[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  228.38K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) Chapter 03 : ความสับสนชั่ววูบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 03 : ความสับสนชั่ววูบ





ขณะที่กำลังนั่งมองตารางงานของพี่ลุกซ์ที่ผมทำขึ้นเองกับมือเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเจ๊เปรียวก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงงอแงของเด็กทำให้ผมรีบเงยหน้าขึ้นมอง

“เที่ยว...เที่ยว ปิง...เที่ยว” เสียงเล็กๆ ของเด็กผู้ชายดังขึ้นเรียกสายตาจากผมได้ดีนัก

“น้องปิงไม่ดื้อนะครับ  วันนี้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องทำงานนะ” เจ๊เปรียวบอกลูกชายของตัวเองที่กำลังจูงมืออยู่

“คุณปู่คุณย่าเที่ยว...เที่ยว...” เด็กชายตัวเล็กงอแง  น้ำตาปริ่มขอบตา

“น้องปิง เป็นผู้ชายจะร้องไห้ไม่ได้นะครับ  ห้ามงอแงด้วย  ถ้าดื้อคุณพ่อจะตีนะครับ” พี่ลุกซ์ทำหน้าดุขู่ลูกทำให้ลูกรีบวิ่งไปหลบหลังคนเป็นแม่

นี่เป็นครอบครัวของพี่ลุกซ์สินะ? ที่ข้างๆ ของพี่ลุกซ์มันไม่ใช่ที่ของผมอีกต่อไปแล้ว  ไม่มีแล้ว...จุดยืนสำหรับผมในโลกของพี่ลุกซ์

“เปอร์ อยู่พอดีเลย  เจ๊มีเรื่องจะรบกวน” เจ๊เปรียวหันมาเห็นผมก่อนจะเดินเข้ามาหาอย่างรีบร้อน

“ครับ?” ผมเงยหน้ามองเจ๊เปรียวพร้อมรอยยิ้ม

ผมขอโทษนะครับเจ๊เปรียวที่ผมยังไม่สามารถยิ้มให้เจ๊ได้อย่างสนิทใจ  ตอนนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรหรือใครที่เกี่ยวข้องกับพี่ลุกซ์ผมไม่อาจยิ้มให้อย่างจริงใจได้เลย  แต่ซักวัน ถ้าผมตัดใจได้เมื่อไหร่  เมื่อนั้นผมก็จะสามารถยิ้มออกมาจากใจได้ซักที

“พอดีวันนี้ทั้งวันเจ๊กับลุกซ์ต้องเข้าประชุมน่ะ  คุณพ่อกับคุณแม่ก็ไม่อยู่ก็เลยต้องพาเจ้าตัวเล็กมาด้วย  เจ๊ฝากเปอร์ดูแลให้หน่อยได้ไหม?” เจ๊เปรียวขอร้อง

“เอ๋? ถ้าวันนี้ผมไม่มีงานล่ะก็นะ” ผมแอบเหลือบตามองพี่ลุกซ์ที่กำลังอุ้มลูกของตัวเองนิดๆ

“วันนี้ผมไม่รับงาน” พี่ลุกซ์พูดขึ้นผมจึงหันกลับมามองเจ๊เปรียว

“งั้นผมก็ดูแลได้ครับ” ผมยิ้มนิดๆ  ยังไงซะผมก็รักเด็กอยู่แล้วถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะเป็นพยานรักของคนที่ผมเคยรักกับผู้หญิงคนอื่นก็ตามที

“น้องปิงครับ  มานี่หน่อยครับ” เจ๊เปรียวกวักมือเรียกลูกของตัวเองก่อนที่พี่ลุกซ์จะปล่อยเด็กคนนั้นลงจากอ้อมแขนทำให้เด็กคนนั้นวิ่งเข้ามาหาเจ๊เปรียว

“ฮับ”

“น้องปิงครับ  นี่อาเปอร์นะครับเป็นเลขาของคุณพ่อและก็เป็นรุ่นน้องของคุณพ่อกับคุณแม่ด้วย  วันนี้น้องปิงอยู่กับอาเปอร์ได้ไหมครับ?” เจ๊เปรียวแนะนำผมก่อนจะถามลูกของตัวเอง

“อาเปอร์?” น้องปิงพูดพลางยกนิ้วชี้ขึ้นมาจิ้มที่ปากของตัวเองด้วยสีหน้าสงสัย  หลานยังเด็กอยู่เลยครับ  พูดก็ยังไม่ค่อยชัด ยืนก็ไม่ค่อยจะอยู่ทำไมถึงกล้ามาฝากให้ผมดูแลล่ะเนี่ย

“สวัสดีครับน้องปิง  วันนี้มาอยู่กับคุณน้านะครับ” ผมก้มลงไปพูดกับน้องปิงอย่างใจดี  ผมไม่อยากเป็นอาหรอกครับเพราะนั่นมันหมายถึงผมอยู่ฝั่งพี่ลุกซ์  ผมขอเป็นคุณน้าที่อยู่ฝั่งเจ๊เปรียวดีกว่า

“น้า?” น้องปิงเอียงคอทำหน้างงหนัก

“ใช่ครับ  เรียกว่าน้าเปอร์ดีกว่านะครับ” ผมยิ้มพลางยื่นมือออกไปเพื่อให้น้องปิงจับ

“หม่าม้า” น้องปิงทำหน้าหวาดๆ ก่อนจะเดินไปหลบหลังเจ๊เปรียว

“น้องปิงครับ อยู่กับน้าเปอร์ก่อนนะครับแล้ววันหยุดคุณแม่จะพาไปเที่ยวนะ” เจ๊เปรียวพยายามโน้มน้าวลูกของตัวเอง

“หม่าม้า...”

“น้องปิงครับ เชื่อฟังคุณพ่อกับคุณแม่นะครับ  ไม่งั้นคุณพ่อจะไม่ซื้อขนมกับของเล่นให้นะ” พี่ลุกซ์ทำเสียงดุพูดขู่ลูก

ผมจำได้ว่าพี่ลุกซ์ไม่ค่อยถูกกับเด็กเท่าไหร่แต่เพราะน้องปิงเป็นลูกสินะถึงได้เอ็นดูขนาดนี้  คิดถึงเจ้าป้องเลยแฮะ  เมื่อก่อนสองคนนี้ไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไหร่แต่เพราะผมพวกเขาถึงญาติดีกันได้  ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ลุกซ์จะจำเจ้าป้องได้ไหม  เจ้าป้องเองก็โตขึ้นมาแล้วด้วย  ช่างเถอะ เขาคงไม่อยากจะจำอะไรเกี่ยวกับผมซักเท่าไหร่ล่ะมั้ง

“ดุ ป่าป๊าดุ” น้องปิงขยำกระโปรงด้านหลังของเจ๊เปรียวแน่นพลางมองพี่ลุกซ์อย่างงอนๆ

“คุณพ่อดุเพราะรักนะครับน้องปิง” เจ๊เปรียวอธิบายให้ลูกฟัง

“น้องปิง  คุณพ่อกับคุณแม่ต้องไปแล้วนะครับ” พี่ลุกซ์พูดขึ้น

“น้องปิงครับ มาอยู่กับคุณน้านะ  เดี๋ยวคุณน้าพาไปกินไอศกรีมนะ” ผมล่อด้วยของหวาน  เด็กทุกคนมักถูกล่อด้วยของหวานเสมอนั่นแหละครับ  ผู้ใหญ่ก็เป็นนะเออ

“น้องปิงอยากกินไอติม” น้องปิงพูดออกมาเสียงดังอย่างตื่นเต้น  พ่อกับลูกเหมือนกันเลยแฮะ  ชอบกินไอติมสุดๆ

“โอเคครับ  ถ้าอยู่กับน้าล่ะก็น้าจะพาไปกินนะครับ  โอเคไหม?” ผมยิ้มให้น้องปิงพลางยื่นมือออกไปอีกรอบ

“คับผม  น้องปิง...อยู่กับคุณน้า” น้องปิงคว้ามือผมไว้แล้วยิ้มร่าเริง  น้องยังพูดไม่ชัด พูดผิดๆ ถูกๆ อยู่เลย ฮ่าๆ น่ารักจัง

“เข้ากับเด็กได้ดีเหมือนเดิมนะ” พี่ลุกซ์เดินเข้ามาหาลูกแต่กลับยื่นหน้ามากระซิบกับผมอย่างเนียนๆ

“ก็ผมไม่ใช่คุณนี่ครับ” ผมพูดนิ่งๆ

“ฝากดูแลลูกของผมด้วยนะครับคุณปริน” พี่ลุกซ์ยืนตัวตรงๆ ก่อนจะพูดออกมาเต็มเสียง

“ไม่มีปัญหาครับคุณรุจิภาส” ผมตอบกลับทันที

“อะไรกันทั้งสองคน  พูดเหมือนเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ เมื่อก่อนออกจะสนิทกันนี่นา” เจ๊เปรียวพูดแซว

“ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ผมก็ไม่เคยสนิทกับเขาหรอกครับ” ผมหันไปพูดกับเจ๊เปรียว

“ใช่ เราไม่เคยสนิทกันเลย” พี่ลุกซ์พูดก่อนจะเดินจากไป  เจ๊เปรียวทำหน้างงๆ ก่อนจะเดินตามพี่ลุกซ์ไป

“น้าเปอร์ ร้องไห้?” น้องปิงพูดขึ้นเหมือนดูสีหน้าผมออกผมจึงรีบปรับสีหน้าของตัวเอง  นี่ผมเผลอทำหน้าเศร้าอีกแล้วงั้นเหรอ?

“เปล่าหรอกครับ  งั้นเดี๋ยวเราไปเดินเล่นกันก่อนที่จะไปกินไอติมนะครับ” ผมยิ้มกว้างพลางอ้าแขนออกเพื่อให้น้องปิงเข้ามาในอ้อมแขน  ผมจะอุ้มน้องปิงเดินเที่ยวให้ทั่วเลยครับ

“คับผม!” น้องปิงตอบรับแล้วกระโดดเข้ามารัดคอผมแน่น  ผมหัวเราะก่อนจะอุ้มน้องปิงขึ้นเพื่อพาเดินชมบริษัท  โตขึ้นน้องปิงคงเป็นเจ้าของบริษัทนี้ต่อจากพี่ลุกซ์สินะ

แต่จะว่าไป  ไม่เห็นพี่ลุกซ์เคยบอกเลยว่าเป็นเจ้าของบริษัทนี้  นี่ผมเผลอปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มต่อหน้าพี่มันตั้งหลายครั้งเลยสินะ  ผมจำได้ว่าผมเคยแซวพี่ลุกซ์ว่าเป็นลูกเจ้าของบริษัทหรือไงถึงได้ลาหยุดงานบ่อยๆ  เฮ้อ อดีตอันแสนขมขื่น

 

ผมพาน้องปิงเดินเที่ยวจนกระทั่งถึงเวลาสายๆ แล้วพาน้องปิงไปร้านไอติมที่อยู่เยื้องๆ กับออฟฟิศด้านล่างตึก  น้องปิงเป็นคนคุยเก่งมากครับทั้งๆ ที่พูดไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่  บางครั้งก็หลุดพูดภาษาอังกฤษเพราะน้องปิงเกิดที่อเมริกาและโตมาที่นั่น  ดีจังเลยนะ  พูดได้สองภาษาตั้งแต่อายุสองขวบ

หลังจากกินไอติมเสร็จผมก็พาน้องปิงไปเล่นที่โซนเด็กเล่นของโชว์รูมบริษัทแม่  ผมจำได้ว่าตั้งแต่เด็กผมก็เคยมาเล่นที่นี่เพราะพ่อกับแม่พามาด้วย  คิดถึงจังเลยแฮะ

“น้องปิงอยากทานข้าวกลางวันแบบไหนครับ?” ผมถามเมื่อมองนาฬิกาแล้วพบว่ามันเกือบเที่ยงแล้ว

“เค้ก...อยากกินเค้ก” น้องปิงตอบเสียงดังฟังชัด

“ไม่ได้นะครับ  จะกินเค้กก่อนข้าวไม่ได้นะ  ต้องกินข้าวก่อนสิถึงจะกินเค้กได้” ผมสอน

“ฮับ” น้องปิงก้มหน้าตอบรับพลางทำแก้มป่องเหมือนจะงอน  อ่า...น่าฟัดจังเลยแก้มของเด็กคนนี้  แดงก่ำเป็นลูกมะเขือเทศเลย  น่ารักจัง

“น้องปิงครับ ถ้าทานข้าวเสร็จน้าเปอร์จะพาไปทานเค้กเนอะ โอเคไหมครับ?” ผมก้มหน้าลงไปพูดอย่างเอาใจทำให้น้องปิงเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้ผม  สักวัน...ผมจะขโมยเด็กคนนี้กลับบ้าน

“น้องปิงรักน้าเปอร์” น้องปิงยิ้มตายีให้ผมจนผมต้องก้มหน้าลงไปฟัดแก้มแดงๆ นั่นอย่างหมั่นเขี้ยว

“น้าเปอร์ก็รักน้องปิงครับ” ผมยิ้มให้หลานก่อนจะจูงมือหลานออกจากสนามเด็กเล่นเพื่อพาไปหาข้าวกินที่ร้านข้างๆ ออฟฟิศ

 

ผมกับน้องปิงอยู่ด้วยกันจนสนิทสนม  น้องปิงเองก็มีท่าทางผ่อนคลายมากกว่าเดิมและอ้อนผมมากๆ ด้วย  ผมตามใจน้องปิงทุกอย่างครับเพราะสิ่งที่น้องปิงขอนั้นไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี  เช่น น้องอยากกินเค้กผมก็พาไป  อยากได้ของเล่นผมก็ซื้อให้แต่ก็แอบเสียดายเงินนิดๆ เพราะช่วงนี้ผมถังแตก  เวลาจะใช้เงินแต่ละทีต้องคิดให้ดีซะก่อนแต่ก็เอาเถอะ  พ่อน้องจ่ายเงินเดือนผมเยอะเพราะงั้นแค่นี้ผมให้ได้

“ป่าป๊าดุ  ตาชี้ด้วย” ขณะที่ผมกับน้องปิงกำลังนั่งเล่นอยู่ในห้องทำงานของพี่ลุกซ์น้องปิงก็นินทาพี่ลุกซ์พลางใช้นิ้วเล็กๆ ดึงหางตาของตัวเองเพื่อให้ตาชี้ขึ้น

“ครับ แล้วหม่าม้าน่ารักไหมเอ่ย?” ผมถามเพราะไม่อยากพูดถึงพี่ลุกซ์มาก

“หม่าม้าน่ารักแต่หม่าม้าไม่มาอยู่กับป่าป๊า  น้องปิง...อยู่กับแกรนด์พากับแกรนด์มา” น้องปิงทำปากยื่น  ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ อย่างตกใจที่รู้ว่าเจ๊ไม่ได้อยู่กับพี่ลุกซ์

“แล้วน้องปิงอยู่กับใครบ้างครับ?” ผมถาม

“กับป่าป๊า แกรนด์พา แกรนด์มา อาไลลาคับ” น้องปิงนับนิ้วพลางพูด

“รู้จักอาลันกับอาไอไหมครับ?” ผมถามถึงพี่ลันกับไอ้ไอที่อยู่ที่คอนโดเดิมไม่ยอมกลับไปอยู่บ้านตั้งแต่มหาลัย

พี่ลันเองก็ไปเรียนต่อเหมือนกันครับแต่ดูเหมือนจะไม่ได้เรียนเยอะมากมายเท่าพี่ลุกซ์  พอเรียนเฉพาะทางด้านเครื่องยนต์กลไกจบพี่มันก็กลับมาทำงานทันทีและทำงานเป็นหัวหน้าแผนกฝ่ายพัฒนาเครื่องยนต์โดยมีไอ้ไอเป็นลูกน้อง  ตอนแรกผมก็ไม่ฉงนใจอะไรหรอกครับที่รู้ว่าพี่ลันทำงานที่นี่แต่ก็แอบแปลกใจที่พอได้งานปุ๊บก็ได้ทำในตำแหน่งใหญ่เลย  เพิ่งมารู้นี่แหละครับว่าเป็นลูกประธานบริษัท อ้อ ไม่สิ เป็นน้องของประธานบริษัทต่างหาก

“รู้จักคับ อาลันกับอาไอใจดี  ซื้อของเล่นให้น้องปิง” น้องปิงพูดพลางยิ้มอย่างเป็นปลื้ม  พูดอย่างนี้แสดงว่าสองคนนั้นเขากลับไปเยี่ยมหลานบ่อยนะเนี่ย

“แล้วน้าเปอร์ใจดีไหมครับ? ฮ่าๆ” ผมถามขำๆ ทำให้น้องปิงขยับมาคร่อมตักผมที่นั่งอยู่บนโซฟาแล้วกอดผมเอาไว้

“น้าเปอร์ ใจดีคับ” น้องปิงมุดหน้าซุกอกผมทำให้ผมต้องยกแขนขึ้นโอบกอดน้องปิงอย่างอ่อนโยน  ไม่รู้อะไรทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับเด็กคนนี้เหลือเกิน  อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นสายเลือดของคนที่ผมรัก...เคยรักมากล่ะมั้งครับ

ปัง!

“ทำไมเปรียวต้องขัดลุกซ์ด้วย ฮะ!?  เมื่อกี้ตาแก่ฝ่ายขายหัวโบราณนั่นเสนอยอดอะไรก็ไม่รู้มั่วซั่วไปหมดแล้วก็อ้างว่าตัวเองทำงานมานาน ชิ! ถ้าไม่ติดว่าทำงานกับพ่อมานานล่ะก็ลุกซ์จะสั่งเด้งทั้งแผนกเลย!” ผมสะดุ้งกอดน้องปิงแน่นเมื่อจู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแรงและตามมาด้วยเสียงอันโมโหร้ายของพี่ลุกซ์

“ลุกซ์ ใจเย็นๆ เปอร์กับปิงอยู่ในห้อง” เจ๊เปรียวที่หันมาเห็นผมกับน้องปิงปรามพี่ลุกซ์เสียงเบา

“เปรียว พาลูกกลับบ้านไปก่อนละกัน  เดี๋ยวเลิกงานลุกซ์จะไปรับลูกที่บ้านเปรียวนะ” พี่ลุกซ์บอกเจ๊เปรียวทำให้เจ๊เปรียวเดินเข้ามาหาผม

“น้องปิงครับ มาหาหม่าม้านะครับ” เจ๊เปรียวเดินเข้ามาผมกับน้องปิงทำให้ผมคลายอ้อมแขนที่กอดน้องปิงออก

“จะอยู่กับน้าเปอร์คับ” น้องปิงใช้มือทั้งสองข้างดึงเสื้อผมเอาไว้และไม่ยอมเลิกกอดผม

“ดูสิ เด็กคนนี้ติดเปอร์ซะแล้ว ฮ่าๆ น้องปิงครับ มาหาหม่าม้านะครับ  เอาไว้วันหลังหม่าม้าจะพามาหาน้าเปอร์อีกนะ  ถ้าน้องปิงดื้อไม่ยอมกลับกับหม่าม้าน้าเปอร์จะไม่รักนะ” เจ๊เปรียวมองหน้าผมยิ้มๆ ก่อนจะหันไปเกลี้ยกล่อมลูก

“น้องปิงครับ กลับบ้านนะครับ  วันหลังมาเล่นด้วยกันใหม่นะ  คราวนี้จะซื้อของเล่นให้เยอะๆ เลย” ผมพูดยิ้มๆ แล้วอุ้มน้องปิงส่งคืนให้เจ๊เปรียว

“ขอบใจนะเปอร์  เอาไว้เจ๊จะพามารบกวนอีกนะ” เจ๊เปรียวอุ้มลูกไว้ในอ้อมแขนแล้วหันมายิ้มให้กับผม

“ครับ ยินดีเลยครับ” ผมยิ้มให้แล้วโบกมือให้น้องปิง  จากนั้นเจ๊เปรียวก็ออกไปปล่อยให้ผมอยู่กับพี่ลุกซ์ในห้องเพียงสองคน

เมื่อเหลือเพียงคนที่ผมไม่อยากจะอยู่ใกล้ด้วยมากที่สุดผมก็หันไปหาเขาโดยไม่มองหน้า

“ผมขอตัว” ผมบอกตามมารยาทก่อนจะเดินไปที่ประตู

“จะเอาเท่าไหร่?” ผมชะงักที่ถูกถามอย่างนั้น

“เรื่องอะไรเหรอครับ?” ผมหันไปมองเจ้าของคำถามด้วยสายตาแข็งกระด้าง

“ค่าเลี้ยงดูลูกของกู” พี่ลุกซ์พูด

“ขอโทษนะครับ กรุณาพูดจาให้สุภาพกับผมด้วย  ผมเป็นลูกจ้างของคุณก็จริงแต่คุณควรจะให้เกียรติผมบ้าง” ผมพูดพลางจ้องตากับพี่ลุกซ์อย่างดุเดือด

“...” พี่ลุกซ์เงียบเหมือนพูดอะไรไม่ออก

“อ้อ ผมอาจจะไม่มีเกียรติพอที่คุณจะให้  แต่อย่างน้อยก็พูดดีๆ กับผมในฐานะลูกจ้างก็ได้  ส่วนเรื่องค่าเลี้ยงดูไม่จำเป็นหรอกครับเพราะผมดูแลหลานให้เจ๊เปรียว  ผมไม่ได้ทำให้คุณ” ผมพูดจบแล้วแสยะปากใส่อย่างหมั่นไส้

“ปากดีนักนะ!” พี่ลุกซ์กัดฟันแล้วเดินมากระชากแขนผมเพื่อดึงให้เข้าไปใกล้  ผมเม้มปากแล้วห่อไหล่เมื่อต้นแขนที่ถูกกระชากถูกบีบอย่างแรง

“คุณต้องการอะไร?” ผมขมวดคิ้วถามเพราะเริ่มกลัว

“ทำตัวแบบนี้แล้วคิดเหรอว่ามึงจะเลิกรักกูได้? ฮึ! ทำเป็นปีกกล้าขาแข็ง  ที่จริงก็อยากจะได้กูกลับไปจนตัวสั่นล่ะสิ  น่าสมเพชเนอะ!” พี่ลุกซ์ถลึงตามอง

“ครับ น่าสมเพช  แต่ไม่ใช่ผมนะเพราะคนที่น่าสมเพชนั่นมันคุณต่างหาก...อุ๊บ!” ร่างผมถูกผลักให้ชิดผนังก่อนที่ริมฝีปากจะถูกบดขยี้จากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านาย

“ฮึ!

ผมดิ้นและพยายามผลักเขาออกแต่เดิมทีผมก็ไม่มีแรงจะสู้ใครได้อยู่แล้วทำให้การดิ้นของผมไม่เป็นผลนอกจากนั้นมันยังทำให้เขาหงุดหงิดจนต้องผลักผมให้ล้มไปที่โซฟาแล้วพยายามที่จะปล้ำ  ผมพยายามปัดมือที่กำลังยื่นมาลวนลามออกไปสุดชีวิต

“หยุด!! พอได้แล้ว! ออกไปจากชีวิตของผมแล้วก็อย่ามายุ่งกับผมอีก!!” ผมที่ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่แหกปากห้ามออกไป

“...” พี่ลุกซ์นิ่งไปแต่ก็ยอมหยุดและถอยออกไป  ผมก้มหน้าเม้มปากแล้วค่อยๆ ติดกระดุมเสื้อที่ถูกปลดออกแล้วจัดเสื้อกับสูทให้เข้าที่

“ผมกับคุณ เป็นได้แค่เจ้านายกับลูกน้องเท่านั้น  แล้วก็อย่ามาทำเป็นเหมือนกับรู้จักผมดีเพราะผมจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักกับคุณ” ผมพยายามกลั้นน้ำตาแล้วรีบเดินออกไปโดยไม่คิดแม้แต่จะเหลือบไปมองคนที่หักหามน้ำใจของผมแม้แต่นิด

ผมเกลียดผู้ชายคนนี้  เกลียด...จนขยะแขยง 

 

ผมนั่งปรับอารมณ์และนั่งถูปากจนแสบไปหมดอยู่สักพักพี่ลุกซ์ก็เดินออกมาจากห้องทำงาน  ผมนิ่งไปนิดแล้วหันกลับไปมองเขาด้วยสายตานิ่งๆ  ถ้าจะเรียกผมทำไมไม่โทรเข้ามา  ไม่เห็นต้องลำบากเดินออกมาหาเองเลย

“ผมจะสรุปงานที่เข้าประชุมวันนี้ให้ฟังแล้วให้คุณจัดเอกสารตามงานของผมด้วย  เสร็จแล้วเอาไปวางที่โต๊ะ” พี่ลุกซ์พูดด้วยเสียงนิ่งเรียบ

“ครับ” ผมรับคำแล้วหยิบสมุดบันทึกก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินเข้าไปในห้องแต่พี่ลุกซ์ยืนปิดทางผมอยู่ทำให้ผมชะงักแล้วเหลือบตามอง  เมื่อเห็นว่าเขากำลังมองผมอยู่ผมจึงรีบหลบตาและยืนนิ่ง

“เชิญ” พี่ลุกซ์ถอยออกให้แล้วเปิดประตูให้ด้วย  ผมเม้มปากนิดๆ แล้วเดินเข้าไปโดยไม่ลืมกล่าวคำว่าขอบคุณ  มันเป็นคำขอบคุณ...ที่ฝืนเหลือเกิน

 

“ทำให้เสร็จภายในวันนี้  ถ้าไม่เสร็จ ไม่อนุญาตให้กลับ”

เพราะประโยคนี้ประโยคเดียวทำให้ผมต้องนั่งทำเอกสารจนหัวฟูทั้งๆ ที่ทำไม่เป็น  แต่ก็ดีครับเพราะพี่พลอยมาช่วยสอนให้ผมรู้งานและช่วยผมทำงานจนถึงเวลาเลิกงาน

“พี่พลอยกลับก่อนก็ได้นะครับ  เดี๋ยวผมเอาเอกสารเก่าๆ มาดูแล้วทำตามนั้นก็ได้ครับ” ผมหันไปบอกพี่พลอยเพราะไม่อยากให้พี่เขาลำบาก

“ไม่เป็นไรเปอร์ พี่ไม่รีบไปไหน  ถ้าเปอร์เกรงใจก็เลี้ยงข้าวเย็นพี่ละกัน” พี่พลอยเสนอก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ผมและช่วยผมทำงานเอกสารจนเสร็จ

 

แต่กว่าจะทำงานเสร็จก็ปาไปสองทุ่ม  พี่พลอยขอตัวกลับไปทันทีที่ทำงานเสร็จเพราะที่บ้านเรียกตัวผมจึงสัญญาว่าจะเลี้ยงข้าวพี่พลอยวันหลัง  ผมทำใจนิดๆ ก่อนจะเคาะประตูขออนุญาตเพื่อเข้าไปส่งเอกสาร  เมื่อไม่มีเสียงตอบรับผมก็เลยทำใจกล้าเปิดประตูเข้าไปอย่างถือวิสาสะ

ผมมองคนที่สั่งให้ผมทำเอกสารนิดๆ ก่อนจะเอาเอกสารไปวางไว้บนโต๊ะแล้วจ้องหน้าเขาอยู่ซักพัก  อ่า...ความรู้สึกแบบนี้ คิดถึงจัง  ช่วงเวลาที่ได้มองใบหน้ายามหลับของเขา  ผมคิดถึง...คิดถึงจนอยากจะเข้าไปกอด

เมื่อก่อนผมสามารถมองหน้าพี่ลุกซ์ยามหลับได้ทุกวัน  ได้อ้อน ได้งอน ได้ดูแลกัน ได้รักกัน  ช่วงเวลาแบบนั้นมันทำให้ผมมีความสุขที่สุดและผมก็เฝ้ารอให้เวลานั้นมาถึงอยู่เสมอ  แต่ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว  พอคิดว่าต่อไปนี้มันจะไม่มีช่วงเวลานั้นอีกแล้วผมก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ยังไงก็ไม่รู้

“มองอะไร?” ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆ คนที่ผมคิดว่าหลับก็ลืมตาขึ้นแล้วถามเสียงเข้ม

“...” ผมชะงักไปและแก้ตัวอะไรไม่ออก

“ถ้าคิดถึงกูล่ะก็...เข้ามานี่สิ” พี่ลุกซ์ลุกขึ้นยืนก่อนจะอ้าแขนออกพลางยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน  ผมนิ่งไป  ใจกับสมองประมวลผลอะไรไม่ทันซักอย่าง  ความหวั่นไหว สับสนและความคิดถึงทำให้ผมเผลอตัวและใจเดินเข้าไปในอ้อมแขนของพี่ลุกซ์อย่างห้ามไม่ได้

“เมื่อไหร่พี่ลุกซ์ของผมจะกลับมา  หรือว่าเขาได้ตายไปแล้วกันแน่?” ผมพึมพำออกมาพลางกระชับอ้อมแขนที่โอบรัดเขาแน่น

“ขอโทษนะ” เสียงทุ้มๆ พูดขึ้นโดยที่มือของพี่ลุกซ์กำลังลูบหัวผมอย่างแผ่วเบาเหมือนกับจะปลอบ

“ขอโทษนะครับ ผมขอโทษ  ผมคงเพลียจากงานก็เลยทำอะไรไปไม่คิด” ผมเม้มปากแล้วผละออกจากพี่ลุกซ์ก่อนจะก้มหน้าพูดอย่างเจ็บปวด

“...”

“เอกสารทั้งหมดอยู่ตรงนั้นนะครับ  งานผมเสร็จแล้วผมขอตัวกลับก่อน” ผมยังก้มหน้าพูดจากนั้นก็ค่อยๆ ก้าวถอยหลังเพื่อหนีออกจากห้องนี้ไป

“เปอร์! เดี๋ยว  อย่าเพิ่งไป” พี่ลุกซ์เรียกผมไว้ก่อนจะวิ่งเข้ามาคว้าตัวผมไปกอดไว้อีกครั้ง

“อย่าทำแบบนี้เลยครับ  คุณมีลูกมีภรรยาแล้ว ส่วนผมก็เปลี่ยนไปแล้ว  คุณเองก็เปลี่ยนไปแล้ว ผมไม่รู้จักคุณในตอนนี้และคุณเองก็ไม่รู้จักผมในตอนนี้  เราต่างคนต่างอยู่ดีกว่านะครับ” ผมยกขึ้นดันอกกว้างออกแต่อ้อมแขนที่ยังรั้งผมไว้ทำให้ผมดันเขาออกไปไม่ได้

“มึงรอกูที่มึงรู้จักอยู่ใช่ไหม? ถ้าในเวลาแบบนี้กูคนเดิมกลับมามึงจะดีใจไหม?” พี่ลุกซ์จับหัวผมกดไปที่ไหล่ของตัวเองแล้วกระซิบถาม

“ปล่อยผมเถอะครับ ผมขอร้อง” ผมขอร้องเสียงสั่น  อย่ากอดผมนานไปกว่านี้เลย  ผมจะร้องไห้อยู่แล้วนะ

“ถ้ากูขอร้องมึงบ้างล่ะ? ถ้ากูขอร้องให้มึงอยู่กับกูคืนนี้มึงจะทำไหม?” พี่ลุกซ์ถามอีก

“ผมน่ะ สัญญากับพี่ถังและพ่อของคุณเอาไว้ว่าถ้าผมร้องไห้แม้แต่ครั้งเดียว  ผมจะลาออกจากบริษัท  และตอนนี้...คุณกำลังทำให้ผมอยากจะร้องไห้  ผมขอร้อง...ผมไม่อยากจะเสียน้ำตาเพราะคนอย่างคุณอีกแล้ว  ผมเจ็บมามากจนใจผมไม่อาจเปิดรับคุณได้อีกต่อไป  ผมไม่อยากอยู่ใกล้คุณ ผมไม่อยากแม้กระทั่งจะเห็นหน้าของคุณ ผมไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับคุณแม้แต่นิดเดียว ถ้าคุณยังมีหัวใจ...ขอร้องล่ะครับ สงสารผมเถอะ  แค่นี้ผมก็ตกต่ำมากพออยู่แล้ว  อย่าทำให้ผมได้ชื่อว่าเป็นชู้เลยนะครับ” ผมขอร้องเสียงแผ่วและสั่น  ผมพยายามมากครับที่จะกลั้นน้ำตา  มันทรมานเหลือเกิน  ถ้าผมไม่เผลอใจเดินเข้าไปในอ้อมกอดเขาตั้งแต่แรก  ผมก็จะไม่รู้สึกอย่างนี้หรอก  ผมผิดเอง

และเมื่อผมพูดจบลงอ้อมแขนแข็งแรงก็ค่อยๆ คลายออก  ผมยืนนิ่งอยู่สักพักก่อนจะเดินจากไปด้วยหัวใจที่เจ็บปวด  เจ็บจนอยากจะหนีแต่ก็หนีไม่ได้  ทรมานจัง...


 

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา