Real Breaker

7.6

เขียนโดย คันศร

วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.46 น.

  19 บท
  18 วิจารณ์
  18.20K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 19.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) หอคอยรัตติกาล บทที่2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          เสียงเหล็กกล้าปะทะกันดังกึกก้องจนเกิดประกายไฟท่ามกลางเสียงปืนและควันไฟที่คละคลุ้งจากสิ่งปลูกสร้างที่พังเสียหาย จนบรรยากาศบริเวณนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีดำราวกับภาพสะท้อนภายในจิตใจของผู้คนในสงครามครั้งนี้ที่ล้วนถูกทับถมไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังความหวาดกลัวและความสับสน ทั้งสองฝ่ายต่างเข้าประหัตประหารกันอย่างบ้าคลั่งจนไม่อาจคาดเดาผู้ชนะในสมรภูมิแห่งนี้ได้

          “อย่าหยุดบุกเข้าไป!!!” เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งจากฮาวเลอร์เหล่านักรบศาสนจักรต่างบุกทะลวงเข้าสู่ใจกลางสนามรบ พวกเขาต่างบุกทะลวงฟาดฟันศัตรูด้วยคมดาบราวกับเครื่องจักรสังหาร เส้นทางที่พวกเขาบุกฝ่าไปล้วนเจิ่งนองไปด้วยเลือดและเศษซากชิ้นส่วนของร่างกายมนุษย์ “หากต้องการจักฆ่าปีศาจก็จงกลายเป็นปีศาจ” คำพูดนี้คงเหมาะสมที่สุดกับพวกเขาในเวลานี้ สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ส่งผลให้ทิศทางการรบเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงฝ่ายศาสนจักรเริ่มกลับมาได้เปรียบขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่บรรดาแวมไพร์ต่างเสียขวัญ

          ไม่นานนักฝ่ายศาสนจักรภายใต้การนำของฮาวเลอร์ก็ตีฝ่ามาได้จนเกือบถึงแนวหลังของข้าศึก ทันใดนั้นเองเสียงปืนก็ดังกระหน่ำขึ้นจากทุกทิศทุกทางจากแนวหลังของศัตรู คงไม่มีใครคาดคิดว่าศัตรูที่มีพลังเหนือธรรมชาติกลับมีความชำนาญในการใช้อาวุธสมัยใหม่ ทุกคนต่างรู้ในทันทีว่านี่เป็นกับดักที่สร้างขึ้นเพื่อล่อพวกเขามาสังหาร ณ สถานที่นี้ ทันทีที่การยิงเปิดฉากขึ้นเหล่านักรบแถวหน้าที่ติดตามมากับเฮาเลอร์ต่างล้มลงกองกับพื้นนับสิบราย แต่ถึงกระนั้นพวกเขายังคงเยือกเย็นไม่มีแม้สักนายที่หันหลังหนีทันใดนั้นเองนักรบสวมเกราะถือโล่ขนาดใหญ่ก็พุ่งแทรกออกมาตั้งแถวอยู่ด้านหน้าขบวนรบ ลูกกระสุนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างยิงมาถูกโล่จนเกิดเป็นประกายไฟขึ้นนับสิบจุดบนตัวมัน ในตอนนี้กองรบได้แปรขบวนรบเป็นดั่งรถหุ้มเกราะการโจมตีของพวกแวมไพร์ไม่อาจทำอันตรายกับพวกเขาได้อีกต่อไป พร้อมๆ กับเสียงปินที่เริ่มขาดหายไปจากแนวหลังของศัตรูกลายเป็นเสียงของความแตกตื่นวุ่นวาย ในวินาทีที่พวกมันเปิดฉากการโจมตีก็เท่ากับว่าพวกมันได้เปิดเผยตำแหน่งที่ซ่อนของตนเองด้วยทำให้นักรบศาสนจักรที่ซุ่มรอโอกาสนี้อยู่จัดการพวกมันลงได้อย่างง่ายดาย ซึ่งทุกอย่างต่างเป็นไปตามแผนที่ฮาวเลอร์ได้วางไว้

          ในที่สุดกองกำลังของศาสนจักรก็เป็นฝ่ายมีชัยพวกเขาสามารถฝ่าเข้ามายังภายในลิฟท์วงโคจรได้ ก่อนที่พวกเขาจะลำเลียงกำลังพลเพื่อมุ่งขึ้นสู่ด้านบนต่อไป

 

          อีกด้านหนึ่งศาสและทีมต่างเร่งฝีเท้าเพื่อรีบไปสมทบกับพรรคพวกที่เหลือ ตั้งแต่พวกเขาได้เข้ามายังลิฟท์วงโคจรสัญญาณการสื่อสารต่างถูกคลื่นรบกวนจนไม่อาจใช้งานได้ ทำให้การติดต่อของพวกเขาถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิงซึ่งวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการรีบหาทางขึ้นไปยังด้านบนให้เร็วที่สุดนั่นเอง

          “เฮ้ยเลโอ! นายแน่ใจนะว่าเรามาถูกทางวิ่งมาเกือบสิบห้านาทีแล้วยังไม่เจอลิฟท์เลย!?” จอร์จพูดขึ้นอย่างหัวเสียแต่เลโอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดของจอร์จ เขายังคงวิ่งนำหน้าต่อไป ส่วนศาสก็ได้แต่มองอย่างเงียบๆ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อตรวจสอบเส้นทาง ซึ่งเขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาจึงยังไม่ถึงจุดหมายสักทีเพราะด้วยขนาดของมันที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ถึงสิบกิโลเมตรนั่นเอง

          ในขณะที่พวกเขากำลังวิ่งอยู่นั้นเอง เลโอก็ส่งสัญญาณบางอย่างเมื่อเขายกมือขึ้นเสียงฝีเท้าเมื่อครู่ก็เงียบหายไป อาวุธต่างถูกประทับอยู่ในมือของพวกเขาในสภาพที่พร้อมทำการรบ พร้อมกับลักษณะการเดินที่เปลี่ยนไปถึงแม้จะเคลื่อนที่ได้ไม่ไวเท่าเดิมแต่มันก็สามารถซ่อนเสียงฝีเท้าของพวกเขาได้

          ตอนนี้สิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าพวกเขาอยู่คือบานประตูเหล็กขนาดใหญ่ เมื่อเห็นดังนั้นพวกเขาต่างกระจายกำลังออกเป็นสองกลุ่มหลบอยู่คนละด้านของบานประตู และหนึ่งในนั้นได้หยิบคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กเข้าเชื่อมต่อกับแผงควบคุมประตูไม่นานนักเขาก็หันไปทางเลโอพร้อมกับพยักหน้าให้

          “ดีมากชาร์ลี” เลโอพูดขึ้นพร้อมกับมองไปยังทุกคน ก่อนที่เขาจะพยักหน้าให้กับชาร์ลีไม่ช้าประตูเหล็กขนาดใหญ่ก็ถูกเลื่อนขึ้นอย่างช้าๆ จนเมื่อมันยกขึ้นมาถึงระดับอก เลโอก็โบกมือให้สัญญาณพวกเขาต่างก็พร้อมกับบุกเข้าไปภายใน ภาพที่ปรากฎตรงหน้าของพวกเขาในตอนนี้คือลานกว้างทรงกลมขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยตู้คอนเทรนเนอร์และลังสินค้าตั้งอยู่เรียงรายเมื่อมองเข้าไปภายในก็พบหลุมลึกขนาดใหญ่เส้นผ่าศุนย์กลางของมันประมาณสองร้อยเมตรซึ่งมีทั้งหมดสี่หลุมตั้งอยู่ทั้งสี่ทิศภายในลานกว้างแห่งนี้

          “เอาล่ะ...ต่อไปก็หาทางขึ้นสินะ....” เลโอพูดขึ้น

          “พวกแกคงไม่ได้ไปต่อจากนี้หรอก...” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากโกดังด้านบน เมื่อพวกเขาหันไปตามเสียงกลับพบเพียงความว่างเปล่า ในพริบตานั้นเองท่ามกลางความตื่นตกใจของทุกคนเมื่อเจ้าของเสียงที่ควรจะอยู่ด้านบนกลับเข้าประชิดตัวพวกเขาได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีใครรู้ตัว แน่นอนว่ามันจ้องเล่นงานหัวหน้าหน่วยเป็นอันดับแรกซึ่งก็คือเลโอนั่นเอง

          ในชั่วเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาทีในขณะที่มันใช้กรงเล็บอันแหลมคมแทงมายังหัวใจของเลโอโดยที่เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะลั่นไกปืนเพื่อป้องกันตัวเอง ทันใดนั้นเองมันก็กระโดดฉากหลบออกไปเลโอจึงได้สังเกตเห็นใบดาบที่แทงสวนออกมาข้างแก้มของเขาซึ่งนั่นเป็นฝีมือของศาสนั่นเอง

          ไม่ต้องมีคำสั่งเสียงจากเลโอปากกระบอกปืนของทุกคนก็ดังสนั่นถึงแม้พวกเขาจะเป็นหน่วยรบที่ฝึกมาอย่างดีแต่เมื่อเจอกับความเร็วของมันประกอบกับสภาพพื้นที่ที่เต็มไปด้วยตู้คอนเทรนเนอร์กระสุนของพวกเขาจึงไม่อาจทำอันตรายแก่มันได้เลยเพียงพริบตาเดียวมันก็หายไปจากสายตาของพวกเขาแล้ว

          “หึ...มีคนน่าสนใจมาด้วยแฮะ เฮ้ยพวกแก!! ฆ่าพวกมันให้หมดยกเว้นไอ้คนที่ถือดาบมันเป็นเหยื่อของข้า!” สิ้นเสียงตะโกนเสียงกระสุนปืนก็ดังสนั่นพร้อมๆกับที่ลูกกระสุนที่ยิงใส่พวกเขามาจากทุกทิศ พวกของเลโอต่างรีบหาที่กำบังในตอนนี้พวกเขาต่างถูกแยกออกจากกันโดยสมบูรณ์

          “บัดซบเอ๊ยนั่นมันเป็นของพนักงานรักษาความปลอดภัยของที่นี่ไม่ใช่เหรอทำไม!?” เลโอพูดอย่างหัวเสียเมื่อเขาเห็นชุดของกลุ่มคนที่ซุ่มโจมตี ถึงเจ้าตัวจะพูดอย่างนั้นแต่เขาก็หันปากกระบอกปืนเข้าใส่อย่างไม่ลังเล

          “เดี๋ยวเลโอ!! นายจะฆ่าจริงๆเหรอ พวกนั้นเป็นมนุษย์นะเขาน่าจะโดนสะกดจิตอยู่”ศาสร้องห้ามเมื่อเห็นสิ่งที่เลโอกำลังจะทำ

          “นี่คือสงครามศาส ใครที่หันปืนใส่เรามันก็คือศัตรูมีแต่ต้องฆ่าเท่านั้นล่ะ นายคงยังไม่เคยฆ่าคนสินะหน้าที่นี้พวกชั้นจะทำเองส่วนของนายคือไอ้ปี---” ยังไม่ทันที่เลโอจะพูดจบพวกเขาก็สังเกตเห็นเงาบางอย่างจากด้านบนพวกเขาต่างรีบกระโจนออกมาจากที่กำบังทำให้พวกเขารอดพ้นจากการโจมตีของมันได้อย่างหวุดหวิด ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าโจมตีจนเกิดฝุ่นควันลอยคละคลุ้งไปทั่ว ยังไม่ทันที่ศาสจะได้ตั้งตัวการโจมตีระรอกใหม่ก็ตามมาทันที มีบางอย่างพุ่งทะยานออกมาจากกลุ่มควันมุ่งตรงมายังเขา

          “บ้าจริง! มันจะไวเกินไปแล้ว” ศาสรีบวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเพียงพริบตาเดียวมันก็เข้าประชิดตัวเขาได้อย่างง่ายดายพร้อมกับใช้กรงเล็บเข้าโจมตีแต่จากประสบการณ์ที่ก้าวข้ามความตายมาหลายครั้งศาสจึงสามารถรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณดาบของเขาจึงถูกยกขึ้นมาป้องกันได้อย่างทันท่วงที ทำให้การโจมตีของมันถูกเบี่ยงจนเฉียดตัวของเขาออกไปอย่างหวุดหวิด

          ยังไม่ทันที่ศาสจะได้ตั้งตัวการโจมตีระลอกใหม่ก็ตามมาอย่างติดๆ ราวกับตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูถึงแม้ว่าศาสจะสามารถปัดป้องการโจมตีของมันได้ทุกครั้ง แต่เมื่อมนุษย์ต้องตามการโจมตีอันรวดเร็วของปีศาจ ร่างกายทุกส่วนจึงถูกกระตุ้นถึงขีดสุด แต่เมื่อเวลาผ่านไป ไม่นานร่างกายที่ถูกฝืนใช้งานอย่างเกินกำลังก็เริ่มแสดงออกถึงความเหนื่อยล้า พร้อมๆกับบาดแผลที่เริ่มปรากฎตามตัวของเขา

          “สุดท้ายมนุษย์ก็ได้แค่นี้สินะ...น่าผิดหวังจริงๆ”มันหยุดยืนต่อหน้าเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย

          “ฮึ่ม...ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเราเสร็จมันแน่” ศาสตั้งสติพร้อมกับมองไปรอบๆ เพื่อหาทางรอดเพียงน้อยนิด เพราะเขาเองรู้ดีว่าคงไม่สามารถตั้งรับการโจมตีของมันได้อีกต่อไป และด้วยจิตสังหารที่มันแผ่ออกมาศาสจึงรู้ว่ามันตั้งใจจะสังหารเขาในการโจมตีครั้งต่อไป

          “ฮ่าห์!!!” ศาสตัดสินใจเป็นฝ่ายรุก เขาวิ่งเข้าใส่มันด้วยพลังทั้งหมดผลชี้ขาดของการต่อสู้นี้คงจบลงในดาบเดียว

          “หึ...จนตรอกแล้วสินะ...ได้!! ข้าจะสงเคราะห์ให้!”มันยิ้มอย่างพอใจก่อนที่มันจะพุ่งเข้าหาศาสเช่นกัน

          ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าปะทะกันเพียงเสี้ยววินาทีนั้นเอง มันก็สังเกตเห็นวัตถุบางอย่างกระดอนอยู่บนพื้นด้านหลังของศาส มันจึงไหวตัวทันรีบยกมือขึ้นมาบังบนใบหน้าก่อนที่ทุกอย่างจะถูกกลบด้วยแสงสีขาวสว่างจ้าไปทั่วทั้งบริเวณ แต่ดูเหมือนว่าอำนาจของมันจะส่งผลอย่างร้ายกาจต่อดวงตาที่ไวต่อแสงของมันได้เป็นอย่างดี ทำให้มันสูญเสียการมองเห็นไปบางส่วน แต่ก็ไม่อาจสกัดกั้นการโจมตีของมันในครั้งนี้ได้กรงเล็บของมันยังคงพุ่งตรงมายังศาส ในขณะที่เขาเสียจังหวะเพราะมัวแต่พุ่งความสนใจไปที่ระเบิดแสงจึงไม่มีทางเลยที่เขาจะสามารถรับการโจมตีของมันได้ทัน

          ในจังหวะที่ทั้งคู่เคลื่อนที่ตัดผ่านกัน มันก็พบกับความผิดปกติบางอย่างกรงเล็บของมันกลับแหวกผ่านอากาศไปไม่มีแม้แต่แรงปะทะจากร่างกายหรือแม้แต่การป้องกันของคู่ต่อสู้ มันรีบหันกลับไปก็เห็นภาพอันเลือนรางของศาสที่วิ่งหายไปในซอกของตู้คอนเทรนเนอร์

          “แกไอ้มนุษย์!!!” มันร้องคำรามออกมาอย่างเจ็บใจ ในตอนนี้มันจึงเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นอุบายของศาสที่ใช้ระเบิดแสงเป็นเหยื่อล่อเพื่อเปิดทางหนีให้กับเขาเท่านั้นและในจังหวะที่ทั้งคู่เข้าปะทะกันนั้น ศาสไม่ได้ตั้งใจเข้าปะทะแต่แรกแล้วเขาจึงได้สไลด์ลงไปกับพื้นเพื่อหลบการโจมตีของมันนั่นเอง

          เพียงไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ไล่ตามล่าศาสอย่างเอาเป็นเอาตาย ในตอนนี้สภาพของศาสไม่ต่างอะไรกับเหยื่อที่เริ่มจนมุม ความเหนื่อยล้าที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ร่างกายของเขาเริ่มหนักขึ้นทุกที

          “คิดว่าลูกเล่นพรรค์นั้นจะหนีข้าพ้นเรอะ” เสียงของมันดังขึ้นด้านหน้าทำเอาศาสถึงกับชะงักเขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะพื้นตัวได้เร็วขนาดนี้ ยิ่งตอกย้ำถึงความน่าสะพรึงกลัวของปีศาจอย่างพวกมันได้เป็นอย่างดี มันไม่รอช้ารีบเข้าจู่โจมเขาอีกครั้ง แต่ด้วยสภาพพื้นที่ทั้งสองข้างถูกขนาบไปด้วยตู้คอนเทรนเนอร์ พื้นที่เข้าโจมตีของมันจึงเหลือเพียงด้านหน้าเท่านั้นจึงทำให้ศาสสามารถป้องกันการโจมตีจากมันได้

          “ดิ้นรนเข้าไปเจ้ามนุษย์” เมื่อสิ้นเสียงมันผละตัวถอยออกมา ก่อนที่มันจะตั้งท่าเพื่อพุ่งเข้ามาอีกครั้งทันใดนั้นเองร่างของมันก็หายไปจากสายตาของเขา พร้อมกับเสียงดังสนั่นมาจากตู้คอนเทรนเนอร์ที่ถูกตั้งซ้อนอยู่ด้านบน ศาสรีบหันไปตามเสียง ก็พบกรงเล็บอันคมกริบปรากฎขึ้นตรงหน้า ศาสเอี้ยวตัวหลบได้อย่างหวุดหวิดจนกรงเล็บของมันเฉี่ยวหน้าของเขาไปแต่นั่นก็ทำให้การป้องกันของเขาอ่อนลง ศาสจึงถูกมันกระแทกจนกระเด็นออกไปกองอยู่กับพื้น มันรีบตั้งตัวและพุ่งตามเข้าไปสังหารเป้าหมายที่ยังคงคุกเข่าอยู่ตรงหน้า

          เมื่อศาสเห็นดังนั้นเขารีบปลดใบมีดที่อยู่บนซองพร้อมกับขว้างไปยังศัตรูที่อยู่ตรงหน้า แต่ความเร็วของอาวุธบินไม่อาจเทียบได้กับประสาทสัมผัสของมัน มันสามารถหลบหลีกพร้อมกับเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแค่ลว ทันใดนั้นเองมันก็สังเกตเห็นแสงสะท้อนของวัตถุบางอย่างอยู่บนพื้น เมื่อมันเพ่งดูก็พบว่าเป็นใบดาบที่ถูกปาปักไว้กับพื้นโดยที่องศาของใบมีดแทบจะตั้งฉากไปกับตัวของมัน และด้วยความบางของมันหากมองผิวเผินคงยากจะสังเกตถึงการมีอยู่ของมัน

          “ลูกไม้ตื้นๆของแก ข้ามองออกหมดแล้ว” มันยิ้มอย่างผู้มีชัยร่างของมันทะยานขึ้นกลางอากาศข้ามบรรดาดาบที่ปักอยู่บนพื้นบัดนี้หนทางสู่ชัยชนะของมันไม่มีอะไรมาขวางทางอีกต่อไปแล้ว

          “เสร็จกัน! มาได้แค่นี้งั้นเหรอ...” เมื่อแผนการของเขาถูกมองออกและใบดาบที่ถูกใช้ไปจนหมดศาสรับรู้ได้ถึงความตายอย่างแท้จริงสายตาของเขาทำได้เพียงจับจ้องไปยังกรงเล็บที่พุ่งเข้ามาเพื่อหมายเอาชีวิตของเขาเท่านั้น

          ทันใดนั้นเองร่างของมันที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เกิดกระตุกขึ้นอย่างแรงพร้อมกับรอยฉีกกระชากที่ปรากฎบนเสื้อของมัน ท่ามกลางเสียงปืนที่ถูกยิงกระหน่ำขึ้น มันจึงรู้ตัวทันทีว่าเสียงปืนจากการต่อสู้ได้เงียบหายไปก่อนหน้านี้แล้วพักหนึ่งแล้วซึ่งก็หมายความว่าการต่อสู้อีกด้านหนึ่งได้จบไปแล้ว

          ถึงแม้จะเกิดเรื่องที่เหนือความคาดหมายขึ้นแต่มันยังคงไม่ลืมเป้าหมายที่อยู่เบื้องล่างมันยังคงหันกรงเล็บเข้าใส่ศาสเพื่อหมายเอาชีวิตของเขาให้ได้พร้อมกับทุ่มพลังที่เหลืออยู่ในการโจมตีครั้งนี้แต่พิษจากบาดแผลกลับทำให้การเคลื่อนไหวของมันช้าลงศาสจึงใช้โอกาสนี้พลิกตัวหลบการโจมตีของมันได้อย่างหวุดหวิดพร้อมกับชักมีดสั้นที่เหน็บไว้ข้างหลังแทงเข้าที่หัวใจของมัน

          “บัดซบ...คนอย่างข้า..ไม่..มีทาง..แพ้....” มันพูดขึ้นพร้อมกับจ้องใส่ศาสอย่างเคียดแค้น

          “จริงอยู่ว่ามนุษย์น่ะอ่อนแอแต่หากพวกเราร่วมมือกันก็ไม่ใช่สิ่งที่แกจะดูถูกได้หรอกนะ...” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับบิดมีดจนเลือดของมันสาดกระเซ็นไปทั่วร่างของเขา ก่อนที่มันจะล้มลงไปกองกับพื้นไม่นานนักร่างของมันสลายราวกับกระดาษที่ติดไฟเหลือเพียงเศษเถ้ากระดูกอยู่บนพื้นเท่านั้น  

          “เฮ้ยศาส เป็นไงมั่งวะไหวหรือเปล่า” เสียงจากเลโอและลูกทีมที่รีบเข้ามาดูอาการของศาสที่ยังคงนั่งอยู่ข้างๆ ศพของปีศาจอย่างหมดแรง

          “ขอบใจมากเลโอ..หากไม่ได้นายช่วยซุ่มยิงผมคงไม่รอดแน่ๆ...”

          “เฮ้ย หากไม่ได้นายที่สร้างโอกาสให้ชั้นก็คงทำไม่ได้หรอกศาส ชั้นเองก็รอจังหวะที่มันลอยอยู่กลางอากาศมานานแล้ว”

          “ว่าแต่พวกเราไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหม...”

          “มีสองคนถูกยิงนิดหน่อย แต่อาการไม่น่าเป็นห่วงมาก นายไม่ต้องกังวลเรื่องของพวกเราหรอก”

          “เฮ้เลโอ! ทางนี้แฮกระบบควบคุมลิฟท์วงโคจรได้แล้วนะ” เสียงร้องหนึ่งดังขึ้นเมื่อได้ยินดังนั้นศาสจึงรีบลุกขึ้นมา

          “เอาล่ะ..เวลาไม่คอยท่าพวกเรารีบไปกันต่อเถอะ” ศาสพูดพร้อมกับเดินไปยังท่าขึ้นลิฟท์ ทันทีที่พวกเขาเดินมาถึงก็พบลิฟท์วงโคจรที่กำลังเลื่อนขึ้นมาจากปล่องของมัน ศาสมองดูอย่างสนใจอยู่พักหนึ่งด้วยขนาดที่ใหญ่ของมันและเมื่อเขามองลงไปทางปล่องด้านล่างที่มันขึ้นมาก็เห็นลักษณะของมันยาวเป็นขบวนราวกับรถไฟแต่ต่างเพียงมันวิ่งขึ้นลงในแนวดิ่งเท่านั้น จนเมื่อมันเข้าเทียบท่าพวกเขาต่างไม่รอช้ารีบใช้มันเพื่อมุ่งสู่สมรภูมิสุดท้ายที่รอพวกเขาอยู่

 

          ณ ห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งเป็นทางผ่านไปยังชั้นบนสุดของลิฟท์วงโคจรแห่งนี้ภายในกลับเต็มไปด้วยร่องรอยของการต่อสู้ทั้งร่องรอยจากการฟันและกระสุนปืนที่ปรากฎให้เห็นไปทั่วรอยเลือดที่สาดกระเซ็นที่ยังคงเป็นสีแดงอยู่บนพื้นและผนังห้อง ที่ใจกลางของห้องกลับปรากฎภาพของผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางกองขี้เถ้าสีขาวที่รายล้อมเธอ

          “แก...อเดล...ทำไมถึงหันหลังให้เผ่าพันธุ์ของเรา...ทำไมถึงไปร่วม...กับพวกมนุษย์” เสียงจากผีดูดเลือดตนหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่บนกองเลือดในสภาพมีบาดแผลฉกรรจ์จนเห็นกระดูกชายโครงโผล่ขึ้นมาแทงทะลุหน้าอก มันพยายามถามหญิงสาวที่มือเต็มไปด้วยเลือดที่ยืนอยู่ข้างๆ 

          “เพราะใครบางคนทำให้ชั้นได้เรียนรู้ว่าทุกชีวิตสามารถอยู่ร่วมกันได้น่ะสิ...ลาก่อนนะเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของเรา จะช่วยปลดปล่อยเธอเดี๋ยวนี้ล่ะ” อเดลพูดด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความเจ็บปวด ก่อนที่เธอจะใช้มือแทงลงบนหัวใจของมันจนร่างของมันค่อยๆสลายกลายเป็นฝุ่นผงไป เมื่อเธอหันไปก็พบราเชนยืนอยู่ด้านหลังดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว

          “ข้าต้องขอโทษที่ปิดบังพวกเจ้านะ...แต่อย่างน้อยขอให้เชื่อเถอะว่าข้าไม่ใช่ศัตรูของพวกเจ้าจริงๆ...” อเดลพูดขึ้นในขณะที่เธอหันหลังให้กับเขา

          “.....” ราเชนมองไปตามตัวของเธอก็พบบาดแผลใหญ่น้อยจำนวนมากก่อนที่เขาจะลดปืนลง

          “เอาเถอะ...ยังไงตอนนี้พลังของเธอก็เป็นสิ่งจำเป็นแล้วนี่ก็ไม่ใช่เวลาจะมาระแวงกันเองแล้ว” เมื่อพูดจบราเชนก็เดินไปยังกลุ่มลูกน้องของเขาที่รออยู่ เมื่อไปถึงทุกคนต่างนิ่งเงียบเมื่อราเชนมองไปรอบๆ เขาก็พอเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

          “คนของเราเหลือเท่าไหร่” ราเชนหันไปถามแพทย์ทหารในทีม

          “เสียชีวิตสามนายบาดเจ็บสาหัสสี่นายครับ...ยังไงเรารีบส่งคนเจ็บกลับฮอก่อนไหมครับ” ทหารแพทย์พูดด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความกังวล ในตอนนี้พวกเขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงหากไม่รีบแข่งกับเวลาผู้บาดเจ็บอาจต้องตายกันหมดซึ่งราเชนเข้าใจในข้อนี้ดี

          “ไม่...พวกเราทุกคนเตรียมใจเอาไว้แล้วภารกิจครั้งนี้มีแค่ทำให้สำเร็จหรือไม่ก็ตายกันหมดเท่านั้น อย่าให้พวกพ้องของเราต้องเสียสละโดยเปล่าประโยชน์เอาล่ะทุกคนไปกันต่อได้แล้ว!!” ในที่สุดราเชนจึงตัดสินใจทิ้งทหารที่ได้รับบาดเจ็บไว้ที่นี่ก่อนที่พวกเขาจะเร่งฝีเท้าไปยังจุดที่สูงที่สุดในลิฟท์วงโคจรแห่งนี้

 

          ในที่สุดอเดลและทีมของราเชนก็มาถึงทางเชื่อมไปยังห้องที่พวกมันใช้เป็นฐานปฎิบัติการเมื่อเข้าไปได้สักพักทุกคนเริ่มรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกลิ่นของคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่ว

          “นี่มัน...สัญลักษณ์ของศาสนจักร..” ราเชนเข้าไปตรวจสอบศพที่พบบริเวณทางเดินก็พบว่าเป็นของนักรบของศาสนจักรและจากสภาพศพดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาถึงก่อนทีมของราเชนไม่นานนัก ราเชนจึงรีบมุ่งหน้าเพื่อไปสมทบทันที

          “อ๊าคคคคคคค!!!” เสียงกรีดร้องดังขึ้นราเชนและทุกคนต่างเร่งฝีเท้าตามเสียงนั้นไป ทันทีที่พวกเขามาถึงปากทางเข้าก็พบชายคนหนึ่งกำลังใช้มีดของเขาจ้วงแทงศัตรูอย่างบ้าคลั่งจนร่างของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเลือดท่ามกลางกองซากศพของนักรบศาสนจักรและเถ้ากระดูกที่กระจายอยู่ทั่วโถงทางเดินยาวแห่งนี้ ก่อนที่เขาจะใช้มีดตัดหัวของมันออกมา พร้อมกับค่อยๆหันมายังกลุ่มของราเชนอย่างช้าๆ

          ทันทีที่ทั้งคู่ได้สบตากันอเดลก็จำได้ทันทีมันคือชายที่เธอเคยปะมือมาก่อนหน้านี้นั่นเอง ไม่ต่างกันเมื่อฮาวเลอร์เห็นเธอมีดของเขาก็อยู่ในท่าพร้อมต่อสู้อีกครั้งด้วยท่าทางอันน่าพรั่นพรึงราวกับว่าเขาพร้อมจะฆ่าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ลูกทีมของราเชนจึงยกปืนขึ้นเล็งชายที่อยู่ต่อหน้าทันที

          “เดี๋ยวก่อน! พวกเราไม่ใช่ศัตรูอย่ามาสู้กันเองเลย” ราเชนร้องห้ามทั้งสองฝ่ายแต่ดูเหมือนฮาวเลอร์จะไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูด

          ในขณะที่เหตุการณ์ตรึงเครียดถึงขีดสุดประตูที่อยู่ปลายทางก็ถูกเปิดขึ้นพร้อมด้วยแสงสีขาวที่สาดเข้ามา ค่อยๆ ปรากฎเงาของชายผมยาวในชุดโคทยาวกำลังเดินออกมา แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงเมื่อเงาของบางสิ่งที่มีลักษณะคล้ายปีกค้างคาวแต่มันดูสยดสยองกว่านั้นมันราวกับข้อกระดูกที่ถูกต่อเป็นกรงเล็บขนาดใหญ่ค่อยๆปรากฎขึ้นด้านหลังของมัน แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือในแต่ละปลายของมันล้วนปรากฎร่างของมนุษย์ถูกเสียบอยู่บนนั้นบางรายยังคงมีชีวิตอยู่และส่งเสียงโหยหวนอย่างทรมาน

          “แก!!!” ฮาวเลอร์ร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น

          “อ่อ...ไอ้พวกหนูสกปรกนี่คือพวกของแกสินะไอ้พวกสุนัขรับใช้ของโบสถ์” มันพูดด้วยเสียงเย้ยหยันก่อนที่มันจะเหวี่ยงศพที่อยู่บนปีกมายังเขา ฮาวเลอร์รีบหันไปมองศพที่อยู่รอบๆ อย่างร้อนรน

          “ฮ่าๆๆ แกหาผู้หญิงอยู่ใช่ไห--” ยังไม่ทันได้พูดจบฮาวเลอร์ก็ทุ่มพลังทั้งหมดพุ่งเข้าใส่ปีศาจที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่คิดชีวิตในขณะที่มีดของเขากำลังจะถึงตัวของมันนั้นเองการโจมตีของเขาก็ชะงักไป เมื่อมันเปิดผ้าคลุมออกเผยให้เห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ภายใน

          “เอาไปสิข้าคืนให้” มันเหวี่ยงร่างของเธอออกไปฮาวเลอร์รีบตรงเข้าไปรับเธอจนเขาเผลอทิ้งมีดในมือไปโดยไม่รู้ตัว

          “แอเลียสเป็นอะไรหรือเปล่า! แอเลียส!!” ฮาวเลอร์ตะโกนเรียกชื่อของเธออย่างร้อนรน

          “ขอ..โท...ษ..ชั้.น...รี...บ..ห นี...” แอเรียสพยามจะพูดอะไรบางอย่างแต่ดูเหมือนเธอไม่อาจครองสติเอาไว้ได้อีกแล้วก่อนที่เสียงของเธอจะเงียบหายไป

          “รีบถอยออกมาจากเธอเร็ว!!” อเดลที่สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างในตัวของเธอรีบร้องเตือน แต่คำพูดของอเดลไม่อาจส่งไปถึงฮาวเลอร์ได้อีกแล้วเขากอดเธอเอาไว้แน่น ก่อนที่ร่างของแอเรียสจะกระตุกขึ้นอย่างแรงพร้อมกับเลือดที่กลายเป็นผลึกแทงทะลุออกมาจากหน้าอกของเธอนับสิบเล่มท่ามกลางความตื่นตะลึกของทุกคนผลของมันทำให้ทั้งคู่เสียชีวิตทันที ท่ามกลางเสียงหัวเราะจากปีศาจที่มองดูพวกเขาอย่างพึงพอใจ

          “ซิกฮาร์ทแก!!” อเดลพูดขึ้นด้วยความโกรธแค้น

          “หึ..เจ้าเองเหรออเดล ถึงจะผ่านมาหลายร้อยปีแกก็ยังคงเป็นปฎิปักษ์กับเผ่าพันธุ์ของตนเองอย่างนั้นรึ...”

          “เพราะการกระทำของพวกแกมันเกินกว่าจะรับได้น่ะสิ!!”

          “ได้เวลาแล้วสินะ...” ซิกฮาร์เสยะยิ้มพร้อมกับเดินกลับเข้าไปภายในห้องโดยไม่สนใจคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย อเดลและพรรคพวกไม่รอช้ารีบตามเข้าไปภายในทันที

          เมื่อพวกเขาก้าวผ่านประตูเข้ามาก็ชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความตกใจเมื่อพบว่าพื้นและผนังของห้องแห่งนี้ทำจากวัสดุโปร่งใสเชื่อมต่อด้วยโครงสร้างเหล็กทรงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่มาต่อกันจนกลายเป็นห้องขนาดใหญ่ราวกับว่าพวกเขากำลังยืนอยู่บนอากาศ ด้วยความสูงของมันภาพทิวทัศน์บนพื้นโลกที่พวกเขาเห็นในตอนนี้จึงไม่ต่างอะไรไปกับแบบจำลองย่อส่วนและเมื่อมองไปข้างหน้าล้วนมีเพียงเส้นขอบฟ้าที่สว่างสดใสตัดกับอวกาศมันมืดมิด โดยมีซิกฮาร์ทยืนอยู่กลางห้องด้านหลังของเขามีจอภาพขนาดใหญ่ที่กำลังฉายภาพแผนที่ทางอากาศที่ถูกถ่ายทอดมาจากดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงกองเรือรบขนาดใหญ่ที่กำลังมุ่งหน้ามายังลิฟท์วงโคจรแห่งนี้

          “นั่นมันกองเรือของสหประชาชาตินี่ แผนการของแกมันจบแล้วล่ะไอ้ปีศาจ” ราเชนพูดขึ้น

          “หึ...น่าสนุก งั้นข้าจะแสดงให้ดูถึงพลังที่ทัดเทียมกับพระเจ้า” ซิกฮาร์ทพูดขึ้นพร้อมกับทอดสายตาไปยังพื้นโลกที่อยู่เบื้องล่าง มันเริ่มร่ายเวทย์มนต์บางอย่างขึ้นจนพวกเขาสามารถรับรู้ได้ถึงความสั่นไหวของอากาศได้

          “คิดว่าข้าจะยอมให้แกใช้มันเหรอ!!” อเดลเข้าจู่โจมมันจากด้านหลังทันที เมื่อเห็นดังนั้นราเชนและลูกทีมจึงเริ่มเปิดฉากการโจมตี เพียงพริบตาเดียวการโจมตีของพวกเขาก็ปิดฉากลงพร้อมกับร่างของอเดลที่ถูกโจมตีจนกระเด็นออกมาเพียงแค่ซิกฮาร์ทสยายปีกออกมาเท่านั้นก่อนที่มันจะถูกกางออกเป็นกำแพง การโจมตีของพวกราเชนจึงไม่อาจทำอันตรายให้กับมันได้เลย ในขณะที่ซิกฮาร์ทยังคงร่ายเวทย์ต่อไปราวกับไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา

          ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงดังกระหึ่มพร้อมกับอากาศที่สั่นไหวจนรู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านผิวหนัง ทุกคนต่างมองไปโดยรอบอย่างตื่นตระหนกเพื่อค้นหาต้นกำเนิดของเสียงนั้น พวกเขาก็พบกับกลุ่มเมฆกำลังขดรวมตัวกันจนกลายเป็นเกลียวสีดำขนาดมหึมาปกคลุมอยู่กลางมหาสมุทร มันรุนแรงเสียจนทิศทางกระแสน้ำเริ่มปั่นป่วนจนเกิดแนวคลื่นขนาดยักษ์ขึ้น พร้อมๆ กับสัญญาณภาพถ่ายจากดาวเทียมที่ขาดหายไป

          “มันจบแล้วล่ะกองเรือที่พวกแกภูมิใจนักหนา ไม่มีใครมาช่วยพวกแกได้อีกแล้ว” ซิกฮาร์ทหัวเราะออกมาอย่างสะใจ ในขณะที่ทุกคนได้แต่ยืนนิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าพร้อมกับความหวังที่พังทลายลง.....

 

ปล.ต้องขอโทษด้วยนะครับช่วงนี้งานรัดตัว อาจออกช้าหน่อยน้า

หากมีแนะนำหรือติชม สามารถทำได้เต็มที่เลยครับ ขอบคุณจ้า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา