[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  228.37K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) Chapter 02 : ร้องไห้ครั้งสุดท้าย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 02 : ร้องไห้ครั้งสุดท้าย



ผมทำใจสักพักก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของประธานอีกครั้งด้วยท่าทางบอกบุญไม่รับ  เมื่อเห็นผมเดินเข้าไปไอ้บ้าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานก็หัวเราะเย็นๆ ด้วยท่าทางที่น่าหมั่นไส้  มันคงคิดว่ามันเหนือกว่าผมมากล่ะสินะ  ใช่ มันเคยเป็นอย่างนั้น  แต่ตอนนี้ผมจะไม่ยอมให้อดีตนั่นมาทำร้ายผมได้อีกแล้ว  มาเจอมันตอนนี้ก็ดีเหมือนกันผมจะได้ทำให้มันได้รู้ว่าแม้ไม่มีมันผมก็ไม่ตาย!

“ว่าไง? ถ้าจะลาออกผมจะให้เงินคุณเป็นค่าเสียเวลา ฮึๆ” หมอนั่นทำท่าเปิดลิ้นชักแล้วหยิบเช็คมาเซ็น

“ไม่ลาออก  มีปัญหาอะไรไหม...ครับ? แต่ถ้าไม่พอใจอะไรจะยื่นซองขาวให้ก็ไม่ว่ากัน” ผมกอดอกด้วยท่าทางหยิ่งผยองทั้งๆ ที่อยากจะร้องไห้แทบขาดใจ

“ก็ดี  คิดจะทำงานกับผมก็ต้องมีความอดทนและขยันหมั่นเพียร” พี่ลุกซ์ยิ้มเย็นก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้ามาประชิดตัวผม  ผมตกใจรีบก้าวถอยหลัง

“จะทำอะไร!?!” ผมถลึงตาถามอย่างตกใจพลางมองมือหนาๆ ที่กำลังปลดเข็มขัดของตัวเอง

“มีกันเยอะแยะไม่ใช่เหรอที่เลขาเป็นชู้กับประธาน” ผมเม้มปากเข้าหากันทันทีที่ได้ยินแบบนั้น  เป็นชู้อย่างนั้นเหรอ? เฮอะ! ใช่สิ  เมื่อก่อนมึงเรียกกูว่าเมียแต่ตอนนี้มึงเรียกกูว่าชู้  มันจะมากเกินไปแล้วนะไอ้คนเลว!

เพี้ยะ!!

ผมผลักอกของพี่ลุกซ์ออกไปให้ห่างก่อนจะสะบัดข้อมือตบลงบนหน้าหล่อๆ นั่นทันที  ผมเสียใจที่เห็นพี่ลุกซ์เป็นแบบนี้  เมื่อก่อนไม่ว่าพี่ลุกซ์จะเลวจะชั่วยังไงผมก็รับได้และพร้อมที่จะรักแต่ตอนนี้ผมรังเกียจ  คนที่หักหลังได้แม้กระทั่งคนที่รักมากที่สุดแบบนี้มันน่ารังเกียจจริงๆ

“อย่ามายุ่งกับผมในความหมายแบบนั้น! ผมมาที่นี่เพื่อทำงาน  และผมจะไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวมาทำให้เสียงานเด็ดขาด  คุณก็ควรทำแบบนั้นด้วยนะครับท่านประธาน!” ผมมองหน้าพี่ลุกซ์ด้วยสายตามุ่งมั่น  ลึกๆ แล้วความรู้สึกของผมกำลังร้องไห้อยู่ครับ  ยิ่งเห็นหน้าผมก็ยิ่งเจ็บปวด  ภาพเก่าๆ มันย้อนคืนกลับมาฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“มุ่งมั่นดีเหลือเกินนะ  ไหนบอกว่ารอกูไง? หรือแค่พูดไปให้ตัวเองดูดีแต่ที่จริงแล้วมีผัวใหม่ไปแล้ว  นั่นสินะ  ตัดใจได้เร็วแบบนี้มีผัวไปกี่คนแล้วล่ะ?”

ผลัวะ!!

ผมปล่อยหมัดฮุกเข้าใบหน้าที่กำลังยิ้มเยาะผมอย่างเดือดดาล  พี่ลุกซ์กลับมาพร้อมกับความเลวร้ายเหมือนครั้งก่อนๆ ที่เคยทำกับผม  ทำไมต้องมารื้อถึงอดีตที่ผมอยากจะลืมด้วย?  ทุกคำพูดทุกการกระทำของพี่ลุกซ์เหมือนตอนที่ผมพยายามขอความรัก  แล้วแบบนี้ผมจะลืมได้ไหม?

“คุณจะคิดยังไงก็แล้วแต่ เพราะถึงยังไงผมก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของคุณได้  ต่อให้พยายามด้วยใจมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี!!” ผมตะคอก  น้ำตาเริ่มปริ่มที่ขอบตาแต่ผมก็พยายามกลืนมันกลับไปเพื่อที่จะได้ไม่ถูกผู้ชายคนนี้ดูถูก

“อึก! ออกไปได้แล้ว  ไม่ต้องมาบีบน้ำตาให้กูสงสาร!” พี่ลุกซ์ชะงักก่อนจะสะบัดหน้าไปทางอื่น

“เฮอะ! ผมไม่คิดว่าคนอย่างคุณจะมีความรู้สึกอย่างนั้นกับผมอีกแล้วล่ะครับ  เอาเป็นว่าผมจะเริ่มงานเลย  มีอะไรก็เรียกใช้ผมก็แล้วกันนะครับท่านประธาน!” ผมกรอกตาเพื่อให้น้ำตามันหายไปก่อนจะรีบเดินออกจากห้องก่อนที่ผมจะร้องไห้ออกมาจริงๆ

 

ทันทีที่ผมเดินหน้าบึ้งออกจากห้องพี่ลุกซ์พี่พลอยก็เดินมาลากผมไปที่ห้องของพี่ถังที่อยู่ไม่ไกลกันทันที  ผมรีบโผเข้าไปกอดพี่ถังเหมือนเด็กๆ เพราะต้องการที่พึ่งทางใจ ไม่ว่ายังไงกอดของพี่ชายคนนี้ก็ทำให้ผมสบายใจได้เสมอ

“ถัง กูไม่รู้ว่ากูจะทนได้นานแค่ไหน  กูเจ็บใจว่ะ” ผมจิกเสื้อด้านหลังของพี่ถังแน่นพลางมุดหน้าลงบนไหล่กว้าง

“เปอร์  มึงทำได้แน่นอน  เข้มแข็งเข้าไว้  มึงผ่านอะไรมามากมายเพราะฉะนั้นแค่เรื่องนี้มึงจะต้องผ่านมันไปให้ได้  สู้ๆ นะ” พี่ถังลูบหัวผมอย่างปลอบประโลม

“กูเจ็บว่ะ! เจ็บๆๆๆ เจ็บจนอยากจะฆ่าคนที่ทำให้กูเจ็บซะให้รู้แล้วรู้รอด! ทำไมถึงทำกับกูขนาดนี้วะ!” ผมทุบตีไอ้พี่ถังอย่างแค้นเคือง  แค้นพี่ลุกซ์แต่ลงกับพี่มันไม่ได้เพราะงั้นกูขอลงกับพี่ชายตัวแสบนี่แหละ

“ใจเย็นๆ นะเปอร์  อีกไม่นานมึงก็จะไม่เจ็บแล้วล่ะ  ให้เจ็บหนักๆ แล้วชินดีกว่าไปเจ็บทีละนิดแต่เจ็บนานนะ” พี่ถังปลอบ

“ถัง กูกลัวกูทนไม่ไหว  มันเจ็บ มันบีบหัวใจจนหายใจไม่ออก  มันทรมานจริงๆ นะถัง” ผมขยำสูทของพี่ถังแน่น

“เปอร์ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ออกก็ได้นะ  ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ตกต่ำแล้ว  มึงกลับไปเปิดโชว์รูมของพ่อก็ได้นะเปอร์  เห็นมึงเจ็บกูก็เจ็บด้วยนะรู้ไหม?” พี่ถังกอดผมแน่น

“เอาอย่างนั้นก็ได้  เมื่อไหร่ที่กูร้องไห้  กูจะลาออกจากบริษัท” ผมบอกพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกลืนน้ำตากลับเข้าที่เดิม

“จะไหวเหรอ? เด็กขี้แงอย่างมึงเนี่ยนะ ฮึๆ” พี่ถังหัวเราะขำๆ พลางผละออกจากผม

“ไอ้บ้า! ไม่ให้กำลังใจน้องเลย  กูจะฟ้องพี่เคย์ว่ามึงแกล้งกู” ผมแลบลิ้นให้ไอ้พี่ถังอย่างหมั่นไส้ก่อนจะหัวเราะตามมันไปด้วย

“ไอ้เคย์จะทำอะไรกูได้?” ไอ้พี่ถังกอดอกเชิดหน้าอย่างคนเหนือกว่า

“อย่ามาทำเป็นพูดดี  กูรู้หรอกว่าจริงๆ แล้วมึงกลัวพี่เคย์ ฮึๆ” ผมพูดอย่างรู้ทัน  ผมเคยเห็นกรณีหนึ่งที่พี่ถังมันพูดอะไรไม่ออกเนื่องจากพี่เคย์ดุมาก  รู้สึกเหมือนตอนนั้นพี่ถังจะเครียดเรื่องงานแล้วเอาไปลงกับพี่เคย์  ตอนนั้นพี่เคย์เงียบไม่ยอมพูดอะไรทำให้พี่ถังถึงกับสงบลงได้อย่างรวดเร็วและไปง้อพี่เคย์  พี่เคย์งี้สั่งสอนพี่ถังใหญ่เลย  พี่ถังก็ได้แต่นั่งฟังพี่เคย์เทศน์ตาปริบๆ

“พอๆ จะพูดถึงไอ้เคย์ทำไมเนี่ย?” พี่ถังทำปากยื่น

“อะไรครับ? นินทาอะไรผมอยู่เหรอ? เปอร์...นินทาพี่เหรอ หืม?” ผมกับพี่ถังสะดุ้งเมื่อพี่เคย์เปิดประตูห้องเข้ามา

“พี่เคย์!! ไม่ได้เจอกันนาน  คิดถึงจังเลยครับ” ผมอุทานก่อนจะกระโดดเข้าหาอ้อมแขนพี่เคย์อย่างคิดถึง  ไม่ได้เจอพี่มันนานเป็นเดือนเลยล่ะครับเพราะพี่มันต้องไปเดินสายถ่ายแบบที่แถบยุโรปและอเมริกา

“คิดถึงเหมือนกัน  โอ้โห เรานี่ก็เหมาะกับสูทเหมือนกันนะ” พี่เคย์หอมหน้าผากผมเบาๆ ก่อนจะผละออกแล้วจับผมหมุนไปหมุนมา

“พี่เคย์  พี่ถังแกล้งผมอ่ะ” ผมโผเข้าไปซุกอกพี่เคย์แล้วฟ้องพลางเหลือบตาไปมองไอ้พี่ถังอย่างยั่วโมโห คึๆ

“ถัง แกล้งอะไรน้องครับ?” พี่เคย์ถามเสียงนุ่ม  เมื่อก่อนพี่เคย์เรียกพี่ถังว่าพี่แต่พอคบกันพี่มันเรียกชื่อเฉยๆ เลยครับ  แต่ก็ยังพูดสุภาพอยู่

“ไม่ได้แกล้งอะไรซักหน่อย” พี่ถังพูดเสียงสะบัด

“เปอร์ พี่ขอไปกอดพี่ถังให้หายคิดถึงหน่อยนะ ฮึๆ ดูท่าทางจะงอนด้วยนะนั่น” พี่เคย์กระซิบกับผมเบาๆ ผมจึงปล่อยพี่เคย์  สงสัยไอ้พี่ถังมันหึงที่ผมกั๊กพี่เคย์เอาไว้คนเดียวล่ะมั้ง  คึๆ เข้าแผนผมเลย  อยากเห็นเขาสองคนสวีตกันครับ

ฟึ่บ!

“เฮ้ย!” พี่ถังอุทานเสียงหลงเมื่อพี่เคย์เดินเข้าไปกอดจากด้านหลัง

“คิดถึงจังเลยครับ” พี่เคย์พูดเสียงเบาพลางหอมพี่ถังไปด้วย  ผมที่ยืนมองอยู่ถึงกับเขินเลยครับ  ปกติผมเคยเห็นพี่ถังเขินแบบนี้ซะเมื่อไหร่ล่ะ  อ๊าก! เขินอ่ะ!

“ไอ้เคย์! ไอ้เปอร์ก็อยู่” พี่ถังมองผมอย่างเลิ่กลั่กก่อนจะรีบดันตัวพี่เคย์ออก

“ตามสบายๆ จะหอมจะจูบจะตะดึ๊ดตึ๊ดกันตามสบายนะ  ผมไปทำงานดีกว่า” ผมขยิบตาให้พี่ๆ ทั้งสองก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง

“พี่พลอย ผมไปทำงานก่อนนะฮะ” ผมเดินยิ้มๆ ไปบอกพี่พลอยที่นั่งอยู่หน้าห้องพี่ถัง

“เปอร์  เมื่อกี้ประธานเรียกหาน่ะ  ท่าทางโมโหมากเลย  เปอร์รีบเข้าไปหาประธานเถอะนะ” พี่พลอยบอกผมด้วยสีหน้ากังวลใจ

“งั้นเหรอครับ?” ผมขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะเดินไปหยุดยืนที่หน้าประตูห้องประธานที่อยู่ข้างๆ กัน  ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป

“คุณหายไปไหนมาครับคุณปริน!?!” ทันทีที่ผมเดินเข้าไปเสียงดุดันก็ตะโกนขึ้นเป็นเชิงต่อว่าพร้อมกับแฟ้มเอกสารที่ถูกทุ่มลงบนพื้น  ผมสะดุ้งแต่ก็ยังเก๊กขรึม

“ขอประทานโทษครับ  คุณต้องการเรียกใช้อะไรผมงั้นเหรอครับ?” ผมพยายามทำใจดีสู้เสือมองหน้าพี่ลุกซ์  ผมยังไม่ชินกับการต้องมองพี่มันอย่างห่างเหินแบบนี้เลย  แต่ผมก็ต้องทำ

“อีกสิบนาทีผมต้องเข้าประชุมกับบอร์ดบริหาร  คุณต้องไปกับผม” พี่ลุกซ์พูดก่อนจะลุกขึ้นยืน  ขยับสูทนิดหน่อยแล้วเดินเข้ามาใกล้ผม

“ครับ”

“คิดจะทำงานกับผมก็ต้องอยู่กับผม  ไม่ใช่วิ่งแท่ดๆ ไปหาพี่ชาย  คุณเป็นเด็กเส้น  เพราะฉะนั้นก็กรุณาทำงานให้มีประสิทธิภาพด้วยไม่งั้นคนอื่นเขาจะกล่าวหาพี่ชายคุณได้  เข้าใจไหมครับ?” พี่ลุกซ์พูดประชดแล้วเดินผ่านตัวผมไปโดยให้ไหล่กระแทกกัน  ผมถึงกับเซเลยล่ะครับ

“ขอโทษครับ  ผมจะไม่ไปไหนในเวลางานอีกแล้วครับ” ผมก้มหน้าพูด  เจ็บอ่ะ...ผมรู้สึกเจ็บปวดจนอยากจะร้องไห้เลยล่ะครับ  พี่ลุกซ์พูดจาห่างเหินกับผมมาก  มาก..เกินไป

“เก็บเอกสารพวกนั้นแล้วตามผมมา  อย่าชักช้า” พี่ลุกซ์สั่งผมจึงรีบเก็บเอกสารไปจัดไว้บนโต๊ะ

 

ถึงจะบอกว่าเป็นการประชุมแต่ผมว่านี่มันเป็นการแนะนำประธานบริษัทคนใหม่มากกว่า  พ่อพี่ลุกซ์ก็มา  พี่ถังก็อยู่  และที่สำคัญ...เจ๊เปรียวก็มาด้วยครับ  รู้สึกว่าตำแหน่งของเจ๊คือผู้จัดการทั่วไปแฮะ  เฮ้อ  ยิ่งเห็นพวกเขานั่งอยู่ใกล้ๆ กันผมยิ่งเจ็บปวด

 

หลังจบการประชุมพี่ลุกซ์ก็ออกไปกินข้าวเที่ยงกับเจ๊เปรียวส่วนพี่ถังก็ไปกับพี่เคย์โดยที่ผมปฏิเสธไม่ไปด้วยเพราะไม่อยากขัดคอ 

ผมกลับมานั่งกุมขมับอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเองอย่างเครียดๆ  ผมไม่รู้ว่าผมจะจัดการกับความรู้สึกนี้ของผมยังไง  ผมทำใจไม่ได้จริงๆ  ต่อหน้าพี่ลุกซ์ผมก็ทำเป็นไม่รู้สึกอะไรแต่จริงๆ แล้วผมเจ็บจนเกินจะทน  วันเวลาดีๆ ที่เราเคยมีด้วยกันมันเป็นแค่อดีตจริงๆ ใช่ไหม?  สิ่งที่ผมเคยมีมันก็หายไปหมด  ผมควรจะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไงดี? มันทรมานเหลือเกิน

“เปอร์...” ขณะที่ผมกำลังนั่งเครียดเสียงทุ้มต่ำคุ้นหูก็ดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งและรีบลุกขึ้นยืน

“สะ...สวัสดีครับคุณพะ...คุณลุง” ผมรีบยกมือไหว้พ่อของพี่ลุกซ์อย่างลนลาน

“เรียกพ่อเหมือนเดิมเถอะนะ”

“ผมไม่กล้าหรอกครับ” ผมยิ้มแหยๆ

“แม่กับน้องไลลาคิดถึงนะ  ไปหาพวกเราบ้างก็ได้นะลูก” พ่อของพี่ลุกซ์บอก

“ผมขอฝากความคิดถึงไปถึงคุณป้ากับน้องไลลาด้วยนะครับ” ผมพูดพลางยิ้มฝืนๆ

“พ่อขอโทษนะที่เรื่องมันเป็นแบบนี้  เปรียวท้องกับลุกซ์ทำให้ต้องมีการแต่งงาน  เปอร์เข้าใจใช่ไหมลูก” พ่อของพี่ลุกซ์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นไหวและรู้สึกผิด

“ไม่มีใครผิดหรอกนะครับ  ผมเข้าใจ  ตอนนี้ผมก็ไม่รู้สึกอะไรแล้วล่ะครับ  ขอบคุณมากนะครับที่เป็นห่วงผม  ขอบคุณจริงๆ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณ

“เปอร์ พ่อขอกอดหน่อยได้ไหม?” พ่อของพี่ลุกซ์เดินอ้อมมาหาผมที่หลังโต๊ะทำงาน

ฟึ่บ!

“ฮึก คุณพ่อครับ ฮือ” ผมโผเข้ากอดพ่อพี่ลุกซ์ก่อนจะร้องไห้โฮ  อ้อมแขนของคนเป็นพ่ออบอุ่นเสมอ  อบอุ่นจนผมกลั้นน้ำตาต่อไปไม่ไหว  ผมทรมานกับการต้องฝืนปั้นหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรมากเหลือเกิน

“พ่อขอโทษนะลูก  ขอโทษจริงๆ กับสิ่งที่ลุกซ์ทำลงไป  มันทำร้ายเปอร์ทำแล้วซ้ำเล่าจนพ่อไม่รู้จะไถ่โทษยังไง  พ่อขอโทษ” พ่อของพี่ลุกซ์ลูบผมของผมเบาๆ อย่างปลอบประโลม

“ฮึก ไม่เป็นไรครับ ฮึก ผมเข้าใจ  ยังไงเรื่องมันก็เกิดไปแล้ว ฮือ ผมสัญญานะครับว่า...ฮึก...จะไม่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ครอบครัวพี่ลุกซ์แตกแยก  ผมจะไม่...ฮึก...ไม่รักพี่ลุกซ์อีกแล้วล่ะครับ” ผมกอดผู้ใหญ่ตัวสูงกว่าแน่น

“อย่าเรียกพ่อกับแม่ว่าคุณลุงกับคุณป้าอีกเลยนะ  แม่เขาเสียใจนะรู้ไหม?” เมื่อผละออกจากกันคุณพ่อก็บอกพลางเช็ดน้ำตาให้ผมเบาๆ

“ผมขอโทษนะครับ  ขอโทษ...ฮึก” ผมสะอื้นฮัก

“ไปเยี่ยมพ่อกับแม่บ้างนะ” คุณพ่อบอก

“ครับ” ผมยิ้มเศร้าๆ ทั้งน้ำตา

“ต้องไปนะเปอร์ แม่เขาคิดถึง ไลลาก็คิดถึงมากนะรู้ไหม?”

“ถ้ามีโอกาสผมจะไปเยี่ยมนะครับ  ผมจะดูหน้าหลานด้วย  ผมเห็นในรูปแล้ว  เขาหน้าตาคล้ายพ่อนะครับ ฮึก” ผมพูดไปยิ้มไปแต่ตอนสุดท้ายผมก็อดสะอื้นไม่ได้  ผมเสียใจมากจริงๆ ที่พวกเขามีพยานรักเกิดขึ้นมา  ใช่สิ...ผมเป็นผู้ชาย  มีลูกไม่ได้อยู่แล้ว

“เปอร์ ถ้าฝืนมากจริงๆ ลาออกเถอะนะ  พ่อไม่อยากให้เปอร์เจ็บนะลูก”

“ครับ  ถ้าผมทนไม่ไหวผมจะออกครับ  ถึงเวลานั้นผมคงต้องรบกวนคุณพ่อช่วยแนะนำเรื่องการเปิดโชว์รูมซะแล้วล่ะ ฮะๆ” ผมปาดน้ำตาก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“ยินดีที่สุดเลยล่ะ  งั้นพ่อกลับก่อนนะลูก  ถึงจะปลดระวางตำแหน่งแล้วแต่ก็ยังมีงานอีก  เฮ้อ ไม่ให้คนแก่ได้พักได้ผ่อนเล้ย” คุณพ่อบ่นอย่างขำๆ

“แก่อะไรล่ะครับ  หล่อเฟี้ยวขนาดนี้” ผมหยอดไปหนึ่งดอก

“พูดได้ดีนี่ ฮ่าๆ พ่อไปก่อนนะ” คุณพ่อหัวเราะก่อนจะเดินจากไป

ผมทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ แค่ได้คุยกับคุณพ่อผมก็สบายใจแล้วล่ะครับ  แค่รู้...ว่าพวกท่านยังรักยังเอ็นดูผมขนาดนี้ผมก็ดีใจมากๆ แล้วต่อให้ลูกชายของพวกท่านทำร้ายผมมากมายแค่ไหนก็ตาม

 

ขณะที่พี่ลุกซ์ยังไม่กลับมาผมก็ไปเรียนรู้งานกับพี่พลอยและคอยรับโทรศัพท์ที่มีการต่อสายเข้ามาหาพี่ลุกซ์หลายสาย  โต๊ะทำงานของผมกับพี่พลอยอยู่ใกล้ๆ กันครับเพราะห้องของพี่ลุกซ์กับพี่ถังอยู่ติดกัน  เวลาที่ไม่มีอะไรทำผมกับพี่พลอยมักจะนั่งคุยเล่นกันเสมอเลยครับ

พี่ลุกซ์กับเจ๊เปรียวเดินควงกันกลับเข้ามาที่ห้องทำงานซึ่งนั่นก็เป็นภาพบาดตาบาดใจผมมาก

“เปอร์ กินข้าวหรือยัง  เจ๊ซื้อขนมมาฝากด้วยนะ” เจ๊เปรียวปล่อยแขนพี่ลุกซ์ก่อนจะเดินเขามาหาผม

“ขอบคุณมากครับ” ผมยิ้มรับกับความใจดีของเจ๊  เจ๊เปรียวยังน่ารักเหมือนเดิมครับเพียงแต่น่าเสียดายที่ต้องไปคบกับคนเลวๆ อย่างพี่ลุกซ์

“ทำไมตาแดงๆ ล่ะเปอร์  กินข้าวหรือยังเนี่ย?” เจ๊เปรียวจับปลายคางผมเชยขึ้นพลางจ้องหน้าผมอย่างพินิจพิเคราะห์

“สงสัยจะหิวน่ะครับ  ผมยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงเลย” ผมบอกยิ้มๆ  ใครจะกล้าบอกล่ะครับว่าตาแดงเพราะร้องไห้

“ลุกซ์ น้องยังไม่ได้กินข้าวเลย  ให้น้องพักก่อนนะ” เจ๊เปรียวหันไปขอพี่ลุกซ์ที่กำลังยืนกอดอกมองพวกเราอยู่

“เวลาพักทำไมไม่พัก  ไม่ได้กินก็ช่วยไม่ได้นะ” พี่ลุกซ์พูดอย่างเย็นชา

“ใจร้ายจังเลยนะลุกซ์  น้องยิ่งตัวผอมๆ อยู่ด้วย” เจ๊เปรียวเท้าสะเอวทำปากยื่นใส่พี่ลุกซ์

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  งั้นอีกห้านาทีผมจะเข้าไปรายงานเรื่องงานของท่านประธานนะครับ” ผมบอกพลางทำเป็นไม่สนใจบรรยากาศสวีตของพวกเขา

“ทำไมต้องห้านาที?  ผมอยากฟังตอนนี้” พี่ลุกซ์พูดก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง

“เฮ้อ ตาคนนี้ใจร้ายไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ  งั้นเจ๊ไปทำงานของเจ๊ละ  ฝากเปอร์ดูแลตาหัวรั้นคนนั้นด้วยนะ” เจ๊เปรียวบอกก่อนจะเดินจากไป  ผมถอนหายใจก่อนจะลุกตามพี่ลุกซ์เข้าไปในห้อง

 

ผมยืนตัวตรงเปิดสมุดโน้ตก่อนจะเรียบเรียงลำดับของงานที่เข้ามาให้พี่ลุกซ์ฟังแต่ขณะที่ผมกำลังอธิบายอยู่พี่ลุกซ์กลับลุกเดินไปมาเดินมาเหมือนไม่ฟังก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ผม

“ร้องไห้งั้นเหรอ?” พี่ลุกซ์ก้มหน้าลงมาพูดใกล้ๆ

“พูดเรื่องอะไรเหรอครับ?” ผมปิดสมุดโน้ตก่อนจะถามเสียงเย็นชา

“มึงร้องไห้” พี่ลุกซ์พูด

“ผมรายงานสิ่งที่ท่านประธานต้องทำภายในวันนี้จนหมดแล้ว  ขอตัวนะครับ” ผมก้าวถอยหลังหลบก่อนจะรีบเดินออกจากห้อง

“เดี๋ยวสิ  บอกกูมาก่อนจะว่าร้องไห้ทำไม?” พี่ลุกซ์รีบสาวเท้าเดินมาให้ทันผมก่อนจะเอามือยันประตูที่กำลังจะเปิดออกให้ปิดลงอีกครั้ง

“คำถามของคุณไม่เกี่ยวกับงานนะครับ  ถ้าไม่มีอะไรแล้ว  ผมขอตัว” ผมบอกแค่นั้นก่อนจะปัดมือพี่ลุกซ์ออกจากประตู

“มึงนี่ยังดื้อไม่เปลี่ยนเลยนะ” พี่ลุกซ์พูดทำให้ผมชะงัก

“จำได้ด้วยเหรอครับ  เรื่องของผมน่ะ?  แต่...ผมคิดว่าคุณคงยังรู้จักผมไม่ดีพอ” ผมพูดขึ้น “ผมว่าเราอย่าพูดถึงเรื่องอดีตอีกเลยนะครับ  ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป” ผมกำลูกบิดประตูแน่น

“มึงนี่ลืมง่ายดีเนอะ  ไหนบอกว่ารอกูไง” พี่ลุกซ์เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ประธานก่อนจะถามเสียงเจ้าเล่ห์

“ผมขอร้องล่ะ  อย่าพูดอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงานอีกนะครับ  คุณเป็นถึงประธานบริษัท  ผมคิดว่าเรื่องแค่นี้คุณน่าจะแยกแยะออก” พูดจบผมก็รีบเดินออกจากห้องไปทันที

ลืมง่ายงั้นเหรอ? คนที่ลืมง่ายมันใครกันแน่? ผมรอพี่อยู่เสมอนั่นแหละ  เพียงแต่ว่า...ตอนนี้พี่ลุกซ์ของผมยังไม่กลับมา  เขายังเรียนอยู่ที่อเมริกาและเขาคนนั้นก็ยังไม่เปลี่ยนใจไปจากผมส่วนพี่ลุกซ์คนนี้...ไม่ใช่พี่ลุกซ์ที่ผมรอคอย  ไม่ใช่เลยแม้แต่นิด  เขาไม่ใช่...พี่ลุกซ์ของผม

 

“เปอร์ๆ มาดูนี่สิ  แฟนรองล่ะ” พี่พลอยกวักมือเรียกผมหลังจากที่ผมมาถึงที่ทำงานในตอนเช้าของอีกวัน

“ไหนครับๆ” ผมวางกระเป๋าสะพายข้างลงบนโต๊ะทำงานก่อนจะรีบกระโดดเหยงๆ ไปดูนิตยสารที่พี่พลอยเปิดให้ดู “ว้าว พี่เคย์จริงๆ ด้วยครับ  หล่อเฟี้ยวเชียว” ผมดูรูปของพี่เคย์ที่กำลังโพสต์ท่าถ่ายแบบให้กับแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำอย่างตื่นตาตื่นใจ

“แหม...แฟนรองดังขนาดนี้เลยนะเนี่ย  สงสัยต้องรีบขอลายเซ็น ฮ่าๆๆ” พี่พลอยหัวเราะขำๆ

“อ้อ พี่พลอยครับ  ผมซื้อขนมมา  มาทานด้วยกันนะครับ” ผมวิ่งกลับไปค้นกระเป๋าก่อนจะหยิบกล่องฝอยทองกับทองหยอดขึ้นมา

“ว้าว น่ากินจังเลย  ขอบใจนะเปอร์” พี่พลอยทำหน้าตื่นตาตื่นใจก่อนจะแกะกล่องฝอยทอง

พี่พลอยนี่น่ารักดีแฮะ  เพิ่งเคยมีคนตื่นเต้นเพราะขนมหวานเป็นเพื่อนผมครั้งแรกเลยนะเนี่ย  ปกติเวลาที่ได้เห็นขนมพวกนี้จะมีแค่ผมเท่านั้นแหละที่ตื่นเต้น

แต่ต่อให้พี่พลอยน่ารักแค่ไหนผมก็คงรักไม่ได้เพราะว่าหัวใจผม...มันไม่สามารถมีความรักได้อีกแล้ว

“ร้านนี้อร่อยมากเลยนะครับ  ผมเป็นลูกค้าขาประจำของร้านนี้ตั้งแต่เด็กเลยล่ะครับ  ถ้าผมงอนแล้วมีคนซื้อขนมร้านนี้มาฝากล่ะก็  หายงอนทันทีเลยครับ ฮ่าๆ” ผมพูดพลางหัวเราะก่อนจะชะงักเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อก่อน  เวลาผมงอนพี่ลุกซ์ก็มักจะซื้อขนมร้านนี้มาง้อเสมอ  แต่นั่นมันก็เป็นแค่เรื่องในอดีตอ่ะนะ

“งั้นถ้าพี่ทำเปอร์งอนพี่จะง้อด้วยขนมนี่นะ คิๆ” พี่พลอยยิ้มแป้นก่อนจะจิ้มฝอยทองกิน “อื้ม อร่อยมากเลย” พี่พลอยทำหน้าฟินก่อนจะดิ้นดุกดิกอย่างน่ารัก

“พี่พลอยเหมือนเด็กเลยครับ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะกับท่าทางของพี่พลอย

“แหม...ก็มันอร่อยนี่นา” พี่พลอยยิ้มตาหยีก่อนจะหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดปากให้ผม

“อ๊ะ ปากผมเปื้อนเหรอเนี่ย?” ผมเลิกคิ้วนิดๆ

“ใช่จ้า คิๆ คนที่เหมือนเด็กน่ะเปอร์ต่างหากล่ะ  กินเลอะเทอะ ฮ่าๆ” พี่พลอยว่า

“มาทำงานแต่เช้าเชียว  กินอะไรกันเนี่ย?” พี่ถังที่เพิ่งมาถึงทักขึ้นพลางเดินเข้ามาดูสิ่งที่พวกเรากิน

“ถัง มากินด้วยกันดิ” ผมเอ่ยชวน

“อ่า ไม่ล่ะ  ต้องรีบเคลียร์เอกสารนิดหน่อย  พลอย ผมขอกาแฟนะ” พี่ถังพูดก่อนจะรีบเดินเข้าไปในห้อง

“พี่ไปชงกาแฟละ  เปอร์เอาอะไรไหม?” พี่จิ้มทองหยอดใส่ปากก่อนจะถาม

“ไม่ล่ะครับผมอิ่มแล้ว  งั้นเอาขนมนี่ไปจัดให้พี่ถังด้วยละกันนะครับ  ท่าทางแบบนั้นคงยังไม่ได้กินข้าวเช้ามา” ผมบอก

“โอเคจ้า” พี่พลอยรับคำก่อนจะรีบเดินเข้าไปในห้องครัวที่อยู่ไม่ไกลนัก

ผมมองตามพี่พลอยยิ้มๆ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง 

ฮ้า ผมนี่โตขึ้นเยอะเลยแฮะ  ปกติไม่ชอบให้ใครมาแย่งขนมของตัวเองแท้ๆ แต่ครั้งนี้ผมยอมให้ขนมคนอื่นไปทั้งๆ ที่ตัวเองเพิ่งจะกินไปได้แค่นิดเดียว

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา