหัวหน้าเขาคิดอะไรของเขากันแน่” เสียงจากคนในทีมคนหนึ่งพูดขึ้นเขามองมายังศาสอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

          “ไม่เอาน่าจอร์จ นายเพิ่งเข้ามาในหน่วยคงยังไม่รู้อะไร เห็นเจ้านี่เด็กๆแบบนี้แต่มันผ่านความตายมามากกว่านายอีกมั้ง...อีกอย่างหากนายยังพูดจาไม่ดีกับหัวหน้าอีกครั้งล่ะก็ชั้นจะเล่นงานนายเอง” เลโอพูดขึ้นพร้อมกับมองไปยังจอร์จด้วยสายตาอันคมกริบจนจอร์จผงะไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเงียบไป

          “ว่าแต่เราจะไปที่ไหนกัน” ศาสถามขึ้นอีกครั้ง เลโอจึงยื่นเอกสารใบหนึ่งให้กับศาส

          “บ้าน่า!! ลิฟท์วงโคจรอวกาศเนี่ยนะ! นี่มันเรื่องระดับประเทศเลยนะ!” ศาสอุทานขึ้นทันทีเมื่อเห็นเนื้อหาที่อยู่ภายใน เพราะลิฟท์วงโคจรเป็นโปรเจคระดับโลกที่เกิดจากความร่วมมือจากหลายประเทศด้วยเงินงบประมาณกว่าห้าล้านล้านบาท เพื่อใช้ภารกิจให้การสนับสนุนสถานนีอวกาศรวมถึงซ่อมบำรุง ขนถ่ายอุปกรณ์สำหรับโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่บนวงโคจร

          “เรื่องใหญ่แบบนี้ทางรัฐบาล..เอ่อกระทรวงกลาโหมอนุมัติแล้วงั้นเหรอ”

          “เรื่องนั้นชั้นเองก็ไม่ได้ใส่ใจ หัวหน้าแค่บอกไว้ว่าหากไม่ทำอะไรสักอย่างคนจำนวนมากจะต้องตาย” เลโอพูดขึ้นอย่างไม่ยี่หระดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเรื่องการเมืองนัก ศาสจึงใช้เวลาระหว่างนี้อ่านข้อมูลที่อยู่บนเอกสารซึ่งระบุเพียงพบความผิดปกติของการสื่อสารที่เกิดขึ้นภายในลิฟท์วงโคจรเท่านั้น แต่สำหรับศาสที่เคยเผชิญหน้ากับเรื่องเหนือธรรมชาติมาแล้วเขาจึงเข้าใจในเหตุผลของเชน

          เมื่อพวกเขายิ่งเดินทางเข้าเขตที่หมายบรรยากาศโดยรอบยิ่งมืดมิดหากปราศจากแสงไฟในตัวเมืองคงแยกไม่ออกเลยว่าฝั่งไหนเป็นพื้นดินหรือท้องฟ้าพร้อมๆกับอุณหภูมิที่เริ่มลดต่ำลงจนลมหายใจเริ่มกลายเป็นควัน เมื่อมองลงไปด้านล่างต่างเต็มไปด้วยแสงไฟสีแดงเป็นทางยาวไปจนสุดลูกหูลูกตาจากการจราจรที่เป็นอัมพาตเนื่องจากขบวนรถของชาวเมืองที่ต่างพากันอพยพออกจากเมือง จนทุกคนต่างคาดเดาไม่ออกเลยว่ามีอะไรกันแน่ที่รอพวกเขาอยู่ภายหน้า

ในขณะที่ศาสกำลังมองลงไปยังพื้นเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยความอลหม่านสับสนอย่างไม่วางตาอยู่นั้น

          “เอาล่ะกว่าจะเสด็จกันมาได้ คงได้เวลาลุยแล้วสินะ!” เลโอพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความฮึกเหิมพร้อมกับชี้ออกไปด้านนอก เมื่อศาสมองผ่านความมืดออกไปเขาก็เห็นแสงกระพริบสีแดงสี่จุดปรากฎขึ้นบนท้องฟ้า ซึ่งแสงไฟเหล่านั้นก็คือดวงไฟจากเฮลิคอปเตอร์แบบเดียวกับเขานั่นเอง

          ทันใดนั้นเองเสียงการติดต่อจากวิทยุสื่อสารก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงพูดคุยที่เงียบหายไปในตอนนี้ทุกคนต่างให้ความสนใจไปยังเนื้อหาที่เชนหัวหน้าของพวกเขาติดต่อมา

          “เอาล่ะทุกคนหลายคนคงสงสัยเรื่องปฎิบัติการในครั้งนี้ แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัดผมขออธิบายสั้นๆก็แล้วกันอย่างที่ทราบกันตอนนี้อุณหภูมิได้ลดลงอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นผลกระทบจากกลุ่มเมฆประหลาด ซึ่งหากเป็นแบบนี้ต่อไปในอีก12ซม.คงถึงจุดเยือกแข็งคนของเราคงไม่อาจมีชีวิตอยู่บนผืนดินแห่งนี้ได้ ซึ่งเราไม่อาจรอได้ดังนั้นการปฎิบัติการในครั้งนี้ผมจึงดำเนินการขึ้นเองโดยพลการโดยที่ลูกทีมทุกคนไม่มีส่วนรู้ในเรื่องนี้และทำตามคำสั่งของผมเพียงผู้เดียวเท่านั้น เอาล่ะเหล่าทหารหาญภารกิจช่วยโลกมันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆหรอกนะจงภูมิใจกับช่วงเวลาแห่งชีวิตตอนนี้ซะ!!” เมื่อการติดต่อถูกตัดไปเหล่าลูกทีมของเขาต่างพากันหัวเราะอย่างชอบใจแต่เหนืออื่นใดคือกำลังใจที่เพิ่มขึ้นของพวกเขา

          ในที่สุดสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่มวลมนุษยชาติเคยสร้างมาก็ได้ปรากฎแก่สายตาของพวกเขาแท่งเสาขนาดมหึมาซึ่งตั้งตระหง่านท่ามกลางความมืดมิด มันทอดยาวไปยังท้องฟ้าเบื้องบนราวกับไร้จุดสิ้นสุด เพียงแค่ได้เห็นมันก็ทำให้พวกเขาถึงกับตื่นตะลึงจนขนลุกไปทั้งตัว

          ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นบนพื้นดินเบื้องล่างก่อนที่เสียงระเบิดกึกก้องจะดังตามมา ด้วยอานุภาพของมันส่งผลให้แม้แต่อากาศโดยรอบยังต้องสั่นไหว พวกเขาต่างละสายตาจากหอคอยที่อยู่เบื้องหน้าเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้นก็พบว่ามันคือผลพวงจากการระเบิดนั่นเองบริเวณโดยรอบของลิฟท์วงโคจรตอนนี้มีสภาพไม่ต่างอะไรไปกับสมรภูมิการรบ ทั้งแสงวาบเป็นทางจากกระสุนที่เสียดสีกับอากาศต่างปรากฎให้เห็นทั่วทั้งบริเวณ เสียงจากปืนและการระเบิดที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ พร้อมๆกับกลุ่มควันที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วจนไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น

          “สัญลักษณ์นั้นมันพวกศาสนจักรที่เราเคยเจอนี่หว่า” เลโอพูดขึ้นพร้อมกับใช้กล้องส่องทางไกลกวาดดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆ

          “งั้นข้อมูลของคุณเชนก็คงถูกต้องสินะ พวกมันคงมีเป้าหมายเดียวกับเรานั่นล่ะ” ถึงแม้จะพูดแบบนั้นแต่ลึกๆแล้วศาสก็ยังกังวลว่านี่อาจกลายเป็นศึกสามฝ่าย หากเขาต้องสู้กับนักรบของศาสนจักรคนนั้นอีกครั้งผู้ชนะในครั้งนี้อาจไม่ใช่เขาก็เป็นได้

 

          ในขณะเดียวกันในพื้นที่ปะทะโดยรอบของลิฟท์วงโคจรทั้งฝ่ายศาสนจักรและเหล่าแวมไพร์ต่างเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดแต่ในครั้งนี้สถานการณ์กลับไม่เป็นดั่งที่พวกศาสนจักรคิด เพราะคู่ต่อสู้ของเขาในครั้งนี้ต่างจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้พวกเขาจะมีอาวุธที่ทันสมัยเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้างแต่ก็แทบไม่ส่งผลในการสู้รบครั้งนี้เลย เพียงเวลาไม่นานนักรบของศาสนจักรก็ถูกสังหารไปหลายสิบคนจนพวกมันเริ่มตีฝ่าแนวรุกเข้ามาได้

          “ทุกคนตรึงกำลังไว้ห้ามถอย นี่คือสงครามศักดิ์สิทธิ์เราจะไม่ยอมแพ้ให้กับความชั่วร้าย!!!” เสียงร้องตะโกนจากชายผู้หนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความสับสนวุ่นวายจนทำให้เหล่านักรบของศาสนจักรที่เริ่มเสียขวัญเริ่มกลับมายืนหยัดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเยือกเย็นสิ่งเหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงประสบการณ์ในสนามรบของเขาได้เป็นอย่างดี

          “ฝั่งมันแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ฉันจะเป็นผู้นำทัพบุกทะลวงเอง” ชายคนดังกล่าวพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับชักมีดคู่ออกมา

          “เดี๋ยวก่อนฮาวเลอร์ บาดแผลของคุณยังไม่หายดีนะ” หญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนข้างเขารีบท้วงขึ้นแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจในคำทัดทานจากเธอ

          “เธอไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้นแอเลียส แค่ช่วยยิงสนับสนุนเหมือนอย่างทุกครั้งก็พอ...” ฮาวเลอร์กล่าวขึ้นอย่างง่ายๆ  บ่งบอกถึงความไว้ใจในตัวเธอเป็นอย่างดี

          “ขออภัยครับท่านฮาวเลอร์ มีรายงานจากส่วนกลางมาว่าพบเฮลิคอปเตอร์ห้าลำกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ครับ”นักรบชั้นผู้น้อยคนหนึ่งวิ่งผ่ากองทหารเข้ามาเพื่อส่งข้อมูลที่เขาได้รับมาให้กับฮาวเลอร์

          “สัญลักษณ์นี้มันไอ้พวกที่เข้ามาสอดตอนนั้นสินะ...ไอ้เจ้าเด็กนั่นเป็นพรรคพวกของมันหรือเปล่านะ” ฮาวเลอร์ครุ่นคิดเมื่อมองไปยังเอกสารที่เขาได้รับ

          “ไม่ต้องไปสนใจ..พวกมันคงไม่มีปัญญารอดจากพวกศัตรูที่ดักรออยู่ข้างบนหรอก” ฮาวเลอร์กล่าวขึ้นพร้อมกับวางเอกสารลง ก่อนที่เขาจะเดินออกไปยังแนวหน้าพร้อมกับนักรบกลุ่มหนึ่งที่ตามเขาไปด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งความกลัวสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในดวงตาของพวกเขามีเพียงความกระหายเลือดต่อศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าเท่านั้น

          ฮาวเลอร์หยิบมีดของเขาขึ้นพร้อมกับบรรจงจูบลงบนไม้กางเขนที่ถูกประดับลงบนนั้นราวกับจะอธิฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า

“พระองค์จะสถิตย์อยู่กับเรา...ทุกคนบุก!! ฆ่ามันให้หมด!!!” สิ้นเสียงของฮาวเลอร์การโจมตีโต้กลับของศาสนจักรก็เริ่มขึ้น

 

          ในขณะเดียวกัน ณ น่านฟ้าเบื้องบนในที่สุดนักบินก็พบสัญญาณไฟกระพริบของลานจอดเฮลิคอปเตอร์ พร้อมๆกับบรรยากาศในเครื่องที่เริ่มเงียบลงไร้ซึ่งเสียงสนทนาใดๆ สีหน้าของทุกคนในตอนนนี้ดูจริงจังเคร่งเครียดต่างจากที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานนักสัญญาณไฟในเครื่องก็สว่างขึ้นเป็นสัญญาณว่าเครื่องใกล้ลงจอดแล้วพวกเขากำลังจะถึงลิฟท์วงโคจรในอีกไม่กี่อึดใจ

          “เฮ้ยนั่นมันอะไรน่ะ!?” จอร์จพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังบางสิ่งทางด้านหน้าของเฮลิคอปเตอร์ เมื่อศาสหันไปเขาก็พบกับกลุ่มของหมอกควันหนาทึบสีดำทมิฬลอยอยู่บริเวณนั้นพร้อมกับสัญชาติญาณที่ร้องเตือนถึงอันตรายเขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้านั้นหาใช่หมอกควันธรรมดาๆไม่

          ทันใดนั้นเองมันกลับเคลื่อนที่เข้าหาเฮลิคอปเตอร์ลำจ่าฝูงที่อยู่ด้านหน้าราวกับมีชีวิตทันทีที่มันเคลื่อนผ่านเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นเพียงพริบตาเดียวเครื่องยนต์ของมันก็เกิดไฟลุกขึ้นพร้อมๆกับเริ่มเสียการทรงตัว เสียงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากเครื่องส่งวิทยุดังขึ้นอย่างไม่ขาดสายก่อนที่การติดต่อจะขาดหายไปพร้อมกับเสียงระเบิดดังกึกก้อง ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคน

          ทันทีที่เครื่องลำแรกตกไปมันก็เปลี่ยนเป้าหมายเคลื่อนเข้าหาเครื่องถัดไป ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนนักบินของเครื่องลำที่สองไม่ทันจะได้ทำอะไรกลุ่มควันนั้นก็ได้เคลื่อนปกคลุมเครื่องไปทั่วทั้งลำแล้ว เพียงไม่กี่วินาทีระบบต่างๆ ก็เริ่มรวนจนเขาไม่สามารถควบคุมเครื่องได้อีกต่อไป ก่อนที่มันจะหมุนคว้างกลางอากาศพร้อมกับเสียงกรีดร้องของเหล่าทหารที่อยู่ภายในก่อนที่มันจะพุ่งชนเข้ากับลิฟท์วงโคจรจนระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เพียงพริบตาเดียวหน่วยของเชนกลับต้องต้องเสียทหารฝีมือดีไปถึง16 นาย และเหยื่อรายต่อไปของมันก็คือเครื่องที่สามซึ่งมีศาสนั่งอยู่บนนั้นนั่นเอง

          “เชิดหน้าขึ้นเดี๋ยวนี้!!!” ศาสตะโกนสุดเสียงพร้อมกับตบไปที่ไหล่ของนักบินอย่างแรง ด้วยความตกใจเขาจึงทำตามที่ศาสบอกในทันที ในขณะที่หมอกควันนั้นกำลังจะเคลื่อนเข้าปะทะกับเครื่องมันกลับถูกเป่าจนปลิวกระจัดกระจายออกไปด้วยแรงลมอันมหาศาลจากเครื่องยนต์พวกเขาจึงรอดไปได้อย่างหวุดหวิด

          “ตอนนี้ล่ะ! กลับลำ!!” ศาสออกคำสั่งขึ้นอีกครั้งนักบินจึงหมุนเครื่องเอาหัวลงก่อนที่จะเชิดหน้าขึ้นมาอีกครั้งเป็นไปตามที่ศาสคาดกลุ่มหมอกควันเริ่มกลับมารวมกันใหม่อีกครั้งก่อนที่มันจะไล่ตามเครื่องของศาสมาอย่างกระชั้นชิด

          “เลโอ!! ฝากทีขอแบบพอดีตัวนะ!” ศาสเรียกเลโอขึ้นพร้อมกับโยนอะไรบางอย่างให้กับเขา เมื่อเลโอเห็นสิ่งที่อยู่ในมือเขารีบเอื้อมมือไปกดสวิทต์เปิดประตูท้ายเครื่อง ทันที่ที่มันถูกเปิดออกก็พบว่ากลุ่มควันดำดังกล่าวอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงแค่ไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น เลโอยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งท่ามกลางความสงสัยของทุกคน ก่อนที่เขาจะดึงสลักออกและปล่อยมันออกไปทางประตูหลังเครื่อง

          เพียงไม่กี่วินาทีถัดมาหมอกประหลาดก็จี้พวกเขามาติดๆ ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงการระเบิดขึ้นภายในกลุ่มหมอกควันเข้าอย่างจัง

          “ระเบิดอะไรของแกวะ!! แบบนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไรเล่า!” เลโอโวยขึ้นเมื่อเห็นพลังทำลายจากระเบิดของศาสที่ไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย

          “เดี๋ยวรอก่อน!” ทันทีที่ศาสพูดจบทันใดนั้นพวกเขาก็เริ่มเห็นอะไรบางอย่างปรากฎขึ้นท่ามกลางหมอกควันเหล่านั้น ไม่นานนักรูปร่างของมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น มันมีรูปร่างราวกับมนุษย์ทั่วไปแต่มันกลับมีอาการที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนระเบิดน้ำมนต์ของศาสจะได้ผลเป็นอย่างดี

          “ตอนนี้ล่ะ!ยิง!!! มีอะไรใส่เข้าไปให้หมด!!!” ทันทีที่ศาสให้สัญญาณปืนนับสิบกระบอกต่างกระหน่ำยิงไปยังร่างที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าผ่านประตูท้ายเครื่อง จนร่างของมันเริ่มแหลกเหลวจากการถูกกระสุนจำนวนนับไม่ถ้วนทะลวงผ่าน มันส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดและแผงไปด้วยความอาฆาตก่อนที่มันจะรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายกลับกลายเป็นหมอกสีดำทมิฬอีกครั้งพร้อมกับพุ่งมายังพวกเขาก่อนที่มันจะสูญสลายหายไป

          แต่ดูเหมือนว่าความพยายามเฮือกสุดท้ายของมันจะไม่สูญเปล่า เครื่องของศาสได้รับความเสียหายส่งผลให้ใบพัดด้านซ้ายพังจนไม่สามารถใช้งานได้ ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มรู้สึกถึงความแกว่งของเครื่องจนเกิดการสั่นสะเทือนอย่างแรงและเพดานบินที่ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้ทุกคนต่างตกอยู่ในความสิ้นหวังไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะพาเครื่องที่เสียหายขนาดนี้ไปจอดยังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่ด้านบน  

          “ทุกคนรัดเข็มขัดซะหาอะไรยึดไว้ให้แน่น!!” นักบินประจำเครื่องพูดขึ้นก่อนที่เขาจะตัดสินใจพุ่งเข้าหาลิฟท์วงโคจร พร้อมกับใช้อาวุธที่มีทั้งหมดกระหน่ำยิงไปยังผิวของมันจนเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น เพียงพริบตาเดียวศาสก็รู้สึกถึงแรงกระแทกอย่างรุนแรงก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงไป

          “ไอ้หนู เฮ้!”

          “ไอ้หนูตื่น ตื่นได้แล้ว รีบไปช่วยทุกคนเร็ว!”

          “เสียงนี้มัน....” เสียงเรียกจากใครบางคนดังเข้ามาในโสตประสาทพร้อมๆกับความเจ็บปวดที่หลั่งไหลไปทั่วร่างทำให้ศาสเริ่มได้สติขึ้น เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็พบกับความมืดมิดมีเพียงแสงกระพริบสีแดงจากสัญญาณเตือนภัยเท่านั้นที่ทำให้เขาพอจะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ในตอนนี้บรรยากาศภายในต่างเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นไหม้และควันจากเครื่องยนต์ที่เสียหายจนแสบจมูกไปหมด เมื่อเขาหันไปรอบๆก็พบคนอื่นๆ ต่างหมดสติในสภาพที่ร่างถูกยึดไว้กับที่นั่ง ศาสจึงรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออกเพื่อสำรวจอาการของทุกคนบนเครื่อง

          “เฮ้อ...” ศาสถอนหายใจอย่างโล่งอกดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ก่อนที่เขาจะมองลอดผ่านเศษกระจกหน้าต่างที่แตกออกไปก็พบว่าพวกเขาได้เข้ามาอยู่ภายในลิฟท์วงโคจรได้สำเร็จแล้ว เมื่อมองไปด้านหลังก็พบรูที่เกิดจากนักบินยิงใส่มันมีขนาดเล็กมากจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสามารถประคองเครื่องลอดผ่านมันมาได้

          “สุดยอดเลยพี่ชาย...ว่าแต่พี่ล่ะเป็นไงบ้างได้สติก่อนผมก็น่าจะมาช่วยกันหน่อยนะ” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับเดินไปหานักบินที่อยู่ด้านหน้าแต่ก็ไร้ซึ่งการตอบสนองเขาจึงชะโงกหน้าไปดูก็พบกับร่างของนักบินอยู่ในสภาพถูกอัดก๊อบปี้จนร่างของเขาแหลกเหลวคาเครื่อง แต่สีหน้าของเขากลับดูสงบนิ่งราวกับว่าเขาได้ทำภารกิจสุดท้ายได้ลุล่วงแล้ว หลักฐานก็คือการที่พวกเขาทุกคนมาถึงที่หมายอย่างปลอดภัย แต่ศาสรู้ดีว่าไม่มีมานั่งเสียใจอีกแล้วอากาศภายในเริ่มแย่ลงทุกทีหากไม่รีบพาทุกคนออกมาพวกเขาคงได้สำลักควันตายกันหมดแน่ๆ เขาจึงจำต้องทิ้งศพของนักบินคนนั้นไว้เบื้องหลังก่อนที่จะรีบลำเลียงพรรคพวกที่เหลือลงจากเครื่อง

          ไม่นานนักทุกคนก็เริ่มได้สติศาสจึงอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะเจ็บปวดแต่พวกเขาต่างเข้าใจดีและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้

          “ทางข้างหน้ามันอันตรายมาก แม้แต่ตัวของผมเองก็ยังไม่รู้จะรอดกลับมาได้หรือเปล่า พวกคุณจะถอนตัวก็ได้นะ” ศาสพูดขึ้น

          “เฮ้ย อย่าดูถูกพวกเรานักศาส พวกเราเองก็มีหน้าที่รับผิดชอบต่อคนที่อยู่ข้างล่างนั่นและชีวิตของพรรคพวกที่ตายไปเหมือนกัน” เลโอพูดขึ้นก่อนที่เขาจะมองไปยังพรรคพวกที่อยู่ด้านหลังดูเหมือนว่าพวกเขาเองก็คิดแบบเดียวกัน พวกเขาทุกคนจึงมุ่งหน้าขึ้นสู่ด้านบนต่อไป โดยมีเลโอเป็นผู้ออกสั่งการ

 

ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านจ้าพอดีช่วงนี้ยุ่งๆ นิดหน่อยอาจจะอับช้าหน่อยนะ

ปล.เห็นช่วงนี้เขานิยมอะไรแบบนี้กันเลยขอแจมบ้าง(ไม่ได้เกี่ยวอะไรกะเนื้อเรื่องเลย)

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา